จะจัดการความรู้อย่างไร

เพื่อแก้ไขผลกระทบจากสึนามิลูกใหม่ในอนาคต

.นพ.พิเชฐ อุดมรัตน์

ที่ปรึกษาคณบดีด้านการจัดการความรู้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

แม้เหตุการณ์สะเทือนขวัญของคลื่นยักษ์สึนามิจะทำให้เกิดการสูญเสียเป็นอย่างมากของคนไทย แต่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังน้ำใจอย่างล้นหลามของคนไทยว่าเราจะไม่ทิ้งกัน โดยเฉพาะในยามคับขันหรือมีภัย สึนามิยังได้ให้บทเรียน (lesson learned) กับเราไว้หลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องคิดไว้ก็คือ เราจะหาทางแก้ไขผลกระทบจากสึนามิลูกใหม่ในอนาคตได้อย่างไร ซึ่งผมขอเสนอให้ใช้ศาสตร์ของการจัดการความรู้(knowledge management) เป็นแนวทางในการพิจารณาดังนี้

1.   Define ให้กำหนดว่าเราต้องการความรู้อะไรบ้าง เพื่อแก้ไขผลกระทบจากสึนามิที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยการระดมผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในทุกด้าน และควรมองภาพรวม (holistic approach) ทั้งหมด อย่ามองเพียงบางส่วน เช่นในขณะนี้ดูเหมือนความสนใจจะอยู่ที่เรื่องระบบเตือนภัยเป็นหลัก จนอาจลืมถึงเรื่องการเตรียมคน การสร้างคนให้มีทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสอนถึงเรื่องสึนามิ รวมถึงเรื่องภัยพิบัติอื่น ๆ ให้กับนักเรียน (ดังกรณีของนักเรียนหญิงที่มาเที่ยวเมืองไทย เมื่อเห็นน้ำทะเลลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ก็นึกถึงครูภูมิศาสตร์ที่เคยสอนไว้ได้ จึงรีบเตือนคนในครอบครัวให้วิ่งหนีโดยเร็ว) การพัฒนาให้คนไทยมีความสามารถในการเอาชนะความทุกข์(adversity) หรือยืนหยัดเอาชนะความทุกข์(resilence)ได้ซึ่งบางคนแปล resilience ไว้ว่าคือบุคลิกภาพการปรับตัวเพื่อสู่ความเป็นเลิศ

2.   Capture ให้คว้าความรู้ที่เคยมีคนศึกษาและได้ทำไว้ก่อนแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาตั้งต้นใหม่ที่ศูนย์ ดังกรณีเกาะโอกูชิริของญี่ปุ่น ที่คุณสุทธิชัย หยุ่นได้สรุปเอามารายงานไว้ในคอลัมน์กาแฟดำของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 3 มกราคม 2548 ไว้แล้ว แต่ต้องนำมาพิจารณาให้เหมาะสมกับบริบท (context) ของประเทศไทย

3.    Create ให้สร้างความรู้ใหม่ในเรื่องที่เกี่ยวกับผลกระทบจากสึนามิทั้งหมด ซึ่งยังไม่เคยมีใครได้ศึกษาไว้ก่อน เช่น

3.1           ไปศึกษาข้อมูลหรือความรู้ฝังลึก(tacit knowledge) จากชาวมอร์แกน ซึ่งน่าจะได้รู้เรื่องนี้มานานแล้ว ดังคำเปิดเผยของนักร้องหนุ่มนาธาน โอมาน ที่มาเล่าไว้ในรายการเจาะใจ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2547 ว่า เมื่อตอนที่คุณนาธานขึ้นไปบนฝั่ง ชาวมอร์แกนทุกคนล้วนหันหน้ามองไปที่ทะเลทั้งหมด คนที่มีลูกเล็กก็อุ้มลูกกระเตงไว้กับเอวเตรียมวิ่งแล้ว ไม่มีใครอยู่บนบ้านเลย ช่วงนั้นคุณนาธานกับคุณสราวุธที่ไปด้วยกันไม่ได้เฉลียวใจ ตอนแรกยังไม่ได้คิดว่าชาวมอร์แกนหันไปดูทะเล ยังนึกว่าพวกเขาหันมาดูคุณนาธาน ทั้งคุณนาธานและคุณสราวุธยังขึ้นไปเต๊ะท่าถ่ายรูปบนบ้านของชาวมอร์แกน จนเมื่อแม่เฒ่ารายหนึ่งพูดเป็นภาษามอร์แกนที่มีคนแปลให้ฟังว่า คลื่นยักษ์กำลังจะมาแล้ว ทำไมคนมอร์แกนถึงรู้เรื่องนี้ อาจเป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดสึนามิขึ้นแล้วในฝั่งทะเลอันดามัน เมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วมีการบอกต่อกันมาจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง โดยที่ไม่มีการบันทึกไว้เป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง (explicit knowledge) ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวมอร์แกนเองก็น่าสนใจ น่าที่จะได้มีการไปค้นความรู้นี้ออกมาบันทึก ตรวจสอบ และติดตามกันต่อไป

3.2           ทำไมช้างป่า ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลแต่ทราบว่าคลื่นยักษ์กำลังจะมา ควาญช้างเล่าว่า ช้างไม่ยอมพานักท่องเที่ยวไปตามชายฝั่ง แต่จะขึ้นเขาอย่างเดียว และร้องเสียงดัง จนทำให้ควาญช้างและนักท่องเที่ยวรอดชีวิตทั้งหมด มีสัญญาณ(signal) อะไรบางอย่างที่ธรรมชาติส่งถึงกันได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ ขณะที่เครื่องตรวจจับหรือเตือนภัยสึนามิที่มนุษย์สร้างขึ้นในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นมีราคาสูงถึงประมาณเครื่องละ 250,000 เหรียญสหรัฐ หากสามารถค้นหาสัญญาณที่ธรรมชาติส่งถึงกันได้ อาจจะได้เครื่องมือเตือนภัยชนิดใหม่ที่ราคาไม่สูงนักก็เป็นได้

4.   Share การแบ่งปันความรู้ระหว่างกันจะทำให้ได้แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ(best practice) ในการบริหารจัดการเมื่อเกิดภัยพิบัติหมู่ขึ้นอีกในอนาคต และบทเรียนที่ได้ในครั้งนี้จะทำให้การบริหารจัดการรวมทั้งการช่วยเหลือในครั้งต่อไปเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ข้อมูลบางอย่างที่เราได้ในครั้งนี้เป็นข้อมูลที่เราอาจไม่ได้นึกถึงมาก่อน เช่น กรณีที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ให้สัมภาษณ์ในเช้าวันที่ 1 มกราคม 2548 ว่าขณะนี้น้ำดื่มมีมากจนกองเป็นภูเขา แต่สิ่งที่ทีมงานของคุณหญิงซึ่งทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ และอดหลับอดนอนต้องการมากที่สุดกลับไม่ใช่น้ำดื่ม แต่เป็นน้ำผลไม้เพราะดื่มแล้วชื่นใจ กาแฟกระป๋องหรือเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อแก้ง่วงเป็นต้น หรือการที่ประเทศไทยนำช้างจากอยุธยามาช่วยค้นหาศพในพื้นที่ที่รถไม่สามารถเข้าถึง ก็อาจเป็นแนวทางให้ประเทศอื่นที่มีช้างเหมือนกัน เช่น ศรีลังกา หรืออินเดีย นำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาด้วยเช่นกัน

5.   Use ความรู้ที่ได้มานั้นจะไม่มีประโยชน์ หากไม่ได้นำไปใช้ และเมื่อใช้แล้ว อาจพบวิธีที่ทำได้ดีกว่าเดิม จึงเป็นการยกระดับความรู้เพิ่มขึ้นไปอีก

                            หลังเสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้ว ศูนย์กลางความรู้แห่งชาติ(Thailand Knowledge Center) ของกระทรวง ICT และสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) น่าจะได้จัดให้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ และบันทึกความรู้ที่ได้รับจากวิกฤตครั้งนี้เอาไว้ แล้วนำไปสร้างเป็นคู่มือการช่วยเหลือดูแลผู้ประสบภัยพิบัติหมู่ของประเทศไทยต่อไปในอนาคต.

________________________________________________________________