ความคิดเห็นทั้งหมด : 3

ค่ายาในรพ.เอกชน ตั้งเท่าไรก็ได้หรอครับ?


    หัวข้อ 40824: ค่ายาในรพ.เอกชน ตั้งเท่าไรก็ได้หรอครับ? (จำนวนคนอ่าน 497 ครั้ง)

« เมื่อ: 11/05/06 เวลา 00:42:03 »

ผมเป็นหมออยู่รพ.รัฐมาตลอดน่ะครับ ไม่เคยทำงานเอกชนจริงจัง อย่างมากก็เป็นมือปืนไปอยู่เวรเป็นครั้งคราว
มีเหตุจำเป็นให้คุณพ่อต้องไปใช้บริการรพ.เอกชนใกล้ๆ บ้านอยู่บ่อยครั้งครับ
แต่ละครั้งก็มีเหตุให้เสียเงินจำนวนมากอยู่บ่อยครับ ก็เข้าใจว่ามันเป็นธุรกิจนะครับ แต่ว่ามีหลายอย่างที่คับข้องใจน่ะครับ เลยมาขอความเห็นพี่ๆ ด้วยครับ
ขอออกตัวก่อนนิดนึงนะครับ ไม่ได้จะตั้งใจมาล่อเป้า หรือว่าจุดประเด็นให้เกิดความบาดหมางใดๆนะครับ คือเป็นเรื่องที่คับข้องใจ และไม่รู้ที่มาที่ไปจริงๆครับ เลยขออนุญาตใช้กระดานนี้หาความรู้น่ะครับ

1. ค่ายาในรพ.เอกชน สามารถตั้งเท่าไรก็ได้หรอเปล่าครับ มีเพดาน หรือว่ามีหลักเกณฑ์หรือเปล่าครับ อย่างเช่น Sara ก็ขายในราคาเม็ดละราว 30 บาท, Plavix เท่าที่เคยซื้อจากรพ.รัฐ ก็ไม่น่าเกินเม็ดละ 100 บาท แต่รพ.เอกชนขายเม็ดละเกือบ 200 บาท ผมว่าราคามันขึ้นไปราว 2-3 เท่าในยาราคาสูง และขึ้นไปเป็น 10+ เท่าในยาราคาไม่แพง แล้วรพ.เหล่านี้ให้เหตุผลอะไรในการคิดราคายาที่แพงกว่าข้างนอกมากมายขนาดนี้ หรอครับ

2. ถ้าผมมียาที่ใช้ประจำอยู่บ้านอยู่แล้ว ทำไมรพ.เอกชนจะไม่อนุญาตให้เอายาของเรามาใช้ในระหว่างที่ admit ล่ะครับ โดยเขาบอกว่าเป็นนโยบายของรพ. ที่อนุญาตเฉพาะยาที่จ่ายในรพ.เท่านั้น ทั้งๆที่ยาที่ผมนำมาก็มีขนาดเดียวกัน อยู่ใน package ที่ชัดเจน เป็นยี่ห้อเดียวกับที่รพ.สั่งจ่าย มีวันที่ผลิต วันหมดอายุชัดเจน แต่เขาก็ไม่ยอมให้เราใช้ยาของเราครับ แล้วคนไข้จะได้ประโยชน์อันใดจากนโยบายแบบนี้หรอครับ อ้อ...เสริมอีกนิดครับ เป็นยาที่เป็น underlying disease ของผู้ป่วย ไม่เกี่ยวกับการ admit ในครั้งนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องปรับ dose แล้วก็ไม่มี drug interaction ใดๆ กับยาตัวอื่นครับ ไม่เคยมีประวัติแพ้ยาใดๆ ไม่เคยมีประวัติ ADR ใดๆด้วยครับ

3. ต่อจากข้อ 2. น่ะครับ พอผมได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ยาที่นำมาจากบ้าน (ตามเงื่อนไขที่เล่าไว้ในข้อ 2. น่ะครับ) เจ้าหน้าที่ทุกแผนกที่ผมสอบถาม ก็บอกแต่ว่าเป็นนโยบายของรพ. และมองผมด้วยสายตาแปลกๆ และส่วนใหญ่มักจะตอบผมกลับมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคืองครับ ผมก็ไม่เข้าใจตรงนี้น่ะครับ

4. จากข้อ 1. + 2. + 3. ผมมีสิทธิ์ที่จะร้องเรียน หรือแจ้งให้ใครทราบได้หรือไม่ครับ ถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ หรือเป็นสิ่งที่รพ.เอกชนทุกรพ.พึงกระทำอยู่แล้ว เราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว หรือถึงอยากจะบอกให้ใครรู้ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว รายได้ของรพ.หรือคลินิกเอกชนต่างๆ หลักๆ ก็มาจากค่ายานี่เอง คือตรงนี้เราไม่มีหลักเกณฑ์อะไรควบคุมกันเลยหรอครับ ที่ขายยาแพงกว่าราคาที่คนอื่นขาย เป็น 2-10+ เท่า เลยนะครับ ไม่ใช่แค่ไม่กี่บาท

ขอย้ำเจตนาอีกครั้งนะครับ ไม่ได้ป่วน หรือล่อเป้า หรือเจตนาร้ายใดๆทั้งสิ้นนะครับ ที่มาถามที่นี่ เนื่องจากไม่รู้จะถามใครครับ แล้วก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้จริงๆ
ขอรบกวนพี่ๆ และท่านผู้รู้ด้วยนะครับ

ขอบคุณมากครับ



ส่งโดย: Government Doctor





Posted by : oozing , Date : 2006-11-14 , Time : 10:59:39 , From IP : 125-24-142-206.adsl.

ความคิดเห็นที่ : 1


   « ความเห็นที่ #1 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 00:52:39 »

ไม่ไปรพ.รัฐหรือครับ ไปรพ ที่มีstaffที่รู้จักกันก็ได้



ส่งโดย: p 203.156.46.1 fwd for 192.168.1.*






« ความเห็นที่ #2 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 01:31:08 »

ก็คงจะเหมือนกับราคาของอาหาร ที่ผัดไทยจานละ 90 ใน รพ เอกชน แต่จานละ 25 ในรพ รัฐนั่นแหละค่ะ แต่เอกชนมีแซนวิช เครื่องดื่มฟรีบางจุด ขณะที่ รพ รัฐไม่มี

เพราะว่าตัวยาแม้เป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่าเค้าต้องเก็บยาไว้ในห้องของตึกที่สร้างหลายร้อยล้าน แอร์ที่เย็น คนจ่ายยา พนักงานทำความสะอาด ถุงใส่ยา ฯลฯ ซึ่งต้องจ่ายสูง คิดว่าคงจะต้องทำตามระเบียบแบบแผนของเขานะคะ ไม่งั้นจะเป็นการแทรกแซงการรักษาของคุณหมอไป

ช่วงที่เป็นคนไข้ใน คงจะไม่นานนักยอมเสียเงินไปดีกว่าค่ะ แต่พอเป็นคนไข้นอก ถ้ารู้ตัวยาบางตัวแน่นอนเราก็ซื้อข้างนอกได้



มีบาง รพ ที่รับคืนยาที่ทานไม่หมดแต่ต้องอยู่ในสภาพในแคบซูลที่สภาพดี มีหลานสาวที่เธอเป็นโรคซ้ำ ๆ ต้องหาหมอ รพ เอกชนบ่อย วันหนึ่งไปหาหมอก็เจอยาที่แพงหลายพัน แล้วพอซื้อเสร็จก็จะชื่อยาไว้และปริมาณที่กิน แล้วเอาไปคืนห้องยา บอกว่ายาตัวนี้ที่บ้านยังเหลืออยู่ รพ เอกชนก็คืนให้ แล้วเธอก็ไปซื้อตัวเดียวกันข้างนอกมาทาน ก็เป็นการแก้ปัญหาวิธีหนึ่งค่ะ



ส่งโดย: มดเอ๊กซ์... 58.8.144.*






« ความเห็นที่ #3 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 02:53:30 »

สบายใจที่ไหน ก็ทำงานที่นั่นเถอะครับ

ถ้าทำงานที่ไหนแล้วมีเรื่องให้ปวดหัวให้สงสัย อย่าทำที่นั่นเลยครับ สุขภาพจิตของคุณและคนรอบข้างจะเสียไปหมด





ส่งโดย: อยู่ที่ที่ควรอยู่เถอะ 58.9.138.*






« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 03:34:52 »

รพ.เอกชนถูกตั้งเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจเป็นหลักครับ ปัจจุบันยายังไม่ได้เป็นสินค้าควบคุมราคาตามประกาศกระทรวงพานิชย์



ส่งโดย: หมอรัฐเต็มเวลา 202.12.97.120 fwd for 10.67.67.*






« ความเห็นที่ #5 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 10:23:06 »

ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆอะนะ ราคามักจะแพงกว่า2-3เท่า แล้วก็ส่วนใหญ่เป็นoriginal

คงคล้ายๆกับของในห้างกับของในตลาด แม้เป็นชนิดและประเภทเดียวกันราคาก็คงแตกต่างกันน่ะครับ แต่ละรพ.ความโหดก็ต่างกันออกไป

เลือกที่ๆสบายใจละกันครับ



--------------------------------------------------------------------------------
เป็นหมอก็ดี
เป็นคนไข้ก็ดี
สุดท้ายก็แค่มนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง
หมอมีง่วง หิว เบื่อ โกรธ เศร้า เป็น
ไม่มีเหตุผลที่หมอจะต้องทนไปซะทุกอย่าง
อย่าอ้างว่านั่นคือจรรยาบรรณ
เพราะมันก็แค่เหตุผลจอมปลอมที่ปิดหูปิดตาหมอมาหลาย10ปีก็เท่านั้น
ส่งโดย: Dr.Tum
สถานะ: Executive Member
จำนวนความเห็น: 2990

124.121.63.*






« ความเห็นที่ #6 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 10:55:43 »


อืม... เอาไงดี ...


1. ค่ายาในรพ.เอกชน สามารถตั้งเท่าไรก็ได้หรอเปล่าครับ มีเพดาน หรือว่ามีหลักเกณฑ์หรือเปล่าครับ

...... ก็เคยมีการประชุมเรื่องการควบคุมราคายา(บริการ) ของรพ.เอกชนเหมือนกันครับ ...ที่เคยมีค่า DF ตอนปี 2544 .... แต่หลัง ๆ ก็เงียบไป

2. ถ้าผมมียาที่ใช้ประจำอยู่บ้านอยู่แล้ว ทำไมรพ.เอกชนจะไม่อนุญาตให้เอายาของเรามาใช้ในระหว่างที่ admit ล่ะครับ

.... มองได้สองแง่ ด้านหนึ่งก็อาจเป็นเรื่องของรายได้ รพ.เอง แต่อีกด้านก็คือ ถ้าเกิดผู้ป่วย(ญาติ) เอายามาเอง ถ้าเกิดปัญหา ก็จะยุ่งยาก รพ.อาจต้องมารับผิดชอบ หรือ มาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่ง รพ.อาจป้องกันไว้ก่อน

3. ต่อจากข้อ 2. น่ะครับ พอผมได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ยาที่นำมาจากบ้าน (ตามเงื่อนไขที่เล่าไว้ในข้อ 2. น่ะครับ)

... ระดับเจ้าหน้าที่ ก็คงตอบได้แค่นั้นแหละครับ

4. จากข้อ 1. + 2. + 3. ผมมีสิทธิ์ที่จะร้องเรียน หรือแจ้งให้ใครทราบได้หรือไม่ครับ

... ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน ...อาจร้องเรียนที่กระทรวงสาธารณสุข หรือ สมาคม รพ.เอกชน ...



--------------------------------------------------------------------------------
ยืนยันว่าจะทำหน้าที่แพทย์ให้ดีที่สุด ( เท่าที่จะทำได้ )
DO NO HARM [ PATIENT AND MYSELF ]
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เป็นหมอที่ดี ได้เสมอ
www.geocities.com/phanomgon โรคกระดูกและข้อ
www.geocities.com/cmu2807 เวบหมอเชียงใหม่รุ่น28
ส่งโดย: หมอหมู
สถานะ: Moderator, ThaiClinic Staff
จำนวนความเห็น: 8110

58.181.187.*






« ความเห็นที่ #7 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 11:03:45 »

ข้อ2. ในลักษณะการทำแบบนี้ ในรพ.รัฐหลายแห่งก็ทำครับ เพื่อป้องกันการสับสนหรือกินยาเกิน(หรือได้ยาที่ไม่มีคุณภาพ)
ข้อ3. อาจจะเป็นประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่แต่ละคนที่เคยเจอกับกรณีเชฃ่นนี้ครับ
ทั้งสองข้อนี้เป็นเรื่องที่แม้แต่ในรพ.รัฐก็เจอกันบ่อยๆ เพียงแต่ผู้รับหน้าเสื่อมักเป็นแพทย์ใช้ทุนหรือพยาบาลward

ส่วนข้อ1,4 ผมไม่เคยทำเอกชน ก็ไม่ทราบ



ส่งโดย: หมอแมว
สถานะ: Full Member
จำนวนความเห็น: 174

124.157.152.*






« ความเห็นที่ #8 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 11:06:27 »

คุยกับแพทย์เจ้าของไข้ครับ
พี่ น้อง วงการเดียวกัน แค่นี้ไม่ยากลำบากอะไร



ส่งโดย: ส้มตำ 203.121.160.*






« ความเห็นที่ #9 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 11:39:13 »

ข้อกังขาเหล่านี้ ที่จริงมีบ่อเกิดจากความไม่เข้าใจในสิ่งธรรมดาสามัญรอบตัวเรา ยกตัวอย่างเช่น ไก่ตัว-ผู้ไก่ตัวเมียต่างกันอย่างไร หญิงชายหลับนอนกันก็ท้องป่อง อะไรเทือกนั้น
แล้ว...เลยพื้นฐานคำตอบสำหรับกระทู้ที่ถามมาอยู่ตรงนี้ เอา..ลองมาฟังกัน
ปัจจุบันกลไกในเมืองไทยวางอยู่บนระบบเสรีนิยม หรือใครจะเถียง? และคำว่า"เสรีนิยม"ในมิติทางเศรษฐกิจคือ ทุนนิยม โดยมีมิติทางการเมืองคือ ประชาธิปไตย
โดยนัยนี้ เสรีนิยม-ทุนนิยม-ประชาธิปไตยคือสิ่งเดียว ผิดแต่พูดกันไปคนละมิติ
ทีนี้....หากอยู่ๆเมืองไทยเกิดปกครองด้วยระบอบเผด็จการขึ้นมาดื้อๆ แน่ละ...ระบบเศรษฐกิจ(ทุนนิยม)ก็จะเซแซดๆตกฮวบไปเฉยๆ เพราะมันไม่สอดคล้องเหมาะเหม็งต่อกัน...( เข้าใจ๋)
วกกลับมาสู่คำถามที่ว่า ปู้โธ่เอ๋ย!....ไฉนเอาหยูกยาที่บ้านมาใช้ในรพ.เอกชนไม่ได้(ว่ะ)? ( รพ.หน้าเลือดจริงๆเว้ย..ย)
เบื้องต้นนี้ เราพึงเข้าใจก่อนว่า มันไม่ใช่เรื่อง"หน้าเลือดหรือไม่หน้าเลือด" ( จริงมะ) แต่เป็นเรื่องธุรกิจ ซึ่งคำว่า ธุรกิจมันก็แปลตรงๆว่ากำไร-ขาดทุน นี่คือข้อแรก
อนึ่ง หากใครอ่านข้อแรกแล้วรู้สึกคับใจ ด้วยไม่เข้าใจหรืออะไรก็ตามเถิด กระผมขอเรียนว่า โปรดข้ามไปอ่านกระทู้อื่นท่าจะดีฝ่า
ข้อสอง...จะไม่เอ่ยตรงๆ โดยจะใช้วิธียกอุทาหรณ์ เฉกเช่น หากจู่ๆเราเกิดอยากโซ้ยอาหารมื้อค่ำฝีมือกุ๊กภัตราคารสุดหรูแต่เดาะขอนำวัตถ ุดิบที่บ้านไปให้กุ๊กที่ร้านปรุงแทน นัยว่าเพื่อประหยัดบิลค่าอาหารซะงั้น อะไรเทือกนั้น
แหม!...ทำอย่างงี้ แล้วมันจะไหวรื้อ..อ?
ก็อย่างที่เกริ่นแต่แรก อะไรที่เป็นสิ่งธรรมดาสามัญรอบตัวเรา เราๆท่านๆพึงทำความเข้าใจไว้บ้าง กระผมหมอเมืองสยามถึงเห็นว่า คุณGoverment doctor น่าจะหาเวลา(ว่างๆ)ศึกษาไว้บ้างครับ



ส่งโดย: หมอเมืองสยาม 203.107.207.*






« ความเห็นที่ #10 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 11:55:16 »

ไปเอกชนก็น่าจะต้องทำใจนะครับ เพราะรพ.รัฐถูกๆก็มีแต่ไม่ไป (ยาตัวเดียวกันน่าจะมี) จะแอดมิดก็มีเตียง แตกต่างกันด้านบริการและตึกรามที่ดูดีกว่า(เพราะลงทุนไปมาก) ก็ต้องยอมรับครับ เพราะเอกชนเขาเน้นหาเงิน
และที่สำคัญอย่างนี้ไม่ถือว่าเขาเอาเปรียบครับ เพราะทางรพ.เขาไม่ได้ผูกขาด คุณมีสิทธิ์จะไม่เลือกรับบริการจากเขาก็ได้(ทำนองว่าไม่พอใจก็ไปที่อื่นได้) แต่นี่คุณพ่อของคุณGovernment Doctor ก็เลือกไปที่นี่บ่อยๆ แสดงว่าน่าจะถูกใจในบริการ การร้องเรียน สคบ.([url] http://www.homedd.com/HomeddWeb/homedd/new_home/frontweb/index_skb.jsp[/url]) คงไม่น่าเป็นผล




--------------------------------------------------------------------------------
แค่รู้ว่าเธอยังห่วง...แค่เท่านั้นก็รู้สึกดี
และขอให้เธอโชคดี..ฝากดูแลตัวเองเช่นกัน
วันเปลี่ยนและหมุนไป..แต่ใจยังเป็นเมื่อวาน
ทุกๆอย่าง..ในทุกวัน.. ยังเป็นเธอทุกลมหายใจที่เข้าออก
ส่งโดย: lux
สถานะ: Senior Member
จำนวนความเห็น: 263

210.4.139.129 fwd for 10.122.25.*






« ความเห็นที่ #11 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 13:35:54 »

มันก็เหมือนกับ โรงแรมละครับ จะนอนคืนละ 200 บาท หรือ เป็นหมื่น ๆ ก็อมี ถ้าไม่พอใจ มันแพง ก็ไม่ต้องใช้บริการมัน มีโรงพยาบาลเอกชนถูก ๆ ให้เลือก ก็มี ขนาดแพง ๆ 5-6 ดาว อย่าง แถวสุขุมวิท คนไข้ยังมากมาย เยาะกว่า โรงบาล รัฐบางแห่งเสียอีก เขาคงไม่ลดค่ายาหรอกครับ



ส่งโดย: somsak 203.155.206.110 fwd for 10.10.14.87, 10.10.4.5, 10.10.4.4, 10.11.100.*






« ความเห็นที่ #12 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 16:35:00 »

การทำงาน ในระบบราชการ กับเอกชน ต่างก็มีข้อดีข้อเสียครับ
ทำราชการ เราก็จะมีความรู้สึกดีๆว่าได้ช่วยเหลือผู้ป่วย รวมถึงได้สวัสดิการ หลายอย่าง
ทำเอกชน ก็ต้องเข้าใจเขาว่า เขาเปิดเพื่อทำธุรกิจอะครับ ทุกอย่างมีต้นทุนหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าตึก ค่าเครื่องมือ MRI ค่าจ้างหมอ ค่าจ้างพยาบาล ค่าจ้างเภสัชกรค่าจ้างประชาสัมพันธ์ ค่าค่าจ้างคนทำความสะอาด หรือ ค่าจ้างทนาย
ส่วนเรื่องที่ทางเขาไม่อนุญาติให้เรานำยาไปเอง ผมคืดว่าเป็นนโยบายโดยรวมๆอะครับ เหมืนเราไปกินเอมเค สุกี้อะ เค้าก็ไม่อนุญาตให้เรานำกุ้งไปเอง แต่เราก็มีทางแก้นะครับ เช่น ลองคุยกับแพทย์เจ้าของไข้ดิครับว่า เราเป็นหมอ เรามียาตัวนี้อยู่อีกเยอะเลย อยากเอามาให้คุณพ่อใช้ก่อนมันหมดอายุ ผมว่าเขายอมแน่นอน ซึ่งเขาก็สามารถเขียนในchart แบบorder ตามปกติได้ แต่วงเล็บว่าผู้ป่วยมียา (ผมทำบ่อยในกรณีที่ผู้ป่วยมียาที่ดีอยู่แล้ว เช่นท้องเสียมาแล้วจำเป็นต้องAdmit ให้ IV ผมก็ยังให้กินNorfloxเดิมที่ได้มาจากคลินิก ซึ่งทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้ว่าอะไร) แต่ที่สำคัญคือ บางครั้งเราก็ไม่กล้าขออะครับ เพราะอาจจะเกรงใจอาจารย์แพทย์เจ้าของไข้ แต่พอเค้ารู้ว่าเราเป็นแพทย์ เขาคงยอมอะครับ ยังไงเราก็พี่น้อง ลูกพระบิดา เหมือนกัน นี่ครับ



ส่งโดย: DSIC 203.188.29.*






« ความเห็นที่ #13 เมื่อ: 11/05/06 เวลา 20:02:41 »

รพ.เอกชน สามารถกำหนดราคายาเท่าไร ก็ได้ ครับ เพราะ สินค้ายามิใช่ สินค้าควบคุมราคา ที่ต้องขออนุญาติ การขึ้น ราคา
ที่สำคัญ รพ.เอกชน ตั้งได้ต้องปฏิบัติ ตาม พรบ.สถานพยายาล ครับ ที่มีการกำหนดให้ แสดงราคายาไว้ หรือ ติดป้ายให้ สอบถามได้ครับ

ประเด็นเรื่อง นี้ เป็น เสรีครับ คงไปแทรกแซงลำบากครับ ปัจจุบัน ผมอยู่ รพ.เอกชน แห่งหนึ่ง บางที่ ก็สงสารคนไข้ ครับ แต่ ก็สงสาร รพ.เหมือนกัน ฉะนั้น ผมทำอย่างนี้นะ คุณหมออาจลองดู
คือ แนะนำไปซื้อเองกับร้านขายยาแถว ศิริราช ตากสิน ปิ่นเกล้า รามา ราชวิถี เดียวนี้จะมี ร้านขายยา ที่ขายยาไม่แพง ( จริงๆ ยังผิด กฏหมาย แต่ น่าจะถูกจริยธรรม )
แต่อันนี้ ก็ควรเห็นใจรพ.ด้วยครับ หากรพ.ไม่ได้ กำไร จากยาบ้าง แล้ว จะอยู่อย่างไร เพราะ แพทย์ เอง ก็ได้ ไป เต็มๆ เกือบหมดไม่ใช่หรือครับ
ส่วน ค่าระบบอื่นๆ จะเก็บมาก คนไข้ ก็ รับไม่ได้ เช่น ขอเก็บ ค่าบริการ 500 บาท ทันที ที่เข้าไปใช้บริการ อย่างนี้ การตลาดคงทำงานหนักนะ ผมว่า
ฉะนั้น ลองดูนะ ส่วนคนไข้ คนที่เขาจ่ายไม่ได้จริง ๆ ก็คงต้องไป รพ. 30 บาทนะ ครับ เดียวนี้ก็มีเอกชนหลายที่ เขาจัดบริการได้ ดีมากๆ นะ ลองดู



ส่งโดย: หมอพงษ์ 58.8.46.*






« ความเห็นที่ #14 เมื่อ: 11/06/06 เวลา 00:28:58 »

ต่อจากคุณพี่คคห.ที่ 1 ,3 แล้วก็ 10 ครับ
ผมยังไม่มีความคิดลาออกจากราชการไปทำงานเอกชนเต็มตัวครับ คือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่คุณพ่อไป admit อยู่รพ.เอกชนด้วยความจำเป็นครับ ถ้าเลือกได้ ก็จะไปอยู่รพ.รัฐแล้ว แต่มีความจำเป็นจริงๆครับ

ตอบคุณพี่คคห.ที่ 8 กับ 11 ครับ
ได้พยายามจะคุยกับแพทย์เจ้าของไข้แล้วครับ แต่พี่เขาไม่คุยกับผมครับ ตรงนี้ทำให้ผมรู้สึกเสียใจมากเลยนะครับ พี่น้องกัน ทำไมไม่ให้ความไว้วางใจกันเลย ผมไม่ได้จะทำอวดดี ปรับยาเอง หรือไม่เชื่อฟังคุณพี่เขานะครับ เพียงแต่แค่มีเจตนาจะบอกเขาว่าคุณพ่อได้ยาอะไรอยู่บ้าง แล้วจะขอเป็นยาที่นำมาเองได้ไหม แต่พอให้คุณพยาบาลต่อโทรศัพท์ให้ (เคยเจอคุณพี่เขาเองแล้ว แล้วเคยขอเบอร์โทรศัพท์คุณพี่ท่านนี้ด้วยตัวเองแล้ว คุณพี่เขาก็ไม่ให้ครับ บอกว่าให้ติดต่อผ่านทางรพ. คุณพี่ทราบว่าผมเรียนจบที่ไหนมาครับ) พยาบาลก็พยายามถามว่า ญาติจะขอคุยด้วย แต่พี่เขาก็ไม่อยากคุยด้วย แล้วก็ขอวางสายไปเลยครับ งงมากๆ ตรงนี้ทำให้รู้สึก break มากครับ คือที่ที่ผมเคยอยู่ เราก็อยู่อย่างพี่น้อง ถึงเป็นระดับอาจารย์อาวุโส หรือว่า young staff หรือว่าเป็นพี่ๆ Resident, Fellow ที่เคยได้พบเจอ ทุกคนก็ทำกับเราเหมือนเป็นพี่น้องครับ "ว่าไงน้อง เอาเบอร์พี่ไป มีอะไรจะได้ติดต่อกันง่าย น้องเอาเบอร์มานะ มีอะไรจะได้บอกกล่าวกันง่ายๆ"
ผมก็นั่งคิดว่า หรือว่าหมอ full time รพ.เอกชน ต้องทำตัวอย่างนี้ รักษาระยะห่างไว้ให้สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แปลกใจครับ คือผมก็จบมาไม่กี่ปี ทุกครั้งที่ญาติเจ็บป่วย ผมก็จะทำเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ถามเรื่องวิชาการ ไม่เคยสงสัยในการรักษาสักอย่างเดียว ด้วยความไว้ใจอย่างสูง รู้อยู่เต็มอก ว่ายังไงๆ ความรู้เราก็ด้อยกว่า แล้วก็ประสบการณ์เราก็ยังน้อยนิด ไม่กล้าไปแสดงความคิดเห็นใดๆหรอกครับ
พี่ๆที่ทำเอกชน full time เป็นอย่างนี้กันบ้างรึเปล่าครับ ถ้ามีญาติพี่น้องของพี่น้องร่วมสถาบัน หรืออย่างน้อยร่วมวิชาชีพ ไปให้ทำการดูแลรักษา จะทำอย่างนี้กันรึเปล่าครับ

ขอบคุณพี่ๆในทุกความคิดเห็นนะครับ
ขอย้ำอีกที ว่าถ้าเลือกได้ ผมก็จะพาเข้ารพ.รัฐครับ แน่นอนครับ ผมอยู่ในโรงเรียนแพทย์และรักเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง ถ้ามีใครเจ็บป่วย เราก็อยากพาเขาไปในที่ที่เราไว้วางใจสูงสุด ก็คือพาไปอยู่ในบ้านของเราแน่นอนครับ




ส่งโดย: จขกท.คนเดิมครับ 202.28.180.201 fwd for 10.7.59.*






« ความเห็นที่ #15 เมื่อ: 11/06/06 เวลา 01:47:04 »

ผมว่าคงไม่เป็นทุกคนนะครับ ผมอยู่รพ.รัฐ คนไข้หลายคนยังมีเบอร์มือถือผมเลย (งง..ไม่รู้เอามาจากไหน แต่กล้าโทรมาก็กล้าตอบ)
อยากให้เพื่อนแพทย์ดูแลญาติของแพทย์ด้วยกันเหมือนญาติตัวเองเหมือนที่เคยอ่า นในหนังสือจรรยาแพทย์นะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 11/06/06 เวลา 01:47:32 by littlerock »

ส่งโดย: littlerock
สถานะ: Senior Member
จำนวนความเห็น: 273

71.79.40.*






« ความเห็นที่ #16 เมื่อ: 11/06/06 เวลา 10:48:31 »

ผม fulltimeอยู่โรงพยาบาลเอกชน ถ้าคนไข้หนักและต้องติดตามใกล้ชิด ผมจะให้เบอร์กับญาติคนไข้ด้วย แต่ไม่ให้เบอร์กับคนไข้ทั่วไป เพราะต้องการเวลาส่วนตัวเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพ่อแม่ลูกเมียหมอ ถ้าขอเบอร์มาก็ให้ทุกครั้ง คนไข้ญาติหมอที่เอายามาเอง หรือแม้แต่คนไข้ทั่วไปที่นำยามาเองแล้วมานอนโรงพยาบาล ถ้ายาจากโรงพยาบาลที่เราเชื่อถือ(เช่นยาจาก รพ.จุฬา, รพ.สมิติเวช)ก็ให้ใช้ได้ ผมจะ note ในใบ order ว่าอนุญาตให้กินยาที่มีอยู่และนำมาเองได้ ก็ไม่เคยมีปัญหากะทางโรงพยาบาล แต่เราต้องรู้ตัวยาทุกตัวที่คนไข้กิน หมอแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะอยู่เป็น fulltimeเอกชนเดียวกัน ขอให้ จขกท. ทำใจเถอะครับ



ส่งโดย: หมอศัลย์คนหนึ่ง 61.90.160.*






« ความเห็นที่ #17 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:44:17 »

ผมก้อพอเข้าใอยู่บ้างนะ ตอบ ความเห็น14-16เลยนะ

คือผมว่า หมอคนนั้น คงมีความลำบากใจบางอย่างนะ คุณเคยทำมือปืน แต่ไม่เคย full time ใช่ปะ มันมีข้อผูกมัดไม่เหมือนกันหรอกนะ ผมไม่แน่ใจว่าการไม่รับยาข้างนอก เพื่อประโยชน์ใคร หรืออาจไม่ได้มีประโยชน์กับใคร
แต่ไม่ใช่เหตุผลกลัวยาซ้ำซ้อน เพื่อคนไข้แน่ๆ ผมให้น้ำหนักเหตุผลนี้น้อยมาก เพราะเอายาให้พยาบาลแล้วให้ พยาบาลจัดยาให้ก็ได้ ขอโทษนะ พยาบาลที่จัดยาจะไม่มีความรู้เหรอ ว่ายาเดียวกัน ถึงกลัวยาสับสนกัน
การสั่งยาโดยแพทย์ ก็มีผลประโยชน์ เป็นรายได้ของแพทย์เอกชนนั้นๆ(ขึ้นกับนโยบายรพ.นั้นนะ)
หรืออาจตั้งกฎของ รพ. มาแล้ว ว่า ห้าม ใช้ยาอื่น
แต่ ถ้าคุณคุยกับ เจ้าของไข้ได้ ให้ order ว่า เอายาเดิม ชื่อ plavix มากิน dose ....
ก็ได้นี่นา
บางโรงพยาบาล ไม่เอ่ยชื่อ หมอ จะโดนตรวจสอบ บ่อยมาก ว่า ทำรายได้ เท่าไร มาตรงเวลาไหม โดนแม้พยาบาลเป็นคนเช็คหมอ ว่าทำถูก (ถูกใจรพ.ไหม) คุณอาจไม่ได้ทำงานใน รพ. เอกชนที่มีข้อบังคับถึงแบบนี้ จึงไม่เข้าใจ หมอเจ้าของไข้
แต่ผมว่า การเลือก ยาเป็น ...สิทธิ.... ของเรานะ แต่เราก็มีสิทธิที่จะเลือกโรงพยาบาล และ ศึกษารพ. ไหน ห้ามใช้ยาข้างนอก ไม่รูทาง กฏหมาย ว่าไง ในเรื่องนี้

ปกตินะ ผม จะไปเอกชน เมื่อ อาจารย์หมอ staff sหรือ มีคนรูจักที่เป็นหมอในนั้น แนะนำ ไป ไม่ไปเองหรอก เพราะจะขาดคนช่วย หรือ เป็น back up เวลาต่อรอง แบบนี้แหละครับ



ส่งโดย: oozing 125.24.142.*






« ความเห็นที่ #18 เมื่อ: วันนี้ เวลา 11:06:39 »

คุณรู หรือเปล่า ว่า ค่ายา ตามร้านขายยา ที่ขายโยเภสัช บ้าง ไม่ เภสัช บ้าง โดยวิชาชีพข้างเคียงที่ทำงานกับหมอๆเราขายบ้าง ที่จับๆ พยายามควบคุมกัน อยู่ ก็ เช่นกันนะ จิงๆแล้ว ยาบางอย่างเท่านั้นที่ไม่ใช่เภสัชขายได้ เช่น พวกบรรจุเสร็จ (ผมไม่รูมากนะ ขอความรู จาก ผูpost ที่เป็น เภสัชด้วย)
ตามร้านขายยา ถ้า คุณเดินถามราคายา ก็จะมี ราคาต่างกัน ตั้งแต่ 5-20 บาท
ต้นทุน ก็น่าจะเท่าๆกันนะ ไม่เกิน 5บาท บางอย่าง เวชสำอาง ต่างถึง ร้อย บาท
กำไรมากกว่า 50-100% อีก

ขึ้นอยู่กับว่าจะเดินไปร้านไหน ผมถามมาหลายที่แล้วครับ ยังไงถ้ามันควบคุมได้ ก็อยากให้ควบคุมนะครับ



ส่งโดย: oozing





Posted by : oozing , Date : 2006-11-14 , Time : 11:06:03 , From IP : 125-24-142-206.adsl.

ความคิดเห็นที่ : 2


   ค่ายาของ รพ. เอกชน ตั้งเท่าไหร่ก็ได้ครับเป็นสิทธิของ รพ. เอกชน ครับ



Posted by : 125 , E-mail : (125) ,
Date : 2006-11-16 , Time : 10:03:42 , From IP : 203.188.43.40


ความคิดเห็นที่ : 3


   ขอบคุณครับ คุณ 125
แล้ว ค่ายา ในร้านขายยา ล่ะ ครับ
ไม่ได้จะ ก้าวก่าย อาชีพผู๋ได๋ นะ

แต่ผม ว่า มันเป็นเรื่องที่ผู้บริโภค/ใช้บริการ ต้องรู้ และ มีสิทธิที่จะรู้และถาม
และ ท่านๆ ต้องตอบ

ราคายา ตั้งตาม ข้างกล่อง หรือ ตั้งเป็นMaximum กี่เปอร์เซนต์ ของราคาข้างกล่อง หรือ ทุน

หรือ ตั้งเท่าไรก็ได้ ปล่อยเป็นตามกลไกตลาด

หรือ ข้างกล่องเขียนว่า "ดูราคา ณ จุดขาย" อย่างพวกเครื่องใช้สำนักงาน และ สินค้าบางประเภทในห้างสรรพสินค้า

จะกรุณามาก ถ้ามีคนช่วยตอบ


Posted by : oozing , Date : 2006-11-26 , Time : 22:45:05 , From IP : 125-24-145-247.adsl.

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<