ความคิดเห็นทั้งหมด : 6

ลูกไส้ติ่งแตก-ตาย เร่ขายไต!หาเงินฟ้องศิริราช


   ลูกไส้ติ่งแตก-ตาย เร่ขายไต!หาเงินฟ้องศิริราช

แม่ยื่นอนาถา-ค่าชีวิต5ล.แต่ไม่มีวางศาล5หมื่น!



แม่วัย 31 ประกาศขายไตหาเงินไปฟ้องศิริราชผ่าตัดทำลูกชายวัย 3 ขวบตาย เหตุเกิดเมื่อปี"48 ลูกเจ็บไส้ติ่งเข้าร.พ.แถวบางพลีก่อนส่งต่อมาศิริราช หมอไม่ยอมรักษาปล่อยข้ามคืนจนไส้ติ่งแตกตัดสินใจไปยื่นฟ้องอนาถา แต่ไม่มีเงินวาง 5 หมื่น เลยประกาศขายไตหาเงินไปทวงความยุติธรรมให้ลูกชาย

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นางศิริวรรณ บุญปลอด อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129/42 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พนักงานประกอบอะไหล่คอมพิวเตอร์ บริษัท ซีเกท ประเทศไทย จำกัด ร้องเรียน "ข่าวสด" ว่า ด.ช.คิมหันณ์ หรือน้องคิม เอียวพันธ์ บุตรชาย อายุ 3 ขวบ 2 เดือน เข้ารักษาอาการไส้ติ่งอักเสบที่ร.พ.ศิริราชแล้วเสียชีวิต เนื่องจากไส้ติ่งแตก

นางศิริวรรณ กล่าวว่า ด.ช.คิมหันณ์ หรือน้องคิม เป็นบุตรชายคนโต มีอาการปวดท้องตั้งแต่เวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ค.48 จึงพาไปร.พ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แพทย์ตรวจร่างกายพบว่าไส้ติ่งอักเสบต้องผ่าตัด แต่ตนไม่มีเงินรักษาจึงขอให้แพทย์ทำหนังสือส่งตัวต่อไปยังร.พ.ของรัฐ และช่วยรับรองว่าป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบจริง อีกทั้งน้องคิมตกสำรวจผู้มีสิทธิตามโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(30 บาทรักษาทุกโรค) แต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตภาษีเจริญ กทม. แพทย์จึงทำหนังสือส่งตัวไปร.พ.ศิริราช

นางศิริวรรณ กล่าวอีกว่า น้องคิมเข้ารับรักษาที่ร.พ.ศิริราช เมื่อเวลา 19.00 น.วันเดียวกันนั้น พยาบาลให้นอนพักบนเตียงรอรับการรักษา กระทั่งเวลา 22.30 น. จึงมีแพทย์เข้ามาดูอาการและแจ้งว่า ไม่แน่ใจว่าน้องคิมเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือไม่ ตนจึงแจ้งว่ามีเอกสารรับรองจากแพทย์ร.พ.บางพลีมาด้วย จากนั้นแพทย์ก็ปล่อยให้รอต่อไปทั้งที่บุตรชายปวดท้องอย่างรุนแรงมาตลอดทั้งว ัน ต่อมาพยาบาลแจ้งว่า แพทย์ให้น้องคิมพักอยู่ร.พ.เพื่อรอผ่าตัด ส่วนญาติต้องกลับบ้านไปก่อน โดยร.พ.จะเปิดเยี่ยมเวลา 10.00 น.วันรุ่งขึ้น

นางศิริวรรณ กล่าวต่อว่า เมื่อได้รับแจ้งดังกล่าวตนจึงกลับบ้าน แต่วันรุ่งขึ้นกลับมาเยี่ยมบุตรชายอีกครั้งตอนเช้าก็พบว่าอยู่ในห้องไอซียูแ ล้ว แพทย์ให้ทั้งออกซิเจนและน้ำเกลือ บริเวณหน้าท้องมีแผ่นปิดบาดแผลขนาดใหญ่ ตอนนั้นบุตรชายไม่รู้สึกตัว กระทั่งทราบจากพยาบาลว่าน้องคิมมีไข้สูง และติดเชื้อทางกระแสเลือด พร้อมกับบอกด้วยว่าแพทย์ที่ผ่าตัดเป็นนักเรียนแพทย์ปี 5 ของร.พ.ศิริราช

"ตอนนั้นดิฉันเดินไปที่ลูก หอมแก้มลูก น้องคิมลืมตา ตาของน้องคิมลอย ปากก็พยายามขยับเพื่อพูด แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา จากนั้นน้องคิมก็สิ้นใจ ดิฉันจึงเรียกหมอ หมอก็ช่วยกันปั๊มหัวใจ หมอบอกกับดิฉันว่าน้องคิมติดเชื้อในกระแสเลือด และบอกให้รออยู่ข้างนอก ทั้งยังบอกด้วยว่าน้องคิมจะดีขึ้น ดิฉันก็มีหวัง กระทั่งเวลา 18.00 น.พยาบาลมาบอกให้ดิฉันกลับบ้าน และกลับมาเยี่ยมใหม่วันรุ่งขึ้น ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรจึงกลับบ้าน แต่ก็ย้อนกลับมาดูน้องคิมอีกครั้งตอนเกือบ 22.00 น.พบว่าหมอกำลังปั๊มหัวใจอยู่ จากนั้นหมอก็มาขออนุญาตถอดเครื่องช่วยหายใจออก และแจ้งว่าเสียชีวิตเพราะไส้ติ่งแตก ร่างกายดูดซับสารพิษเข้าไป ทำให้หัวใจวาย" นางศิริวรรณ กล่าวด้วยสภาพน้ำตานองหน้า

นางศิริวรรณ กล่าวว่า ตนมารับศพน้องคิมกลับในวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ห้องศพบอกว่าหากจ่ายเงิน 5,500 บาทจะบริการโลงศพพร้อมกับอำนวยความสะดวกทุกอย่าง และส่งศพจนถึงวัด แต่ตนมีเงินน้อยจึงตัดสินใจไม่เอา เจ้าหน้าที่ห้องศพจึงให้อุ้มศพน้องคิมขึ้นรถไปเอง โดยนำสำลีอุดทวารและห่อศพให้ เมื่อขอให้ห่อศพให้น้องคิม เจ้าหน้าที่กลับแสดงความไม่พอใจและกล่าวว่า ทำไมไม่เตรียมมาเอง เมื่อตนจัดการบำเพ็ญกุศลศพน้องคิมจนเรียบร้อย ได้กลับไปขอพบกับหมอคนรักษาอีกครั้ง แต่ไม่ได้พบแม้แต่ครั้งเดียว

"ดิฉันไปร้องเรียนทางรายการร่วมมือร่วมใจ หมอใหญ่ที่ดูแลหมอที่รักษาก็ติดต่อเข้ามา และแจ้งสาเหตุที่น้องคิมเสียชีวิตว่า เด็กมีโอกาสเป็นไส้ติ่งอักเสบได้น้อยมากเพียง 1-3 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบทั้งหมด จากนั้นก็ได้รับการติดต่อจากผอ.ร.พ.ศิริราช ผอ.แจ้งว่า ขอโทษ ขอให้ยุติเรื่อง ดิฉันจึงทำหนังสือร้องเรียนถึงแพทยสภา โดยแพทยสภารับเรื่องไว้และเชิญมาให้ข้อมูลหลังจากน้องคิมเสียชีวิต 3 เดือน แต่เรื่องก็เงียบหายไป ดิฉันเข้าปรึกษาสภาทนายความ ซึ่งสภาทนายความให้ความช่วยเหลือจัดหาทนายให้ และทำเรื่องฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง ฟ้องร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวน 5 ล้านบาท" นางศิริวรรณ กล่าว

นางศิริวรรณ กล่าวด้วยว่า ทางทนายแจ้งว่าต้องมีค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดจำนวน 125,000 บาท แต่ตนไม่มีเงิน จึงร้องขอให้ไต่สวนอนาถา ซึ่งศาลแจ้งว่าพิจารณาแล้วแต่ยังต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมศาลจำนวน 50,000 บาท และให้เวลา 15 วันหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาล ตนไม่มีเงิน เพราะเป็นพนักงานธรรมดา สามีก็ทิ้งไปเพราะคิดว่าน้องคิมเสียชีวิตเพราะตนพาไปร.พ.ศิริราช ทั้งยังมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรชายคนเล็กอายุ 2 ขวบ และมารดา รวมทั้งทวดอีก แต่เมื่อจำเป็นต้องหาเงินชำระค่าธรรมเนียมศาล เพื่อให้การดำเนินคดีกับหมอและร.พ.ศิริราชดำเนินต่อไป จึงตัดสินใจหาทางออกด้วยการขายไต เพื่อหาเงินมาดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ

"ดิฉันหมดหนทางแล้ว จึงคิดจะขายไต ทั้งที่ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกกฎหมาย เพื่อหาเงินให้ได้ 50,000 บาทไปเป็นค่าธรรมเนียมศาล เพราะไม่อยากให้ลูกต้องตายแบบนี้ พรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดที่ศาลให้นำเงินไปชำระแล้ว แต่ดิฉันคงต้องทำเรื่องขอยืดระยะเวลาออกไปอีก หากมีใครต้องการไต ดิฉันยินดีขายแน่นอน" นางศิริวรรณ กล่าว

http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03p0102141149


Posted by : oozing , Date : 2006-11-14 , Time : 10:56:11 , From IP : 125-24-142-206.adsl.

.< โฮะๆๆๆ ส่งโดย: >.< Eagle >.< สถานะ: Executive Member จำนวนความเห็น: 3119 58.9.157.* « ความเห็นที่ #4 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:03:13 » ขออภัย ที่ ผม ยกคำพูดมาลง ทั้งหมด แต่ ผม คิดว่า พยาบาล คงไม่ได้พูดแบบนี้ เป๊ะๆ หรอก คนเขียนข่าวเข้าใจแบบนี้ เพื่อให้ มันดูดี ขายข่าวได้ และ ผม ไม่เชื่อว่า พยาบาลที่ ศิริราช จะพุดแบบนี้ ครับ ส่งโดย: 00 61.19.24.122 fwd for 192.168.1.229, 61.19.24.* « ความเห็นที่ #5 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:18:09 » อืมม์ น่าคิดๆๆๆ ยังไม่รู้ข้อมูลมาก ปูเสื่อฟังดีกว่า -------------------------------------------------------------------------------- อย่าพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว อย่าพูดดีเข้าตัว ชั่วให้คนอื่น ส่งโดย: mr.love สถานะ: Executive Member จำนวนความเห็น: 779 203.147.22.* « ความเห็นที่ #6 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:38:07 » ทำไม ต้องไปถึงศิริราช -------------------------------------------------------------------------------- วิญญูชน คือผู้ประกอบด้วยหลักนักปราชญ์คือ สุ จิ ปุ ลิ ประกอบด้วยปัญญาพินิจ มีหลักโยนิโสมนสิการ คือเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณาไตร่ตรองรอบคอบ แล้วสามารถแยกแยะผิดถูกชั่วดี ควรไม่คว ส่งโดย: SickSinusSyndrome สถานะ: Executive Member จำนวนความเห็น: 1417 124.120.234.* « ความเห็นที่ #7 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:56:06 » อันแรก ทำไมต้อง ส่งตัวมาเนี่ย เนอะ มัน Emergency นี่นา เพราะ ไม่มีเงิน ไม่มีหมอ หรือ อะไรกันแน่ มัน ตั้งแต่ 11.00-19.00เชียวนะ ส่วนเรื่องที่มา ถึง ศิริราช ต้องมาเช็ค เรื่องเวลา ล่าช้าไปป่าว ดู lab และ บันทึก ตรวจร่างกาย ว่า เป็นอย่างไร แต่ผมว่า นศพ.ปี5 คงมาตรวจก่อน และ รายงานอาจารย์ อาจารย์ก็มาดู ถ้าไม่เหมือน ก็ไม่เหมือนอะ เรื่อง เวลา 19:00 -22:30 มาดู คนไข้ เรื่องนี้ เราก็ทราบ ดี ว่า เข้า case ช่วยผ่าตัด ติดพัน นานเป็น 4-5 ชม. ก็เป็นได้ ก็แล้วแต่ว่าจะบอก เด๋ว อาจารย์ทำเอง นศพ.ไปดู case ก่อน ไม่ล่าช้าหรอกเนอะ finding เป็น Apendiceal inflammation s Ruptured abscess หรือ อะไร ล่ะ เนอะ หรือ ไม่ใช่ ฤAppendix ถ้าแตกแล้ว มี septic shock ก็เกิด ได้ Progression as complicationได้ sepsis ใน เด็ก 3ขวบ ก็ไม่ง่าย รูๆกันอยู๋ ส่วนเรื่อง ไม่ให้ ผ้าห่อ ศพ นี่ ก้อ อ่ะน่ะ มนุษยธรรม ไม่รูจะว่าไง ส่งโดย: oozing " />
ความคิดเห็นที่ : 1


   « ความเห็นที่ #1 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:51:46 »

ได้ฟังข่าว จากช่อง3 ก่อนเพลงชาติ นึกว่า จะมาโพสท์ ไม่ทั้น ซะแล้ว
แต่ ก็ประทับใจ ตรงนี้ จริงๆ

"" พยาบาลว่าน้องคิมมีไข้สูง และติดเชื้อทางกระแสเลือด พร้อมกับบอกด้วยว่าแพทย์ที่ผ่าตัดเป็นนักเรียนแพทย์ปี 5 ของร.พ.ศิริราช ""

ที่ใหนเขาให้ นศพ ปี 5 ผ่าใส้ติ่ง เป็น มือ 1 บ้าง ครับ

ต่อไปนี้ นศพ เตรียมตัว เป็น ผู้ชมทางทีวี วงจรปิด จะให้เข้าเคสก็ไม่ปลอดภัย จะให้เข้าไปในห้องผ่าตัด ก็เปลืองที่ + เพิ่ม ความเสียงในการ ฟุ้งกระจายฝุ่น + เชื้อในอากาศ ของ ห้องผ่าตัด เปล่าๆ



ส่งโดย: 00 61.19.24.122 fwd for 192.168.1.229, 61.19.24.*






« ความเห็นที่ #2 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:52:35 »

ไม่อยากเชื่อว่าเด็กสามปี จะให้นศพ. เป็นคนผ่า อยู่ในรพ.แพทย์ ขนาดเป็น Extern ยังได้ทำแต่เคสผู้ใหญ่ไม่กี่เคสเอง ไปได้ทำเยอะตอนออกตจว. แต่ถ้าสามปีอยู่ตจว. ก็ refer ลูกเดียวครับ



ส่งโดย: อยากหล่อน้อยลง 58.10.128.*






« ความเห็นที่ #3 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:55:29 »

Quote:ที่ใหนเขาให้ นศพ ปี 5 ผ่าใส้ติ่ง เป็น มือ 1 บ้าง ครับ


นั่นสิงับพี่ ม่ะเคยเจอ เขียนข่าวผิดป่าว



--------------------------------------------------------------------------------
ถ้าโตขึ้นคิดว่าน่าจะบินได้น่ะ เหอๆ จะบินให้สูงๆเลย >.<
โฮะๆๆๆ
ส่งโดย: >.< Eagle >.<
สถานะ: Executive Member
จำนวนความเห็น: 3119

58.9.157.*






« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:03:13 »

ขออภัย ที่ ผม ยกคำพูดมาลง ทั้งหมด
แต่ ผม คิดว่า พยาบาล คงไม่ได้พูดแบบนี้ เป๊ะๆ หรอก
คนเขียนข่าวเข้าใจแบบนี้ เพื่อให้ มันดูดี ขายข่าวได้
และ ผม ไม่เชื่อว่า พยาบาลที่ ศิริราช จะพุดแบบนี้ ครับ



ส่งโดย: 00 61.19.24.122 fwd for 192.168.1.229, 61.19.24.*






« ความเห็นที่ #5 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:18:09 »

อืมม์ น่าคิดๆๆๆ ยังไม่รู้ข้อมูลมาก ปูเสื่อฟังดีกว่า



--------------------------------------------------------------------------------
อย่าพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว อย่าพูดดีเข้าตัว ชั่วให้คนอื่น
ส่งโดย: mr.love
สถานะ: Executive Member
จำนวนความเห็น: 779

203.147.22.*






« ความเห็นที่ #6 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:38:07 »

ทำไม ต้องไปถึงศิริราช



--------------------------------------------------------------------------------

วิญญูชน คือผู้ประกอบด้วยหลักนักปราชญ์คือ สุ จิ ปุ ลิ
ประกอบด้วยปัญญาพินิจ มีหลักโยนิโสมนสิการ คือเป็นผู้ฉลาดในการคิด
คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณาไตร่ตรองรอบคอบ
แล้วสามารถแยกแยะผิดถูกชั่วดี ควรไม่คว
ส่งโดย: SickSinusSyndrome
สถานะ: Executive Member
จำนวนความเห็น: 1417

124.120.234.*






« ความเห็นที่ #7 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:56:06 »

อันแรก ทำไมต้อง ส่งตัวมาเนี่ย เนอะ มัน Emergency นี่นา เพราะ ไม่มีเงิน ไม่มีหมอ หรือ อะไรกันแน่ มัน ตั้งแต่ 11.00-19.00เชียวนะ

ส่วนเรื่องที่มา ถึง ศิริราช
ต้องมาเช็ค เรื่องเวลา ล่าช้าไปป่าว ดู lab และ บันทึก ตรวจร่างกาย ว่า เป็นอย่างไร แต่ผมว่า นศพ.ปี5 คงมาตรวจก่อน และ รายงานอาจารย์ อาจารย์ก็มาดู ถ้าไม่เหมือน ก็ไม่เหมือนอะ
เรื่อง เวลา 19:00 -22:30 มาดู คนไข้ เรื่องนี้ เราก็ทราบ ดี ว่า เข้า case ช่วยผ่าตัด ติดพัน นานเป็น 4-5 ชม. ก็เป็นได้ ก็แล้วแต่ว่าจะบอก เด๋ว อาจารย์ทำเอง นศพ.ไปดู case ก่อน ไม่ล่าช้าหรอกเนอะ

finding เป็น Apendiceal inflammation s Ruptured abscess หรือ อะไร ล่ะ เนอะ
หรือ ไม่ใช่ ฤAppendix

ถ้าแตกแล้ว มี septic shock ก็เกิด ได้ Progression as complicationได้
sepsis ใน เด็ก 3ขวบ ก็ไม่ง่าย รูๆกันอยู๋

ส่วนเรื่อง ไม่ให้ ผ้าห่อ ศพ นี่ ก้อ อ่ะน่ะ มนุษยธรรม ไม่รูจะว่าไง



ส่งโดย: oozing





Posted by : oozing , Date : 2006-11-14 , Time : 10:57:55 , From IP : 125-24-142-206.adsl.

ความคิดเห็นที่ : 2


   ไม่ทราบว่าใครผิดใครถูกเพราะไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริง

แต่อย่างน้อยก้มีคนต้องสุญเสียบุตรอันเป็นที่รักไปเสียแล้ว


Posted by : Yorestinowa , Date : 2006-11-14 , Time : 15:09:12 , From IP : 210-86-223-212.stati

ความคิดเห็นที่ : 3


   "เจ้าหน้าที่ห้องศพจึงให้อุ้มศพน้องคิมขึ้นรถไปเอง โดยนำสำลีอุดทวารและห่อศพให้ เมื่อขอให้ห่อศพให้น้องคิม เจ้าหน้าที่กลับแสดงความไม่พอใจ"

ตกลงได้ห่อหรือไม่ได้ห่อครับคุณ
ถ้าจะเมคก็อย่าให้หลุดสิครับ จับได้แล้วมันน่าอายนะ


Posted by : เป็นกลาง , Date : 2006-11-15 , Time : 00:00:50 , From IP : dns2.mahidol.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 4


   มีคำสองคำที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ traditional morality และ moral sensitivity

traditional morality หรือคุณธรรมตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิมนั้น หมายถึงการกำหนดกรอบ นิยาม ว่าอะไรถูก อะไรดี อะไรผิด อะไรเลว เป็นที่มาของ guideline ของ criteria ของบทเรียน ฯลฯ

moral sensitivity หรือ "ความไวทางคุณธรรม" เป็น "คุณสมบัติ" ของคนเวลานำเอาคุณธรรมที่ได้สั่งสมไว้ในตนเองออกมาสัมผัสกับเรื่องราวต่างๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิด เกิดคุณค่าในการมองหรือรับรู้เรื่องราวต่างๆ

สอง terms นี้ ผมได้มาจากอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือมากท่านหนึ่งคือ อาจารย์สิวลี สิริไล อาจารย์เป็นอาจารย์วิชาปรัชญา อยู่มหาวิทยาลัยมหิดล เขียนวิพากษ์ไว้ในหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งของ สสส. เกี่ยวกับการแพทย์เอกชน แต่ผมคิดว่ามันมีความหมายกว้างไกลกว่านั้น และได้ยกมาประกอบการอภิปรายหลายต่อหลายครั้ง (ฉวยโอกาสขออนุญาตอาจารย์ไปครั้งเดียว เอามาฉายซ้ำบ่อย)

คนเรารับรู้เรื่องราวต่างๆด้วยความคิดและความรู้สึก (thinking and feeling) ซึ่งมาจากสมองคนละส่วนกันคือ frontal lobe และ limbic system หรือการใช้ตรรกะและอารมณ์นั่นเอง เราใช้ทั้งสองอย่างแบบบูรณาการสุดๆโดยที่เราเองไม่รู้ตัวเลย บุคลิก ตัวตน ของเราก็สร้างหล่อหลอมมาจาก track ต่างๆที่เชื่อมโยง thinking process กับ emotional process เหล่านี้ เราเห็น อ่าน รับรู้ ได้ยิน เรื่องราวมากมาย แต่ละแวบเราก็จะรู้สึก อืม... ดี ไม่ดี ไม่ชอบ ชอบ เลว ชั่ว สวย งาม ฯลฯ ตัดสินเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆโดยแทบจะ "ไม่ต้องคิด" เพราะหลายๆอย่างนั้นมี short-cut มี track หรือทางลัดทำให้เราเลือกมีพฤติกรรมต่างๆอยู่แล้ว จนเมื่อเจอเรื่องใหม่ๆ ที่เราอาจจะต้องชะลอ หาทางเชื่อมกับทางเชื่อมเดิม พอเจอแล้วเราค่อยมีพฤติกรรม มีการตัดสินคุณค่า

โดย instinct แล้ว track ที่มีความสำคัญมากที่สุดได้แก่ track ที่สร้างมาล้อมรอบ self safety หรือ self security เป็นทางเชื่อมดึกดำบรรพ์ ที่ทำให้ตนเองปลอดภัย มีชีวิตรอด ในสิ่งมีชีวิตที่เจริญขึ้นมา sense of safety หรือ security นี้ขยายรวมไปถึงคุณค่าความเป็นตัวตนของเรา ของครอบครัว ของเผ่า ของกลุ่ม อะไรที่จะมากระทบกระเทือนตรงนี้ เราก็จะสะท้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว

เกี่ยวกันอย่างไรกับเรื่องนี้?

ลองสะท้อนความรู้สึกของเราเองเมื่ออ่านเรื่องนี้ แล้วสำรวจจิตใจของเราว่า อะไรเป็นแว่บแรกๆที่เรารู้สึก แว่บแรกๆที่เราอยากจะ defend เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ฯลฯ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ "สำคัญสำหรับเรา" มากที่สุด และเป็นมาตรความไวของ moral sensitivity ของเรา

moral sensivity เป็นความรู้สึกนึกคิดขั้นสูง เกิดขึ้นได้ดีต่อเมื่อเรามี sense of security ทีดี มี sense of safety ก่อน เราจึงจะมีอารมณ์สุนทรีย์ มีความคิดสร้างสรรค์ และข้อสำคัญคือคิดเผื่อคนอื่น มี empathy มี moral point of view หรือสามารถ decentration หรือถอดความเป็นตัวตนของเราออก รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้ หากเราทำอย่างนี้ได้ เราก็จะมี empathy มีความเข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงคิดอย่างนี้ ถึงมีพฤติกรรมแบบนี้

ปัญหาคือเรามักจะใช้ centration หรือ "ความเป็นเรา" ก่อนเสมอๆ เอาความปลอดโปร่ง ความรู้สึก safe ของเรา ของครอบครัว ของเผ่า ของกลุ่มเรา ทั่วๆก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มากๆอาจจะเป็นอุปสรรคในการเกิด empathy และมากๆไปเรื่อยๆจะเป็นอุปสรรคของการเกิด moral development (Martin Hoffman)

ในเรื่องนี้ "จริงๆ" เรื่องเป็นอย่างไรเราคงยังไม่ทราบจากจุดที่เรายืนอยู่ แต่ประเด็นที่สำคัญคือ เรา "สามารถมองเห็น" ประเด็นต่างๆจากการรับรู้ "ของคนในเหตุการณ์" ได้หรือไม่?

จริงๆ ใครเป็นคนผ่าตัด เราไม่รู้ แต่แม่เด็กรับรู้ว่าอย่างไร?
จริงๆ คนที่แผนกศพพูดอย่างไร เราไม่รู้ แต่แม่เด็กรับรู้ว่าอย่างไร?
เรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องแพทย์ โรงพยาบาลถูกฟ้อง แต่แม่เด็กรับรู้ว่าอย่างไรบ้าง? ลูกคนโตตายกระทันหัน สามีหย่า โทษว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกตาย มีลูกเล็กที่ต้องเลี้ยงดูอีกหนึ่งคน รับรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นยุติธรรมอย่างไร?

จริงๆแล้ว รพ. อาจจะไม่ผิดเลย นศพ.ปี 5 ไม่ได้เป็นคนผ่าตัด สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่สุดวิสัยและไม่มีใครต้องการให้เกิดเลย แต่คำถามก็คือ "เราพอจะเข้าใจในพฤฆติกรรมของแม่เด็ก" คนนี้ได้หรือไม่

ใครถูก ใครผิด นั้นคือการใช้ traditional morality แต่การเกิด empathy นั้นคือการมี moral sensitivity พฤติกรรมหรือการช่วยเหลือ การรับรู้เรื่องราว และการให้หรือไม่ให้ความช่วยเหลือ ก็จากวางอยู่บนว่าเรากำลังใช้ mechanism อะไรอยู่

แล้วเรา "ควร" จะใช้ mechanism อะไร?



Posted by : Phoenix , Date : 2006-11-15 , Time : 01:02:15 , From IP : 58.147.116.46

ความคิดเห็นที่ : 5


   อิอิ
555
ฮ่า ฮ่า ฮ่า


Posted by : oozing , Date : 2006-11-26 , Time : 22:49:30 , From IP : 125-24-145-247.adsl.

ความคิดเห็นที่ : 6


   พอดี ผมคิด ในฐานะที่ ต้องเป็นคนตัดสิน หรือ ไกล่เกลี่ย เหตุการณ์นี้ครับ
ไม่ใช่ คิด หรือ มอง ในฐานะ คนอ่านข่าว หรือ กองเชียร์(ที่เป็นกลาง)ข้างสนาม ครับ

เถียงพระ จะบาป

ขอบคุณครับ


Posted by : oozing , Date : 2006-11-26 , Time : 22:54:16 , From IP : 125-24-141-142.adsl.

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<