ความคิดเห็นทั้งหมด : 25

Debate XLI: มีแฟนตอนปีไหนดีที่สุด?


   ไม่ได้ให้ "ตั้งเป้าหมาย" นะครับ หมายถึงพอดีมี หรือคิดว่ามี วัตถุประสงค์คืออย่างจะรู้ว่ามันเกี่ยวกับชั้นปีหรือไม่ เช่น ปี ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ Intern พชท.๑ ๒ ๓ ๔ ต่างกันหรือไม่อย่างไร

ในสถาบันที่ผมเคยผ่านมา ใต้หอหญิงจะมีบริเวณ "ห้องกระจก" เป็นที่รู้กันว่าเป็นที่ priviledge สำหรับคนที่ "มี" เท่านั้น เพราะคนอื่นเข้าไปนั่งจะรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เพราะออกซิเจนในห้องนี้มันถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็วกว่าปกติ คนไม่มีแฟนไปนั่งจะเขินมากกว่าด้วยซ้ำ แต่การมีแฟนขณะเรียนแพทย์นี่ต้องอาศัยความ "อึด" และ "ความเข้าใจ" อย่างมโหฬารเรื่องเวลา (ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักศึกษาแพทย์ และ also สำหรับ "แฟน") จะโชคดีมากถ้าได้แฟนที่อยู่ subgroup เดียวกัน มิฉะนั้นอาจจะต้องทุรนทุรายเมื่อได้ยินว่าแฟนตูไป "ร่อน" กับเด็กกลุ่มนู้นอีกแล้ว

ถ้ามีตอนจบแล้วเป้น พชท.ก็จะไม่เหมือนกัน มีอำนาจควบคุมสิ่งต่างๆมากขึ้น มีกะตังค์ซื้อไอติมเลี้ยงแฟนเอง (ตัวเองกินม่าม่าตอนอยู่หอคนเดียว)

ถ้าให้ดีเล่าๆกันมาบ้างก็ดีว่าของตนเองเจอกันยังไง และทำไมถึงสำเร็จไม่สำเร็จ เพราะรู้สึกน้องๆรุ่นใหม่จะสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษทีเดียว

อืม...ไม่มีกติกาก็แล้วกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-09-02 , Time : 19:55:12 , From IP : 172.29.3.250

ความคิดเห็นที่ : 1


   ตอนที่เจอคนที่ตัวเองคิดว่าใช่เพราะว่าความรักมันบอกไม่ได้ว่ามันจะมาหาเราตอนไหน ความรักไม่มีข้อแม้ว่าเราจะต้องเรียนจบก่อน เพราะกลัวว่าจะไม่มีเวลาให้แก่กัน แค่ได้พุดคุยสักคำสองคำ เห็นหน้าสักประเดี๋ยว ความรักไม่ต้องรอให้มีตังค์ก่อน หารคนละครึ่งหรือตังค์ใครตังค์มันก้ได้ ความรักไม่ต้องมีอะไรมาก แค่รับรู้ว่าเป็นแฟนกันอยู่ก็เพียงพอแล้ว

Posted by : little voice , Date : 2003-09-03 , Time : 11:28:42 , From IP : proxy6.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 2


   ในระหว่างเรียนหรือเป็นแพทย์ประจำบ้าน
ถ้ายังไม่มีแฟน อย่าริอ่านมีแฟน
ถ้ามีแฟนแล้วอย่าเพิ่งแต่งงาน
หากแต่งงานแล้วอย่างรีบร้อนมีบุตร
หากมีบุตรแล้วอย่าริอ่านมีบุตรคนที่สอง
หากอายุมากแล้ว ทนไม่ได้ ก็รีบๆมีไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ได้แต่งเหมือนอีกหลายๆคน


Posted by : นนนน , Date : 2003-09-03 , Time : 11:59:53 , From IP : 172.29.3.151

ความคิดเห็นที่ : 3


   ตอนผมอยู่ปีหก เพื่อนที่เรียนสี่ปีก็จบมาเกือบสองปีแล้ว วิศวบางคนโชคดีกำลังจะคั่วโฟร์แมน และบางคนก็กำลังจะแต่งงาน การทำงานมีรายได้นี่ผมว่ามีส่วนที่ทำให้คนมองไกล และอาจจะรวมทั้งมองสถานภาพของครอบครัวในความหมายต่อเนื่องจาก "มีแฟน" ได้ดีขึ้นรึเปล่า?

จริงๆแล้วมีแฟนตอนเรียนนี่อาจจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ต้องทำ SWOT analysis (Strength weakness opportunity and threat) แฟนทำให้ปัญหาเรื่องเวลาผ่านไปเชื่องช้านั้นหมดไป ฉะนั้นงานที่น่าเบื่อเอามาทำกับแฟน (หมายถึงอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ "ทำกับ" จริงๆ) ก็อาจจะเป็นงานน่าสนไปได้ การมี "อารมณ์ร่วม" กับแฟน ก็อาจจะทำให้ spectrum of interest ของเราขยายตัวตาม (เพราะรู้ว่าถ้าแฟนเลือกวิสัญญี แล้วเราดันเลือก med หรือ เด็ก ก็อาจจะไม่ราบรื่นเท่าเลือกวิสัญญีด้วยกันหรือเป็นหมอผ่าตัด หมอกระดูก หมอสูติ เป็นต้น)

อีกประการหนึ่งก็คือการมีแฟนจะใช้เวลาแห่งความไร้สาระทั้งหมดไปกับแฟน หมดปัญหาเรื่องที่มีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระอื่นๆอย่างสิ้นเชิง เป้น risk management ที่น่าสนใจ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก risk management เรื่อว reproductive under-controlled ด้วย)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-09-03 , Time : 23:30:51 , From IP : 172.29.3.241

ความคิดเห็นที่ : 4


   แสดงว่าตอนนี้ยังไม่มี ก็เลยยังไม่ลึกซึ้งกับนิยามของมัน

Posted by : little voice , Date : 2003-09-04 , Time : 15:53:30 , From IP : proxy6.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 5


   ีปีสุดท้ายก่อนหมดประจำเดือน

Posted by : เกี๊ยวซ่า , Date : 2003-09-05 , Time : 12:35:54 , From IP : 172.29.2.80

ความคิดเห็นที่ : 6


   ความอยากไม่เคยเข้าใครออกใคร คงมีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะปฏิเสธได้ว่าตอนเรียนไม่เคยคิดอยากมีแฟนหรือเพื่อนที่สนิทเข้าใจกันและเป็นกำลังใจให้ในการเรียน แต่ติดที่ว่าหาแล้วไม่ได้หรือได้ที่ไม่ถูกใจ เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าเป็นคนที่ถูกใจและพากันไปในทางที่เจริญก้าวหน้า ฉันเคยเห็นมาทั้งที่พากันก้าวหน้า(ช่วยกันเรียนจนจบได้เกียรตินิยมทั้งคู่, และพากันก้าวถอยหลัง(ช่วยกันเล่นจน repeat ทั้งคู่+สร้างข่าวคาว ฯลฯ)
อยากให้คิดว่าคุณต้องการแบบไหน ถ้าเป็นเพื่อนที่สนิทกันเฉยๆ เมื่อไหร่ก็ได้
แต่ถ้าต้องการที่จะสัมพันธ์มากกว่านั้นล่ะก็น่าจะเป็นหลังจากที่คุณพร้อมซะก่อนอย่างน้อยก็เรียนจบก่อน หลายรายที่เป็นแฟนกันมา 6 ปี แต่จบแล้วก็เลิกกัน เสียความรู้สึกนะ


Posted by : cancer , Date : 2003-09-05 , Time : 14:26:32 , From IP : 172.29.3.137

ความคิดเห็นที่ : 7


   อย่างที่คุณ Cancer บอก การมีแฟนตอนเรียนแพทย์จะมีโอกาส "ลุ้น" อย่างแรงตอนจบที่จะออกไปทำงานตอนที่จะหาที่ทำงานด้วยกันหรือใกล้ๆกัน

ไม่ทราบสมัยนี้เป็นอย่างไร สมัยก่อนพวกสาธารณสุขจะจับฉลาก พวกกองทัพจะใช้วิ่งเต้น เหมือนๆกับพวก กทม. ที่เหลือก็จ่ายกะตังค์ อ้อ...เกือบลืมมีกลุ่ม "พชท." ตามโรงเรียนแพทย์อีกกลุ่มนึง อต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นสาธารณสุข ก็ต้องคอยแลกหลังจับฉลากเสร็จ เจอเพื่อนกันเองมักไม่มีปัญหา เห็นใจเป็นแนกันกฌให้แลกอยู่แล้ว แต่ถ้าเจอต่างสถาบันและมี dilemma คล้ายๆกัน (คือมีแฟนด้วย หรืออยากอยู่บางทีพิเศษ) บางทีก็ไม่สำเร็จ ลงเอยอยู่ห่างไกล แล้วก็จะไปตกอยู่ใน category ห่างไกลอย่างในอีกกระทู้นึง

แต่ห่างไกลนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่สร้างกันไว้ก่อน ความห่างนั้นมีผลดีด้วยเพราะจะทำให้เวลาพบหน้ากันแต่ละทีมีความหมายอย่างยิ่ง (บวกกับค่าโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้น สมัยผมไม่มีมือถือ เงินเดือนส่วนหนึ่งต้องแลกกลายเป็นเหรียญบาทหยอดโทรศัพท์) ลด "ความจำเจ" ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งใน most common negative factor (ก็คนเราจะให้มันหวาน 24 7 365 ได้ยังไง) ยิ่งเดี๋ยวนี้มี video conference พูดคุญเห็นหน้าเห็นตา โทรศัพท์ก็ง่าย การเดินทางยิ่งสะดวก บางทีอยู่ห่างกันสักนิด ถ้าใจมั่นคง จะเป็นการ "เตรียม" ก่อนงานจริง หรือทดสอบได้อย่างดียิ่งว่าเราจะจริงจังกันสักแค่ไหน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-09-07 , Time : 11:08:21 , From IP : 172.29.3.200

ความคิดเห็นที่ : 8


   ความห่างไกลทำให้เรารู้ว่าเราคิดถึงใคร
ความห่างไกลทำให้เรารู้ว่าเรารักใคร
ในขณะที่บางคน
ความห่างไกลทำให้เราลืมใครบางคน
ถ้าเรากำลังจะลืมใครบางคนนั้นเพราะความห่างไกล
อย่าลืมบอกให้เขารู้ด้วย
เพราะในขณะที่เรากำลังจะลืม
อาจมีใครบางคนกำลังคิดถึงเราอยู่...ในความห่างไกล


Posted by : little voice , Date : 2003-09-08 , Time : 09:55:13 , From IP : proxy6.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 9


   มีแฟนตอนไหนดีที่สุด.. ?
สำหรับผม มีตอนที่คิดว่าใจและกายพร้อมครับ พร้อมที่จะเรียนรู้และต้องสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนอีกคนหนึ่งอย่างเต็มที่และเต็มใจ
เหตุการณ์ในแต่ละวัย มันคงไม่เหมือนกัน แต่เหตุการณ์และสิ่งที่ผ่านเข้ามานั้น เป็นบททดสอบและบทเรียนที่สอนให้เราได้เข้าใจและเติบโตขึ้น
จะมีแฟนตอนปีไหนก็ได้ครับ แต่ต้องมีสติพร้อม ไม่ใช่ตามกระแสหรือตามความเหงาครับ


Posted by : ArLim , Date : 2003-09-12 , Time : 02:05:20 , From IP : netturbo5.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 10


   เห็นด้วยกับคุณ ArLim เรื่องแฟนตามกระแส คงไม่ดีแน่ๆ ฟังดูเหมือนโฆษณา mobilephone รุ่นใหม่ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง (ที่มีมัจจุราชสีแดงๆ กะคนถูกรถยนต์แล้วยังเถลือกไถลมากินเพราะ..."ขอลอง") ยังไงชอบกล

แต่ "ความเหงา" ถึงจะไม่ใช่เหตุผลในการหาแฟน แต่จะเป็นการ "preconditioning" คนเราเป็นอย่างดี เพราะความเหงาทำให้เรา vulnerable ต่อการถูก take care หรือ ความเอาใจใส่จากผู้อื่นแล้วเลยลามปามไปสู่สิ่งต่อไป



Posted by : Phoenix , Date : 2003-09-12 , Time : 11:00:17 , From IP : 172.29.3.182

ความคิดเห็นที่ : 11


   เห็นด้วยนะ แต่ บางคนที่เขาคิดว่าควรจะมีตอนที่ทุกๆอย่างพร้อมน่ะ ในความคิดของเราเขาอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะตอนนั้นเขาอาจจะสูญเสียความรู้สึกดีๆที่มีคนมามอบให้ไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

Posted by : little voice , Date : 2003-09-12 , Time : 11:01:10 , From IP : 192.168.33.109

ความคิดเห็นที่ : 12


   เอ๋..... มาได้ไงเนี่ย เรามาตอบของคุณ Arlim นะ

Posted by : little voice , Date : 2003-09-12 , Time : 11:05:35 , From IP : 192.168.33.109

ความคิดเห็นที่ : 13


   

Posted by : test , Date : 2003-09-13 , Time : 11:58:08 , From IP : 172.29.2.136

ความคิดเห็นที่ : 14


   ความเหงาไม่ควรเป็นเหตุผลหลักที่นำทำให้คิดจะคบใครสักคนเป็นแฟนครับ
จริงอยู่ที่หลายคนเริ่มต้นจากความเหงา และไปต่อไปได้ด้วยดี

เรารับรู้และตอบแทนความรู้สึกดีๆที่มีให้กันได้นี่ครับ ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม

เหตุที่อยากให้ตัวเองทำใจให้พร้อมก่อนมีแฟน เพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะเรียนรู้ และเติบโตขึ้น การรักตนเอง การรักผู้อื่น การจัดการกับความเหงาภายในใจ ทั้งหมดนี้เราสามารถเรียนรู้ได้จากการมีแฟนครับ



Posted by : ArLim , Date : 2003-09-13 , Time : 23:09:21 , From IP : netturbo5.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 15


   อ่านใหม่ครับ คุณ ArLim ไม่ได้พูดว่าเป็น "เหตุผล" แต่เป้น preconditioning เฉยๆ

จริงๆแล้ว "ไม่น่าจะมี" เหตุผลที่ทำให้คบใครซักคนเป็นแฟน มันน่าจะเป็นเรื่องของ "การเข้ากันได้ถึงความคิดและอารมณ์" ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งการเข้ากันได้นี้ มันเกิดขึ้นของมันเอง

เช่นเดียวกับกระบวนการ "เรียนรู้" ที่คุณพูดถึง คงไม่ใช่หนึ่งในวัตถุประสงค์หรือเหตุผลของการมีแฟนเหมือนกัน มันเป็นองค์ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ซึ่งจะว่าไปจะเป็นประสบการณ์มีแฟน หรือประสบการณ์ไม่มีแฟน ต่างก็สามารถเป็นเรื่องที่เรา "เรียนรู้" ได้ทั้งสิ้น คนเราสามารถเรียนรู้ เติบโต รู้จักการรักตนเองและผู้อื่น และจัดการความเหงาภายในได้มากมายหลากหลายวิธี การมีแฟนแค่เป็นหนึ่งในนั้น ผมอยากจะบอกว่าเราสามารถเรียนรู้มากมายจากประสบการณ์ของเราเองขึ้นอยู่กับ imagination ซึ่งแต่ละปัจเจกจะไตร่ตรอง วิเคราะห์ และสังเคราะห์ออกมา Isaac Newton ถึงนอนใต้ต้น apple แล้วคิดทฤษฎี gravitivity ได้ ขณะที่หลายๆคนโดนผลแอปเปิ้ลหล่นใส่หัวมาตลอดชีวิตก็ไม่ไดคิดอะไร



Posted by : Phoenix , Date : 2003-09-13 , Time : 23:35:16 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 16


   ก็เห็นด้วยล่ะครับ

และมันก็น่าจะเป็นเรื่องของ "การเข้ากันได้ถึงความคิดและอารมณ์" ของทั้งสองฝ่ายจริงๆล่ะครับ

การมีแฟนก็คงคล้ายแอปเปิลที่หล่นใส่หัวนิวตันล่ะครับ เป็นปัจจัยที่กระตุ้นใ้ห้คิดและเรียนรู้
ผมว่าการมีแฟนมันเป็นบทเรียนสำัคัญเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว และเป็นโอกาสอันดีที่จะได้อะไรหลายๆอย่างที่สำคัญมาเพิ่มเติมให้กับตัวเราล่ะครับ



Posted by : ArLim , Date : 2003-09-14 , Time : 03:00:44 , From IP : maliwan.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 17


   การมีแฟนหรือเป็นแฟนกันนั้นเป็นโอกาสดีจริงๆ เรียนรู้ที่จะ share และ อยู่ร่วม กับอีกบุคคลหนึ่งซึ่งผ่านขั้นตอนแรกของการทดสอบจนคิดว่า "เข้ากันได้" หลายเรื่องหลายประการ เรียนรู้ที่จะรู้จักอีก individual หนึ่งมากกว่าที่เราเคยทำมาก่อน

ผลที่ตามมาคือ "ความรู้สึกเป็นเจ้าของ" นี่แหละที่เป็นตัวก่อเรื่อง เป็น seed ของผลเสียต่างๆที่เมื่อขยายแล้วจะนำไปสู่อะไรต่อมีอะไรที่ไม่พึงปราถนาได้เยอะแยะ ถ้าเราตัด "ความเป็นเจ้าของ" ได้ เหลือแต่สิ่งอื่นๆที่เราสามารถเรียนรู้จากย่อหน้าแรก บทเรียนแห่งความรัก หรือความเป็นแฟนจะมีแต่ความสุขและสิ่งดี

แต่พูดไป ใครทำได้บ้างที่จะระงับหรือรักษาความรู้สึกเป็นเจ้าของที่ว่านี้ให้อยู่ในระดับพอดี หรือควบคุมได้บ้าง?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-09-14 , Time : 12:49:17 , From IP : 172.29.3.226

ความคิดเห็นที่ : 18


   พูดไปพูดมาเดี๋ยวเขาก็หาว่าเป็นเรื่อง ideal อีก ทั้งที่ศาสนาพุทธของเราก็สอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นแล้วแท้ๆ

ความรักคือการให้
แต่ค่านิยมของการมีแฟนในช่วงเวลานี้ มันไม่ใช่เรื่องราวของความรัก ความเข้าใจกัน ทั้งหมดแล้วล่ะครับ
หลายคู่เกิดจาก ความเห็นอกเห็นใจ เข้ากันได้ มีสิ่งที่ดึงดูดเข้าหากัน และได้ลองมาเรียนรู้กันและกัน
ประเภทนี้ก็จะมี prognosis ที่ดี

แต่ยังมีอีกมากที่เห็นว่า เขาน่ารัก อยากได้เป็นแฟน ก็เข้าไปเกี้ยวพาราสี จีบมาเป็นแฟน (และประเภทที่ว่า มีแฟนตามกระแส) คบกันเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นสวย น่ารัก หล่อ เรียนเก่ง รวย ฯลฯ
ผมว่าประเภทนี้ไม่ได้อะไร และ prognosis ไม่ดีด้วย

จะว่าไปมันก็ขึ้นอยู่กับรากฐานของแต่ละคน และครอบครัวที่ปลูกฝังด้วย ว่าแต่ละคนจะมีทัศนคติเรื่องความรักและความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร


Posted by : ArLim , Date : 2003-09-14 , Time : 15:16:36 , From IP : netturbo2.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 19


   เราว่าไม่ขึ้นกับเวลาฮะ
แต่ขึ้นกับแฟนนะฮะ ถ้าเข้ากันได้ดีมีตอนไหนก็ดีอะ
แต่บางทีคนที่ใช่มันก็หายาก กว่าคนที่ไม่ใช่น๊ะนะ
แล้วแต่ๆ



แสดงว่าการควงแฟนอ่านหนังสือนี่เป็นค่านิยมการโอ้อวดที่ผิดนะฮะ
สมควรตัดตอน เพราะมันยั่วกิเลสคนไม่มีแฟนฮะ


Posted by : ฮะ , Date : 2003-09-15 , Time : 01:13:06 , From IP : 203.145.27.162

ความคิดเห็นที่ : 20


   ถ้าวัตถุประสงค์คืออยากอยู่กับแฟน ทำอะไรๆด้วยกัน มันก็ไม่ได้ผิดอะไร คนอื่นจะมองเป็นการโอ้อวดรึเปล่านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรานี่ครับ เดี๋ยวไปหาที่ลับตาสองต่อสองอ่านหนังสือด้วยกันจากโอ้อวดกลายเป็นเรื่องอื่นให้คิดจินตนาการเอาอีก คนไม่มีแฟนก็ควรจะมองคนที่มีอย่าง positive ไม่ใช่คอยแต่จะคิดว่าเขากำลังโอ้กำลังอวดอยู่ (พวกเดียวกับที่คิดว่าพอไม่เห็น เค้าต้องไปแอบทำอะไรๆกันแน่ๆนั่นแหละ)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-09-15 , Time : 01:28:06 , From IP : 172.29.3.243

ความคิดเห็นที่ : 21


   ก็แค่มีแฟน ทำไมต้องมีเหตุผลมากมายมาพร่ำพรรณนา ถ้าคุณมีแฟน....ความรัก..จะบอกคุณเองว่าคุณควรจะทำยังไง

Posted by : little voice , Date : 2003-09-15 , Time : 09:19:14 , From IP : proxy6.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 22


   ทุกครั้งที่เดินผ่านห้องนั้น หนูจะต้องก้มหน้า และรีบวิ่งผ่านไปให้เร็วที่สุด
เพื่อจะกลับมาที่ห้องซบหน้าลงกับหมอนและทอดถอนใจว่า
ทำไมพระเจ้าถึงได้ใจดำอย่างนี้ สร้างเรามาให้โดดเดี่ยวและผิดหวัง

สักวัน หนูจะต้องทำได้ แล้วไอ้พวกที่นั่งชูคออยู่ในนั้น จะต้องเป็นฝ่ายอิจฉาหนูบ้าง

ติดตามเรื่องของหนูต่อไปนะคะ ขอบพระคุณค่ะ


Posted by : กิ๊ก สุวัจนี , Date : 2003-09-20 , Time : 16:04:58 , From IP : 172.29.3.252

ความคิดเห็นที่ : 23


    เก็บมาฝากเจ้าค่ะ>>>>>>> คนที่ยังไม่มีความรัก


เพื่อนข้าพเจ้ามีหลายคนที่เรียน ดอกเตอร์ ถึงปัจจุบันนี้ อายุเกิน
40 ปี ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ใช่ว่าดอกเตอร์เพื่อนข้าพเจ้าหน้าตาไม่ดี
ขี้เหร่ หรือหยาบคาย แต่ละคนรูปร่างสูงสง่า หน้าตาใช้ได้
และเงินเดือนค่อนข้างดี แต่เหตุที่ไม่ได้แต่งงาน เป็นเพราะอะไร
เรื่องที่จะเล่าต่อไป คงบอกเหตุผลได้


ก่อนอื่น อยากพูดถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับคู่ครองของดอกเตอร์
ที่ข้าพเจ้ารู้จักว่าชอบวาง "กรอบคุณสมบัติ"
ของผู้หญิงในอุดมคติไว้เสียเลิศเลอจนเกินไป เช่น ต้องสวย รวย เก่ง นิสัยดี
หรือเป็นหมอ อะไรทำนองนี้ แค่คุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่ง ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
ก็ไม่ใช่หาง่ายๆ ในชีวิตคนธรรมดาเช่นเราๆ

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า "ชีวิตคู่ เป็นเรื่องของวาสนา
ไม่ควรไปดิ้นรนค้นหา จนเดือดร้อนตนเองและผู้อื่น"


มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนจบดอกเตอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกาทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งรายได้สูงมาก ใครๆ ชมว่าเป็นอัจฉริยะ
เพราะทำงานทุกอย่างสำเร็จรวดเร็ว เขามีอายุราว 45 ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว
สวมใส่แว่นตาตลอดเวลา ลักษณะท่าทางเป็นคนมีความรู้

วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้จัดเลี้ยงแนะนำทำความรู้จักระหว่าง
ดอกเตอร์คนนี้กับผู้หญิงสาวหน้าตาดี เพื่อนของภรรยา
ที่ภัตตาคารมีชื่อแห่งหนึ่ง
ที่ไหนได้ นัด 1 ทุ่ม เวลาล่วงเลยจนถึง 2 ทุ่มครึ่ง ฝ่ายชายถึงจะมา
เมื่อนั่งลงสนทนา กลับไม่กล่าวคำขอโทษที่มาช้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อฝ่ายหญิง ปากพร่ำพูดแต่ว่า งานออฟฟิศยุ่งยังไง
คอมพิวเตอร์มีปัญหาอะไร ทั้งยังไม่ทักทาย ไม่ถามชื่อฝ่ายหญิง
รวมทั้งสภาพของผมบนศีรษะก็ไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าสกปรกและยับยู่ยี่

ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจ คิดว่า "เอ๊ะ! เราแนะนำเพื่อนหญิงให้
ทำไมจึงไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ผมเผ้าไม่หวี
การแนะนำครั้งนี้กระทำอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ทำเล่นๆ"
ฝ่ายหญิงรู้สึกว่า ฝ่ายชายไม่ให้เกียรติ แต่ข่มใจไม่พูดอะไรออกมา

ข้าพเจ้าเองอยากให้ดอกเตอร์คุยกับฝ่ายหญิงบ้าง
จึงพยายามพูดจาเปิดทางให้อยู่หลายครั้ง แต่เวลาดอกเตอร์พูด
เขาจะพูดเฉพาะเรื่องงานของตัวเอง พูดเล่าอย่างเอาจริงเอาจัง
ไม่สนใจเรื่องอื่น และไม่นำพาต่อสีหน้าท่าทางของผู้ฟัง
เขาคงคิดว่าสิ่งที่พูดนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
แท้จริงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อในความรู้สึกของคนอื่น
ข้าพเจ้าพยายามพูดเตือนดอกเตอร์เป็นนัยอยู่บ่อยๆ
แต่ดูเหมือนดอกเตอร์คนนั้น จะไม่เข้าใจเจตนา
เขายังคงพูดจาคนเดียวต่อไปอย่างเมามัน สร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับทุกคน
ตลอดช่วงเวลาของอาหารค่ำ

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ
ข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้ดอกเตอร์ไปส่งฝ่ายหญิงกลับบ้าน ในใจคิดว่า
ได้ทำหน้าที่แม่สื่อดีที่สุดแล้ว

เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วยาม
ญาติทางฝ่ายหญิงได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า และเล่าว่า
"ดอกเตอร์คนนี้แย่มาก
หลังจากเดินทางออกจากภัตตาคารเพื่อส่งน้องสาวดิฉัน แทนที่จะขับตรงมาส่งบ้าน
กลับแวะไปออฟฟิศของเขาก่อน บอกว่าจะขึ้นไปเพียงครู่เดียว แต่หายไปนานมาก
น้องสาวดิฉันเห็นว่า ครึ่งชั่วโมงแล้วเขายังไม่ลงมา
รู้สึกอดรนทนไม่ได้จึงเปิดประตูรถเดินออกมาเพื่อเรียกรถแท๊กซี่ โชคไม่ดี
แถวนั้นมีหมาดุอยู่ตัวหนึ่ง พอหมาเห่า น้องสาวดิฉันตกใจวิ่งหนีเลยถูกหมากัด
เมื่อขึ้นรถแท๊กซี่ไปโรงพยาบาล หมอต้องทำแผลอยู่นาน
และฉีดยาป้องกันบาดทะยักให้ด้วย น่าเจ็บใจจริงๆ เธอขอให้ช่วยโทรมาบอกว่า
ต่อไปผู้ชายคนนี้ไม่ต้องพามาให้เห็นหน้า"

เพื่อนดอกเตอร์อีกคนหนึ่งเป็นสถาปนิกออกแบบ
เรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับคนแรก
สถาปนิกท่านนี้มีออฟฟิศเป็นของตนเอง

ลักษณะหน้าตาของดอกเตอร์คนนี้จัดว่าดี
ท่าทางเรียบร้อยเป็นสุภาพบุรุษมาก เขามาชอบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของข้าพเจ้า
ฝ่ายหญิงก็มีใจชอบเขาอยู่ ทั้งสองจึงคบหากัน
แรกๆ เวลาไปไหน จะไปเป็นกลุ่ม เมื่อคุ้นเคยกันพอสมควร
ทั้งสองจึงนัดรับประทานอาหารกันเอง ที่ภัตตาคารอาหารทะเลแห่งหนึ่ง
อาหารทะเลที่สั่งมารับประทานมีหลากหลาย อาหารมีชื่ออย่างหนึ่ง
ของภัตตาคารแห่งนั้น คือ กุ้งก้ามกรามเผา ซึ่งคนทั้งสองสั่งมาหนึ่งกิโล
จานที่สั่งมีกุ้งอยู่ถึง 20 ตัว
"คุณชอบกินกุ้งใช่ไหม" ดอกเตอร์สถาปนิกหนุ่มถาม
"ชอบมากค่ะ กุ้งที่นี่ตัวใหญ่ เนื้อดี และสดมาก" ฝ่ายหญิงตอบ
"คุณชอบกินส่วนไหนของกุ้งเผาละ" ดอกเตอร์ สถาปนิกถามต่อ
"ชอบกินมากที่สุดส่วนหัว ใครไม่รู้จักกินหัวกุ้ง
คนนั้นถือว่ากินกุ้งไม่เป็น" ฝ่ายหญิงพูดติดตลก
คาดไม่ถึง! เรื่องราวที่เกิดตามมาทำให้ฝ่ายหญิงขำไม่ออก บอกไม่ถูก
ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ เพราะสถาปนิกหนุ่มถือคำพูดของฝ่ายหญิง
"ชอบกินส่วนหัวกุ้ง" เป็นจริงเป็นจัง และประพฤติตามนั้นทุกประการ
ดอกเตอร์สถาปนิกจะเด็ดส่วนหัวของกุ้งเผาทุกตัวใส่จานสะอาดแยกให้กับฝ่ายหญิง
ส่วนลำตัวของกุ้งนั้น
เขารับหน้าที่กินเองเพราะเขาชอบกินเนื้อส่วนลำตัวกุ้งมาก
เป็นอันว่าไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบ
เพราะต่างกินในส่วนที่ชอบมากที่สุดของกุ้งเผาในจานนั้น

"คุณคิดดู ดอกเตอร์นั้นกินกุ้งหมดทั้งจานเลย
เหลือแต่หัวกุ้งให้ดิฉัน ไม่เหลือกุ้งที่เป็นตัวครบๆ เลยแม้สักตัวหนึ่ง
เขาไม่รู้หรือว่า ส่วนหัวกุ้งที่เหลือไว้ในจานทั้งหมดนั้น
เทียบได้กับเศษอาหารที่ทิ้งไว้ ถึงแม้ฉันจะชอบกินหัวกุ้ง
แต่ก็ชอบกินกุ้งทั้งตัวเหมือนกัน"
ฝ่ายหญิงโทรมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังในวันหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่ามันสมองระดับดอกเตอร์จะไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ แค่นี้
หรือเป็นเพราะเขาเรียนจบจากต่างประเทศ จึงเป็นคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา
ใครที่ได้ทราบเรื่องราวข้างต้นคงเดาได้ว่า ตอนจบเป็นเช่นไร

สำหรับเรื่องราวของดอกเตอร์รายที่ 3 นี้
เป็นเรื่องเล่าจากพี่ชายของดอกเตอร์เอง
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับข้าพเจ้าที่จะช่วยแนะนำเพื่อนหญิงให้

เขาเป็นหนุ่มวัยกลางคน กตัญญูและขยันทำมาหากินมาก
เรียนจบจากประเทศอังกฤษ ตอนที่อยู่อังกฤษเขาต้องทำงานหาเงินเรียนหนังสือ
จึงทำให้มีนิสัยประหยัดอย่างมาก
เวลาไปจีบผู้หญิง ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ (ตามภาษาของดอกเตอร์) คือ
"TAKE A WALK" เพราะเวลาของดอกเตอร์มีค่าเป็นเงินเป็นทอง

ดังนั้นส่วนใหญ่ของค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการจีบสาว
จึงเป็นเพียงการให้ "เวลา" เดินทอดน่องอย่างช้าๆ คุยกันอย่างมีสาระ
ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก ณ สถานที่ร่มรื่นแห่งใดแห่งหนึ่ง
อาจมีการรับประทานอาหารข้างถนนเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ
แล้วก็พาเพื่อนหญิงไปส่งบ้าน

สำหรับการรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ดอกเตอร์บอกว่า
"แพงเกินความจำเป็น" การเสียเงินจำนวนมากเพื่อ "กินบรรยากาศ" ตามภัตตาคาร
ไหนเลยจะสู้บรรยากาศธรรมชาติจริงๆ ได้"

มีผู้หญิงหลายคนที่โชคร้าย
ได้ไปนั่งรับประทานอาหารตามข้างถนนซึ่งมีผ้าใบกั้นแดดฝน แล้วเผอิญฝนตกลงมา
ละอองฝนกระเด็นเปื้อนกระโปรงและรองเท้า ฝ่ายหญิงขอให้เขาพาไป
ร้านอาหารตามภัตตาคาร แต่ดอกเตอร์กลับเร่งเร้าให้รีบๆ รับประทาน
และพาไปส่งบ้านในทันที โดยอ้างว่า "บรรยากาศไม่ดี
เอาไว้วันหลังค่อยออกมาเดินเล่นใหม่"

ใครได้ฟังเหมือนดังข้าพเจ้าคงตัดสินใจได้ว่า
ควรแนะเพื่อนหญิงให้ดีไหม..?

ข้าพเจ้าคิดว่า
ไม่มีผู้หญิงคนใดเลือกผู้ชายที่มีพฤติกรรมจีบสาวดังที่เล่ามา
ถึงแม้ผู้หญิงบางคน หลงผิดยอมแต่งงาน สุดท้ายก็ต้องหย่าขาดแยกทางไป
เนื่องจากผู้หญิงสมัยใหม่ แตกต่างจากผู้หญิงสมัยก่อนค่อนข้างมาก

ผู้หญิงสมัยนี้ ไม่ได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวหรืออยู่ในลักษณะ
"ตั้งรับ" เหมือนกับผู้หญิงสมัยก่อน
เจ้าหล่อนสามารถตอบโต้ผู้ชายได้อย่างเจ็บแสบ ลักษณะของผู้หญิงสมัยนี้
คือมีการศึกษา กล้า ท้าทาย และไม่ปิดตัวเอง ชายใดที่คิดจะเลือกเป็นคู่ครอง
ต้องไม่มองข้ามสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความงาม

เช้าวันนี้ ข้าพเจ้าไปจอดรถ ณ ที่จอดรถแห่งหนึ่ง เผอิญข้างๆ
รถของข้าพเจ้ามีรถเก๋งอีกคันหนึ่ง จอดอยู่ก่อน ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตว่า
มีใครนั่งอยู่ในรถ จึงได้วางสิ่งของไว้ที่กระโปรงรถข้างท้าย
ผู้หญิงภายในรถคันนั้นได้เปิดประตูออกมาและด่าว่าเสียยกใหญ่
ข้าพเจ้าได้แต่กล่าวคำ "ขอโทษ" และเดินจากไปอย่างเงียบๆ
หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย และได้ย้อนกลับมาเพื่อเอารถออก ปรากฏว่า
มีกระดาษปิดอยู่หน้ากระจก เขียนข้อความว่า "สันดาน"
คำกล่าวนี้ทำให้ข้าเจ้าเชื่อว่า ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ขี้อายอีกต่อไป

ข้าพเจ้าเป็นหมอรักษาภาวะมีบุตรยาก
พบเห็นคู่สมรสที่มารักษาส่วนใหญ่อายุมากๆ ทั้งนั้น หลายคู่อายุเกิน 40 ปี
บางคู่อายุเกิน 50 ปี เมื่อสอบถามดู หลายคู่ตอบว่า
แต่งงานช้ากว่ากามเทพจะดลใจ ชีวิตวัยล่วงมากไปแล้ว

แต่ก่อนวงการแพทย์เข้าใจว่า
อายุของฝ่ายชายไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก
ปัจจุบันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์
และสภาพจิตใจของผู้ชายยุคปัจจุบันมีผลทำให้
เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการสร้าง "อสุจิ" โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
ซึ่งถึงแม้จำนวนเชื้ออสุจิอาจไม่ลดลง
แต่คุณภาพเชื้ออสุจิลดลงตามอายุอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น ผู้ชายเองจึงไม่ควรแต่งงานช้าจนเกินไป
ใครจีบสาวไม่เป็น ใช่ว่าจะหมดโอกาสมีครอบครัว ดูข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง
ซึ่งบางทีกลับเป็นข้อดีอีกด้วย แต่ถ้าจีบสาวเป็น ก็ยิ่งดีเพราะชีวิตคู่
จะได้เริ่มต้นแต่ในวัยหนุ่มสาว และไม่เป็นปัญหาในด้านการรักษามากนัก
ขออย่างเดียวอย่าใช้พฤติกรรมจีบสาวเหมือนดังดอกเตอร์ที่เล่ามาข้างต้น

ข้าพเจ้าเป็นคนที่จีบผู้หญิงไม่เป็น แต่เป็นคนใจเย็นและสุขภาพจิตดี
จริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยจีบผู้หญิงสำเร็จสักราย แม้กระนั้น
สุดท้ายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข กับผู้หญิงที่เรียนจบจากประเทศไต้หวัน
เมื่ออายุล่วงเลยไปถึงวัยกลางคน ข้าพเจ้าคิดว่า
ที่ข้าพเจ้าได้แต่งงานคงเนื่องด้วยอาศัยความเป็นเพื่อน
และความจริงใจแบบผู้ใหญ่ มากกว่าการจีบผู้หญิงแบบหนุ่มวัยรุ่น

การจีบสาวนั้น ไม่ใช่ทางเดียวในการมีชีวิตคู่
ชีวิตคู่มีความสุขต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน
ซึ่งบางทีความรักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน อาจดีกว่าที่เริ่มต้น
จากการจีบกันตามแบบฉบับของหนุ่มสาว ข้าพเจ้าเคยจีบผู้หญิงมามากมาย
ทุกครั้งจบลงด้วยความผิดหวัง อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เคยเสียใจ
ที่จีบผู้หญิงไม่เป็น และแต่งงานช้า เมื่ออายุล่วงเลยถึง 35 ปี
เพราะการแต่งงานในวัยนี้ มีความพร้อมค่อนข้างมาก
และเข้าใจชีวิตคู่ค่อนข้างดี

ภรรยาข้าพเจ้าชอบพูดล้อเล่นว่า
"ดีนะ คุณจีบผู้หญิงไม่เป็น
ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก"
คำพูดนี้อาจเป็นคำปลอบใจแต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดี
ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขและมีรอยยิ้มอยู่ในใจ

พ.ต.ท.น.พ.เสรี ธีรพงษ์



Posted by : little voice , Date : 2003-09-25 , Time : 23:12:26 , From IP : proxy6.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 24


   ผู้หญิงจะ matureเร็วกว่าผู้ชายใช่ไหมคะ เวลาคบผู้หญิงก็มักจะมองถึงอนาคตด้วย แต่ผู้ชายไม่ใช่อ เมื่อไหร่คะที่ผู้ชายจะมีความคิดที่อยากจะจริงจังกับผู้หญิงสักคน แบบคบแล้วคิดอยากให้เธอคนนั้น เป็นแม่ของลูก

Posted by : คนแฟนทิ้ง , Date : 2003-10-01 , Time : 13:55:46 , From IP : 172.29.2.163

ความคิดเห็นที่ : 25


   อย่าถามว่าเมื่อไรเลยครับ มันไม่มีตัวเลขที่แน่นอนหรอกครับ
แต่ละคนไม่เหมือนกัน สู้ถามว่า ใครคือคนนั้นจะดีกว่าครับ


Posted by : . , Date : 2003-10-01 , Time : 19:03:56 , From IP : ip-r-bkkSP8-2.C.loxi

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.041 seconds. <<<<<