ความคิดเห็นทั้งหมด : 4

เซียนป่อง สุชาติ ชัยวิชิต ปรมาจารย์หมากรุกไทย-สากลผู้ยิ่งยง




   Thailand Travel
Thailand Hotels
Thailand Golf Package
เซียนป่อง สุชาติ ชัยวิชิต ปรมาจารย์หมากรุกไทย-สากลผู้ยิ่งยง
--------------------------------------------------------------------------------

เรื่องโดยฉายฉาน

ในวงการยุทธจักรหมากรุกทั้งหมากรุกไทยและสากล ชื่อของสุชาติ ชัยวิชิต หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนามแฝงว่า "เซียนป่อง" อันเป็นที่กระเดื่องเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศว่า เขาคือปรมาจารย์หมากรุกไทยและสากลผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล เฉพาะในประเทศไทยกับเจ้าของตำแหน่งแชมป์หมากรุกขุนทองคำ 5 สมัย คงจะพอเป็นเครื่องการันตีได้ในความเป็นอัจฉริยะของเขาในเกมกีฬาที่ต้องใช้มันสมอง ความคิดและการมองเกมอันชาญฉลาด
อีกทั้งเซียนป่องยังเป็นอาจารย์สอนหมากรุกที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั้งที่เป็นนักเรียน นักศึกษา และคนที่ทำงานแล้ว แม้ว่าในปัจจุบันนี้เขาได้ลดเรื่องการสอนหมากรุกลงไปบ้างแล้ว เนื่องจากต้องการสอนในแบบที่ไม่เน้นปริมาณของผู้เรียน แต่ต้องการในส่วนของคุณภาพมากกว่า

ชื่อเสียงของเซียนป่องไม่โด่งดังในประเทศไทยเท่านั้น ในต่างประเทศในวงการหมากรุกสากล ทุกคนต่างยอมรับว่า เขาก็เป็นยอดฝีมือสมองเพชรคนหนึ่งในแผ่นดิน สิ่งที่สามารถช่วยยืนยันความเก่งกาจของเขาคือ การคว้าแชมป์เหรียญทองหมากรุกสากลในนามทีมชาติไทย ในการแข่งขันหมากรุกสากลชิงแชมป์โลกที่ประเทศกรีซ แม้จะเป็นเพียงแชมป์ของบอร์ด 4 หรือผู้ชนะของกลุ่มผู้แข่งขันหมากรุกสากลได้ นับเป็นเป็นเกียรติประวัติต่อตัวเขาเอง และที่สำคัญยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติอีกด้วย

ความสำเร็จที่มากมายสุดที่จะหาใครมาเทียบเคียงนี้ เซียนป่องสามารถทำได้อย่างไร นั่นจึงเป็นที่มาของบทความนี้ และเราได้ติดต่อขอสัมภาษณ์เขา เพื่อนำเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของเขามาเสนอแก่ท่านผู้อ่านแฟนๆนิตยสารหมากรุกได้รับทราบ เป็นเกร็ดความรู้ที่ยากนักจะหาโอกาสที่เหมาะได้เช่นนี้

หลังจากติดต่อนัดหมายกับเซียนป่องกันเป็นที่เรียบร้อย เราจึงได้ไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับเขาถึงที่บ้านของเขาที่ตั้งอยู่ในซอยรามคำแหง 8 โดยในการหาบ้านของเซียนป่องสามารถหาได้ไม่ยากเย็นนัก เข้าไปในซอยแล้วถามผู้คนแถวนั้นว่า "บ้านเซียนป่องอยู่หลังไหน" พวกเขาก็จะบอกให้ทราบได้ในทันที

เมื่อพบกับบ้านเลขที่ 2/12 อันเป็นที่พักของเซียนป่องและเจอกับเจ้าตัว ซึ่งให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีแล้ว แนะนำตัวกันเสร็จสรรพ การสนทนาจึงได้เริ่มขึ้น โดยเราได้ถามถึงประวัติการเล่นหมากรุกของเขาก่อนอันดับแรกเป็นการโหมโรง

เซียนป่องเล่าให้เราฟังว่า เท่าที่ตัวเองจำได้ เริ่มเล่นหมากรุกในปี 2516 เป็นการหัดเล่น ซึ่งเขาบอกว่าจริงๆแล้วไม่ได้มีความสนใจในกีฬาชนิดนี้มาก่อน แต่ได้ไปเห็นเพื่อนๆที่เรียนหนังสือด้วยกันเล่น จึงได้ลองหัดเล่นบ้าง จากนั้นมาประมาณ 2 ปี ก็รู้สึกว่าเก่งขึ้น และเริ่มออกเดินสายเล่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการฝึกปรือฝีมือของตัวเองกับเซียนที่เก่งๆสมัยนั้น

"ที่ผมว่ารู้สึกตัวเองว่าเก่งขึ้น ก็หมายความว่า ได้ออกไปเดินสายและเมื่อไปเจอมือดีๆก็สามารถที่จะสู้กับเขาได้ เลยเริ่มรู้ตัวว่าชักดีขึ้น สมมติว่าเราไปเจอมือที่เขาเป็นระดับเซียนๆก็พอสู้เขาได้ คิดว่าเริ่มดีตอนนั้น ตอนเล่นครั้งแรกๆก็มีบางคนเขาลดตัวให้ เพราะเขาไม่รู้จัก เห็นเราเป็นคนแปลกหน้าไปเล่นด้วย เขาก็ลดให้ เสร็จแล้วเขาก็แพ้ พอแพ้เขามาขอเล่นแต้มเท่า เล่นแต้มเท่าเขาก็ยังแพ้อีก"

เซียนหมากรุกที่เซียนป่องเคยประฝีมือด้วยสมัยเริ่มเข้าวงการ ก็มีอย่างชลอ ขำทัศน์ ที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์ประเภท ข. เก่า โดยในยุคนั้นยังมีคนเก่งระดับเหนือคนน้อยมาก มีที่เป็นเจ้ายุทธจักรจริงประมาณ 7-8 คนเท่านั้น มือระดับหนึ่งสมัยนั้นคือเซียนซ้ง วิรัช เลิศมวลมิตร ที่ในปัจจุบันนี้รู้จักกันดีว่า "ซ้ง แสงโสม" และมีคนที่พอคู่คี่สูสีกันคือ "เซียนหมู" สุรการ วงศ์นิล หรือฉายา "โคนมหากาฬ" และอีกคนหนึ่งคือ "ม้าปรีชา" ปรีชา สินประยูร นอกจากนี้ยังมี นคร ตรีสอาด, หมอสุรินทร์ แต่เซียนป่องบอกว่าช่วงนั้นคนที่เก่งจริงๆมีไม่กี่คน มีเซียนซ้งกับเซียนหมูที่ถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือ ถึงกับถูกยกให้เป็นมือหมากรุกประเภท ก. พิเศษ เหนือกว่าคนอื่นๆที่เป็นประเภท ก. ธรรมดา

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเซียนป่องไม่ได้สนใจหรือมีความชอบในการเล่นหมากรุกมาก่อน แต่พอได้ลองเล่นแล้วก็เกิดอาการติดใจ และฝึกจนเก่งขึ้นเรื่อย ซึ่งเขาได้เปิดเผยถึงการฝึกเล่นของเขาว่า ในสมัยก่อนฝึกด้วยการไปดูคนอื่นเล่น โดยเฉพาะคนที่เก่งๆ แล้วก็อาศัยความจำ จดจำแต้มมาบ้าง แต่ยังได้แต้มมาน้อย เนื่องจากเซียนสมัยนั้นส่วนใหญ่จะหวงวิชากันแทบทุกคน กว่าจะได้แต้มเด็ดๆดีๆต้องดูและจำด้วยตัวเอง การที่จะไปรอให้มาบอกหรือสอน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว เพราะเคยมีเซียนบางคนที่สอนให้คนที่ด้อยกว่าจนเก่งขึ้น แต่ต่อมาปรากฏว่า คนที่ถูกสอนกลับขึ้นมาเก่งกว่าคนสอน แล้วมาเล่นชนะแถมยังเยาะเย้ยถากถางในทำนองศิษย์ล้างครู จึงไม่ค่อยมีเซียนสอนหมากรุกเท่าไหร่ คนที่หัดเล่นกว่าจะเก่งได้ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก

ถึงกระนั้นก็ตาม แม้จะไม่ค่อยได้รับการสั่งสอนหรือบอกแต้มจากเซียนที่เก่งๆ แต่เซียนป่องสามารถที่จะใช้เวลาไม่นานในการขึ้นสู่ทำเนียบยอดฝีมือ "ช่วงนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองจะเก่งเร็วที่สุดในประเทศไทย คือใช้เวลาตกประมาณเพียงสองปี คนอื่นกว่าจะเก่งจริง ต้องใช้เวลากันประมาณ 4-5 ปี เพราะไม่มีตำราให้ศึกษา และนักหมากรุกทุกคนจะหวงวิชากันหมด จะไม่ให้ใครหรอก อย่างคนไหนมาเดินตามหลังเซียนจะได้วิชาก็เพียงนิดเดียว ส่วนตัวผมที่เก่งเร็วคิดว่าเป็นเพราะว่าผมเป็นคนเจ้าความคิด ดูมือดีๆเขาซ้อมกัน ก็กลับมานั่งคิดย้อนว่าจุดไหนที่เขาเล่นดีหรือไม่ดี และก็ไปทดลองเล่นด้วยตัวเอง มันก็พัฒนาไปทีละนิดๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะการเข้าใจในการเล่นหมากรุกยาก ต่อมาก็พัฒนาตัวเองขึ้นมามีแต้มผาดโผน แต้มอย่างนี้ต้องแต้มตัดอย่างนี้ คิดทำรูปเบี้ยให้ได้เปรียบ เป็นต่อเป็นรองอย่างไรเราต้องรู้ไว้ จะช่วยให้คิดได้ง่ายขึ้น เวลาเล่นก็เห็นได้ง่าย"

เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งของเซียนป่องคือการถอดหมากด้วยตัวเอง "อย่างการขึ้นหมากที่สมัยก่อนมีคนบอกว่า ขึ้นแบบนี้เป็นรอง เราพยายามมาดัดแปลงใหม่ทำให้จากเป็นรองขึ้นมาเป็นดี เช่น ขึ้นแบบม้ามายืนหลังเบี้ย ที่เรียกว่าม้าโยงขวา ถ้าคู่ต่อสู้เดินมาเทียมขึ้นเบี้ยคู่ด้านซ้ายมือเขา คือด้านขวามือเราแล้วทิ่มเบี้ยไล่ม้าเรา ซึ่งคนสมัยก่อนบอกว่า ถ้าโดนไล่ม้าแล้วจะแย่ เมื่อโดนไล่ม้าแล้วจะแย่ เราก็มาพัฒนาใหม่ ไม่ต้องให้เขาไล่ ใช้วิธีการกินเลย ยอมเสียเบี้ยนอกกับเบี้ยในแค่นิดเดียว แล้วก็เอาเม็ดไล่บังคับให้เขาเอาโคนกิน เพื่อจะรักษารูปเบี้ย เขาก็เสียจังหวะถอยไปเราก็ขึ้นไปทำ กลับมาได้เปรียบ"

การดัดแปลงรูปการขึ้นม้าโยงขวาอันสุดแสนจะแยบยลนี้ และเมื่อนำมาเล่นก็สามารถแสดงอานุภาพสยบคู่ต่อการมานักต่อนัก จึงเป็นที่มาของอีกฉายาหนึ่งของเซียนป่อง นั่นคือ "สุชาติ ม้าโยงขวา" และรูปหมากนี้ในปัจจุบันมีนักหมากรุกนิยมเล่นกันหลายคน ทั้งมือรุ่นเก่าและมือใหม่หัดเล่น จะเห็นได้ว่าในการแข่งขันรายการไหนก็ตาม บรรดานักโขกดาวรุ่งทั้งหลาย ต่างขึ้นหมากม้าโยงขวาเกือบทั้งนั้น เพราะเป็นการขึ้นหมากที่สุดยอดจริงๆ เนื่องจากพลิกแพลงได้ตลอดเวลา และมีการออกตัวที่เร็ว ไม่ช้าเหมือนม้าเทียม ซึ่งเซียนป่องบอกว่าคนที่เล่นม้าเทียมได้ต้องรู้จังหวะหลบหลีก มีความคิดรอบจัด ถ้าเป็นคนมีความคิดยังไม่ดีแล้วไปเดินม้าเทียม เจอคนเล่นม้าโยงขวาจะตกเป็นรองทันที

ด้วยชื่อเสียงของเซียนป่องที่โด่งดังขึ้นมาตามลำดับหลังการครองแชมป์ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในชีวิต ในปี 2526 จนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักหมากรุกทุกรุ่นทุกวัย จนมีผู้สนใจในการเล่นหมากรุกมาสมัครขอเป็นลูกศิษย์เพิ่มเติมวิชาให้เก่งกล้าขึ้น ซึ่งเขาเองก็ยินดีที่จะสอนให้ เนื่องจากเขามีความต้องการที่จะเผยแพร่กีฬาหมากรุกให้เป็นที่นิยมแก่คนทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่น จะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ดีกว่าการไปทำเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร โดยได้เปิดบ้านเป็นโรงเรียนสอนหมากรุก แต่รับนักเรียนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพราะต้องการลูกศิษย์ที่สำเร็จออกไปพร้อมกับวิชาการเล่นหมากรุกที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจริงๆ นอกจากจะเปิดสอนด้วยตัวเองแล้ว เซียนป่องยังมีโครงการที่จะทำตำราหมากรุกออกเผยแพร่อีกทางหนึ่งด้วย

จากความสำเร็จในการเล่นหมากรุกไทย เราหันไปทางด้านความเก่งกาจในเชิงหมากรุกสากลของเซียนป่องกันบ้าง เซียนป่องเริ่มเข้าสู่วงการหมากรุกสากลในราวปี 2521 เป็นการเริ่มหัดเล่นโดยมีอาจารย์มณเฑียร รื่นวงศา ซึ่งปัจจุบันนี้เสียชีวิตไปแล้วเป็นผู้สอนวิธีการเดินให้ พอเล่นเป็นแล้วก็ไปดูคนอื่นเล่น ดูการเปิดหมาก การเดินแต้มต่างๆ แต่ไม่ค่อยศึกษาเรื่องรูปหมาก ส่วนใหญ่จะใช้ความคิดของตัวเอง ประยุกต์การเดินหมากรุกไทยเข้าไปดัดแปลงผสมกัน

"ที่ผมประสบความสำเร็จไปได้เหรียญทองหมากรุกสากลมา นั่นก็หมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้รูปของหมากตามแบบฝรั่งมาเดิน เราเพียงแต่ขึ้นให้คล้ายๆเขา แล้วดัดแปลงบ้าง ผมเองก็อาศัยการถอดหมากด้วยตัวเองด้วย แล้วก็มีรุ่นพี่ๆเอาหนังสือหมากรุกสากลที่มีรูปหมากแบบเก่าๆโบราณมาให้ดู การเล่นหมากรุกสากลต้องมีความเหนียวแน่น เพราะต้องเป็นฝ่ายรับ พอรับอยู่แล้วสามารถโต้กลับได้ ผมใช้สูตรนี้ถึงประสบความสำเร็จ แต่กว่าผมจะได้แต้มแต่ละแต้มยากมากๆเลย เพราะหมากรุกสากลถ้าเสมอกันได้ครึ่งแต้ม ชนะได้หนึ่งแต้ม บางกระดานเล่นกัน 2 วันกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ เขาจะใช้เวลาคิดมาก และไปแข่งครั้งนั้นที่ได้เหรียญทองมา ก็มีทีมอื่นมาแข่งอีก 129 ชาติ กว่าจะได้แชมป์ลำบากมากทีเดียว แต่เสียอย่างเดียวตอนผมกลับมาเมืองไทยไม่มีใครมาต้อนรับหรือแสดงความยินดีอะไรเลย ทำให้ผมเลิกเล่นไปพักหนึ่ง ในเมื่อผมสร้างชื่อเสียงแต่ไม่มีอะไรให้ผมสักอย่าง ผมขอพูดฝากไว้เลย"

ก่อนหน้าที่เซียนป่องจะไปคว้าเหรียญทองที่ประเทศกรีซ เขาเคยไปแข่งขันที่ประเทศมอลตา เป็นครั้งแรกซึ่งลงแข่งในกลุ่มผู้เล่นเกรด 4 คือพวกมือใหม่ที่ยังไม่อยู่ในอันดับโลก ครั้งนั้นไปแข่งเหมือนกับไปหาประสบการณ์ จึงยังไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นก็ได้เดินทางไปแข่งขันที่ประเทศสวิตเซอ์แลนด์ คราวนี้ไดเหรียญเงินของกลุ่มเกรด 4 เซียนป่องเล่าว่าความจริงต้องได้เหรียญทองแล้ว แต่ผู้ควบคุมทีมไปครั้งนั้นไปดูคะแนนผิด ทีมเราได้คะแนนนำโดยไม่ต้องเล่นกระดานสุดท้ายก็ได้ แต่ดูคะแนนผิดคิดว่ายังไม่นำขาด จึงลงเล่นกระดานสุดท้ายในวันรุ่งขึ้น ผลปรากฏว่าแพ้ คะแนนของทีมคู่แข่งขันจึงขึ้นมานำและได้เหรียญทองไป จนมาครั้งถัดมาที่ประเทศกรีซ ก็ได้เหรียญทองกลับประเทศ แต่ก็ไร้คนให้ความสนใจ แม้การได้เหรียญทองนี้ได้ทำชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างมากมายก็ตาม

"เราได้เหรียญทอง ที่นั่นเขาถือว่ามีเกียรติมาก ให้เรายืนบนแท่นประมาณชั่วโมงหนึ่งได้ เราก็ไม่เคยได้อย่างนี้มา เป็นความภาคภูมิใจ นักข่าวทั่วโลกมารุมทำข่าวถ่ายรูปกันหมด แล้วก็มีนักข่าวฉบับหนึ่งทำประวัติผมเก็บไว้ด้วย พูดถึงวงการหมากรุกสากลในเมืองไทยนี่ ถ้าไม่มีคุณประจวบ นิมิตยงสกุล ป่านนี้คงจบไปแล้ว คงไม่มีเล่น ท่านช่วยเหลือมาเยอะ และท่านยังเป็นกรรมการของสหพันธ์กีฬาหมากรุกโลกด้วย คือว่าถ้าวงการนี้ขาดคนนี้คนเดียว คงจบไปแล้ว เพราะเมืองไทยไม่ค่อยสนับสนุน ทั้งที่เป็นกีฬาที่ดีช่วยสร้างความคิด"

ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือทั้งหมากรุกไทยและสากล เซียนป่องได้เปรียบเทียบความแตกต่างของทั้งสองหมากว่า หมากรุกสากลเปรียบเสมือนมวยไทย เพราะการเดินสามารถเดินได้ยาวกว่า อาวุธแต่ละอย่างรุนแรง เหมือนมวยไทยที่มีทั้งหมัด ศอก เข่า เตะ สามารถทำให้แพ้ชนะง่าย ส่วนหมากรุกไทยเหมือนมวยสากลที่ออกอาวุธได้น้อย การเดินก็เดินได้ไม่ยาว แต่ทั้งสองอย่างให้ความคิดที่ดีเหมือนกัน คนเล่นหมากรุกไทยเป็นก็สามารถประยุกต์ความคิดเล่นหมากรุกสากล หรือคนเล่นหมากรุกสากลเป็นก็มาเล่นหมากรุกไทยได้

ทั้งความสำเร็จในการเล่นหมากรุกไทยและสากล เซียนป่องก็บอกว่าถึงจุดอิ่มตัวแล้วในขณะนี้ แชมป์อะไรต่างๆก็ได้มาหมดแล้ว จนแทบไม่ค่อยได้ซ้อมแล้ว บางครั้งลงแข่งได้เลยโดยไม่ต้องซ้อม เพราะเล่นแต่ละครั้ง คู่ต่อสู้เดินอย่างนี้เขาก็เห็นหมด สามารถรับได้หมด ซึ่งนักหมากรุกในปัจจุบันที่เซียนป่องเห็นว่าเป็นสุดยอดฝีมือขณะนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 คน คือ หนูทอง กับ เซียนแหว่ง และแฟนๆหมากรุกทุกท่านก็คงจะเห็นตรงกับเซียนป่องด้วยเช่นกัน

เซียนป่องได้ฝากคำแนะนำผ่านเราไปถึงนักหมากรุกรุ่นใหม่เป็นการส่งท้ายการสนทนาว่า นักหมากรุกที่ดีนั้นต้องหมั่นฝึกซ้อมบ่อยๆ ถ้าหากคิดจะเข้าแข่งขันในรายการที่มีการจัดกัน ในการซ้อมควรจะมีนาฬิกาจับเวลาด้วย เพื่อให้เกิดความเคยชิน เวลาไปแข่งขันจริงๆจะได้ไม่ตื่นเต้น การเดินหมากแต่ละแต้มไม่ควรจะเดินแบบเสี่ยง อย่าคิดว่าเล่นกับมืออ่อนกว่า เดินอย่างนี้แล้วเขาจะไม่เห็น อย่างนี้ยังไม่ใช่นักหมากรุกที่ดี

"นักหมากรุกที่ดีเดินออกไป ต้องเป็นตาที่ดีหมด คู่ต่อสู้เขาจะเห็นหรือไม่เห็น เขาต้องแย่ต้องเสียเปรียบ บางคนยังติดนิสัยเดินแบบคิดว่าเขาไม่เห็นแต้มหรอก แต่ถ้าเกิดเขาเห็นขึ้นมา พอเราแพ้ก็มานั่งซึม เราจะไปลองไม่ได้ หมากรุกคือความถูกต้อง มันเหมือนกับเป็นการประมาทคู่ต่อสู้ เรื่องมารยาท คำพูดคำจาสำคัญ มีนักหมากรุกเด็กๆบางคน เวลาเล่นชนะมักชอบพูดจาเยาะเย้ย อาจจะเป็นด้วยความคึกคะนองหรือเป็นเพราะนิสัยของเขาเอง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง ผมขอฝากไปถึงนักหมากรุกรุ่นใหม่ๆด้วย"

สำหรับผู้สนใจจะเรียนหมากรุกกับเซียนป่องเป็นการส่วนตัว สามารถโทรสายตรงถึงเซียนป่องได้ที่ 01-9841324



Posted by : delpiero , Date : 2006-10-23 , Time : 11:14:27 , From IP : 172.29.4.95

ความคิดเห็นที่ : 1




   ญาติผมเองแหละ ภูมิใจครับภูมิใจ


Posted by : delpiero , Date : 2006-10-23 , Time : 11:22:39 , From IP : 172.29.4.95

ความคิดเห็นที่ : 2


   ไม่รู้เหมือนกัน
นั้นสินะ นำขาดไปแล้วแต่แพ้ได้ไง งงเหมือนกัน
กระดานสุดท้ายที่ว่ามีอะไรพิเศษ แบบแพ้ตกรอบ หรือเปล่าเขาคิดคะแนนและใช้วิธีการตัดสินแบบไหนกันน่ะ ในการแข่งครั้งนั้น
มีเงื่อนไขอื่นใดที่ผู้บรรยายเขียนไม่หมดหรือเรายังไม่รับทราบหรือเปล่ากันน่ะ
ทำให้มันดูไม่สมเหตุสมผลกันสักเท่าไหร่เลย แต่ถ้าจากข้อความเพียงเท่านี่มันทำให้เราคิดกันเอาเองได้ว่าถ้านำแต้มขาดได้แล้วถ้าแพ้ในกระดานสุดท้ายจะตกรอบได้อย่างไรจริงไหม
อืม แล้วถ้าดูผิดจริงทำไมถึงไม่รีบทักท้วงล่ะในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้องของเรา
ฉะนั้นเป็นไปได้สูงที่ ข้อความท่อนที่คุณ" แฟนเซียนป่องเหมือนกัน " ยกมาให้คิดนั้น อาจเป็นเพียงการแก้ตัวของเซียนป่องที่แพ้ก็เป็นได้
แต่ถ้าเกิดว่าการคิดคะแนนนั้นเป็นการคิดคะแนนใช้วิธีแบบการคิดเรทละก็เซียนป่องไม่ได้แก้ตัวแน่และไม่ได้พูดโกหกด้วยครับ เพราะถ้าคิดคะแนนแบบนั้นจริง ถ้าที่สองชนะขึ้นมาเรทก็สูงขึ้นที่หนึ่งร่วงได้ครับถ้าพลาดท่าแพ้กระดานสุดท้ายก็เรทร่วงได้เหมือนกันและเกิดการแพ้ชนะของเรทขึ้นได้ ถ้าไม่แข็งคิดว่าแต้มเรทขาดอยู่แล้ว เรทไม่ร่วงคงคะแนนเดิมไว้ได้ ไม่เดือดร้อนครับ ที่สองไม่ว่าพบอะไรถ้าคำนวนแต้มอย่างดีแล้วไม่มีทางที่จะไล่ได้ทันได้ในเกมกระดานสุดท้ายเกมเดียวล่ะก็ไม่จำเป็นต้องลงแข่งก็ได้ครับรับเหรียญทองสบายๆดีกว่า

อีกอย่างที่ทำให้ผมได้คิดน่ะครับคือความที่ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลและดูเหมือนจะถูกต้องในกระดานอภิปรายนี่อาจจะไม่ได้ถูกต้องตามความเป็นจริงที่อยู่ข้างนอกนั้นสะทีเดียวจริงไหมครับ จริงแล้วเรายกปัจจัยและมุมที่ได้มองเพียงไม่กี่อย่างจากความเป็นจริงทั้งหมดนั้นมาพูดคุยกันทำให้สิ่งที่ได้เห็นกันในกระดานแห่งนี่นั้นตกบ้างหล่นบ้างบิดเบือนกันไปบ้างก็ตามแต่เงื่อนไขปัจจัยที่ได้นำมาดู ฉะนั้นแล้วผมคิดว่า อืมอือ เอาเป็นว่าเป็นสิ่งที่ผมบอกกับตัวผมเองดีกว่าน่ะ คือจะคิดอะไรก็อย่าได้ปักหลักเชื่อในความคิดตัวเองมากนัก ให้เป็นว่ามุมตรงนี่นั้นถูกทำให้ได้มองออกไปเป็นเช่นนั้นมากกว่าน่ะ

ในกรณีของคุณ"แฟนเซียนป่องเหมือนกัน " ถ้าอ่านเอาเชิงนัยยะของข้องความไม่เชิงตรรกยะของข้อความน่ะคัรบมันทำให้ดูออกไปว่าได้ เอ๊ะเซียนป่องโกหกนี่หว่าและและถ้าหากคิดด้วยเชิงตรรกยะด้วยปัจจัยเพียงส่วนหนึ่งของความจริงที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดแล้วล่ะก็ทำให้คิดเช่นนั้นได้ด้วยครับว่าเซียนป่องนั้นโกหก และผลกระทบของมันก็คือการแปรเปลี่ยนค่าแห่งความจริงครับ

อีกอย่างน่ะครับที่ผมสังเกตุน่ะครับ คือการแผ่ขยายของมุมมองใดมุมมองหนึ่งครับ
อันนี่เป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างอันนี่นั้นเป็นเรื่องที่ผมวิตกกังวลเกียวกับสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมากครับ อย่าคิดน่ะครับว่าสื่ออันก้าวไกลของเราจะไร้ขอเสียสะทีเดียวเลย มันมีอยู่น่ะคัรบก็ค่อยมาทำความเข้าใจและหาทางอุดรูรั้วกันวันหลัง การขยายมุมมองนั้นหากใช้ไม่ดีแล้วเกิดผลเสียหายมากครับแต่ถ้าใช้ได้ถูกต้องดีงามก็ก่อประโยชน์มากมายเช่นกันครับ


ลองคิดดูดีๆสิครับ ผู้หญิงที่ถูกเผ่าทั้งเป็นเพียงแต่โดนชาวบ้านเห็นว่าคิดว่าเป็นแม่มดในยุคกลางนั้นเกิดจากอะไรแล้วความจริงล่ะเป็นเช่นนั้นจริงๆไหม แต่ที่แน่ๆคือถูกทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาน่ะสิที่เจ็บปวด


ยกตัวอย่างอีกอย่างน่ะครับ อย่างจิตแพทย์เองก็เช่นกันครับในการที่จะบอกคนที่ไปขอคำปรึกษาว่าเขาเป็นอะไรหรือไม่สบายใจเพราะอะไร นี่ต้องระวังกันเข้าไปใหญ่เลยล่ะครับต้องระมัดระวังให้มากน่ะครับเพราะอาจใช่หรืออาจไม่ใช้ก็ได้ครับเพราะนั้นเป็นเพียงแค่มุมมองเล็กๆที่หมอได้รับรู้จากผู้ที่ขอคำปรึกษาเท่านั้นครับและตัวหมอเองก็ถูกทำให้มองออกไปเช่นนั้นเหมือนกันครับ แต่ถ้าหากจะเอาแต่มุมมองนั้นยัดเยียดให้ผู้ขอคำปรึกษาว่าเป็นเช่นนั้นดั้งสิ่งที่ตนเห็นแล้วล่ะก็ นั้นก็คือการถูกกระทำให้เป็นจริงขึ้นมาดั้งที่ได้กล่าวเอาไว้แล้วข้างต้นครับซึ่งมันอาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ครับ ยิ่งถ้าหากขาดจรรยาบรรณนำความเห็นมุมที่ถูกกระทำให้มองออกไปนั้นไปแผ่ขายมุมมองให้ผู้อื่นมีมุมๆนั้นเหมือนดังที่ตนเห็นด้วยแล้วบุคคลผู้ขอคำปรึกษานั้นก็จะตกที่นั้งอยู่ในสังคมที่ยากลำบากขึ้นมาทันที่เลยล่ะครับ ซึ่งมันเหมือนกับการที่ผู้หญิงยุคกลางโดนเผาทั้งเป็นเพียงเพราะถูกผู้อื่นเห็นว่าเธอเหล่านั้นคือแม่มด สิ่งเหล่าถูกทำให้จริงครับหรือถูกทำให้เห็นเชื่อว่าเป็นความจริงครับ ซึ่งชาวบ้านหรือผู้คนในสังคมนั้นก็ถูกกระทำให้มองเห็นเชื่อโดยนักบวชยุคกลางหรือจิตแพทย์อีกต่อหนึ่งครับไม่ได้มองเห็นมันด้วยตัวเขาเองครับ

อย่างเช่น case เด็กชายคนหนึ่งอกหักสอบตกสาวที่เป็นกิ๊กกันก็ดันไปมีแฟนสะแล้ว (ดูเหมือนคราวซวยของชีวิตมาเยียมเยือน) ไปขอคำปรึกษาก็ Dx เขาว่าเป็นโรคซึมเศร้าจูนเรื่องโน่นเข้ากํบเรื่องนี่นานับประการ สร้างเรื่องสร้างราวกันขึ้นมาใหม่ยื่นยัดเยียดให้พร้อมกับยาซึมเศร้า และทำให้สังคมมองเขาว่านายนี่ซึมเศร้า น่าสงสัยในเรื่องของยานั้นน่ะคัรบถาหากเกิดกับลูกของผู้ให้คำปรึกษาล่ะจะหว่านล้อมให้ลูกตัวเองทานยานั้นไหมน่ะ ยานั้นก็รู้อยู่ว่าแรงแค่ไหนหากทานไปแล้วจะเกิดอะไรอันนี่เป็นสิ่งที่ต้องคิดครับและต้องคิดต้องตระหนักให้มากๆด้วยครับ ก็ขอฝากผู้ใหญ่ผู้อาวุโสที่เคารพด้วยครับ ก็ไม่อยากจะให้เหตุการณ์เช่นนี่เกิดกับคนอื่นๆอีกครับ ให้เจอและเป็นบทได้เรียนรู้กับ case เด็กชายคนนั้นก็พอครับ อย่าให้เด็กๆรุ่นหลังๆต้องเจ็บปวดแบบนี่อีกเลยครับ ที่พูดไม่ใช่อะไรหรอกครับแค่อยากจะให้แก้ไขในบางสิ่งที่ผิดพลาดครับ คนเราผิดพลาดกันได้ครับ สำคัญคือการแก้ไข และการให้อภัยกัน หญิงสาวที่ถูกเผาทั้งเป็นในยุคกลางนั้นเราก็ต้องเรียนรู้และให้อภัยในความไม่รู้ของคนยุคกลางครับ ประวัติศาสตร์มนุษย์เราก็ผ่านรูปแบบมามากหลายครับสงคราม การเจ็บปวด สูญเสีย ล้มสลาย แก่งแย่งกัน แต่เราก็ผ่านพ้นและเติบโตจากสิ่งเหล่าได้ด้วยการให้อภัยครับ




Posted by : delpiero , Date : 2006-10-24 , Time : 01:05:42 , From IP : 172.29.4.95

ความคิดเห็นที่ : 3


   อ่อ.... ใต้หอบินหลา3 ก็มีคนบ้านั่งเล่นคนเดียวอยู่ทุกวันอ่ะค่ะ ใช่เซียนป่องรึป่าวอ่ะค่ะ อิอิ

Posted by : เซียนเป่า , Date : 2006-10-24 , Time : 01:37:44 , From IP : 172.29.4.155

ความคิดเห็นที่ : 4




   ก็นั่งรอเซียนเป่าอยู่ทุกคืนอ่ะน่ะ ว่าเมื่อไรจะได้เล่นด้วยกันสะที อิอิ

Posted by : delpiero , Date : 2006-10-27 , Time : 20:49:15 , From IP : 172.29.4.184

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<