ความคิดเห็นทั้งหมด : 3

forward mail เรื่องของน้องเฟย


   มีฟิอร์เวิร์ดเมลเรื่องนี้ส่งมา
อ่านแล้ว คิดเห็นกันอย่างไรบ้าง

. . .

เป็นอุทธาหรณ์สำหรับคนที่มีบลูกหลานอายุน้อย ๆ นะคะ

น้องเฟย ลูกปาป๊า และ มาม๊า นักเรียนชั้น ป 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน
ผู้จากไปด้วย โรคไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปาก
แน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์ Coxsaki หรือ Enterovirus71
ไหนเท่านั้นเอง และเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียา
รักษาได้ อาการของโรคลูกชายผมจะไม่มีแผลที่มือ ปาก หรือ เท้า
แต่ลักษณะการโจมตีของไวรัส เหมือนกับโรคมือ ปาก เท้า ทุกประการ
เป็นคำยืนยันจากอาจารณ์หมอหลายท่านที่ผมปรึกษามาทั้งที่ บำรุงราษฏ์ และ จุฬา ฯ
ข้อความต่อไปนี้เป็นอาการป่วยของน้องเฟยตั้งแต่เริ่มต้นจนเสียชีวิตในเวลา 10
วันเท่านั้นเอง

วันอังคาร์ที่ 5/9/49 ตอนเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียน ป๊าจำได้
น้องเฟยเดินมาบอกป๊าว่าปวดหัว แต่เราก็คิดว่าคงนอนไม่พอเลยปวดหัว
จึงพาเฟยขึ้นนอนแต่หัวค่ำ พอช่วงดึกน้องเฟยตัวร้อนมาก
จึงให้ยาแก้ไข ไทลินอลแบบน้ำ และนอนต่อ จนเช้าไข้ก็ยังไม่ลด
เลยให้หยุดเรียนพักอยู่บ้าน และ ทานยาลดไข้เป็นระยะ ๆ

วันพุธ ที่ 6/9/49 น้องเฟยนั่งเล่นอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน
ดูน้องเฟยช่างมีความสุขจัง แต่ไข้ก็ยังไม่ลดต้องกินยาลดไข้ไปทุก 4 ชั่วโมง
หลังทานยาน้องเฟยแข็งแรงมาก วิ่งเล่นไปมา ส่งเสียงดังลั่นบ้าน
จนนึกว่า นี่ต้องเป็นป่วยการเมือง แหง ๆ แต่แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 7/9/49 น้องเฟยยังมีอาการไข้อยู่ 38.5 C
คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาล กรุงเทพคริสเตียน หาคุณหมอประจำชื่อ คุณหมอ วรรณณี
คุณหมอก็ตรวจไข้ตามปกติ และให้ยาแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ไอ
แล้วก็กลับบ้านมาพักผ่อน

วันศุกร์ที่ 8/9/49 น้องเฟยเริ่มแข็งแรงเป็นปกติ จึงเอายาไปทานที่โรงเรียน
และเรียนหนังสือตามปกติ

วันเสาร์ที่ 9/9/49 โรงเรียนหยุด อยู่บ้าน ทานยาตามปกติ
แต่ไข้ก็ยังไม่ลดเท่าไรนัก ต้องทานยาลดไข้เป็นระยะ พอทานยาเสร็จ ก็วิ่งเล่น
ส่งเสียงดังลั่นบ้านตามปกติ ดูทีวี คุยกับอาม่า ทานอาหารได้

วันอาทิตย์ 10/9/49 ตอนบ่าย 2.30 มาม๊าไม่สบาย
ป๊าเลยพาน้องเฟยกับพี่ชายแกไปที่
TK Park อุทยานการเรียนรู้ที่ เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า พอไปถึงน้องเฟยก็วิ่ง
เล่นนำหน้าป๊าไปก่อน กดลิฟท์เอง ไม่ยอมให้พี่เขากดลิฟท์
เพราะปกติคนพี่มักจะแย่งกับน้องกลิฟท์เป็นประจำ พอไปถึงก็
เข้าไปเล่นเกมส์อินเตอร์เนท จนกระทั่งเวลา 5.00 เย็น เราก็ออกมา
น้องเฟยบอกว่าหิวข้าว จึงพาไปกินอาหารญี่ปุ่น Zen แต่น้องเฟยบอกหนาว หนาวมาก
ๆ ป๊าจับตัวดูก็รู้ว่าไข้ขึ้นจึงรีบวิ่งไปซื้อยาลดไข้ คาลปอล
มาป้อนน้องเฟยก่อน จนแกเริ่มดีขึ้น ก็ทานข้าวกับกุ้งเทมปุระ
ได้จนหมดจาน นับเป็นครั้งแรกที่น้องเฟยทานจนหมด
เพราะปกติแกจะเป็นคนที่เลือกทานอาหารมากๆ ไม่ชอบกินผัก
จากนั้นก็รีบกลับบ้านทันที

วันจันทร์ที่ 11/9/49 คุณ แม่พาน้องเฟยไปหาหมอรอบที่ 2 กัหมอ วรรณี
คนเดิมที่
รพ. กรุงเทพคริสเตียน
วัดไข้ได้ 38.5 C แต่ก็ยังร่าเริง วิ่งเล่นอยู่หน้าห้องรอตรวจ
ดูอาการดีกว่าเด็กคนอื่น
ๆ ที่มาตรวจด้วยซ้ำไป คุณหมอจึงได้จัดยา ยา Zithromax
เป็นยาแก้อักเสบ และ
ยาลดไข้ 2
อย่าง พอกลับบ้านก็ทานยาตามปกติ ตามเวลา น้องเฟยก็ร่าเริงตามเดิม
คุยเสียงดัง
ลั่นบ้านตาม เคย

วันอังคาร์ที่ 12/9/49 น้องเฟยไปโรงเรียนตามปกติ
ตอนเย็นกลับบ้านทานยา Zithromax
วันละ 1 ครั้ง เป็นยาแก้อักเสบ

วันพุธ ที่ 13/9/49 น้องเฟย ไปโรงเรียนตามปกติ

วันพฤหัสบดีที่ 14//9/49 น้องเฟยเริ่มมีอาการผิดปกติ
ไม่มีไข้แม้แต่น้อย ตัวไม่ร้อน
แต่น้องเฟยบ่นว่าเมื่อยทั้งตัว ไม่มีแรง เราก็นึกว่าเด็กตื่นเช้า 6.20 น
อาจจะยังง่วงนอนอยู่ก็เลยเมื่อย ๆ
พอไปถึงโรงอาหาร แกก็กินข้าวไม่ลง ทานได้ 2-3 คำก็ไม่กินแล้ว
มาม๊าเลยอุ้มน้องเฟยมากอดให้ แกงีบสักพัก พออ๊อดเข้าห้องดัง ป๊า และ
ม๊าก็พาแกไปเข้าห้องแต่พอเดินมาถึงกลางสนามบาสแกก็บอก
ว่าเดินไม่ไหว ณ เวลานั้น ถ้าผมทราบว่าตอนนี้มีโรคระบาดในเด็กละก็
ผมคงไม่ชะล่าใจ นึกว่าแกแกล้งไม่ยอมเข้าห้องเรียน
จนถึงเวลานี้ก็ยังเสียใจว่าทำไมวันนั้นเราไม่นึกเอะใจเลยนะว่าลูก
เราผิดปกติ แต่เราก็กลัวแกเรียนไม่ทันเพื่อน เพราะ หยุดเรียนไปหลายวันแล้ว
อีกอย่างอาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้วด้วย เลยพาแกเข้าห้องเรียนด้วยมือของเราเอง
(น้องเฟย ป๊าขอโทษ ป๊าผิดเองที่วันนั้นพาน้องเฟยเข้าห้องทั้ง ๆ
ที่น้องเฟยบอกเรียนไม่ไหว ป๊าเสียใจมาก ๆ มากจนไม่อาจให้อภัยตัวเอง
ถ้าหากมีข่าวเรื่องโรค มือ เท้า ปาก มาก่อน ป๊าจะไม่ยอมให้น้องเฟยไป
โรงเรียนเลย ทุกวันนี้มันก็ยังหลอนอยู่ในหัวป๊าตลอดเวลา )

ทำไมทางสาธารณสุขถึงปิดข่าวกัน
ไม่เคยมีใครรู้จักโรคนี้มาก่อนเลยทั้งที่มันรุนแรงกับเด็ก
มาก ๆ และกำลังระบาดอยู่ ซึ่งความจริงมีเด็กเสียชีวิต ตั้งแต่ต้นปีแล้ว 5-6
คนด้วยกัน เพิ่งจะเป็นข่าวก็ใน
กรณีลูกของผมนี่แหละ )
เย็นวันนั้นหลังจากรับกลับบ้าน ปรากฏว่ามีรอยบวมใต้ตาทั้ง 2 ข้าง
พอมีใครไปทักแกก็จะบอกว่าอย่ายุ่ง รู้สึกว่าวันนั้นแกจะนั่งดูที
วีอย่างเดียว ไม่พูด ไม่คุย ไม่ส่งเสียงดังตามปกติ
เวลา 2 ทุ่ม ผมอุ้มแกเข้าห้องให้แกนอนที่เตียงประจำของแก แต่ปรากฏว่า
ที่แขน และ ขา จับแล้วเย็นมาก แต่ที่ตัวยังอุ่น หัวเริ่มมีเหงื่อออกมาก
ผมรู้แล้วว่าอาการโรคที่แท้จริงตอนนี้เริ่ม
ปรากฏตัวแน่ ๆ แล้ว ทั้งที่ตอนหัวค่ำยังไม่มีอาการมือเย็น เท้าเย็น
เลยแม้แต่น้อย
ผมปรึกษากับคุณแม่ เห็นว่ามันดึกแล้ว ถ้าไปโรงพยาบาลเวลานี้คงเจอแต่หมอเวร
อีกอย่างแกก็ไม่มีไข้ นอนอย่างเดียว ไม่ร้องเจ็บ หรือ
ปวดตรงหัวเหมือนตอนก่อนเป็นไข้ครั้งแรก ก็เลยตั้งใจว่าเช้าวัน
ศุกร์จะพาไปหาหมออีกที คราวนี้น่าจะรักษาได้แน่เพราะอาการออกชัดมาก ๆ

วันศุกร์ ที่ 15/9/49 คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาลเวลา 10.00 น ช่วงเช้า
7.00 น คุณพ่อได้นวดแขนนวดขาให้น้องเฟย เพราะมือและขา แกเย็นมาก ๆ
ตลอดเวลา แต่ไม่มีแผลที่มือ
หรือ
เท้าเลยแม้แต่น้อย สะอาดมาก
พอไปถึงโรงพยาบาลคุณหมอได้พยายามเจาะหาเส้นเลือดเพื่อใส่น้ำเกลือด่วน
เพราะว่าเด็กเกิดอาการช้อค
แต่ก็ไม่สามารถเจาะได้ เพราะเส้นเลือดหาไม่เจอเลย ต้องเจาะอยู่ถึงกว่า 10
ครั้ง น้องเฟยร้องไห้ตลอดเลยเพราะว่าเจ็บมาก จนคุณแม่ที่นั่งรออยู่
ข้างนอกยังทนไม่ไหวถึงกับร้องไห้สงสารลูก
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะการเจาะเลือดเป็นทางเดียวที่จะ ให้อาหารแกด้วน้ำเกลือ
เพื่อพยุงอาการให้เข้าที่
เวลา 21.00 น ผมมาถึงโรงพยาบาล ที่ห้อง ไอ ซี ยู เห็นน้องเฟยนอนตาลอยอยู่
ดูหน้าแล้วโทรมกว่าตอนเข้ามาก ๆ จากนั้นแกก็อาเจียน
มีเสลดในคอต้องคอยดูดออกเป็นระยะ
ๆ แต่ไม่มีหมอในห้อง ICU เลย ผมถามแฟนว่าหมอไปไหนกับหมด
แฟนก็บอกว่าหมอออกเวรไปแล้ว สักพักก็มีหมอเวรเด็ก
เข้ามาและตรวจอาการแกตามปกติ แต่รุ้สึกว่าอาการลูกผมจะแย่ลงเรื่อย ๆ
เห็น คุณหมอวิ่งเข้า
วิ่งออกอยู่หลายรอบ เรียกพยาบาบเข้าไปช่วยต้วย
แกบอกว่าลูกผมอาการค่อนข้างหนักมาก ๆ แต่ยังหาสาเหตุของโรคไม่เจอ
จากนั้นได้นำน้องเฟยไปเอ็กซ์เรย์
ปอด หัวใจ และ ทำ CT Scan สมอง เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง ผลก็คือ
ปอดปกติ ไม่มีอาการปอดบวม (อาการปอดบวมมาพบทีหลังในเช้าวันเสาร์ที่เสียชีวิต
) แต่หัวใจทำงานผิดปกติ แรงดันชีพจรเต้น เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา
อาการน่าเป็นห่วง ส่วนที่สมองก็มองไม่เห็นความผิดปกติ
แต่คุณหมอในคืนนั้นก็ แจ้งว่าเครื่อง
CT Scan สามารถมองเห็นได้แค่ช่วง 1 CM. แล้วก็เว้น 1 CM คื่อมองเห็นช่วง
และ
ไม่เห็นช่วงสลับกันไป จากภาพถ่าย ก้านสมองเด็กมองแล้วก็ยังไม่เห็นเลือดคั่ง
หรือ อะไรที่ผิด
ปกติ คุณหมอเวรช่วงดึก แกก็ได้โทรไปปรึกษา หมอประจำของน้องเฟย คือ คุณ หมอ
วรรณณี ตลอด แล้วก็วิ่งเข้าไปเจาะเลือดลูกเราอีกแล้ว ทุก ๆ ชั่วโมง
แต่ลูกเราตอนนี้โดนยานอนหลับอยู่จึงยังไม่มีการ ร้อง หรือตอบสนอง
คุณหมอได้ตะโกนเรียกน้องเฟย เอาที่เคาะกระดูกมาเคาะที่เท้า แต่
เท้าก็ไม่มีการตอบสนอง เอา ไฟฉายมาส่องตา ตาก็ไม่ตอบสนอง
แล้วคุณหมอก็พยายามตะโกนเรียกน้องเฟยอยู่นาน
ผมก็เริ่มรู้สึกใจไม่ดีแล้ว เอทำไมบรรยากาศเริ่มแย่ลง
ๆ ลูกเราเป็นอะไรกันแน่ ถามคุณหมอ แกก็บอก
ว่าอาจจะช็อกอย่างแรงจากโรคบาวหวานเฉียบพลัน แต่หลังจากวิเคราะห์อีกที
ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผลเลือดสรุปแล้วมีแต่น้ำตาลในเลือดที่สูงถึง 300
แต่ตัวอื่นปกติจึงไม่น่าจะใช่บาวหวานเฉียบพลัน
ตอนนั้นผมเริ่มถามตัวเองแล้วว่า หมอใหญ่ของที่นี่ไปไหนกันหมด
ปล่อยให้หมอเวรหนุ่ม
ๆ ทำอยู่คนเดียว โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ไม่มีหมอดี ๆ เหลือเลยเหรอ
แต่ผมก็เห็นความตั้งใจของหมอเวรคนนี้มาก แกพยายามทำทุกวิธีทาง
ใช้ทุกเครื่องมือของโรงพยาบาลที่มี รวมทั้งเครื่องตรวจหัวใจด้วยไฟฟ้า เครื่อง
CT Scan ตรวจสมอง ผลก็คือ ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร
คุณหมอเวรคืนนั้นเดินมาบอกเราว่า
ทางโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียไม่มีเครื่องมือที่ละเอียดเพียงพอที่จะหาเชื้อโรคตัวนี้
หรือ ไวรัสตัวนี้ได้ จำเป็นต้องส่งต่อโรงพยาบาล จุฬา หรือไม่ ก็ ศิริราช
ในเวลานั้นผมเริ่มใจสั่นและคิดหนัก ว่าอาการลูกเราตอนนี้เป็นตายเท่ากัน
จะไปไหนดี นี่ก็ตี 2.30 แล้ว ใครจะมีอาจารณ์หมอละ คืนวันศุกร์
ติดต่อไปที่จุฬาก็ไม่มีเตียงเหลือ
สุดท้ายผมเลือกโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ ทางหมอเวรได้ติดต่อประสานงานให้กับ รพ
บำรุงราษฏร์ เรียบร้อย เป็นอาจารณ์หมอเด็กเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ
เพราะลูกผมตอนนี้หายใจถี่มาก

เหมือนคนวิ่งมาเหนื่อย จะหายใจถี่ ๆ ตลอดเวลา ต้อง
ใช้รถพยาบาลของกรุงเทพคริสเตียนส่งไปพร้อม กับใช้เครื่องช่วยหายใจไปตลอดทาง
ระหว่างทางผมเห็นหยดน้ำตาบนหน้าน้องเฟย จิตใจเราก็เริ่มแย่ลง
หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาแก ภาวนาว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ปาป๊า
กำลังพาน้องเฟยไปหาหมอที่เก่งที่ดีที่สุดแล้ว อดทนหน่อยนะ
น้องเฟยชอบพูดว่าน้องเฟยอดทนเก่งนี่ คราวนี้ถ้าน้องเฟยหาย ปาป๊าจะพาไปดู
MASK
RIDER SHOW ที่กำลังจะแสดงเร็ว ๆ นี้ น้องเฟยชอบพูดว่าอยากดูไม่ใช่เหรอ
จะดูกี่รอบก็ได้นะ
พอไปถึง คุณหมอที่ บำรุงราษฏร์ ได้เตรียมห้อง ICU รอไว้เรียบร้อยแล้ว
และทำการรักษาต่อทันที
มีการใส่เครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติ เครื่องให้น้ำเกลือ เครื่องตรวจชีพจร
เครื่องตรวจการเต้นของหัวใจ เครื่องตรวจอะไรอีกไม่รู้ รวม ๆ แล้วเกือบ 8
เครื่องด้วยกัน
คุณหมอบอกว่าลูกเรามีอาการติดเชื้อเข้าขั้นรุนแรง
เพราะหัวใจทำงานผิดปกติในการส่งเลือดไป
เลี้ยงสมอง ทำให้สมองสั่งการให้หายใจผิดปกติด้วย
แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นไวรัสตัวไหน จึงขอ อนุญาตดูดเลือดไปตรวจ ผมก็ตกลง
แต่คุณหมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วง ต้องดูตลอดเวลาชั่วโมงต่อชั่วโมง
ชั่วโมงนี้แย่
แต่ ก็ไม่แน่ว่าชั่วโมงต่อไปอาจดีก็ได้ ในสิ่งที่แย่ก็ยังมีความหวังเสมอ
ผมฟังไปน้ำตาก็เริ่มไหล ทำได้เพียงแค่สวดภาวนาขอให้ลูกเราปลอดภัยด้วยเถิด
จะให้เราทำ อะไรก็ยอมทั้งนั้น ยาแพงแค่ไหนก็ได้ ขอให้เขาหาย
ผลเลือดยังไม่รู้ต้องรอเพาะเชื้อ 3 วัน แต่คุณหมอที่บำรุงราษฏร์
บอกว่าเขาได้ฉีดย่าฆ่าเชื้อแบคทีเลีย และ
ไวรัสเท่าที่เขามีให้แล้วโดยไม่รอผลเชื้อของห้องแล๊ป
ถ้าโชคดียาที่ส่งไปอาจใช้กับไวรัสในตัวลูกเราก็ได้
ต้องรอดูอาการอีกที แต่คุณหมอบอกว่า ไวรัส 99% ไม่มียาฆ่าเชื้อ
ต้องใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเด็กเองเป็นตัวฆ่า
ถ้าลูกเราแข็งแรง ก็จะผ่านช่วงเลวร้ายนี้ได้ ถ้าแข็งแรงไม่พอก็จบ
คืนนั้นผมไม่นอนเลย นั่งเฝ้าหน้าห้องกระจก ICU ตลอดเวลา จนเวลา ตี 5
คุณหมอจึงขออนุญาต กลับไปก่อนเพื่อให้หมอด้านหัวใจ และ
สมองมาตรวจในตอนเช้าอีกที นั่งไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า
แฟนผมก็นั่งหลับอยู่หน้าห้องเหมือนกัน

เช้าวันเสาร์ ที่ 16/9/49 อาการน้องเฟยนิ่ง ๆ ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ
เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา คุณหมอเด็กด้านหัวใจอ่านรายงานของ รพ กรุงเทพคริสเตียน
บอกว่ายังพอมีหวัง ถ้าไวรัสไม่เข้าไปที่
หัวใจ แต่หลังจากใช้เครื่องสแกนหัวใจมาตรวจ ก็พบว่ามีไวรัสในหัวใจจริง ๆ
และเป็นตัวที่ร้ายที่สุด ซึ่ง ไม่มียาฆ่าเชื้อโรคตัวนี้ โอกาสรอดมีน้อยมาก
แฟนผมพอได้ยินว่าเป็นไวรัสที่ร้ายแรงที่สุด ถึงกับร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก
จากนั้นคุณหมอด้านสมองเด็ก ก็ได้มาตรวจดูด้วยเครื่องอะไรก็ไม่รู้
เพราะตอนนั้นสมองผมเองก็
เริ่มไม่รับรู้แล้วเหมือนกัน คุณหมอสมองเด็กออกมารายงานว่า
ที่สมองตรวจพบเชื้อไวรัส เช่นกันที่
ก้านสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสมอง และเริ่มตรวจพบเชื้อในปอด
ทั้ง
ๆ ที่เมื่อวานยัง ตรวจไม่พบเลย ทำไมวันนี้จึงเจอละ
คุณหมอบอกว่าความหวังสุดท้าย ของเรายังมี คือ
ใช้เซรุ่มของคนอื่นที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง
มาฉีดให้น้องเฟยเป็นความหวังสุดท้าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันร่างกายของน้องเฟย
ไม่ไหว ต้องส่งกองทัพของคนอื่นมาช่วย ถ้าช่วยได้ก็คงจะฆ่าไวรัสได้บ้าง
ทางผมจึงตกลงให้ใช้เซรุ่มตัวนี้
ถึงแม้จะยังไม่การรับรองเซรุ่มตัวนี้อย่างเป็นเอกสารแต่ในเมืองนอกมีการใช้กัน
และได้ผลบ้างในบางเคสเท่านั้น
คุณหมอได้แจ้งอีกว่าราคาเข็มละ 60,000 B. ซึ่งทางเราก็ยินดี
ทางคุณหมอได้ขอเจาะไขกระดูกสันหลังเพื่อขอส่งไปตรวจหาเชื้อด้วย
ซึ่งทางเราก็คิดหนักในตอนแรก
กลัวแกจะทนไม่ไหว แต่ในที่สุดทางเราก็ได้อนุญาต
เพราะเราไม่มีที่พี่งแล้วนอกจากหมอ
หลังจากได้รับการฉีดเซรุ่ม เข้าไป 2 ชั่วโมง หัวใจของน้องเฟยก็หยุดเต้น
ขึ้นมา คุณหมอจึงรีบเข้ามาปั๊มหัวใจซึ่งก็ใช้เวลาในการปั๊ม 1.20
ชั่วโมง คุณหมอทั้ง
3 คนออกมาแจ้งว่าน้องเฟย ไม่ไหวแล้ว ผมกับแฟน อากง อาม่า มีแต่น้ำตา
พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว พอคุณหมอเห็นสภาพผมในตอนนั้น
ท่านก็เดินกลับเข้าห้อง ICU อีกครั้งช่วยกันปั๊มหัวใจอีกร่วม 30 นาที ด้วยกัน
แต่ผลสุดท้าน
น้องเฟยก็จากพวกเราไป แล้ว

ผมเสียใจมาก โทษตัวเองว่า เราประมาทอะไรไปรึเปล่า ทำไมเราไม่ส่งเขาไปรพ
บำรุงราษฏร์แต่แรก
เราเห็นว่าประวัติการรักษาทั้งหมดอยู่ที่ รพ กรุงเทพคริสเตีย เขาเกิดที่นี่
ประวัติการรักษาก็อยู่ที่นี่ แต่ที่นี่กลับไม่สนใจลูกผมเลย คุณหมอวรรณี
ก็ได้แต่ส่งเสียงตามสายเท่านั้น ทั้งที่เราก็หาเขาตลอด
ทำไมเขาถึงปล่อยให้ลูกเรานอนรออยู่เฉย ๆ ตั้ง 3-4 ชั่วโมง
จนกระทั่งหมอเวรมาตรวจในตอน
4 ทุ่ม พบว่าเป็นเคสอาการหนัก
คุณหมอวรรณีก็ไม่ได้แวะมาช่วยดูเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้พูดกับเรา
เลย แม้สักคำ มีแต่หมอเวรหนุ่มที่มีความตั้งใจมาก แต่ยังขาดประสบการณ์
มาดูแลน้องเฟยคน เดียว
นับจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ลูกผมนอนรอโดยหาคำตอบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เปลี่ยนหมอ
หรือ เปลี่ยนโรงพยาบาลเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจหมอ หรือ
กลัวไม่ได้ประวัติการรักษา เพราะเขาอาจไม่ รอดรอให้เรารักษาเหมือนผม

เฟย ป๊ากับม๊า รักเฟยมาก และ เสียใจมาก ๆ
ขอให้เฟยเกิดมาเป็นลูกป๊าอีกนะ คราวนี้ป๊ากับม๊า จะดูแลเฟยใหม่
จะไม่ให้ไปโรงเรียนถ้ามีไข้ และ จะไม่ฝืนถ้าลูกร้องไม่ไหวอีกต่อไป

สิ่งที่ผมเขียนมานี้เป็นความจริงทั้งหมด และขอให้ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์แก่
พ่อ
แม่ ผู้ปกครอง ทุกคนใน การดูแลลูก หลานของท่าน โรค Enterovirus 71
นี้ไม่จำเป็นต้องมีอาการแผลที่มือ ปาก เท้า แต่ถ้ามันเข้าไปถึงหัวใจ
หรือก้านสมอง โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก ๆ ถ้ารอด สมองก็จะไม่เหมือนเดิม

สาธารณสุข หรือ แม้แต่โรงเรียน ก็ตาม แจ้งแต่ผมการตรวจในห้องแล๊ป
แต่ไม่เคยเล่าอาการล่วงหน้ามาให้ทราบ ทั้ง ๆ ที่ทางผมได้เล่าละเอียด ดังนั้น
ผมจึงขอถือโอกาสนี้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนทราบ
เพื่อเอาไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน ชีวิตน้องเฟย 1 คน ใน
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จะมีค่าหากทุกคนช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
ขอขอบคุณครับ
คุณพ่อ และ คุณ แม่ น้องเฟย
25/9/49


Posted by : ArLim , E-mail : (anan_st@hotmail.com) ,
Date : 2006-10-05 , Time : 01:05:08 , From IP : 210-86-223-212.stati


ความคิดเห็นที่ : 1


   เป็นบทความที่ "สื่อ" ได้ทรงพลังดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้รับใช้ background หรือมีอะไรที่ shared experience ได้ (มีลูก ลูกป่วย รักเด็ก ฯลฯ) ก็จะเกิด empathy หรือแม้กระทั่ง sympathy ได้มากหลังจากอ่านเรื่องนี้

สำหรับนักศึกษาแพทย์ มีบางมุมที่น่าสนใจ (หรือแพทย์ทั่วๆไปก็ได้)

อาชีพของแพทย์นั้น เรากำลังทำอะไรที่เกี่ยวพันกับพื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดของสังคม คือความรัก ความผูกพัน ของ "ชีวิต" ทั้งของชีวิตตนเองและของคนใกล้ชิด การแพทย์นั้นเป็น "องค์รวม" หรือ holism (wholism ก็ได้) คำว่า "องค์รวม" นี้มาจากภาษาอังกฤษแปล มีรากมาสองทางคือทางปรัชญา และทางการแพทย์ โดยรวมแล้ว องค์รวมจะหมายถึงอะไรก็ตามที่ผลลัพธ์สุดท้ายนั้นมีค่ามากกว่าผลบวกของส่วนย่อยๆที่ประกอบกันขึ้นมา ดังนั้นในที่นี้การแพทย์ที่เป็นองค์รวมนั้นหมายถึง สุขภาวะของมนุษย์นั้นมีผลลัพธ์ที่ถูกกระทบมากกว่าสุขภาวะของอวัยวะต่างๆที่ชุมนุมกันเป็นร่างกาย ลำพังศีรษะดี คอดี ตัวดี แขนขาปกติ มนุษย์สามารถมีสุขทุกข์อย่างมากมายจากปฏิสัมพันธ์กับมิติอื่นๆนอกเหนือจากแค่ร่างกาย

ที่เราภาคภูมิใจว่าเรียนแพทย์แล้วทำอะไรต่างๆได้มากกว่าคนที่ไม่ได้เรียน รักษาหวัด โรคกระเพาะ ใส่เฝือก ทำคลอด ฯลฯ นั้นเกิดเป็น "ศักด์ศรี" หรือ "ฐานะ" แห่งความทำได้ มาจากความพยายามตั้งใจเรียนและฝึกฝนจนผ่านการทดสอบเป็นเวลานานกว่าสาขาอื่นๆ แต่ทว่าตัวอย่างจากเรื่องข้างบนนี้ ชัดเจนว่าสิ่งที่เราถูกคาดหวัง ความดีที่เราทำ ความเก่งที่เราภูมิใจนั้น เทียบไม่ได้เลยกับ "คุณค่าที่แท้จริง" ของงานของเราต่อคนที่เราให้การรักษา หรือแม้แต่ต่อครอบครัว ญาติพี่น้องของคนที่เราให้การรักษา ขณะที่เราได้ประวัติตรวจร่างกายคนไข้เสร็จ สามารถให้การวินิจฉัย และตระหนักในใจว่าอืม... โรคนี้ฉันรู้จัก ฉันทำได้ ฉันจ่ายยา สั่งยาได้ มีความดีใจปนภาคภูมิใจอยู่เล็กๆว่าเป็นหมอได้ประสบความสำเร็จอีกครั้งนึงแล้ว คนที่ดีใจกว่า ภาคภูมิใจมากกว่าที่ตัดสินใจถูกพาลูกมาหาหมอเก่ง ความทุกข์ที่ปลอดโปร่งโล่งหายไปได้เพราะหมอยิ้มออก มั่นใจว่ารักษาได้ นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเราเอง คือคนไข้นั่นเอง

ดังนั้นถ้าเราอยากจะจัด "ลำดับความสำคัญ" ของงานของเรา ความรู้สึกของเราว่าเป็นอย่างไรนั้น จะไม่เท่ากับของคนไข้และญาติของเขาได้เลย ตรงนี้เป็นเหตุผลที่เราน่าจะเพิ่มมุมมอง เพิ่ม moral sensitivity หรือความไวของคุณธรรมให้มากขึ้น สมศักดิ์ศรีและความสำคัญ ขณะที่เราจะจำได้ว่า case ที่ประสบความสำเร็จนั้น เราผ่าตัดยังไง ตื่นเต้นตอนไหน ลุ้นตอนไหน พอสักสี่ห้าเดือน สักปีสองปีควาทรงจำนั้นก็ fade out ออกไป แต่สิ่งที่ผู้ป่วยและญาติจำได้นั้นจะมีรายละเอียดมากกว่านั้นมาก ลูกป่วยกี่วัน เริ่มเป็นยังไง ดำเนินไปอย่างไร ตัวเองได้ทำอะไรไปบ้าง สนใจหรือไม่สนใจฟังอย่างไร ตอนพามาหาหมอตื่นเต้นแค่ไหน ตอนเจอหมอแล้วหมอบอกว่ารักษาได้ดีใจแค่ไหน และตอนอาการแย่ลงอารมณ์มันเป็นอย่างไร มีหมออยู่ด้วย ช่วยอธิบายแค่ไหน เป็นกำลังใจเราอย่างไร บางคนจำได้แม้แต่วันที่หมอมาเยี่ยมไข้ มาพูดจาพาทีอะไรบ้าง แม้แต่หมอเองก็ลืมไปแล้วเพราะคิดว่าเป็นแค่ปฏิสันถารธรรมดาๆ แต่อะไรที่เราได้ทำไปเพื่อช่วยลูก ช่วยพ่อแม่คนอื่นเขาดีขึ้นนั้น มันไม่ใช่ของธรรมดาเลยสำหรับพวกเขา

ถ้าขณะที่เราได้ดูแล เดินราวน์ผู้ป่วยอยู่ นอกเหนือจากได้เรียนรู้เรื่องโรค เรื่องการดำเนินโรค เรื่องการสั่งยารักษา สั่งตรวจวินิจฉัย เราได้มีโอกาสเรียนรู้ "background" เบื้องหลังของแต่ละเตียง แต่ละห้อง ว่าอะไรคือความคาดหวัง ความทุกข์ ความสุข ของเขาเหล่านั้น เราจะเข้าใจใน เหตุผล ที่มา ความสำคัญ และก็ "หน้าที่" ของวิชาชีพเราดียิ่งขึ้น มีความภาคภูมิใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม และมีความไวต่อความรู้สึกของผู้ป่วยและญาติมากขึ้น เมื่อเรามีความไวต่อสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น เพราะเรา "เข้าใจ" มากขึ้นในงานของเรา ขณะที่เรา "ผิดหวัง" ว่า อ้าว เข้าใจผิด วินิจฉัยผิด หรือทำได้ดีที่สุดแต่ก็ยังไม่ดี ยังไม่หาย ดีกรีของความทุกข์ของเรานั้นเปรียบกันไม่ได้เลยกับของผู้ป่วย ของญาติ ของพ่อแม่คนที่เกี่ยวข้อง

"ความเข้าใจ" เรื่องแบบนี้ เราอาจจะเกิด emotional มากจนบางคนทำงานไม่ได้ แต่บางคนก็จะเติบโต และมีความทะเยอทะยานในการที่จะมุ่งมั่นทำงานได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณค่าความสำคัญของงานของเรามันมากกว่า self appreciation อย่างเดียว มีเรื่อง responsibility to society, เรื่องของ caring เรื่องของคุณธรรมความดีมาประกอบด้วย

สำหรับครอบครัวน้องเฟย เราคงจะหวังว่าเขาจะสามารถทำใจได้ในที่สุด รักษาความทรงจำที่ดีไว้ สามารถมองกลับมาทีหลังได้ว่าเรารู้สึกอย่างไรบ้างกับน้องเฟย และเป็นโอกาสที่ดีอย่างไร ในช่วงเวลาสั้นๆ 4-5 ปี ที่เราได้มีความสุขร่วมกับน้องเฟยในชาตินี้



Posted by : Phoenix , Date : 2006-10-05 , Time : 09:10:40 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 2


   ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ อ่านแล้วเศร้ามากร้องไห้ตามเลย คิดถึงลูกตัวเองขึ้นมาจับใจเลย ขอบคุณสำหรับข้อมูลอาการโรค Enterovirus 71 ด้วยค่ะ กำลังกลัวๆอยู่พอดีค่ะ ขอแสดงความเสียใจอีกครั้งค่ะ คุณพ่อ


Posted by : รัน , Date : 2006-10-05 , Time : 09:11:10 , From IP : 172.29.2.135

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมเสียใจมาก โทษตัวเองว่า เราประมาทอะไรไปรึเปล่า ทำไมเราไม่ส่งเขาไปรพ
บำรุงราษฏร์แต่แรก
เราเห็นว่าประวัติการรักษาทั้งหมดอยู่ที่ รพ กรุงเทพคริสเตีย เขาเกิดที่นี่
ประวัติการรักษาก็อยู่ที่นี่ แต่ที่นี่กลับไม่สนใจลูกผมเลย คุณหมอวรรณี
ก็ได้แต่ส่งเสียงตามสายเท่านั้น ทั้งที่เราก็หาเขาตลอด
ทำไมเขาถึงปล่อยให้ลูกเรานอนรออยู่เฉย ๆ ตั้ง 3-4 ชั่วโมง
จนกระทั่งหมอเวรมาตรวจในตอน
4 ทุ่ม พบว่าเป็นเคสอาการหนัก
คุณหมอวรรณีก็ไม่ได้แวะมาช่วยดูเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้พูดกับเรา
เลย แม้สักคำ มีแต่หมอเวรหนุ่มที่มีความตั้งใจมาก แต่ยังขาดประสบการณ์
มาดูแลน้องเฟยคน เดียว
นับจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ลูกผมนอนรอโดยหาคำตอบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ในไทย หมอเด็ก มีความเสี่ยงในการถูกฟ้องมากกว่า ในอเมริกา ( ไม่รู้ว่า ทำไม )

แถม เวลาถูกเรียกค่าเสียหาย ก็ยาวนานกว่า ( คิดค่าเสียโอกาศที่จะได้ทำงาน ประกอบอาชีพ ได้เงิน มากกว่า ผู้ที่เสียชีวิต ที่เป็น ผู้ใหญ่ )

แล้วหมอเด็ก คนที่ ถูกเอ่ยชื่อ คนนี้ ก็สงสัย จะเหนื่อยแน่( ไม่รู้ว่า ไม่ได้อยู่เวร หรือเปล่า ที่ไม่ได้ลงมาดูเคสเอง)


Posted by : guru , Date : 2006-10-05 , Time : 18:14:24 , From IP : 125.25.63.69

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<