ความคิดเห็นทั้งหมด : 10

ถีงคนที่แต่งงานแล้วและยังไม่ได้แต่ง




   
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วกินใจมาก ลองอ่านและซึมซาบความรู้สึกอย่างช้า ๆ “ เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป.... เธอควรเป็นคนที่จูงมือชั้นออกไป ”

ในวันแต่งงานของผม ผมจูงมือภรรยาของผมในอ้อมแขน รถแต่งงานจอดหน้าที่พักของเรา เพื่อนเจ้าบ่าวบอกผมว่า ผมควรจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้าน ดังนั้นผมจึงทำตาม เธอเขินอายในอ้อมแขนผม
ผมช่างเป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในโลก... นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปี... ในวันถัดๆ มาทุกอย่างก็เหมือนเดิม เรามีลูกด้วยกัน...ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว...
เมื่อเราเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น... ความห่างของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน...

ทุก ๆเช้าเราออกจากบ้านไปด้วยกันแล้วก็ถึงบ้านเวลาเดียวกัน ลูกเราเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ดูเหมือนความรักของเราช่างน่าอิจฉายิ่งนัก... แต่แล้ว ความสงบสุขก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมิได้คาดหมาย....

เจนเข้ามาในชีวิตของผม .... ผมยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน... เจนเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลัง.. หัวใจผมเต้นแรงด้วยความรัก........ ที่นี่...เป็นอพาร์เมนท์ที่ผมซื้อให้เธอ...เธอบอกว่า คุณเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุก คน ถวิลหา... คำพูดของเธอทำให้ผมนึกถึงภรรยาผม... ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ..เธอบอกว่า วันที่ คุณประสบความสำเร็จ ผู้ชายอย่างคุณจะมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา... ผมเริ่มรู้สึกลังเล... ผมรู้ว่าผมกำลัง ทรยศภรรยาผม... แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว.... ผมปลีกตัวออกจากเจน “ วันนี้คุณไปเลือกเฟอร์นิเจอร์เองแล้วกันน๊ะ ผมต้องเข้าออฟฟิศ ” ........ แน่นอน... เธอไม่ค่อยพอใจนัก เพราะผมสัญญากับเธอว่าเราจะ ไปด้วยกัน... ในตอนนั้น...ความรู้สึกถึงการหย่าร้างเริ่มวิ่งเข้ามาในความคิดผม....ทั้งที่จริงๆ แล้วผมไม่เคยมีความคิดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ผมก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะบอกกับภรรยาของผม.... ไม่ว่าผมจะพูดกับเธอดีสักเพียงใด... เธอจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน... จริง ๆ แล้วเธอเป็นภรรยาที่ดีมาก........ ทุก ๆ เย็นเธอจะวุ่นวายกับการ ทำอาหาร..ในขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าทีวี ทานอาหารเสร็จเราก็นั่งดูทีวีด้วยกัน... หรือ... ถ้าผมจะเลือกเป็น...นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์.... มองเรือนร่างอันงดงามของเจน... ช่างเป็นอะไรที่หน้าฝันถึงเสียจริง


วันนึงผมพูดทีเล่นทีจริงกับภรรยาของผมว่าจะเธอจะทำยังงัยถ้าเราหย่ากัน... เธอจ้องมองผมอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...และเธอก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร..เธอ มั่นใจว่าการหย่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเธอมาก...ผม นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเธอรู้ว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง... เธอจะเป็นอย่างไร วันนึงภรรยาผมมาที่ออฟฟิศ...สวนทางกับเจนที่เพิ่งจะออกไปพอดี... พนักงานทุกคนทำหน้าตาเลิกลัก... เหมือนกำลังพยายามซ่อนอะไรบางอย่างจากเธอ.... เธอเหมือนจะรับรู้มันได้........ แต่เธอก็ยิ้มน้อย ๆ กับพนักงานทุกคน....แต่ผมก็สังเกตุเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเธอภายใต้รอยยิ้มนั้น


ในที่สุด...เจนก็บอกกบผมว่า...หย่ากับเธอน๊ะ..แล้วเราอยู่ด้วยกัน..ผมพยักหน้า.... ผมจะลังเลอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว....ผมตัดสินใจบอกภรรยาผมในอาหารค่ำ..ผมมีอะไรจะบอกคุณ... เธอนั่งทานอาหารอย่าง เงียบ ๆ...ผมสังเกตุเห็นแววตาอันเจ็บปวดของเธอ...มันทำให้ผมพูดในสิ่งที่ผมต้องการพูดไม่ออก...แต่ท้ายที่สุดผมก็พูดออกไป...ผมต้องการหย่า...เธอดูไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดออกไปเลย...ผมย้ำกับ เธออีกครั้ง...เธอเขวี้ยงตะเกียบในมือทิ้ง...แล้วตะโกนใส่หน้าผมว่า..คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย...เราไม่ได้คุยกันอีกเลยคืนนั้น... เธอร้องไห้ อย่างหนัก... ผมรู้ว่าเธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงาน ของเรา...แต่ผมเองไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้...เป็นเพราะใจผมได้ให้เจนไปหมดแล้วงั้นเหรอ...ผมคงไม่สามารถบอกเธออย่างนั้นได้..มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก...


ผมร่างสัญญาการหย่าร้างขึ้น...ระบุว่า..เธอเป็นเจ้าของบ้าน...ทุก ๆ อย่างในบ้าน ทั้งรถ... หุ้นบริษัท 30% ผมยกให้เธอหมด.... เธอเหลือบมองกระดาษที่ ผมร่างขึ้น...แล้วฉีกมันทิ้ง...มันทำให้ผมรู้สึก เจ็บปวดมากขึ้น...ผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นระยะเวลาสิบปีกลายเป็นคนแปลกหน้ากันภายในหนึ่งวัน...ผมไม่สามารถคืนคำที่ผมพูดไปได้...เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด...สำหรับผมแล้ว...การ ร้องไห้ของเธอเหมือนเป็นการปลดปล่ยยความสับสนของตัวผมเอง...หลังจากที่ผมกลุ้มใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผม..ในที่สุด...มันก็เป็นรูปธรรมขึ้นมาจริง ๆ เสียทีคืนนั้น...ผมกลับถึงบ้านค่อน ข้างดึก...เห็นเธอเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ..ผมหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเพลีย........ผมตื่นขึ้นมาอีกทีแล้วพบว่า...เธอเขียนเงื่อนไขการหย่าร้างว่าเธอไม่ต้องการสิ่งใดจากผม...แต่เธอต้องการให้ผมให้ เวลาเธอหนึ่งเดือนเพื่อตั้งตัวสำหรับการหย่า...และในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นทุกอย่างต้องดำเนินไปตามปกติ...ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องการให้ลูกจบการศึกษาซึ่งกำลังจะมาถึงเสียก่อน..เธอไม่อยากให้ ลูกต้องเห็นความล้มเหลวในการแต่งงานของพ่อแม่ก่อนเวลานั้นจะ มาถึง...รัชต์..คุณจำได้มั๊ย...วันที่เราแต่งงานกัน...คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดในวันที่เราเข้าเรือนหอ..ผมพยักหน้า..นั่นเป็นความทรง จำที่ดีที่สุดของชั้น...ชั้นมีเรื่องขอร้อง...ชั้นอยากให้คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดจากห้องนอนไปถึงด้านล่างทุกวันนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน ผม ยอมรับด้วยความเต็มใจ...ผมรู้ดีว่า เธอคิดถึงวันดีๆ เหล่านั้น...และเธอต้องการให้ชีวิตการแต่งงานเธอจบลงด้วยความทรงจำที่ดี


ผมบอกเจนถึงเงื่อนไขที่ภรรยาผมตั้งขึ้นในการหย่าร้าง...เธอหัวเราะถึงความไร้สาระของเงือนไข....ภรรยาผมบอกกับผมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม........ เธอจะต้องยอมรับผลของการหย่าร้างให้ได้... คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง....


เราไม่ได้ถูกต้องตัวกันเลยนับแต่วันที่ผมขอเธอหย่า........ความจริงเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำไป...พอถึงวันที่ผมประคองเธอลงจากห้องวันแรก...มันจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก...ลูกชายเราตบมือ แล้วพูดด้วยความดีใจว่า ว้าว... วันนี้พ่ออุ้มแม่ลงจากห้องด้วย....มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น......เธอบอกว่าอย่าบอกลูกเราถึงเรื่องของเรา........ผมพยักหน้า...ด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม...ผมขับรถ ไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์..แล้วเลยไปออฟฟิศ


วันถัดมา...ความรู้สึกขัดเขินเริ่มน้อยลงไป...เธอซบบนอกผม...เราใกล้ชิดกันมากจนผมได้กลิ่นน้ำหอมของเธอ...ผมถึงได้ตระหนักว่า....เธอไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไปแล้ว...เธอเริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น



ในวันที่สาม...เธอกระซิบบอกผมว่าสวนกำลังรื้ออยู่ให้เดินระวังด้วย...ในวันที่สี่........มันช่างเหมือนกับว่าเราเป็นคู่รักที่หวานชื่นมาก...ภาพของเจนเริ่มเลือนลางไป...วันที่ห้าและหก..เธอคอยเตือนผมในเรื่อง เล็กๆน้อยๆ เช่นเธอวางเตารีดไว้ที่ไหน.......ผมควรจะระวังอะไรบ้างตอนทำอาหาร...และอื่นๆ อีกมากมาย...ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้นทุกที...ผมไม่ได้บอกเจนถึงเรื่องนี้เลย........



ผมรู้สึกว่าผมอุ้มเธอง่ายขึ้นทุกวันโดยไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอเลย...หรือบางทีคงเป็นเพราะผมแข็งแรงขึ้น...แต่แล้วผมก็พบว่ามันไม่ ใช่อย่างที่ผมคิด...เป็นเพราะว่าเธอผอมลงจนไม่ สามารถใส่เสื้อผ้าเดิมได้..นั่นต่างหากที่ทำให้ผมอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น ผมรู้ดีว่าเธอพยายามซ่อนความขมขื่นเอาไว้... ลูกของเราร้องขึ้นว่า พ่อได้เวลาอุ้มแม่แล้วน๊ะ........สำหรับลูกแล้ว...การได้เห็นพ่ออุ้มแม่เป็น ภาพที่เขามีความสุขที่สุด....เธอเอื้อมมือไปกอดลูกไว้แน่น...ผมทนมองภาพนั้นไม่ได้จริง ๆ ผมกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย


และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง....ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอด...เท้าผมแทบจะก้าวไม่ออก......เธอบอกกับผมว่า...ความจริงแล้ว........ชั้นอยากให้คุณอุ้มชั้นไปจนเราแก่เถ้า...ผมกอดเธอแน่น........และผมก็ตระหนักว่า.. ชีวิตคู่ของเราขาดการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน...ผมขึ้นรถทันทีเพื่อจะไปยังจุดหมายใหม่..ผมลังเลเล็กน้อย.......แต่ในที่สุดแล้ว..ผมก็มาพบเจนจนได้....เธอเปิดประตูออก........ผมบอกเธอว่า เจน..ผมขอโทษ... ผมจะไม่หย่า....เธอมองหน้าผม แตะหน้าผากผม.. คุณสบายดีหรือเปล่า
เจน...ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริง ๆ... ผมจะไม่หย่ากับภรรยาผม...ชีวิตการแต่งงานของเราน่าเบื่อมันเป็นเพราะผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อย...ผมขาดการเอาใจใส่ในตัวเธอ....มันไม่ ได้ หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน....ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว....ว่าตั้งแต่วันที่ผมอุ้มเธอเข้าบ้าน...เธอมีลูกให้ผม...ผมควรจะประคองเธอไปจนแก่... เจนตบหน้าผมอย่างแรงและกระแทกประตูใส่ผม....ระหว่างทาง กลับบ้านผมแวะร้านดอกไม้......... พนักงานขาย ดอกไม้ถามว่าจะเขียนว่าอะไร....ผมให้เธอเขียนว่า...ผมจะอุ้มคุณทุกเช้าจนกว่าเราจะแก่


Posted by : น้ำฟ้า , Date : 2006-09-12 , Time : 13:28:47 , From IP : 172.29.2.197

ความคิดเห็นที่ : 1


   ร้องไห้เลยค่ะ

Posted by : PARADOX , Date : 2006-09-12 , Time : 13:58:04 , From IP : 172.29.4.133

ความคิดเห็นที่ : 2


   นี่แหละ สิ่งที่กลัวที่สุด ตอนที่เรากำลังจะสบายขึ้น



Posted by : ลูกหมู , Date : 2006-09-12 , Time : 16:54:23 , From IP : 172.29.3.58

ความคิดเห็นที่ : 3


   อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยค่ะ เพราะว่ากำลังจะหย่ากับสามีเหมือนกันค่ะ

Posted by : mama , Date : 2006-09-13 , Time : 09:50:30 , From IP : 172.29.7.228

ความคิดเห็นที่ : 4


   อ่านแล้วอินคะ เข้าใจความรู้สึกนั้นถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้หย่ากับสามีแต่เรารู้สึกว่าเราไม่เข้าใจกันในบางเรื่อง ตอนนี้พยายามนะคะ พยายามนึกถึงวันที่เราแต่งงาน วันที่เราขอฝากชีวิตและครอบครัวไว้กับเขา พยายามนึกถึงคำพูดถึงคนที่ให้พรว่า เวลามีปัญหาให้ใช้หัวใจคุยกัน อย่าใช้เหตุผลคุยกันเพราะต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง แต่ถ้าใช้ความรักและหัวใจคุยกันจะทำให้อะไรดีขึ้น

Posted by : ทะเลใจ , Date : 2006-09-13 , Time : 20:21:43 , From IP : 172.29.7.49

ความคิดเห็นที่ : 5


   
ก่อนแต่งงาน ต้องใช้ดวงตาทั้งสองข้าง มองคนที่เรารัก แต่คนส่วนใหญ่ใช้เพียงข้างเดียว

หลังแต่งงาน ปิดซักข้าง มองเขาหรือเธอ ด้วยตาที่เหลือข้างเดียวก็พอ แต่คนส่วนมาก มักจะใช้ตาทั้งสองข้างเบิกโพลง แถมยังจ้องชนิดไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ

ลำพังสังขาร ของตน ก็เกินรับแล้ว นี่ยังไปแบกของคนอื่นๆอีก เฮ้อๆๆๆ


มีใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า


แต่งงานเมื่อไหร่ กรรมใหญ่ส่งผล เมี่อนั้น


โชคดี


Posted by : pointstoponder , Date : 2006-09-14 , Time : 08:39:55 , From IP : 192.168.49.166

ความคิดเห็นที่ : 6


   น้ำเน่า!!!!!!!!!!!ที่สุด...........
เป็นผมนะ ถ้าผมแต่งงาน การหย่าร้างจะไม่เกิดในหัวผมเด็ดขาด
ในเมื่อตอนรักกันใหม่ๆๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนเลือกว่าดีที่สุดแล้ว ก็ควรยอมรับและเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่พอแก่ตัวแล้ว มองหาคนอื่นที่ดูดีกว่า....
แล้วทำไมไม่ย้อนกลับไปก่อนที่คุณจะเลือก ถ้าคุณรู้ว่าคุณชอบผู้หญิงที่ดูดีตลอดเวลา คุณก็ต้องเลือกที่แต่งตัวสวยๆๆเอาใจใส่สุขภาพตัวเองสิ ร่างกายจะได้ดูดีตลอด
.. ไม่ใช่มาเลือกแบบฉาบฉวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย นึกเพียงว่าตอนสาวดูสวย ตอนนี้แก่แล้วไม่นึกเลยว่าจะเป็นหมูพะโลสามชั้นหรือยายเพิ้ง
...และมองกลับกัน ถ้าผู้หญิงทำกับคุณอย่างนี้บ้างคุณจะรู้สึกอย่างไร???

เข้าใจนะครับการเขียนของผู้เขียนเป็นการระบายอย่างหนึ่งและเป็นการเตือนสติของคนที่กำลังคิดหย่าขาด....แต่ลึกๆก็แสดงถึงการเห็นแก่ตัวของคุณด้วยเช่นกัน มองผู้หญิงที่สวยงามเท่านั้น พอหมดสวยก้หมดรัก เป้นค่านิยมผิดๆของชายไทยกลุ่มสมองไม่พัฒนาเป็น buffalo อยู่ ..คิดได้ก่อนจะทำอะไรบ๊องๆๆก็ดีครับ ยินดีด้วยครับบบบบบบบบ


Posted by : โจรกลับใจ , Date : 2006-09-14 , Time : 10:01:32 , From IP : 203-151-24-21.inter.

ความคิดเห็นที่ : 7


   ในขณะที่ผมเห็นด้วยว่าส่วนใหญ่แล้วการหย่าร้างมักจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะเป็น outcome ของ "ความล้มเหลว" ในชีวิตสมรส ถ้าถามว่าเป็นเรื่องไม่ดี 100% หรือไม่ ก็อาจจะมีข้อยกเว้น (เหมือนเรื่องทุกเรื่องในชีวิต)

บางคู่ที่หย่าร้างอย่าง mature ทางอารมณ์และเหตุผลทั้งคู่ ลงความเห็นว่าการแยกกันอยู่น่าจะเป็นหนทางที่ทั้งคู่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด มากกว่าการทนอยู่ต่อไปอย่างทุกข์ทั้งคู่ ทั้งสองอาจจะไม่มีภาระคือลูก หรือมีแต่ก็โตหมดแล้ว ฯลฯ การเลือกว่าใครจะเป็น companion จวบจนวาระสุดท้ายนั้น ตอนที่เราตัดสินใจ (แต่งงาน) ตอนอายุ 28-30 ปี อาจจะไม่เหมือนกับตอนที่เราอายุ 50-60 ปี เพียงแต่จะให้แยกกันและยังคงความเป็นเพื่อนรักกันได้นั้น ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้

ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้มีเจตนาจะสนับสนุนการหย่าร้าง แต่ผมคิดว่ามีหลายๆคู่ที่ "จำเป็น" ต้องทำนั้น คงมีจำนวนหนึ้งที่ทำเพราะดีกว่าไม่ทำสำหรับทุกฝ่าย เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับทั้งคู่อยู่แล้ว คงไม่จำเป็นที่ต้องถูก label ว่าล้มเหลว หรือตัดสินใจผิดโดยคนที่ไม่รู้สภาพภายในความเป็นจริงของคู่นั้นๆ เพียงเพราะเราคิดว่าเรื่องนี้ (สำหรับเรา) เป็น absolute wrong (ซึ่ง absolute wrong นั้นเป็นอย่างไรก็น่าคิดเหมือนกันว่ามันมีจริงๆหรือไม่สำหรับทุกเรื่อง)



Posted by : Phoenix , Date : 2006-09-14 , Time : 10:26:09 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 8


   ความรักอย่ามองด้วยตา แต่จงมองด้วยใจ

Posted by : ".." , Date : 2006-09-15 , Time : 19:59:54 , From IP : 172.29.7.148

ความคิดเห็นที่ : 9


    ก่อนจะรัก " ความรัก" ไม่เคยมีอยู่
เมื่อรัก "ความรัก" เกิด ขึ้น
"คน"วัน เวลา เปลี่ยน สถานการเปลี่ยน ความรู้สึกเปลี่ยน
"เป็น ธรรมดา"
"ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้"
เมื่อความรักจากไป
ก็ขอให้เข้มแข็งกับชีวิต เหมือนก่อนจะรัก


Posted by : เด็กดื้อ , Date : 2006-09-19 , Time : 18:50:04 , From IP : 202.44.8.100

ความคิดเห็นที่ : 10


   ผู้ชายในเรื่องนี้เห็นแก่ตัวที่สุด และผู้ชายที่เคยเจอ และที่ยังเจออยู่ทุกวันก็เห็นแก่ตัว แต่เป็นคนระเรื่องกับผู้ชายในเรื่องที่อ่าน หวังว่าผู้ชายไม่เห็นแก่ตัวเอง จนลืมนึกถึงผู้หญิงที่คุณบอกว่ารัก

Posted by : pat , E-mail : (pat_si@hotmail.com) ,
Date : 2006-10-08 , Time : 14:15:11 , From IP : ppp-124.120.78.28.re


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<