ความคิดเห็นทั้งหมด : 2

สองพี่น้อง อ่านเรื่องดีๆคลายครียดกันครับ




   สองพี่น้อง [อ่านแล้วซาบซึ้งมากน้ำตาจะไหล]




ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขา ที่***งไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของ ฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่ หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมย เงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อน ๆ ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน "ใครขโมยเงิน ไป" พ่อ ตวาด ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ" พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อ ไว้แล้วพูด ว่า "ผมขโมยเอง ครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉัน อย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบน เก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน "ของคนในบ้านแก เอง แกยังขโมยได้ต่อไป แกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผล เต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูด ว่า "พี่ ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว" ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้า จะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่า เหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้น น้องของฉัน อายุ 8ปี ส่วนฉัน อายุ 11ปี... เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม. ต้น เขาได้รับการตอบ รับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบ ได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับ จากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมาก นะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูด ว่า "แล้วเราจะส่งเสีย ลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า "ผมไม่ต้องการเรียน ต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้ง คู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้านเพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า "ต้องให้น้องได้ เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคง ไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้ม เลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ ได้ ... วันต่อ มาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางาน ทำแล้วจะส่งเงินมา ให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้น น้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉัน อายุ 20ปี ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่ บ้านรวมกับเงินที่น้อง ชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้าง ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึง ปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอก ว่า "มีชาวบ้าน มาหาเธออยู่ข้างนอก แน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็น น้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะ เปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อน พี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมม ออกอย่างนี้ ขืนบอกว่าเป็นน้อง พี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะ พี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้ น้องและพยายามพูดด้วย เสียงเครือๆในลำคอ "พี่ไม่สนใจว่าใคร จะพูดยังไง เธอเป็นน้องของ พี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูด ว่า "ผมเห็นสาวๆ ใน เมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามา สวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้น น้องของฉัน อายุ 20ปี ส่วนฉัน อายุ 23ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้ง แรกฉันสังเกตเห็น ว่าหน้าต่างบ้านที่ เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ ว่า "แม่ไม่ต้องเสีย เงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพา แฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่าง หากวันนี้เค้าขอเลิก งานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาด ตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอก นะและ..."

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบ ประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้า หนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง ตอนนั้น น้องของฉัน อายุ 23ปี ส่วนฉัน อายุ 26ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ใน เมืองหลายครั้งที่สามี ของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไป แล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับ เข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม


น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อ และแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้ น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่ง นี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรง พยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ฉันโกรธมาก จึง ตวาดน้องไปว่า

"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ดูตัวเอง ซิเจ็บเจียนตายอยู่ แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษา ต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทา ว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ฉันบอกกับน้อง ว่า "แต่ที่เธอไม่ได้ เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะ ครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้น น้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉัน อายุ 29ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30ปี เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า "ใครคือคนที่คุณรัก ที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ"

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้อง ต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียนและเดินกลับบ้าน วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือ เพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึง บ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับ ช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ...

นับจาก วันนั้น ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของ ผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ" เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉัน รู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออก มาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่า สิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้น อาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะ คือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณ ไม่รู้จัก ก็ตาม


Posted by : chaman , Date : 2006-08-21 , Time : 12:02:04 , From IP : 172.29.4.37

ความคิดเห็นที่ : 1


   อ่านกี่ทีก็ยังซาบซึ้ง ของเค้าดีจริงๆ

Posted by : กะหร่อง , Date : 2006-08-21 , Time : 18:37:59 , From IP : 172.29.4.145

ความคิดเห็นที่ : 2


   ไม่ชอบเรื่องนี้ แม้ว่าจะชอบความเสียสละแต่ไม่ชอบอ่ะ

Posted by : ไม่มี happy ending บ้างเหรอ , Date : 2006-08-21 , Time : 20:25:55 , From IP : 172.29.4.64

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.003 seconds. <<<<<