ความคิดเห็นทั้งหมด : 50

การแต่งกายของนักศึกษาแพทย์


   ปัจจุบันนักศึกษาแพทย์ แต่งชุดนักศึกษาเหมือนไม่ใช่นักศึกษา กระโปรงสั้นเหนือเข่าไปประมาณ ครึ่งฟุต แถมกระโปรงบานด้วย เวลากัมแต่ละที ลองคิดดูว่าจะเหลืออะไร บางรายกระโปรงแคบก็ผ่าข้างผ่ากลางไปจนเกือบถึงก้น แถมเสื้อก็ฟิตมาก จนปริ เวลาก้มแต่ละครั้งก็ต้องใช้มือปิดที่หน้าอก รักจะโชว์ ก็ไม่ต้องกลัวเห็น ฝ่ายชายก็ทำทรงผมเกาหลี เสื้อฟิต กางเกงใหญ่ สวมร้องเท้ากีฬา ไม่เข้าใจว่าต้องการจะเดินแฟชั่นหรือเป็นนักศึกษา ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังมีระเบียบการแต่งกายของนักศึกษาหรือไม่ เห็นนักศึกษาสมัยนี้แล้ว ไม่แน่ใจว่ามาเรียนหรือมาทำอะไรกันแน่ ผู้ดูแลไม่รู้ว่ากวดขันหรือไม่

Posted by : อดีตนักศึกษาแพทย์ , Date : 2006-07-26 , Time : 22:55:11 , From IP : 172.29.7.240

ความคิดเห็นที่ : 1


   เขาแต่งบางทีก็ไม่ได้ติด ตาม ๆ กันมา สังคม ดารา โฆษณา หนังสือ วารสาร ก็มีกันเกลื่อน เขาก็รับรู้ว่านี้คือปรกติของสังคม หลายคนไม่ได้คิดหรอก ไม่ต้องว่าแต่นักศึกษา คนสอนบางคนก็......

เขาแต่ได้ เราก็ดูไปเลย จ้องเข้าไป ๆ ดีม้า.......


Posted by : ชอบม้า...... , E-mail : (เขาอยากโชว์น่ะ) ,
Date : 2006-07-27 , Time : 12:09:17 , From IP : 172.29.3.245


ความคิดเห็นที่ : 2


   อาจารย์บางท่าน ยังไว้หางเต่า งอกออกมา ดูประหลาดดี
ฮะ ฮะ ฮะ


Posted by : อ่ะ อ่ะ , Date : 2006-07-27 , Time : 12:12:59 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 3


   ดิฉันว่าก็หลายคณะนะคะ ไม่ใช่แต่นักศึกษาคณะแพทย์ อย่างเดียว เหมือนกันทั้งมหาวิทยาลัยนั่นแหละ

กระโปรงผู้หญิง ก็สั้นมาก "ขาขาวๆ ก็พอๆ ไหว แต่บางคนขาลาย" เสื้อนักศึกษาหญิงก็รัดจนแทบหายใจไม่ออก รองเท้าส้นสูงปรีด บางคนยังสวมบราสีดำ โชว์ลายลูกไม้ด้วย หัวใจจะวาย มองไกลนึกว่า "โสเภณีเด็ก"

ผู้ชายเสื้อฟิตซะ นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน ผู้ชายที่สวมเสื้อฟิตนี่คือ กระเทย กับ เกย์ เท่านั้นเดี๋ยวเลยแยกไม่ออกว่า เมโทร หรือว่า กระเทย หรือ เกย์ กันแน่

ไม่รู้ว่าระเบียบการแต่งตัวมันหายไปไหนกันหมดนะคะ แต่ก็ขอบอกว่าเป็นกันทุกแห่ง ที่ กทม. ก็เป็น ม.อ. ก็เป็น แต่ตัวนะแต่งได้ แต่ว่าอย่าให้น่าเกลียดเกินไป


Posted by : อรวี , E-mail : (a_ayu@yahoo.com) ,
Date : 2006-07-27 , Time : 13:10:53 , From IP : 203.188.2.89


ความคิดเห็นที่ : 4


   บางคนนุ่งกางเกงเลลากหางยาว ๆ ๆ เดินในสถานที่ราชการ คิดว่าเหมาะสมไหม ยังไม่ตื่นนอนไม่รู้จะมาเรียน หรือมานอน

Posted by : pk , Date : 2006-07-27 , Time : 13:51:26 , From IP : 172.29.2.147

ความคิดเห็นที่ : 5


   ไม่รู้ว่านักศึกษาแพทย์หรือเชียร์ลีดเดอร์กันแน่

Posted by : สงสัยอีกคน , Date : 2006-07-27 , Time : 16:03:12 , From IP : 210-86-223-212.stati

ความคิดเห็นที่ : 6


   แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีละครับ
เพื่อที่จะให้คำว่ากล่าวตักเตือนเหล่านี้
ได้ออกมาเป็นรูปธรรม
เพราะบางครั้งเราต้องปลูกฝังค่านิยมดี ๆ ให้กับเขา
อย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ย่อมสร้างความมีบารมี
กับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่า หมอ
จริงไหมครับ


Posted by : mac , Date : 2006-07-27 , Time : 20:02:54 , From IP : 172.29.4.220

ความคิดเห็นที่ : 7


   หมอก็คน เอาไรนักหนา


Posted by : อย่ายึดติดเลยโยม , Date : 2006-07-27 , Time : 21:08:43 , From IP : 172.29.9.203

ความคิดเห็นที่ : 8


   เอิ๊กๆ วันนี้เพิ่งเจอที่โรงอาหาร
กระโปรงสั้นจุ๊ด
กะลังนั่งซดซุปเนื้ออยู่ คุณเธอยกขานั่งไขว่ห้าง
ไอ้เพื่อน(ผู้หญิงด้วยนะ)ที่ซดซุปเนื้อถึงขั้นสำลักเลยอ่ะ

ชะแว้บบบ ฟ้าผ่า


Posted by : แปะ , Date : 2006-07-27 , Time : 23:21:58 , From IP : 172.29.4.224

ความคิดเห็นที่ : 9


   เพิ่งเจอเมื่อวานเหมือนกัน นักศึกษาแพทย์หญิงรุ่น ๆ กระโปรงจุ๊ดจู๋ เสื้อรัดติ้ว ส้นสูงปรี๊ด และสยายผมยาวสลวย เหมือนจะแต่งมาโชว์... มากกว่ามาเรียน แต่ขอโทษ หันหน้ามาแล้วผิดหวัง ...

Posted by : น่าจะไปเป็นนางแบบ , Date : 2006-07-28 , Time : 08:24:30 , From IP : 172.29.1.179

ความคิดเห็นที่ : 10


   ถึงคุณความคิดเห็นที่7
จิงๆแล้วหมอก็คน....ใช่ถูกครับ แต่ถ้าหากคุณแต่งเช่นนั้นนอกเวลาเรียน เช่น เวลาคุณไปออร์ก้าหรือมั้งกี้ คงไม่ถูกใครตำหนิเท่าไหร่หรอกครับ
แต่ในขณะที่คุณยังดำรงตนอยู่ในความเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมว่าก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นะครับ เพราะนอกจากบุคลิกที่ควรจะให้ผู้ป่วยไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว
ยังมีประโยชน์อีกหลายๆอย่าง เช่น เวลา CPR การใส่เสื้อรัดๆกระโปรงสั้นๆ คงน่าสงสารน่าดู เวลาทำหัตถการ การไม่มัดผมหรือไว้ผมยาวมากๆก็อาจำให้contaminateได้เช่นกัน การเคาะปอดหรือคลำหน้าท้องเพื่อตรวจถ้าไว้เล็บยาวๆก็คงไม่สะดวกใช่มั้ยล่ะครับ คนเราอยากสวยอ่ะสวยได้ แต่ต้องดูสถานการณ์ด้วยครับ


Posted by : The Saint , Date : 2006-07-28 , Time : 12:25:46 , From IP : 210-86-223-212.stati

ความคิดเห็นที่ : 11


   ตามที่ได้อ่าน และได้เจอในกระทู้หลายๆที่ ก็พบว่ามีเรื่องอย่างนี้บ่อยมาก
และสังเกตได้ว่าก็มีเหตุผลต่างๆนานา มาแสดงความคิดเห็นกัน แสดงให้เห็นว่าทุกคนก็รู้ว่าควรทำอย่างไร และที่ไม่รู้ก็รู้เพิ่มเติม เพียงแต่ว่าข้อมูลที่นำมาแสดงความคิดเห็นและเป็นประโยชน์ ได้ถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสมรึเปล่า
รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย ^^


Posted by : W.S. , Date : 2006-07-28 , Time : 12:42:02 , From IP : 172.29.4.178

ความคิดเห็นที่ : 12


   เมื่อกี้ก็เพิ่งเจอมา แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นนศ.แพทย์หรือเปล่า ชอบใส่เข็มขัดลงไปใต้สะดือ เกือบจะถึง.. แล้ว เห็นแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะสม หรืออาจจะเป็นเพราะเราแก่เกินไปมั๊ง ถ้าเป็นกรณีหลังก็ขอโทษด้วยล่ะกัน

Posted by : คนเจียมตัว , E-mail : (-) ,
Date : 2006-07-28 , Time : 12:43:50 , From IP : 172.29.4.244


ความคิดเห็นที่ : 13


   โสเภณีเด็ก Metrosexual เด็ดหว่ะ

Posted by : น้องปาล์ม , Date : 2006-07-28 , Time : 14:42:04 , From IP : 202.28.179.12

ความคิดเห็นที่ : 14


   หมายถึง นศพ หรือว่า น้อง preclinic อ่ะ

Posted by : anana , Date : 2006-07-28 , Time : 18:00:16 , From IP : 172.29.4.95

ความคิดเห็นที่ : 15


   อืมม

คิดในแง่ดี บางครั้ง เค้าอาจจะเป็นแบบ ตอนเข้ามาปี 1 ผอมมากกกก แล้วต่อมา อ้วนจนใส่เสื้อเดิมแล้วเหมือนรัดติ้วก็ได้นะคะ หรือไม่ เค้าก็อาจจะไม่มีเงินซื้อเสื้อใหม่ ก็ได้นะ แหะแหะ



Posted by : กระป๋องน้อย , Date : 2006-07-28 , Time : 19:17:27 , From IP : 172.29.4.136

ความคิดเห็นที่ : 16


   “ความสุขอย่างหนึ่งของหมอ คือการแต่งตัว เติมสีสัน และเพิ่มความสดใสให้ตัวเอง เช่นวันนี้หมอใส่เสื้อสีเหลือง เพราะเป็นช่วงฉลองครองราช 60 ปีของในหลวง แต่หมอก็ไม่ทิ้งความเปรี้ยว ใส่เข็มขัดเท่ๆ กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท หมอชอบฟังเพลงป๊อป และฮิพฮอพ ช่วยเพิ่มความสุข”


Posted by : หมอพรทิพย์ , Date : 2006-07-29 , Time : 01:58:03 , From IP : 80-43-112-179.dynami

ความคิดเห็นที่ : 17


   กระป๋องน้อย หมายถึงตัวเองหรือเปล่า อิ อิ

Posted by : nigdejavu , E-mail : (nigdejavu@yahoo.com) ,
Date : 2006-07-29 , Time : 02:18:04 , From IP : 172.29.4.122


ความคิดเห็นที่ : 18


   เราว่าเดี๋ยวนี้ น้อง preclinic (บางคน) แต่งตัวไม่เรียบร้อยเลย ทั้งผู้หญิงแล้วก็ผู้ชาย อยากให้ช่วยปรับปรุงด้วย อย่าทำให้เพื่อนที่เค้าทำดีแล้วต้องมาพลอยถูกเหมารวมเพราะน้องเลยนะ น่าจะรู้ตัวกันดีอยู่แล้ว ว่าอย่างไหนที่เรียกว่าสมควรหรือไม่สมควร อยากขอร้องให้อาจารย์ช่วยเข้มงวดขึ้นด้วยค่ะ

Posted by : พี่คนหนึ่ง , Date : 2006-07-29 , Time : 14:23:33 , From IP : 172.29.4.223

ความคิดเห็นที่ : 19


    สวยได้ น่ะครับ ดีมากๆด้วยที่ med ดูสวย ดูหล่อ กัน อยากให้ หล่อและสวยแบบนี้ทุกๆคน แหละครับ อย่างน้อย ผู้ป่วย รึ ญาติ ผู้ป่วยคงมองแล้วสบายใจสบายตาบ้าง เพราะ รพ. จริงๆ แล้วก็ คือศูนย์รวมแห่งความเศร้าหมองเช่นกัน แต่ อย่าลืม น่ะครับ อยากให้สวย ให้หล่อ กัน ให้ถูกที่ ถูกเวลา สิ่งนี้แหละครับที่สำคัญที่สุด ครับ med ทุกๆคน

Posted by : Kim Hon Wu , E-mail : (kingsmrking@hotmail.com) ,
Date : 2006-07-29 , Time : 14:32:38 , From IP : 61.7.160.252


ความคิดเห็นที่ : 20


   ต้องตัดผมทรงมหาดไทย นุ่งโจงกระเบนมาเรียน เพื่อรักษาขนบธรรมเนียม หน้าตาทำให้เอ๋อๆหน่อย ถือหนังสือหนักๆ เยอะๆ ใส่แว่นใหญ่ๆหนาๆ ถ้าสายตาไม่สั้น ก็เอาเลนส์กระจกมาใส่ เวลาเดินให้ก้มหน้าก้มตาอย่าไปมองหน้าใคร เดี๋ยวเกิดใครหน้าตา Sexy เกินไปจะผิดระเบียบ

มาเรียนหมอ อยากจะรักษาคนไข้ เรียนก็หนัก เวลาก็ไม่ค่อยจะมี

เฮ้อ แต่งตัวให้เข้ากับสมัยนิยมก็ไม่ได้

ไปบวชดีกว่าเนอะ

ดาราแต่งตัวแรงกว่านี้เยอะ ยังไม่มีใครทำอะไรได้เลย แถมจะชื่นชม

พอเราเป็น นักศึกษามีแต่คำก่นด่า

พี่อาจจะแก่เกินไปก็ได้ เราอาจจะเด็กเกินไปก็ได้

แต่ ยังไม่เห็นมีใครไปถามคนไข้เลยว่า แบบนี้ชอบหรือเปล่า

พวกหมอๆชอบคิดกันไปเอง ตีตนกันไปเอง รู้ใจคนไข้ รู้ใจคนทั้งโลก เก่งที่สุดในจักรวาล

ถ้าพวกเราโตขึ้นอีกหน่อย เป็นหมอจริงๆ คงไม่แต่งแบบนี้ ขอเวลาสดใสหน่อยเหอะ

ดอกไม้บานแล้วก็เหี่ยว พวกเราก็ต้องโรยราไปตามกาล ใครๆก็เหมือนกัน

ถ้าพี่ไม่สบายใจ คิดเอาไว้ว่า พวกเรา ไม่ได้ทำผิดรัฐธรรมนูญก็แล้วกันน่ะครับ

แค่นี้ก็ดีกว่าผู้นำประเทศบางคน เอาเป็นอันยอมรับได้


จบข่าว



Posted by : Bigboss8 , Date : 2006-07-29 , Time : 15:29:55 , From IP : 203.113.71.200

ความคิดเห็นที่ : 21


   แต่งตัวสวย กับ แต่งตัวโป้ นี่มันต่างกันนะครับ

แต่งตัวเรียบร้อยก็ใช่ว่าจะเชย

ดาราแต่งตัวแรงกว่านี้ แล้วทำไมต้องไปตามดาราด้วยละครับ

อยากให้น้องแยกให้ออกด้วย

ไม่ขออะไรมากขอให้ แต่งเรียบร้อยก็พอ

อีกอย่าง ไอ้บราสีดำ ใส่กับเสื้นักศึกษาสีขาว บางๆ นี้ ขอให้มีเยอะๆ นะครับ อยากดู อิอิอิ


Posted by : กรรชัย , E-mail : (s_umapong@yahoo.com) ,
Date : 2006-07-29 , Time : 17:13:47 , From IP : 203.113.71.108


ความคิดเห็นที่ : 22


   ผมว่ากระทู้นี้ไม่ได้ต้องการจะให้นศพ.ใส่แว่นหนาๆ แบกหนังสือเยอะๆ
เดินเหมือนเต่า ผมหน้าม้าหรอกครับ แต่เราก็ต้องการให้แต่งกายแบบ
ถูกกาละเทศะ อยากสวยก็สวยได้ครับแต่ต้องไม่โป๊ เปลือย ให้เหมาะสม
กับสถานที่และเกียรติของนศพ. ถ้าอยากแต่งแบบฉีกเยอะๆ เสื้อบางๆ
นอกเวลาเรียน หรือนอกโรงพยาบาลก็ไม่มีใครว่าหรอกครับแต่อย่าให้อยู่
ในเสื้อกาวน์เลยครับ มันดูไม่ดีเลย ผู้ป่วยบางคนให้เกียรตินศพ.เหมือน
"หมอ"คนนึงเลยนะครับ


Posted by : The Saint , Date : 2006-07-29 , Time : 18:29:20 , From IP : 203.113.76.71

ความคิดเห็นที่ : 23


   ในฐานะนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งนะคะ
ตอนนี้ยังอยู่ชั้น preclinic อยู่ ก็ขอให้พวกเราได้มีช่วงเวลาสดใสเหมือนกับคณะอื่นๆบ้างเหอะค่ะ
คณะอื่นๆแต่งกันยิ่งกว่านี้อีก ทำไมไม่มีใครว่าบ้าง
(แต่พอเป็น นศพ.ก็ว่ากันจัง) ไม่เถียงหรอกนะคะว่าบางคนก็แต่งตัวไม่เหมาะสมจริงๆ แค่อยากให้ลองมองในฐานะที่คุณๆเป็นวัยรุ่นในยุคสมัยนี้ดูบ้าง บางอย่างที่มันพอรับได้ก็น่าจะหยวนๆกันบ้าง แต่บางอย่างก็เข้าใจค่ะ ว่ามันออกจะมากไปหน่อย จะให้รับก็คงไม่ไหว อยากให้คิดแค่ว่า นศพ.ก้เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่บางครั้งอาจจะมีตามแฟชั่นกันบ้าง อะไรที่พอจะพบกันคนละครึ่งทางได้ก็คงจะดีไม่น้อยนะคะ
แต่ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกความห่วงใยในความปลอดภัยของ นศพ. และภาพพจน์ของการเป็นแพทย์ค่ะ


Posted by : นศพ. บินหลา 1 , Date : 2006-07-29 , Time : 22:34:59 , From IP : 172.29.4.62

ความคิดเห็นที่ : 24


   ความเห็นที่ 20 ครับ

มีอีก 2 อาชีพครับที่คิดอย่างนั้น


Posted by : OmniSci , Date : 2006-07-30 , Time : 07:20:50 , From IP : 172.29.5.191

ความคิดเห็นที่ : 25


   อ่านความเห็นของน้องนะ

แต่ ยังไม่เห็นมีใครไปถามคนไข้เลยว่า แบบนี้ชอบหรือเปล่า

พวกหมอๆชอบคิดกันไปเอง ตีตนกันไปเอง รู้ใจคนไข้ รู้ใจคนทั้งโลก เก่งที่สุดในจักรวาล

ถ้าพวกเราโตขึ้นอีกหน่อย เป็นหมอจริงๆ คงไม่แต่งแบบนี้ ขอเวลาสดใสหน่อยเหอะ

ดอกไม้บานแล้วก็เหี่ยว พวกเราก็ต้องโรยราไปตามกาล ใครๆก็เหมือนกัน

พี่ว่า การที่น้องจะทำอะไร ทำไม ต้องระวังตัวหน่อย ยิ่ง ผู้หญิง อันตราย ต่อ ร่างกาย และ ทรัพย์สินมีมาก ยิ่ง แต่งตัวเหมือน พวกอย่างว่า บางที ไปเดินที่แถวนั้น อาจโดนมาสอบถามราคา หรือ โดนพวกนั้นพาไปใหนต่อใหน คนที่เจ็บตัวก็น้องนั่นเอง และ ของแบบนี้ ขอโทษ เอาไปขังคุก มันก็ไม่หายได้ง่ายๆหรอก


Posted by : เบื่อ , Date : 2006-07-30 , Time : 09:56:54 , From IP : 203.188.45.35

ความคิดเห็นที่ : 26


   กระดานข่าวเป็นเวทีที่น่าสนใจ แม้ประทั่งเรื่องที่อาจจะเป็นแค่พี่ตักเตือนน้อง น้องรัคำตักเตือน ก็สามารถเกิด "บริบท" แตกกิ่งก้านสาขาไปได้

เรื่อง "บริบท" นี้สำคัญ เพราะเป็นตัวกำหนด "บทบาท" ของพฤติกรรม ความคิด หน้าที่ ฯลฯ ได้เยอะมาก และบ่อยครั้งที่คำ "พอเหมาะ พอควร" นั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อทราบว่ากำลังพูดถึงบริบทอะไรอยู่เท่านั้น เช่น เรากำลังพูดถึง "ใคร" นักศึกษาแพทย์ ว่าที่แพทย์ ดารานักแสดง พระ นางแบบ ตำรวจ นักการเมือง เรากำลังพูดถึง "สถานที่" แบบไหน ใน รพ. ใน ward ที่หอพัก ริมชายหาด ข้างสระว่ายน้ำ ใน pub ใน Discotech ในห้องนอน เรากำลังพูดถึง "ทำอะไร" และเรากำลังคิดถึง "ผลกระทบที่ตามมา" อย่างไร ในบรรดาบริบททั้งหมด อย่างหลังสุดคือการคำนึงถึง "ผลกระทบที่ตามมา" เป็นคุณลักษณะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคนที่เติบโตแล้ว คือมี วุฒิภาวะ ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำตามบริบททั้งหมดได้เหมาะสม เป็นการสร้างสรรค์ความก้าวหน้าของบุคลิกภาพ ตัวตนของเรา เกิดการเรียนรู้ว่า "คุณค่า" ที่แท้จริงของเราอยู่ที่ไหน อยู่ที่มีคนรับรู้ว่าเรามี strong sense of fashion ลำหน้าในยุคนี้? อยู่ที่มีคนรับรู้ว่าเราแต่งตัวได้โป๊ที่สุด? อยู่ที่มีคนรับรู้ว่าเรายัง "คิด" ว่าเรายังเป็นเด็กวัยรุ่น เรายังไม่เติบโต เรายังไม่พร้อมจะเติบโต เราไม่ทราบว่าเราจะพร้อมเมื่อไหร่ที่จะเติบโต ฯลฯ และคุณค่าเหล่านี้จะกลายเป็นพื้นฐานระบบความคิด ระบบการตอบสนองเมื่อมีสิ่งเร้า และเป็นบุคลิกภาพของเราในอนาคต ของ "เรา" ในที่นี้ อาจจะ remind อีกครั้งคือ "แพทย์" ในอนาคต

มีอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ "เมื่อไหร่" หรือเวลาที่เหมาะสมที่เราจะ "เริ่ม" สั่งสมบุคลิกคือตอนไหน ปีหน้า อีกสองปี ตอนเป็น extern หรือว่าคืนก่อนวันรับปริญญาดี เราเคยมีกระทู้ว่าด้วยเรื่องการเรียนจริยศาสตร์ มีคนมีความเห็นว่ามาสอนอะไรกันตอนเป็นนักเรียนแพทย์ มันสายไปแล้ว ต้องสอนตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่ตอนเด็กๆ (หรือจริงๆก็ไม่เด็กแล้ว แต่เผอิญสมองยังบอกว่าเรายังเป็นเด็กๆ เรายังวัยรุ่นๆ แบบว่าสะกดจิตตนเองอยู่) เด้กๆควรจะสนุกก่อน ใสก่อน จ๊าบก่อน ยังไม่ต้องเรียนอะไรหนักๆอย่างพวกจริยศาสตร์ คุณธรรม อะไรเทือกนี้หรอก

แลวตกลงเราจะ "เริ่ม" กันเมื่อไหร่ดี?

จริงหรือที่ว่าเด็กๆจะไม่สามารถสนุกได้ ใสได้ จ๊าบได้ และมีจริยธรรม คุณธรรม หรือเริ่มเรียนรู้เข้าใจในสิ่งเหล่านี้ไปพร้อมๆกัน?

จริงหรือที่ว่ามี age-limited to learn จริยศาสตร์ คุณธรรม?

จริงหรือที่ถ้าเราไม่ใส่เสื้อโปร่งแสง + บราดำแล้ว อีก choice คือแว่นหนา เสื้อผ้าเชย เท่านั้น?

และ fashion ที่เรา "ตาม" นั้น "ใคร" เป็นผู้นำให้เรา คนๆนั้นมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง เราจึงอยากจะเลียนแบบ และคิดว่าถ้าเลียนแบบแล้ว เราจะ "เพิ่ม" คุณค่า ความน่านับถือ หรือมี self-respect? (ภาวนาว่าอย่าตอบว่าพวก V ต่างๆนั่น จะเป็นต้นแบบความคิดของพวกเราว่าการแต่งตัวที่แสดงบุคลิกของเราควรจะเป็นเช่นไร)

คนเขียนก็แก่แล้วครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-07-30 , Time : 10:14:37 , From IP : 58.147.113.186

ความคิดเห็นที่ : 27


   ผมว่าเรื่องง่ายๆ

เป็นนักศึกษา แต่งตัวชุดนักศึกษาให้ถูกตามกฏมหาวิทยาลัย เพราะดูเรียบร้อยปลอดภัย

เป็น extern ก็แต่งให้เหมาะสมตามกฏ

เป็น แพทย์ แต่งให้น่านับถือ

สวยได้ ทันสมัยได้ แต่ไม่โป้ ไม่ยั่วยวน แค่นี้ง่ายๆ


Posted by : cccccccc , E-mail : (cccccccccc) ,
Date : 2006-07-30 , Time : 13:36:56 , From IP : 203.113.71.105


ความคิดเห็นที่ : 28


   การแต่งตัวให้ถูกระเบียบ และกาละเทศะ ต่างจากการแต่งตัวเชย ทันสมัย ชุดนักศึกษาก็คือชุดนักศึกษา ชุดอยู่บ้านก็คือชุดอยู่บ้าน ชุดเที่ยวก็เที่ยว ต้องแยกให้ถูกต้องว่าเรากำลังทำอะไร เวลาเรียนไม่ใช่เวลาเดินแฟชั่น เราต้องรู้ว่าเรากำลังทำอะไรกัน
หากต้องการแต่งตัวนำสมัย มีเวลาหลังเลิกเรียน สามารถแต่งได้ เพราะเป็นสิทธิ์ของเรา และคงไม่มีใครว่า


Posted by : พี่พี่ , Date : 2006-07-30 , Time : 22:57:24 , From IP : 172.29.7.232

ความคิดเห็นที่ : 29


   เตือนนิสิต – นักศึกษาใส่เสื้อติ้วที่มาของโรค เด็กไทยห่วงภาพลักษณ์ กลัวไม่สวย ไม่เซ็กซี่มากกว่าห่วงสุขภาพระวังหายใจตื้น – สั้น สมองไม่พัฒนา

ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่าการที่เด็กวัยรุ่นนิยมใส่เสื้อผ้ารัดรูป โดยเฉพาะชุดนิสิต นักศึกษาโดยเลือกขนาดเสื้อที่มีขนาดเล็กมากๆ และต้องมี S หลายๆ ตัวว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่ารูปร่างของผู้สวมใส่เล็ก โดยบางคนอาจสวมใส่เสื้อผ้าที่มี SS (2 เอส) หรือ SSS (3 เอส) หรือ SSSS ( 4 เอส) หรือ SSSSS
(5 เอส) ว่า

เป็นการสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูเซ็กซี่ สวย เป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้าม เพื่อให้ตัวเองเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น อาจจะนำไปสู่การได้โอกาสความก้าวหน้าในชีวิต โดยเด็กและเยาวชนสมัยนี้อยากเข้าสู่วงการบันเทิง เดินแบบ นักแสดง นักร้อง พรีเซ็นเตอร์โฆษณาต่างๆ

บางคนแข่งขันเพื่อกันใส่เสื้อผ้าที่มี S หลายๆ ตัว เพื่อให้เห็นสัดส่วน และทำให้กินอาหารได้น้อยลง และบางคนก็ใช้วิธีลดความอ้วนด้วยการสวมเสื้อที่รัดติ้ว

“วัยรุ่นหรือเยาวชนผู้หญิงจะสนใจความสวยงาม รูปร่างหน้าตา เซ็กซี่ ขณะที่วัยรุ่นหรือเยาวชนชายจะให้ความสำคัญกับอำนาจ ตำแหน่ง เงินทอง จะเห็นว่าวัยรุ่นมักทำตามแบบอย่าง เห็นนางแบบ นักร้องนักแสดงซึ่งต้องผอม เมื่อเสพสื่อมากๆ ก็อยากผอม ไม่ยอมกิน และต้องใช้วิธีอดอาหารเนื่องจากไม่อยากออกกำลังกาย

สื่อตามนิตยสาร หนังสือพิมพ์มีการโฆษณาลดความอ้วน ซึ่งต้องใช้เงิน เมื่อไม่มีเงินก็ต้องใช้วิธีสวมใส่เสื้อตัวเล็กๆ รัดๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องกินอาหาร หรือกินก็กินได้น้อย เสื้อที่รัดมากๆ ช่วงกระดุมจะมีรอยเปิดเป็นช่องทำให้เห็นร่องอกและเสื้อชั้นใน นิสิต นักศึกษาจำนวนไม่น้อยก็ตั้งใจสวมใส่เสื้อลักษณะนี้เพราะต้องการโชว์เรือนร่าง มีการประกวดประชันรูปร่างกัน”

ดร.จิตรา กล่าวอีกว่า ชุดนิสิตนักศึกษาที่รัดมากๆ จะทำให้ผู้สวมใส่หายใจได้สั้นและตื้น บางคนไม่ยอมหายใจ แต่จะกลั้นไว้เป็นช่วงๆ แล้วค่อยหายใจครั้งเดียว จะเห็นว่าลมหายใจไม่สม่ำเสมอ ซึ่งลมหายใจถือเป็นชีวิตของทุกคน เป็นพื้นฐานของชีวิต เมื่อไหร่ที่เราไม่มีลมหายใจเราต้องตาย

การหายใจตื้น สั้น ทำให้นำออกซิเจนไปสู่สมองและเซลล์ทั่วร่างการได้ไม่ทั่วถึง จะนำไปสู่ปัญหาทางร่างกาย ทำให้เหนื่อยง่าย วิงเวียน มึน สมองเบลอ เรียนหรือทำงานไม่ได้ดี ไม่มีสมาธิโดยเฉพาะสมองไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ซึ่งถ้าไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจให้ยาวและลึกอาจจะนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ ได้เกือบทุกโรค

อีกทั้งการสวมเสื้อที่รัดแน่นมากๆ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากการสวมใส่เสื้อตัวเล็ก ทำให้กินอาหารได้น้อยหรือบางคนอาจจะไม่ยอมกินอาหาร

ดังนั้นนิสิตนักศึกษาไม่ควรจะสวมเสื้อตัวเล็ก เพราะจะทำให้หายใจไม่สะดวก จะเกิดผลร้ายต่อร่างกายได้ อยากจะให้หันมาออกกำลังกาย และสร้างแนวคิดใหม่ คนสวยรูปร่างดีต้องเป็นคนที่มีสุขภาพดี แข็งแรง มีกล้ามเนื้อ มากกว่าจะเน้นกันที่ผอมเพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้ยังพบอีกว่าเด็กวัยรุ่นผู้หญิงมักจะเกิดโรคทางจิตที่กลัวอ้วนไม่ยอมกิน นั่นก็คือโรคอะโนเร็กเชีย เนอร์เวอร์ซา (Anorexia Nervosa) ผอม ตัวจะเล็กมาก มีแต่เนื้อหุ้มกระดูก มีผู้ป่วยที่เคยป่วยด้วยโรคนี้ น้ำหนักเพียง 30 กิโลกรัม แต่ก็ยังคิดมากว่าตัวเองอ้วน ไม่ยอมกินอาหารเพราะกลัวอ้วน ให้แพทย์รักษาซึ่งใช้วิธีเปลี่ยนสถานที่ ไม่ให้เห็นกระจก ไม่ให้เห็นเครื่องชั่วน้ำหนัก และปรับเปลี่ยนวิธีการกินอาหารใหม่ ร่างกายเริ่มดีขึ้น แต่วันหนึ่งเห็นเงาตัวเองในน้ำ ซึ่งเริ่มอ้วนขึ้นกว่าเดิม เขาเห็นเงาตัวในน้ำ ซึ่งที่บ้านเขาเป็นโรงงานไสไม้ วิ่งไปที่เครื่องไสไม้ ยอมกิโยตินตัวเองและในที่สุดก็ตาย และโรคบลูลิเมีย เนอร์เวอร์ซา (Bulimia Nervosa) เป็นโรคที่กินไม่ยอมหยุด แต่เมื่อกินแล้วก็ไปอาเจียนออก ทั้งสองโรคนี้เข้าข่ายเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง

“คนที่อดมากๆ โดยไม่ยอมกินอาหาร จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันต่ำ เป็นลมได้ง่าย หน้ามืด อารมณ์หงุดหงิดง่าย นำไปสู่การเป็นโรคจิต อารมณ์จะคุ้มดีคุ้มร้ายระบบในร่างกายแปรปรวน อาการอยากผอมมากๆ จะพบในกลุ่มเด็กวัยรุ่นในเมือง หรือคนทำงานในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ต้องช่วยกันสร้างค่านิยมใหม่ กระแสแนวคิดเน้นกันที่การมีสุขภาพดี มากกว่าจะเน้นกันที่ความอ้วนหรือความผอม สื่อต้องช่วยเปลี่ยนค่านิยมตรงนี้ด้วย”

จาก www.manager.co.th วันที่ 30 กรกฏาคม 2549


Posted by : พี่พี่ , Date : 2006-07-31 , Time : 00:08:26 , From IP : 172.29.7.232

ความคิดเห็นที่ : 30


   Pollination Adaptations
Flowers need to be pollinated. Pollination is the process of moving the pollen grain from the anther of a stamen to the stigma of a carpel. There are a few flowers that can self-pollinate all on their own, but this limits them to inbreeding. Most species rely upon some kind of pollination vector to accomplish pollination. The vector can be any agent that can move pollen from anther to stigma.

There is evidence of water and wind as the pollination vector in certain species, but many species do not depend upon the random or downstream-only pollination pathways offered by these vectors. Indeed such vectors are only useful in situations where large populations of a very limited number of species are present.

Most flowers have evolved to use a "smart bomb" or "magic bullet" vector...animals! These vectors have sensory organs to locate flowers, they have locomotion to get them to the flowers in spite of large spaces between individuals, and they have enough intelligence to remember that they can depend upon a reward if they visit one particular species repeatedly.

Attracting the Pollinator
In order to effectively use an animal pollination vector,

a flower needs to attract the animal for the first visit.

This can be done in one of two ways: visual cues and olfactory cues.



Koning, Ross E. 1994. Plants & Human Affairs. Plant Physiology Information Website.



Posted by : Lucifer , Date : 2006-07-31 , Time : 03:55:02 , From IP : 172.29.4.129

ความคิดเห็นที่ : 31


   Pollination Adaptations
Flowers need to be pollinated. Pollination is the process of moving the pollen grain from the anther of a stamen to the stigma of a carpel. There are a few flowers that can self-pollinate all on their own, but this limits them to inbreeding. Most species rely upon some kind of pollination vector to accomplish pollination. The vector can be any agent that can move pollen from anther to stigma.

There is evidence of water and wind as the pollination vector in certain species, but many species do not depend upon the random or downstream-only pollination pathways offered by these vectors. Indeed such vectors are only useful in situations where large populations of a very limited number of species are present.

Most flowers have evolved to use a "smart bomb" or "magic bullet" vector...animals! These vectors have sensory organs to locate flowers, they have locomotion to get them to the flowers in spite of large spaces between individuals, and they have enough intelligence to remember that they can depend upon a reward if they visit one particular species repeatedly.

Attracting the Pollinator
In order to effectively use an animal pollination vector,

a flower needs to attract the animal for the first visit.

This can be done in one of two ways: visual cues and olfactory cues.



Koning, Ross E. 1994. Plants & Human Affairs. Plant Physiology Information Website.



Posted by : Lucifer , Date : 2006-07-31 , Time : 03:55:05 , From IP : 172.29.4.129

ความคิดเห็นที่ : 32


   ไม่ห็นจะเป็นปัญหาตรงไหน

Posted by : โซดา โค้ก , Date : 2006-08-01 , Time : 04:03:51 , From IP : 61.19.25.2

ความคิดเห็นที่ : 33


   อย่าว่าแต่ นศพ.แล้ว แพทย์บางคนที่ขึ้นมาดูผู้ป่วย โดยเฉพาะนอกเวลา แต่งกางเกงขาสั้นมา เหมาะแล้วหรือ (ควรทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่น้องๆ นะ )

Posted by : อยากแสดงความคิดเห็นด้วย , Date : 2006-08-01 , Time : 05:24:11 , From IP : 172.29.1.163

ความคิดเห็นที่ : 34


   “why people and animals behave the way that they do”

บทวิเคราะห์ชนิดจับแพะชนแกะ...ท่านใดใคร่อ่านเอามันส์...ก็อ่าน...ถ้าอ่านแล้วเกิดความขัดเคืองอารมณ์ก็เลิกอ่านหรือเขียนใหม่เสียเอง … สามารถ ... ติ&วิจารณ์.. เพื่อก่อได้ ห้ามด่าแล้วหาย ... นะจ๊ะ...นะ

ทั้งพืชและสัตว์ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำรงชีวิต “เพื่อ” ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม แต่ก็อย่างที่รู้กันตอนเรียนชีววิทยา ว่า อัตราการเกิดของประชากรโลกมากกว่าอัตราการเพิ่มของอาหารและทรัพยากรบนพื้นโลก สิ่งมีชีวิตจึงจำเป็นต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่ร อด โดยธรรมชาติสิ่งแวดล้อมจะเป็นผู้ที่เลือกตัวที่เหมาะสม Charles darwin เรียกวิธีการนี้ว่า “Natural Selection”

ในบทความนี้จะกล่าวถึง .... การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำรงชีวิต .... ที่เป็น action/reaction ต่อสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า “พฤติกรรม”

พฤติกรรมของสัตว์เกิดจากการตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ที่มีต่อสิ่งกระตุ้นทั้งจากภายนอกและภายในตัวของสัตว์ ซึ่งทำให้มีการแสดงออกในลักษณะต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต
ความสลับซับซ้อนของรูปแบบพฤติกรรมของสัตว์จะขึ้นอยู่กับ compexity ของระบบประสาทที่พัฒนาขึ้นในสัตว์ชนิดนั้นๆ ในแง่วิวัฒนาการ สัตว์ที่มีลำดับขั้นวิวัฒนาการที่สูงกว่าจะมีความสามารถในการเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อการตอบสนองได้มากกว่า โดยพฤติกรรมที่แสดงออกในธรรมชาติของสัตว์ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการอยู่รอด ตลอดจนสามารถคงเผ่าพันธุ์ของสายพันธุ์ของตนเองเอาไว้ได้ทั้งสิ้น

พฤติกรรมสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด และพฤติกรรมการเรียนรู้

การแสดงพฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด หรือ innate behavior นั้นต้องเกิดจากการที่มีสิ่งกระตุ้นที่เหมาะสม โดยอาจจะเป็นเสียง สี กลิ่น รูปร่าง หรือลักษณะการเคลื่อนไหวตลอดจนแรงจูงใจหรือแรงผลักดันภายในต่างๆ เช่น แรงผลักดันให้เกี้ยวพาราสี จับคู่เป็นต้น การทำงานของสื่งกระตุ้นจึงมีความสำคัญต่อการเกิดพฤติกรรมชนิดนี้ เชื่อว่ามีการประสานงานระหว่างระบบประสาทและสิ่งกระตุ้น โดยเชื่อกันว่ามีจุดพิเศษในสมองที่ทำหน้าที่กลั่นกรองและเลือกสิ่งกระตุ้นที่สำคัญและเหมาะสม ทำให้มีการตอบสนองในทางพฤติกรรมต่อมา เช่น type ที่ประทับใจมักจะมีลักษณะ Dark Tall and handsome อย่างไรก็มักจะถูกเร้าได้ง่ายด้วย phenotype อย่างนั้น นาน น้าน นาน จะมี atypical ประเภท ตี๋หล่อ กระตุก innate releasing mechanism สักที เป็นต้น

อีกที่เหลือ คือ พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือ learned/acquired behavior ลักษณะสำคัญคือ
• มีประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรมอย่างถาวร
• มีการแสดงออกของพฤติกรรมซับซ้อนกว่าประเภทแรก
• เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับสมาชิกแต่ละตัวที่จะเรียนรู้แต่ละสถานการณ์ แต่ไม่มีการถ่ายทอดไปยังตัวอื่นๆ ยกเว้นเมื่อมีการคัดเลือกโดยธรรมชาติระยะยาว

พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ยังแบ่งเป็นชนิดย่อยอีกหลายประเภท คือ
• ความเคยชิน
• การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข
• ความฝังใจ
• การรู้จักใช้เหตุผลและประสบการณ์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ที่มีการพัฒนาการสูงสุด สัตว์จะใช้ประสบการณ์ ความทรงจำและการเรียนรู้หลายๆ อย่างในอดีตมาช่วยแก้ปัญหาหรือแสดงพฤติกรรมต่างๆ
พฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีเป็น social behavior ชนิดหนึ่ง เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นก่อนมีการผสมพันธุ์ การแสดงพฤติกรรมนี้ใช้วิธี....การสื่อสารด้วยท่าทาง....มากที่สุด ส่วนการสื่อสารด้วยวิธีอื่นๆ ได้แก่
• การใช้เสียงในการสื่อความหมาย
• สารเคมี เช่น releaser หรือ primer pheromone ที่กระตุ้นให้ร่างกายมี physiologic changesและเกิดเป็น behavior ในเวลาต่อมา
จะใช้ประกอบรองลงมา
สัตว์มีพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีแตกต่างกันออกไป และเป็นสิ่งที่ใช้บอกสายพันธุ์ของสัตว์ได้ การแสดงพฤติกรรมนี้จึงเป็นการป้องกันการผสมข้ามพันธุ์ที่ดีที่สุด

จากหลักการและเหตุผลดังกล่าวอธิบาย
“การสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูเซ็กซี่ สวย เป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้าม เพื่อให้ตัวเองเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น อาจจะนำไปสู่การได้โอกาสความก้าวหน้าในชีวิต”

ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้โดยมีตัวแบบได้แก่ มายาภาพของนักแสดง บทบาทที่เกิดจากจินตนาการ ซึ่งลงรูพอดีกับตะแกรงความคิดเดิมของตัวเองอยู่แล้ว ทำให้เกิดการยอมรับ พยายามเรียนรู้เพื่อจะเลียนแบบในที่สุด
สมการก็คือ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำรงชีวิต ตามกติกาของ natural selection เพื่อผลรวมปลายคือ สามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่ ...คิด... ว่าเหมาะสมต่อการอยู่รอด

เดี๋ยวมาต่อ next episode...


Posted by : Lucifer , Date : 2006-08-01 , Time : 15:42:44 , From IP : 172.29.4.83

ความคิดเห็นที่ : 35


   จากกฎที่ว่าด้วย ...การตอบสนองของเซลล์ประสาทต่อสิ่งเร้าจะเป็นไปตาม “All or none” คือ ใช่หรือไม่เลย... จึงเป็นที่มาของความสำคัญที่ดอกไม้จำเป็นต้องดู “เร้าใจ” ใน first visit แต่กระนั้นดอกไม้ก็ยังคงเป็น ... ดอกไม้ ... pollinator จะหวนกลับมาก็ต่อเมื่อ ... they have enough intelligence to remember that they can depend upon a reward ... if they visit one particular species repeatedly.

ดอกไม้ไม่มีความสามารถในการเรียนรู้ การปรับตัวจึงเป็นการคัดเลือกตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
แต่มนุษย์ต่างออกไป ... เพราะผู้หญิงไม่ใช่ดอกไม้ (แม้ผู้หญิงบางคนจะพยายาม...ที่จะเป็น...) และผู้ชายไม่ใช่แมลง(แม้จะมีผู้ชายบางคน .. เป็น .. ทั้งในระดับ concious subconciuos and unconcious) รูปแบบพฤติกรรมที่นำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ของการสร้างสัมพันธภาพจึงไม่ได้เป็นเพียง innate behavior ซึ่งถูกกระตุ้นด้วย “สิ่งเร้าที่เหมาะสม” เท่านั้น แต่รวมถึงความพึงพอใจใน learned/acquired behavior ด้วย


ดอกไม้บานแล้วก็เหี่ยว พวกเราก็ต้องโรยราไปตามกาล ใครๆก็เหมือนกัน คน พืช สัตว์ ก็เหมือนกัน

ดอกไม้ ... มีหน้าที่ ... ของดอกไม้
ดอกไม้อวดสีสัน ... ล่อแมลง ...

ดอกไม้บางชนิด เหี่ยวแห้งแล้วจึงปรากฏ...เกสร... ให้ลม น้ำ พาไป
เกิดเป็นไม้ต้นใหม่ ให้ดอก ผล ใบ เป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิต

ดอกไม้....ทำหน้าที่...แล้วจึงโรยรา

น้อง ... เปรียบความอ่อนวัยดังความสดใสของดอกไม้ …
นอกจากความพึงพอใจที่จะ ....ได้ ... แต่งตัวให้เข้ากับสมัยนิยม ...
ความสดใส ... ที่อ้างถึง .... “ให้”.... อะไรแก่ใครบ้าง?




PS. เรียนอาจารย์ Phoenix
Comtemplative education คือการศึกษา “ความเป็นจริง = สัจธรรม” ให้รู้จริง เพื่ออธิบาย “ความเชื่อมโยง” ของสรรพสิ่งในธรรมชาติ บทความข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของความพยายามค่ะ
... ที่แย่ก็คือ ...หนูไม่แน่ใจว่า ... รู้จริง...



Posted by : Lucifer , Date : 2006-08-01 , Time : 19:28:12 , From IP : 172.29.4.154

ความคิดเห็นที่ : 36


   มนุษย์มีพัฒนาการอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้แยกกลุ่มออกจากสัตว์อื่นๆ ความซับซ้อนเหล่านี้ไม่ได้การันตีว่าจะแสดงถึงความเจริญทุกประการก็จริง อาทิ การฆ่าเพราะความต่างไม่ใช่เพราะเพื่ออาหาร การมี sex ไม่ได้เพื่อสืบพันธุ์ การทำร้ายผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นเพราะป้องกันภัยตนเอง แต่หลายๆอย่างของความซับซ้อนของมนุษย์นั้นก็แสดงถึงความเจริญก้าวหน้าของ "จิต" ได้

ขณะที่โดยสัญชาติญานดั้งเดิมที่คนอาจจะเกิดความต้องการทางเพศเมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เพศตรงข้ามที่มีรูปภายนอก attractive ส่งผลให้พฤติกรรมการเอาใจ การเอาใจใส่ หรือด้านบวกเกิดขึ้น บางทีมนุษย์อาจจะพิจารณาถึงคุณค่าของตนเองด้านอื่นที่ส่งผลให้ความ attractiveness ของตนเองยั่งยืนกว่ารูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว อาทิ ความงามทางจิตใจ ความคิด ความเอื้ออาทร ดังนั้นมนุษย์ที่มีความก้าวหน้าซับซ้อนมากกว่า อาจจะแสวงหาความงามที่ยั่งยืนนี้ได้จากการพัฒนาตนเอง ให้เวลาในการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ส่วนผู้ที่มีความจำกัดในการพัฒนาด้านเหล่านี้ยังคงอาศัย basic instinct เพื่อเชื่อมโยงความงามตนเองกับรูปลักษณ์ภายนอกต่อไป

นอกจากนี้มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ความซับซ้อนของสมองทำให้ระบบสังคมมันซับซ้อนตามไปด้วย สิ่งที่เกิดตามมาคือความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรากระทำต่อส่วนรวม ไม่เพียงแต่เฉพาะตนเอง คุณลักษณะประการนี้ค่อนข้าง unique ในกลุ่มสัตว์สังคมที่พัฒนา คือการรับผิดชอบแบบ collective เช่น มด ผึ้ง ของมนุษย์ก็มีเรื่องของการเมือง ศาสนา ชาติ กลุ่มวิชาชีพ ตรงนี้เป็น complex อีกขั้นซึ่งจะไม่เกี่ยวกับด้านความ sexy ของต่อมไตอวัยวะภายนอกภายในที่จะโชว์แต่อย่างใด ฉะนั้นเราทำอะไรจึงต้องดูว่ามันกระทบต่อส่วนรวมเช่นไร ความสามารถในการ "มองให้ออก" ถึงคุณค่านามธรรมของส่วนรวมนี้เอง เป็นอีกสัญญลักษณ์ของผู้เจริญแล้ว



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-01 , Time : 21:03:48 , From IP : 124.157.186.184

ความคิดเห็นที่ : 37


   เรื่องเสื้อติ้วกลับมาเป็นเรื่องฮือฮาอีกครั้งหนึ่งเมื่อดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ออกมาระบุว่าการที่เด็กวัยรุ่นนิยมใส่เสื้อผ้ารัดรูป เป็นการสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูเซ็กซี่ สวย เป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้าม เพื่อให้ตัวเองเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น อาจจะนำไปสู่การได้โอกาสความก้าวหน้าในชีวิต โดยเด็กและเยาวชนสมัยนี้อยากเข้าสู่วงการบันเทิง เดินแบบ นักแสดง นักร้อง พรีเซ็นเตอร์โฆษณาต่างๆ

ต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่ากรณีเสื้อแฟชั่นรัดรูปโชว์เรือนร่างนั้นเป็นกระแฟชั่นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายปีทีเดียว และ “ไลฟ์ ออน แคมปัส” เคยสอบถามถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องเสื้อติ้ว กระโปรงเอวต่ำมาแล้วเมื่อปีก่อน จึงขออนุญาตนำกลับมาให้อ่านกันอีกครั้ง




ถูกจับตามองเป็นอย่างมากกับแฟชั่นชุดนิสิตนักศึกษาสมัยนี้ที่ดึงเอาแฟชั่นเสื้อเอวลอย กางเกงเอวต่ำมาผสมผสานกับเครื่องแบบชุดนิสิตนักศึกษาอันทรงคุณค่าแบบเดิมๆ จนออกมาเป็นชุดนักศึกษาแบบเสื้อเข้ารูป กระโปรงเอวต่ำ และได้รับความนิยมจากบรรดานิสิตนักศึกษาสาวทั้งหลายเลือกซื้อหามาสวมใส่กัน


กระแสดังกล่าวทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองไทยหันมาให้ความสนใจกับแฟชั่นชุดนิสิตนักศึกษามากขึ้น พร้อมๆ กับพยายามหาทางแก้ไขแฟชั่นชุดนิสิตนักศึกษาที่ดูไม่เหมาะสม ด้วยวิธีการเรียกมาตักเตือน ชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากชุดนิสิตนักศึกษาที่ล่อแหลม รวมทั้งการรณรงค์ด้วยวิธีการต่างๆ....

“หนูว่าเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่คนรุ่นหนูจะเชื่อตามที่มีการรณรงค์ เพราะ คนรุ่นหนูสมัยนี้ถ้าอยากจะใส่ก็ใส่เลย ต่อให้รณรงค์อย่างไรก็ไม่สนใจหรอกค่ะการรณรงค์ช่วยได้เพียงแค่ทำให้รับรู้รับทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นเท่านั้นเอง แต่ถามว่ามันจะช่วยทำให้คนที่เขาใส่หันมาใส่ชุดที่ดูสุภาพได้ไหม หนูว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะ ถึงอย่างไรเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยก็ใส่แบบนี้กัน”

เป็นเสียงจาก “ฝ้าย วิจิตรา ทักษิณะมณี” นักศึกษาวัย 19 ปีจากมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตให้ทัศนะ พร้อมทั้งแนะนำว่าการแก้ไขเรื่องชุดนิสิตนักศึกษาที่มองแล้วไม่เหมาะสมนั้นน่าจะไปแก้ที่ผู้ผลิตมากกว่าที่จะมาจัดการรณรงค์ เพราะ เวลาไปหาซื้อเจอแต่ที่เป็นกระโปรงเอวต่ำ

เช่นเดียวกันกับฝ้ายสำหรับสาวร่างบาง “นิ - วรรณวิภา ชื่นสงวน” นิสิตจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒบอกนอกจากจะหาซื้อกระโปรงต่ำได้ง่ายแล้ว เรื่องของราคายังเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง

“กระโปรงแบบนี้ราคาไม่แพง ยิ่งถ้าเวลาไปซื้อหลายๆ ตัวก็ได้ลดราคาลงมาอีกแค่ร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง บางทีก็ฝากเพื่อนนี่ล่ะไปซื้อก็เพื่อนที่พักอยู่หอเดียวกันเนี่ยล่ะค่ะ ใครจะไปแถวนั้นถ้าไม่ไปด้วยก็ฝากกันซื้อได้ค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ไม่ได้ด้วย คือกระโปรงแบบนี้จะเหมือนๆ กันทั้งหมด”

“เมื่อก่อนยังมีเอวเดี๋ยวนี้ร้านขายเขาตัดเอวออกก็คือเป็นกระโปรงแบบเอวต่ำเลย ก็จะเผื่อไว้อีกประมาณ 1 นิ้วครึ่งถึง 2 นิ้วก็จะไม่ต่ำมากเกินไป อย่างปกติหนูยาว 23 นิ้วเวลาซื้อก็จะซื้อแบบ 24 นิ้วครึ่งไม่ก็ 25 นิ้วเผื่อถึงสะโพกน่ะค่ะมันจะได้ไม่สั้นเกินไปน่ะค่ะ ถ้ามียาวกว่านี้หนูก็จะซื้อใส่ค่ะ แต่มันไม่มีขาย
ยาวสุดก็ นี่ล่ะประมาณ นี้ล่ะแต่ไม่ค่อยจะมีหรอก”

“สมมติถ้าหนูใส่พอดีเอวไม่ให้เป็นเอวต่ำนะ กระโปรงก็จะสั้นขึ้นมาอีกใช่ไหม? ก็ใส่แบบที่ไม่สั้นแบบน่าเกลียด แล้วก็ต้องไม่เอวต่ำมากเกินไปด้วย”

ในขณะที่ "กิ๊ฟซี่ วนิดา เติมธนาภรณ์" นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ ซึ่งมีคอนเซปต์การแต่งตัวด้วยกางเกงเอวต่ำขาสั้น กระโปรงสั้นกล่าวว่าการแต่งกายบนเวทีเป็นเรื่องของการแสดงบนเวที แต่ถ้าเป็นชุดนักศึกษาแล้วเธอบอกขอแบบไม่เป็นแฟชั่นเกินไปนัก

“โดยปกติแล้วกางเกงเอวต่ำที่ใส่บนเวทีเวลาแสดงจะไม่ต่ำมากถึงขนาดใต้สะดือจนเห็นร่องก้นอะไรอย่างนั้น คือมันอาจจะมีบ้างบางภาพที่อาจหลุดเพราะเป็นการโพสต์ถ่ายภาพแล้วดึงขอบกางเกงมันเลยดูต่ำ หรือเป็นตอนที่เผลอๆ แต่พอมาเรียนก็จะไม่ใส่แบบนั้น"

อย่างไรก็ตามผู้คนในสังคมมองว่าการที่นิสิตนักศึกษาสามารถสวมเสื้อตัวเล็กคับติ้วจนเห็นทรวดทรงได้อย่างชัดเจนรวมทั้งนุ่งกระโปรงสั้น – เอวต่ำ เข้าเรียนได้ ทั้งๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยสามารถที่จะไม่อนุญาตให้นิสิตนักศึกษาที่แต่งกายไม่เหมาะสมเข้าเรียนได้ สะท้อนให้เห็นว่าทางมหาวิทยาลัยให้นิสิตนักศึกษามีอิสระมากจนเกินขอบเขต

รศ.ดร.สุมาลี เหลืองสกุล รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาศักยภาพนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ยอมรับว่ามีนิสิตนิยมแต่งกายไม่เคารพสถาบันจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการสวมเสื้อตัวเล็ก กระโปรงสั้น - เอวต่ำ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนในสังคมมองว่าสถาบันการศึกษาไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง

“ตอนนี้มหาวิทยาลัยไม่อยากใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อสั่งห้ามนิสิต เพราะ เราอยากเห็นนิสิตแต่งกายในชุดที่ถูกต้องด้วยความเต็มใจ ดังนั้นกิจกรรมของฝ่ายพัฒนาศักยภาพนิสิตจึงใช้วิธีการกระตุ้นให้นิสิตแต่งกายถูกต้องโดยนำนิสิตที่แต่งกายถูกต้องถ่ายโปสเตอร์และติดทั่วทั้งมหาวิทยาลัย และต้องยกย่องเชิดชูผู้ที่แต่งกายถูกต้องเหมาะสม”

นอกจากนี้รศ.ดร.สุมาลี ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขเรื่องชุดนิสิตนักศึกษาที่ไม่เหมาะสมด้วยการให้อาจารย์ผู้สอนในวิชาต่างๆ เข้มงวดดูแลนิสิตนักศึกษาของตัวเองให้ดีที่สุด

“อย่างที่ของเราตอนนี้ได้ประชุมอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ที่สอนประจำวิชาในคณะต่างๆ แล้วอาจารย์บางคนอาจใช้วิธีตักเตือน ถ้าเตือนนิสิตไปหลายครั้งแล้วยังไม่เชื่อหรือไม่ยอมปรับปรุงตัวอาจสั่งห้ามไม่ให้เข้าชั้นเรียนหรือไม่ให้เข้าห้องสอบ”

“การออกกฎระเบียบไม่ให้เข้าห้องสอบถือว่าเป็นกฎระเบียบที่ได้ผลอย่างมาก จะเห็นว่าในวันสอบนิสิตทุกคนจะแต่งกายถูกระเบียบ แต่ได้ผลเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ดังนั้นการปลูกฝังให้นิสิตคิดได้ด้วยตัวเองจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายที่ยั่งยืนกว่าการออกกฎระเบียบมาบังคับ”

สอดคล้องกับสาววัยทำงาน “เจี๊ยบ มนฤดี ชยากรวิกรม” พนักงานประชาสัมพันธ์บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งแถวเพลินจิตได้ให้ทัศนะเรื่องดังกล่าวว่า การแต่งกายของนิสิตนักศึกษาไม่น่าจะเกี่ยวกับทางมหาวิทยาลัย

“เรียนถึงมหาวิทยาลัยแล้วก็โตพอที่จะคิดเองได้แล้ว จะไปโทษทางมหาวิทยาลัยก็คงไม่ได้ เจี๊ยบคิดว่าเรื่องแบบนี้อยู่ที่วิจารณญาณของตัวน้องเขาเป็นหลักเลย คือเท่าที่เห็นเด็กสมัยนี้เอาชุดนักศึกษามารวมกับแฟชั่นนี่ดูไม่ดีเลย การที่เราจะสวมชุดอะไรก็ต้องดูด้วยว่ามันเป็นอย่างไร ชุดนิสิตนักศึกษาเป็นชุดสำหรับสวมใส่ไปเรียนก็ควรที่จะเลือกแบบที่ดูเหมาะสำหรับไปเรียน ก็เข้าใจล่ะว่ามันเป็นแฟชั่นแต่
ต้องดูด้วยว่าเหมาะสมไหม ที่จะสวมเสื้อฟิตๆ กระโปรงเอวต่ำเข้าเรียน น้องเขาต้องคิดได้เอง”....

จากผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 1 สิงหาคม 2549


Posted by : นำมาเผยแพร่ เผื่อจะเป็นประโยชน , Date : 2006-08-01 , Time : 21:40:23 , From IP : 172.29.7.76

ความคิดเห็นที่ : 38


   ไม่จำเป็นต้องอ้างถึงหนังสือพิมพ์หรอกครับ
นศพ ก็ คือ คน
และคุณค่าของคนไม่ใช่วัดกันที่ ภายนอก ครับ


Posted by : DreamCatcher , Date : 2006-08-02 , Time : 04:33:23 , From IP : 172.29.4.225

ความคิดเห็นที่ : 39


   ผมคิดว่าคุณ DreamCatcher อาจจะเข้าใจประเด็นของประทู้และบทความต่างๆ ณ ที่นี้ผิดไปนิดหน่อยนะครับ

ปกติเราไม่ควรวัดใครที่ภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้ามีใครจงใจ "ตกแต่ง" ภายนอกตนเองจนเป็นจุดสังเกตต่างหาก ที่เป็นประเด็นว่าควรไม่ควร ดีไม่ดี หรือมีผลกระทบอะไรอย่างไร

ที่มีคนตักเตือนเรื่องราวต่างๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว กิริยามารยาท อุปนิสัยการทิ้งขยะ ฯลฯ ผมคิดว่าเราไม่น่าจะเอาเหตุผลอ้างว่า "นศพ. ก็คือคน" มาเป็น blank cheque คือใช้เมื่อไหร่ก้ได้ ไม่มีขีดจำกัด เพราะภายใน "อาจ" จะดีก็ได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนเองจงใจตกแต่งภายนอกอย่างไม่สมควรนั้นสักหน่อย จึงกลีบมาที่ว่าในเมื่อ "ภายในเราดี" ทำไมจึงควรจะจงใจแต่งภายนอกให้มันดูไม่งามเสียซะหยั่งงั้นละครับ?

เราจะสามารถทำให้คน "ใช้เวลา" กับเรา สรางความสัมพันธ์เพื่อรู้จักคุณค่าภายในของเราว่าเราดีแค่ไหนนั้น บางที first impression หรือความประทับใจจากรูปลักษณ์ก็มีส่วนเหมือนกัน ตอนที่เราเห็นคนไข้เดินเข้ามาหาเราที่ OPD เราก็เริ่มสังเกตหน้าตา อายุ การแต่งตัว กิริยาอาการ การพูดจา ฯลฯ แล้วก็นำเอาข้อมูลต่างๆเหล่านี้เริ่มประเมินคนไข้ ฉันใดก็ฉันนั้น คนไข้เดินเข้ามาหาหมอ ก็เริ่มสังเกตหมอ รูปร่าง หน้าตา ท่าทาง การแต่งตัว อากัปกิริบามารยาท แล้วก็ประเมินหมอ ต่างคนต่างก็ได้ประเมิน เพื่อสร้างวิถีแห่งความสัมพันธ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราก็ไม่ควรจะสร้างอะไรที่อาจจะ misleading เกินไป เช่น (ขออนุญาต exaggerate) ปลดกระดุมเสื้อลงมาสักสองสามเม็ดโชว์บรา (หรือ no-bra) นั่งสูบบุหรี่พ่นควันใส่คนไข้ หรือแต่งตัวโทรมสุด เพราะมันอาจจะเป็นอุปสรรคในการที่เขาจะสร้าง image ของแพทย์ หรือสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแพทย์ ถ้าเกิดสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้อยู่ใน spec ของวิชาชีพของคนทั่วไป หมอคนนั้นอาจจะดีจริง แต่ได้สร้าง "อุปสรรค" ในการสื่อความ "น่าเชื่อถือ" ไปจากอากัปกิริยาการแต่งตัวไปอย่างน่าเสียดาย



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-02 , Time : 06:46:12 , From IP : 124.157.186.184

ความคิดเห็นที่ : 40


   มันจะตายกันหรือไง ถ้าต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเนี้ย โกรธแล้วนะ

Posted by : oo , E-mail : (OOoo@yahoo.com) ,
Date : 2006-08-02 , Time : 09:43:35 , From IP : 203.188.3.21


ความคิดเห็นที่ : 41


   ขออภัยที่ต้องบอกว่า ปัจจุบัน intern หลายๆคนการแต่งกายผมเห็นแล้วรับไม่ได้ก็มีนะครับ อาจารย์ก็คงทราบบ้าง
การแต่งกาย เราก็ต้องแก้กันทั้งระบบ อย่ามาแก้ที่เด็กคนเดียว หรือคณะเดียว มันยากครับ
แม้ว่ามันเป็นสิทธิของคนใส่ แต่ อย่าลืมว่า สิ่งที่แสดงออกมา นั้น มีคำว่าแพทย์ออกมาด้วยนะครับ
อย่าให้เพื่อนร่วมสถาบันต้องเดือดร้อนเลยครับ


Posted by : md , Date : 2006-08-02 , Time : 18:16:47 , From IP : 172.29.4.252

ความคิดเห็นที่ : 42


   มันจะตายกันหรือไง ถ้าต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเนี้ย โกรธแล้วนะ

................

แล้วถ้า

มันจะตายกันหรือไง ถ้าต้องแต่งตัว "ไม่" เรียบร้อยเนี้ย


Posted by : โฮะ , Date : 2006-08-05 , Time : 00:39:05 , From IP : 172.27.201.11

ความคิดเห็นที่ : 43


   Posted by : โฮะ , Date : 2006-08-05 , Time : 00:39:05 , From IP : 172.27.201.11

คุณพูดเหมือน ว่า เรื่องชั่วๆ เลวๆ เป็นเรื่องดีอย่างนั้นแหละ หากคุณเป็น นศพ. จริงคิดว่าคงต้องปรับทัศนคติอย่างใหญ่หลวง แต่ถ้าไม่ใช่ นศพ. ก็สบายใจที่คณะแพทย์ไม่มีคนแบบนี้


Posted by : เสียใจที่ได้ยินแบบนี้ , E-mail : (X) ,
Date : 2006-08-05 , Time : 17:30:14 , From IP : 203.188.3.21


ความคิดเห็นที่ : 44


   เป็นผู้รับบริการที่ รพ.มอ. นะจ๊ะเข้ามาอ่านเจอขอเสนอแนะน้องนศพ.นะจ๊ะการที่เราแต่งตัวสวยไม่จำเป็นต้องฟิต ต้องสั้นหรือรัดติ้ว แต่การที่เราแต่งตัวให้ดูทันสมัย คำว่าแต่งตัวเปรี้ยวไม่ต้องโป๊หรอก ถามพวกผู้ชายดูว่าผู้หญิงแบบไหนควรเป็นคู่ชีวิต ควรเป็นแม่ของลูก ถ้าพี่มีลูกชายคงไม่เอาสาวๆแต่งรัดติ้วสั้นจุ๊ดจู๋มาเป็นสะใภ้หรอก มันเหมือนอาชีพอย่างว่า ไว้น้องโตขึ้นคงคิดได้นะ แต่ถ้าตอนนี้จะบอกว่าเป็นปัญญาชน แล้วคิดได้แค่นี้ไม่น่ามาเรียนหมอนะ ผู้รับบริการอยากได้หมอที่ smart ทั้งภายนอกและsmart brainจ๊ะ ไม่อยากได้หมอโชว์นม ทีหมอพรทิพย์แต่งตัวเปรี้ยว ไม่เห็นว่าท่านจะโป๊เลย

Posted by : jnx , Date : 2006-08-09 , Time : 15:59:06 , From IP : 203.155.94.129

ความคิดเห็นที่ : 45


   เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 44 อย่างมากครับ เห็นบ่อยมาก บางครั้งนึกสงสารพ่อแม่เลยครับ ทำไมต้องทำตัวอย่างงี้ด้วย เคยมองสายตาคนรอบข้าง ตอนที่เขามองบ้างหรือเปล่า พวกผู้ชายบางคนที่มองตามหลัง เขามองและพูดคุยกันในกลุ่ม ว่าเป็น ..... ...............................
น่าคิดนะ ทำให้ตัวเองลดต่ำลงมาได้ถึงขนาดนี้


Posted by : zahn , Date : 2006-08-11 , Time : 14:07:18 , From IP : 172.29.7.36

ความคิดเห็นที่ : 46


   พ่อแม่มิว่าหรือ ทำตัวแบบเนี้ยยย



อิอิอิอิ




Posted by : poison ivy , Date : 2006-08-13 , Time : 00:49:21 , From IP : 203.118.99.162

ความคิดเห็นที่ : 47


   แต่งตัวไม่ให้โป๊ แต่ก้อไม่แต่งให้เชย
มันทำไม่ยากหรอกค่ะ...
ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ควรแต่งตัวให้เรียบร้อยไว้ก่อน
สถาบันเป็นสิ่งที่น่าเทิดทูน ยกย่องและให้เกียรติ
และพี่ก็แน่ใจว่าน้องส่วนใหญ่แต่งตัวได้เหมาะสม
..ตอนนี้พี่เป็นintern การแต่งกายพี่ว่าสำคัญนะคะ
ตอนนี้พี่แต่งตัวได้ตามสบาย อยากใส่แบบไหนก็ได้... แต่รู้สึกว่าเวลาอยู่กับคนไข้ แต่งตัวสวยได้แต่ไม่ควรโป๊ เพราะนอกจากการทำงานเราจะลำบาก แล้ว อาจจะได้รับการมองไม่ดีนะคะ
...ตอนนี้ก็ happy กับการแต่งตัวดี ใส่ให้ถูกกาละเทศะน่ะดีที่สุดค่ะ


Posted by : พี่ , Date : 2006-08-23 , Time : 13:53:48 , From IP : 124.157.186.29

ความคิดเห็นที่ : 48


   โสเภณีเด็ก ผู้หญิงอย่างว่า

Posted by : yahoo , E-mail : (house_ed@yahoo.com) ,
Date : 2006-08-23 , Time : 17:13:27 , From IP : 192.168.60.70


ความคิดเห็นที่ : 49


    อยากให้แต่งตัวโป้กว่านี้

Posted by : แนน , E-mail : (L_ming) ,
Date : 2007-02-19 , Time : 14:14:02 , From IP : 125-24-152-18.adsl.t


ความคิดเห็นที่ : 50


   อยากเห็นสาวๆโป้จังเลย

Posted by : เดียร์ , E-mail : (เดีพาด้เ) ,
Date : 2007-03-19 , Time : 10:08:31 , From IP : 202.143.142.210


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.02 seconds. <<<<<