ความคิดเห็นทั้งหมด : 56

ทำไมเป็นอย่างนี้..


    เพื่อนผมเป็นหมอ รพช. จะ refer case ผู้ป่วย MCA score ประมาณ 2-3 + BP drop หลังใส่ tube แล้ว โทร refer รพ.สงขลา แต่ neuro Sx ลาช่วงนั้น จึงไม่รับต้องโทร refer มอ. โดยโทร refer กับหมอ neuro sx ได้รับคำตอบว่า
1. BP drop ต้องบอก gen sx ด้วย และเหตุการณ์หลังจากนั้น..
2. หลังโทรบอก gen sx ได้คำตอบว่า CT เสืย+ gen sx เตียงเต็ม
ให้ refer ผู้ป่วยไป รพ.สงขลาก่อน (refer เรื่อง BP drop)
3. ผลปรากฎว่า รพ.สงขลา ไม่รับ
4. ต้องโทรไปบอก มอ.อีกว่า รพ.สงขลาไม่รับ มอ.ให้แวะ CT ก่อนส่งมา
5. ในที่สุดได้ส่งคนไข้ไป มอ. แล้วก็ไป arrest ที่ ER มอ.

แล้วเพื่อน รพช.คนนี้ โดนโทรกลับมาต่อว่าเรื่อง..
1. ส่งคนไข้ไปไม่บอกให้เรียบร้อย
2. ทำไมไม่เอา film CT มาให้ด้วย

..........................


Posted by : หมอ รพช. , Date : 2006-07-22 , Time : 18:45:27 , From IP : tot-112-134.pacific.

ความคิดเห็นที่ : 1


   อื่ม...........................น่าคิดๆ

Posted by : cabin_crew , Date : 2006-07-22 , Time : 19:57:36 , From IP : 172.29.4.191

ความคิดเห็นที่ : 2


   ไม่ทราบว่าป็นช่วงไหนครับ
แล้วที่ว่าไม่บอกให้เรียบร้อยนี่อะไรครับเกี่ยวกับเรื่อง associate injury ว่ามีอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่หรือเปล่า
ส่วนเรื่องCT นี่ต่อนไปทำ resucciattion คนไข้ดีหรือยังถ้าคนไข้ไม่ stable คงต้อง resuccitate ก่อนที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้ stable ก่อนจึงจะไป CT ครับ
แล้วโรงพยาบาลชุมชนที่ว่านี่อยู่ใกล้ที่ไหนมากกว่ากันครับระหว่าง มอ กับสงขลา เพราะเท่าที่อ่านดูเดาว่าคนไข้น่าจะมี associate injury อื่นหรือยังไม่ stabl พอน่าจะต้อง resuccitate ให้ดีก่อน
สรุปอยากรู้รายละเอียดมากกกว่านี้ครับ


Posted by : อยากทราบรายละเอียด , Date : 2006-07-22 , Time : 20:24:51 , From IP : 172.29.3.35

ความคิดเห็นที่ : 3


   คืนวันพฤหัสรึปล่าวครับ

Posted by : Edwards , Date : 2006-07-22 , Time : 22:45:31 , From IP : 172.29.7.68

ความคิดเห็นที่ : 4


   ปัญหาอยู่ที่ว่าผู้บาดเจ็บมี Shock
ซึ่งในผู้ที่อยู่ในภาวะ Shock นั้นยังไม่สามารถประเมิน Neurological function ได้ ต้องแก้ไขภาวะ Shock ให้เรียบร้อยก่อนครับ

ถ้าจะแก้ไขกรณีนี้ อันดับแรก แพทย์ผู้ refer จะต้องทราบก่อนว่าในกรณีเช่นนี้ต้องให้ General Surgery เป็นผู้ประเมินก่อนว่ามีภาวะอื่นใด (ที่ไม่ใช่ทาง Neuro) ที่ทำให้ shock อยู่หรือไม่ ถ้ามีก็จะต้องแก้ไขภาวะนั้นก่อนเสมอครับ

เมื่อแพทย์ผู้ refer ไม่ทราบ จึงทำให้การติดต่อสื่อสารเสียเวลาไปมาก คือต้องโทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลสงขลา เพื่อหา Neurosurgeon ทั้งที่จริง ๆ แล้วต้องติดต่อ General Surgeon หรือ (Trauma Surgeon ในกรณีที่โรงพยาบาลมีเวร trauma surgeon) แล้วยังต้องโทรศัพท์มา มอ. ติดต่อ Neurosurgeon อีกครั้ง


ปัญหาก็คือ...


0. โทรศัพท์ไปโรงพยาบาลสงขลา ...ใครรับโทรศัพท์ ? (Neuro. ลา น่าจะเป็น General Surgeon หรือแพทย์เวร ER หรือพยาบาล ?)

ถ้าเป็น General Surgeon รับโทรศัพท์ ก็คงต้องคุยกันให้ทราบว่าผู้บาดเจ็บนั้นอยู่ในภาวะ shock ต้องแก้ไขก่อน ไม่ใช่ให้ตามหา Neurosurgeon แต่เพียงอย่างเดียว ถ้าเป็นแพทย์เวร ER หรือพยาบาลรับโทรศัพท์ ผู้ refer ก็จะต้องแจ้งให้ทราบเช่นกันว่าภาวะนี้เป็นภาวะที่ต้องได้รับการประเมินแบบผู้บาดเจ็บหลายระบบ ไม่ใช่ผู้บาดเจ็บมี GCS ต่ำจาก head injury แต่เพียงอย่างเดียว



1. โทร refer กับหมอ neuro sx ได้รับคำตอบว่า BP drop ต้องบอก gen sx ด้วย...

ถ้า Neurosurgeon ทราบว่าผู้บาดเจ็บมีภาวะ shock สิ่งที่ควรทำคือช่วยประสานให้โรงพยาบาลที่จะส่งมาได้รับความสะดวก ทาง Neurosurgeon ไม่น่าจะต้องให้โรงพยาบาลที่ส่งมาเป็นผู้ติดต่อเอง เว้นแต่ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญและแพทย์ผู้รับ refer ควรจะได้ข้อมูลรายละเอียดที่ถูกต้อง (ซึ่งในกรณีนี้ไม่ใช่เช่นนั้น)

ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าแพทย์ผู้ส่งประเมินอาการผู้ป่วยให้ดีและติดต่อได้ถูกช่องทาง ในกรณีนี้คือต้องคุยกับ General Surgeon ไม่ใช่ Neuro และทาง Neuro เองก็ควรช่วยประสานงาน ไม่ใช่ให้ผู้ refer ต้องดิ้นรนเอง

นอกเรื่อง; ผมเคยต้องโทรศัพท์นับสิบครั้งเพื่อ refer ผู้ป่วยคนหนึ่งไปโรงพยาบาล มอ. ด้วยเรื่อง subarachnoid hemorrhage ...ติดต่อทั้ง med ทั้ง ศัลย์ หาเตียง โทรศัพท์ถามคิว angiogram ทั้ง ๆ ที่ทาง มอ. เองจะทำได้ดีและเร็วกว่าให้คนนอกเป็นคนทำ (ส่วนตัวอยากให้มีการคุยกันเรื่องการ refer ผ่านทางผู้บริหาร เพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาวและทำให้เป็นระบบมากกว่านี้)



2. หลังโทรบอก gen sx ได้คำตอบว่า CT เสืย+ gen sx เตียงเต็ม
ให้ refer ผู้ป่วยไป รพ.สงขลาก่อน (refer เรื่อง BP drop)

ประเด็นนี้เรื่อง CT เสียไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตัดออกไปก่อนได้ ปัญหาจริง ๆ คือเตียงเต็ม (ขอตัดข้อสงสัยว่าเตียงเต็มจริงหรือไม่ออกไป เพราะมีโอกาสน้อยมาก ๆ ที่เตียงจะไม่เต็มแต่ General Surgeon บอกว่าเตียงเต็ม) ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมดโอกาสที่ มอ.จะรับผู้บาดเจ็บรายนี้ได้ เตียงของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (ที่ผ่าน HA แล้ว) อย่างเช่น มอ. ถ้าเต็มก็คือเต็ม ไม่มีเตียงเสริมเหมือนโรงพยาบาลสังกัดสาธารณสุข ที่เสริมเตียงกันเป็นว่าเล่น ทั้งเสริมในตึก ตามทางเดิน หน้าลิฟท์ ฯ

ดังนั้นประเด็นนี้ทาง General Surgeon ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องบอกให้ส่งไปโรงพยาบาลสงขลาอยู่นั่นเอง

ไม่มี choice อื่น คำตอบของประเด็นนี้คือถูกครับ



3. ผลปรากฎว่า รพ.สงขลา ไม่รับ

อยู่ที่ว่าโทรศัพท์กลับไปหาใครที่โรงพยาบาลสงขลาครับ

ถ้ายังหลงประเด็นโดยตั้งโจทย์ว่าเป็น Neuro. Injury แล้วทางโรงพยาบาลสงขลาไม่รับนั้นก็คงต้องโทษปัญหาด้านความรู้และการสื่อสารของทั้งแพทย์ผู้ refer และแพทย์ผู้รับประสานงานที่โรงพยาบาลสงขลา เพราะหากทราบว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขภาวะ shock กันก่อนที่จะประเมิน neuro. sign ก็คงแก้ไขความเข้าใจกันได้ และคงต้องคุยกับทาง General Surgery

แต่ถ้าโทรศัพท์ไปรอบนี้แล้ว General Surgery รับทราบว่าผู้บาดเจ็บยังอยู่ในภาวะ shock แล้วไม่รับผู้บาดเจ็บ อันนี้ก็คงต้องบอกย้ำกับทางสงขลาให้ทราบว่าภาวะเช่นนี้คงต้องรับไว้ ไม่ใช่จะส่งให้ Neurosurgeon

อยู่ที่ว่ารอบนี้คุยกับสงขลาไว้อย่างไรครับ ลองทบทวนรายละเอียดดู



4. ต้องโทรไปบอก มอ.อีกว่า รพ.สงขลาไม่รับ มอ.ให้แวะ CT ก่อนส่งมา

ประเด็นนี้ก็ขึ้นกับข้อมูลที่ให้กับทาง มอ. ว่าผู้บาดเจ็บพ้นภาวะ shock แล้วหรือยัง หรือเพียงโทรศัพท์ไปบอกว่าทางโรงพยาบาลสงขลาไม่รับแต่เพียงอย่างเดียว ทาง มอ.จึงให้ส่งไปทำ CT ก่อนไป มอ. (ต้องดูอีกด้วยว่าคนรับโทรศัพท์เป็นคนเดียวกับครั้งแรกหรือเปล่า และเขารู้หรือเปล่าว่ายัง Shock อยู่)

ถ้าผู้ส่งคิดว่าทาง มอ. คิดว่าผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะ shock อยู่แล้วทาง มอ. ให้ส่งไปทำ CT ก็เป็นความรับผิดชอบของ มอ. (เงื่อนไขมากเกินไป)

แต่ถ้าผู้ส่งไม่ได้แจ้งให้ มอ. ทราบว่ายังอยู่ในภาวะ shock หรือคนรับโทรศัพท์รอบนี้ไม่รู้เรื่องว่าผู้บาดเจ็บรายนี้ยัง shock อยู่ เลยให้ส่ง CT brain ก่อน อันนี้ก็ต้องโทษปัญหาเรื่องการสื่อสารที่ผู้ส่งสารยังไม่สามารถทำให้ผู้รับสารทราบข้อเท็จจริงที่สำคัญได้



5. ในที่สุดได้ส่งคนไข้ไป มอ. แล้วก็ไป arrest ที่ ER มอ.

เป็นภาวะที่เดาได้ครับว่าคงต้องลงเอยทำนองนี้ ปัญหาเกิดจากหลาย ๆ ส่วน

เริ่มจากที่ผู้ refer ก่อน โดยผู้ refer ไม่สามารถประเมินได้ว่าผู้บาดเจ็บต้องการการดูแลจากแพทย์สาขาใด จึงทำให้ต้องโทรศัพท์หลายครั้ง ทำให้เสียเวลา และ resuscitation ยังทำได้ไม่เต็มที่ (อาจเกิดจาก under-resuscitation หรือทำเต็มที่แล้วแต่ผู้บาดเจ็บไม่ response เองก็ได้) ประกอบกับต้องเสียเวลาส่งไปทำ CT อีกด้วย

โรงพยาบาลสงขลาที่รับโทรศัพท์ครั้งแรกควรช่วยประเมินผู้ป่วยว่าภาวะเช่นนี้ต้องได้รับการดูแลจาก General/Trauma Surgeon ไม่ใช่ให้ผู้ refer ต้องติดต่ออีกโรงพยาบาลหนึ่ง เว้นแต่ว่าผู้รับ refer ก็ไม่ทราบเช่นกัน (เป็น extern-intern ?) หรือไม่ทราบว่า shock อยู่

โรงพยาบาล มอ.ก็ไม่ควรให้ไป CT brain ก่อน เพราะผู้บาดเจ็บยัง shock อยู่ ..เหตุผลเช่นเดียวกับย่อหน้าก่อนนี้คือผู้รับโทรศัพท์ครั้งหลังไม่ทราบว่ายัง shock อยู่ ...ไม่ว่าจะเป็น resident general surgery หรือ neurosurgical resident ก็ต้องรู้ว่าไม่ควรให้ทำ CT ถ้ายัง shock



แล้วเพื่อน รพช.คนนี้ โดนโทรกลับมาต่อว่าเรื่อง..
1. ส่งคนไข้ไปไม่บอกให้เรียบร้อย

ลองอ่านรายละเอียดทั้งหมดดูสักรอบนะครับ น่าจะตอบคำถามข้อนี้ได้



แล้วเพื่อน รพช.คนนี้ โดนโทรกลับมาต่อว่าเรื่อง..
2. ทำไมไม่เอา film CT มาให้ด้วย

ผู้บาดเจ็บไป arrest ที่ห้อง CT หรือไป shock ที่ห้อง CT หรือเปล่าครับ เลยต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล มอ. ทั้งที่ยังไม่ได้ film เพราะส่งผู้บาดเจ็บไปทำ CT อย่างนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องรอ film ให้ได้ก่อนนั้นเอง ลองถามรายละเอียดเพื่อนดูนะครับ ถ้าเป็นอย่างที่คิดก็คงสุดวิสัย แต่ถ้าไม่ใช่ก็คงต้องถามกันหน่อยว่าทำไมไม่ให้ film มาด้วย เพระถ้าผู้บาดเจ็บไม่ shock และผ่านการประเมินอาการทาง Neuro แล้วว่าต้องได้ investigation (CT) แล้วไม่มี film มา ก็แทบไม่ต่างอะไรกับไม่ได้ไปทำ CT ครับ (อาจทำ exploratory burr-hole เอาก็ได้ แต่ถ้าทำแล้วเกิดปัญหาก็จะตอบคำถามญาติไม่ได้เช่นกัน)



ผมพยายามมองหลาย ๆ มุมนะครับ เผื่อขาดเผื่อเหลือ เผื่อผิดพลาด เอาเป็นว่าบางเรื่องก็หาคนที่ผิดแบบเต็มร้อยไม่ได้ และก็คงหาถูกแบบเต็มร้อยไม่ได้เหมือนกัน

ส่วนหลัก ๆ ก็คงเป็นเรื่องความรู้และการสื่อสาร เรื่องรองลงมาก็คือระบบ refer ที่คงต้องมีการปรับปรุงกันต่อไปครับ


Posted by : พี่น้อง , Date : 2006-07-22 , Time : 23:09:08 , From IP : 58.147.30.132

ความคิดเห็นที่ : 5


   เห็นด้วยกับคุณพี่น้องครับ ไม่รู้ข้อมูลก็อย่าเพิ่งราดน้ำมันในกองไฟ ขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ
1. เห็นด้วยครับที่ว่าผู้ป่วยถ้าอยู่ในภาวะ shock จะประเมิน neuro sign ลำบาก ที่รพช.ดังกล่าวผมเข้าใจว่าคงมีการ resuscitated เท่าที่ทำได้ไปบ้างแล้ว แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้มี on going bleed ไม่ว่าจะเป็น external หรือ internal ที่รพช.นั่นคงทำไม่ได้ ผมว่าขณะนั้นที่รีบก็คือการแก้ไขภาวะ shock ครับซึ่งอาจจะต้อง refer ไปร.พ.ที่มีศักยภาพที่ทำได้ครับ ซึ่งตรงนี้ก็ยังไม่ต้องการหมอ neuro ศัลย์ น่าจะเข้าได้กับหมอ gen ศัลย์หรือ trauma มากกว่า ที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตคือที่ร.พ.สงขลาซึ่งเป็นสาย refer ของรพช.ดังกล่าวเวลาหมอ neuro ศัลย์ไม่อยู่นั่นแปลว่าแผนกอื่นหยุดงานด้วยหรือเปล่า
2. เวลา refer ผู้ป่วยที่ shock จากสาเหตุ trauma ซึ่งส่วนมากก็เป็น hypovolemic shock จากรพช.มาร.พ.ที่ใหญ่กว่าโดยมีแค่ IV free flow และ พยาบาล refer มันปลอดภัยหรือเปล่าเพราะมีโอกาสที่ผู้ป่วยจะ arrest ได้ตลอดเวลาในรถ refer ไม่จำเป็นหรอกครับที่จะมา arrest ที่ ER มอ.เสมอ
3. ทั้งที่ร.พ.สงขลาและหาดใหญ่ผู้ที่รับสาย refer คือ intern ใช่หรือไม่ (แถมบางทียังได้ยินเสียงหันไปถามพยาบาลข้างๆว่าทำยังไงดีพี่) นั่นเหมาะสมแล้วหรือ
4. ที่มอ.ถ้าบอกว่าเตียงเต็มก็คือเต็มครับ ตอนนี้ ward trauma ล้นแล้ว (refer แต่มอ. เพราะสงขลาไม่รับ case trama ที่มี neuro condition และวันที่ neuro ศัลย์ร.พ.หาดใหญ่ไม่อยู่เวรหาดใหญ่ก็ไม่รับ case ที่มี neuro condition อีก)
5. น่าจะแก้ไขได้แล้วครับที่ว่าร.พ.ศูนย์และร.พ.จังหวัดไม่รับ case สมมติว่าไม่มีร.พ.มอ.แล้วจะเป็นไง ที่อื่นอีก 13 จังหวัดภาคใต้เขาไม่มีร.พ.มหาลัยเขายังดูแล case trauma กันได้เลย สงขลาต่างจากจังหวัดอื่นตรงไหนครับ ผมว่าดีกว่าอีกต่างหากที่มีร.พ.ใหญ่ตั้ง 2 ร.พ. ......มันมีปัญหาที่ตัวบุคคลหรือเปล่า น่าคิดไหม


Posted by : Dr.K , Date : 2006-07-23 , Time : 01:03:16 , From IP : 172.29.9.169

ความคิดเห็นที่ : 6


   มอ. ต้องยอมรับตัวเองบ้างนะ เพื่อนผมอยู่มหาราช เคยโทรติดต่อ refer กว่าจะok คุยกันเป็นร้อยรอบ ตอนแรกไม่รับอีกต่างหาก ถ้าทำเองได้ คงไม่ดิ้นรนส่งไป มอ. หรอก เปลืองน้ำมันรถ

Posted by : m , Date : 2006-07-23 , Time : 12:03:20 , From IP : ppp-124.120.6.81.rev

ความคิดเห็นที่ : 7


   ฟังเหตุผลเขาบ้างครับว่าทำไมไม่รับ อย่าคิดแต่จะกลัวความผิด กลัวโดนญาติฟ้องว่าส่งไม่ได้นะคุณ m

Posted by : Dr.K , Date : 2006-07-23 , Time : 14:44:36 , From IP : 172.29.9.169

ความคิดเห็นที่ : 8


   คุณ m ครับ ที่ว่า รพ. คูพาย (มหาราชนคร นั่นแหละ) refer มากว่าจะ ok เป็นร้อยรอบนี่ case อะไรครับ case neuro หรือเปล่าครับ ที่นั่นมี neurosurgeon 2 คนน่ะครับ แต่ถ้าเป็น case med อาจจะลำบากที่เตียงเต็มครับ ตรงนี้คือ ความเป็นจริงที่ รพ.มอ. ต้องเจอและต้องปฏิบัติครับ มันคือกฏครับ และ รพ. แพทย์ ที่อื่นก็เหมือนกันครับ


Posted by : ผ่านมา , Date : 2006-07-23 , Time : 20:28:17 , From IP : 172.29.1.121

ความคิดเห็นที่ : 9


   `อัตเตหิอัตตาโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าหวังพึ่งมอ.มาก คงต้องรอ มอ.ให้พัฒนาระบบ ให้เหมาะสมกับชื่อที่เป็นโรงเรียนแพทย์ของภาคใต้ก่อน เพราะการจัดการดูผู้ป่วยภายในยังมีปัญหา
มอ.คงต้องยอมรับในส่วนตรงนี้เพราะไม่ใช่รายแรก แต่เป็นรายที่....... และคงมีต่ออีกหลายพันหลายหมื่นราย ตราบเท่าที่ฝ่ายบริหารยังไม่ได้ตระหนักตรงจุดนี้
ควรจัดนโยบาย หลังปริญญาที่พัฒนา แพทย์ใช้ทุน ให้มีจิตใจในการดูแลผู้ป่วย ลดบรรยาการการทำงานที่เอาอารมณ์มาใส่ลูกศิษย์
สวนในมีเน่าบ้างไม่เป็นไรคงต้อง พัฒนาต่อ แต่ส่วนที่ภายนอกเห็น รวมถึงการรับส่งต่อ เป็นพันธกิจที่ระดับตติยภูมิต้องทำ


Posted by : คนเคยอยู่ภายใน มอ. , Date : 2006-07-23 , Time : 22:01:23 , From IP : dynamic-203-107-194-

ความคิดเห็นที่ : 10


   " เพื่อนผมเป็นหมอ รพช. จะ refer case ผู้ป่วย MCA score ประมาณ 2-3 + BP drop หลังใส่ tube แล้ว "
โทษครับ คุณ" หมอ รพช" GCS ที่ 2-3 ไม่มีครับ ต่ำสุดแค่ 3 ครับ E1V1M1 และถ้าไม่รู้ข้อมูลอะไรจริงๆอย่า post กระทู้แบบนี้ครับ คุณทำให้สถาบันเสีบชื่อเสียง แล้วข้อมูลที่คุณได้จากเพื่อน ก็ไม่ตรงความเป็นจริงเลย ผมมองทั้งสองฝ่ายนะครับ ควรจะหารือในระดับผู้บริหารดีกว่าครับ ไม่ควรมาพูดป่าวๆในกระดานข่าว เพราะมันทำให้ภาพรวมขององค์กรแพทย์แตกแยกครับ เราควรมองที่คนไข้เป็นที่หลัก หยุดเถอะครับ


Posted by : ผมรู้เรื่องนี้ , Date : 2006-07-23 , Time : 22:33:44 , From IP : 172.29.7.57

ความคิดเห็นที่ : 11


   แล้วถ้า E1VTM1 เพราะว่าใส่ tube อยู่ ประเมิน verbal response ไม่ได้ จะบอกว่า score 2 ได้รึเปล่าครับ

Posted by : นศพ.สงสัย , Date : 2006-07-23 , Time : 22:56:36 , From IP : 172.29.4.194

ความคิดเห็นที่ : 12


   E1VTM1 GCS=2T จะเป็น GCS= 2 คะแนนเฉยๆไม่ได้คะ

Posted by : คนนอก , Date : 2006-07-24 , Time : 00:25:09 , From IP : 172.29.7.21

ความคิดเห็นที่ : 13


   “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” พระบรมราโชวาท ของสมเด็จพระบรมราชชนก

หวังว่าจะมีการทบทวนเรื่อง
Patient Center
Doctor Center
Hospital Center
Medical School Center

เราจะไปทางไหนกัน และเรามาไกลมากแล้วจากพระบรมราโชวาท


Posted by : ลูกสงขลานครินทร์ , Date : 2006-07-24 , Time : 09:08:28 , From IP : 203.147.36.35

ความคิดเห็นที่ : 14


   เป็น intern และอยู่รพช.เหมือนกันครับ

เห็นด้วยว่าระบบ refer ยังมีปัญหา(ในเวลาฉุกเฉิน)ตรงที่
1. ทางรพช.โทรไปแล้วหากต้องติดต่อแผนกอื่นอีก ก็ต้องวางสายแล้วโทรใหม่ ซึ่งเสียเวลาในการต่อสายมาก (ถึงได้เรียกว่าโทรนับสิบครั้ง)
2. ผู้รับ refer ส่วนใหญ่เป็น intern หรือ extern (ในรพศ. ไม่ใช่ม.อ.) บางครั้งก็อาจจะประเมินคนไข้ได้ไม่ดีพอ พากันดำลงเหว
อันนี้ ก็คงต้องพยายามละเอียด หรือถ้าไม่แน่ใจก็ควรต้องมี staff ให้ consult (โดยที่รพช.ไม่ต้องกะเวลาโทรไปถามอีกรอบว่าจะให้ refer ไปก่อนหรือทำอะไรก่อน)
3. ทางรพ.สงขลาบางทีก็ดื้อดึง เห็นว่ามี neuro condition ก็ไม่รับซะงั้น อ้างว่าไม่มีหมอ เสียเวลาเถียงกัน รับไปก่อนชว่ยประเมินและ refer ต่อไม่ได้หรือ

ไม่มีใครรู้ดีหรือคุมสถานการณ์ได้สมบูรณ์แบบหรอกครับ ก็ควรต้องมีน้ำใจแล้วช่วยๆกันหน่อย

. . .


Posted by : ArLim , Date : 2006-07-24 , Time : 13:34:46 , From IP : 203.156.185.56

ความคิดเห็นที่ : 15


   Arlim พูดได้ดีจิงๆ...

Posted by : dr.x , Date : 2006-07-24 , Time : 14:58:00 , From IP : 125.24.104.16

ความคิดเห็นที่ : 16


   ตอบความเห็นที่ 2
เรื่อง resuscitate ทำอยู่แล้วครับ แต่ถ้เหมือนอย่างที่ ความเห้นที่ 5 ว่า ที่มี ongoing loss ก็ลำบากเหมือนกัน เพราะคงต้องแก้ที่สาเหตุ

ตอบความเห็นที่ 3
ไม่แน่ใจครับว่าวันไหน

ตอบความเห็นที่ 4
- ตอนโทร refer รพ.สงขลา ได้แจ้งให้ทราบว่า refer เรื่อง shock เพราะของ neuro ส่วนใหญ่จะรู้กันว่าวันไหนส่งได้หรือไม่ได้ ปัญหาคือ ทาง gen sx รพ.สงขลา จะไม่รับ case ในกรณีที่มี neuro ร่วมด้วย "อย่างแน่นอน"
- ทาง มอ. บอกให้ CT ก่อน อันนี้ไม่ทราบรายละเอียดจริงๆ ว่า คนที่รับโทรศัพท์ครั้งแรกกับครั้งที่สอง เป็นคนเดียวกันหรือไม่ แต่ถ้าใครที่เคยโทร refer มอ. คงจะรู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน ทำไมถึงต้องวางสายแล้วต่อใหม่ ทำไมต้องคุยเป้นครึ่งชม. กว่าจะได้ refer บางครั้งมีคนไข้อื่นๆ รอตรวจอยู่ แต่หมอต้องรอโทร refer ก่อน

ตอบความเห็นที่ 10
"" เพื่อนผมเป็นหมอ รพช. จะ refer case ผู้ป่วย MCA score ประมาณ 2-3 + BP drop หลังใส่ tube แล้ว "
โทษครับ คุณ" หมอ รพช" GCS ที่ 2-3 ไม่มีครับ ต่ำสุดแค่ 3 ครับ E1V1M1 และถ้าไม่รู้ข้อมูลอะไรจริงๆอย่า post กระทู้แบบนี้ครับ คุณทำให้สถาบันเสีบชื่อเสียง แล้วข้อมูลที่คุณได้จากเพื่อน ก็ไม่ตรงความเป็นจริงเลย ผมมองทั้งสองฝ่ายนะครับ ควรจะหารือในระดับผู้บริหารดีกว่าครับ ไม่ควรมาพูดป่าวๆในกระดานข่าว เพราะมันทำให้ภาพรวมขององค์กรแพทย์แตกแยกครับ เราควรมองที่คนไข้เป็นที่หลัก หยุดเถอะครับ"
- ก่อนโพสต์ ก็นึกอยู่แล้วครับว่า จะต้องมีคนมาโพสต์ ทำนองว่าไม่ควรมาพูดในกระดานข่าว แต่กระดานข่าวเป็นเสียงสะท้อน เป้นที่แสดงความคิดเห็นไม่ใช่หรือครับ ผมต้องการความเห็นจากทุกฝ่าย รวมทั้งจากคุณด้วย พูดตรงๆ ก่อนโพสต์ ก็เตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องมีวิพากษ์ แต่ถ้ารอให้หารือกับระดับผุ้บริหาร จะต้องทำไงครับ ส่งจดหมายถึงผู้บริหารสงขลา/มอ. หรือ? การมาโพสตื ตรงนี้ส่วนหนึ่งต้องการทราบด้วยว่า คนอื่นเคยเจอเหตุการณ์ ทำนองนี้หรือไม่ แล้วแก้ไขกันอย่างไร ต้องการแชร์ความเห็นส่วนนี้มากกว่า
- ขออภัยตรง score แรกรับ 3 ใส่ tube แล้วเหลือ 2t ครับ กระโหลกด้านหน้ายุบด้วย
- ผมไม่มองว่าสถาบันจะเสียชื่อเสียง ถ้าจะมีสถาบันเสียชื่อเสียง น่าจะเป้น รพ. ที่ไม่คิดถึงคนไข้มากกว่า คุณพูดถูกที่ควรมองคนไข้เป็นหลัก ไม่ใช่ต้อง on อยู่บนเงื่อนไขอะไรมากมาย ที่เกินจำเป็นและเสียเวลา

สรุปคือ คิดว่าปัญหามันอยู่ที่ระบบ refer นะครับ ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลเท่าไหร่ เราจะทำยังไง ให้ระบบ refer ดีขึ้น ดีในที่นีหมายถึง ไม่ต้องลำบากใจทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีปัญหาที่ตามมามากมาย คิดว่าควรวางหลักการให้ทุกฝ่ายได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดไป

ขอแค่นี้ก่อนนะครับ




Posted by : จากผู้ตั้งกระทู้ , Date : 2006-07-24 , Time : 16:00:10 , From IP : 203.172.100.192

ความคิดเห็นที่ : 17


   "ไม่มี film มา ก็แทบไม่ต่างอะไรกับไม่ได้ไปทำ CT ครับ "
คนเอาfilm ไป ไม่ใช่หมอ รพช

"3. ทั้งที่ร.พ.สงขลาและหาดใหญ่ผู้ที่รับสาย refer คือ intern ใช่หรือไม่ "
หาดใหญ่ ไม่ใช่ extern หรือ intern
ส่วนสงขลา 95% เป็น intern

"ควรจะหารือในระดับผู้บริหารดีกว่าครับ "
เสียดายที่เคยทำไปแล้ว...

"ไม่ควรมาพูดป่าวๆในกระดานข่าว "
อาจต้องบอกสื่อมวลชนจะได้เป็นกระแส..

เคยคิดเหมือนกันว่าสักวันนึงคงต้องบอกญาติว่า รพ.ใหญ่ๆ เค้าไม่รับครับ ..จนปัญญานะป้า...


Posted by : . , Date : 2006-07-24 , Time : 20:34:30 , From IP : tot-112-134.pacific.

ความคิดเห็นที่ : 18


   อยากให้ญาติคนไข้ อยากให้นักข่าวมาเห็นกระทู้นี้จังวุ้ย

Posted by : โซดา โค้ก , Date : 2006-07-25 , Time : 05:42:25 , From IP : 61.19.25.2

ความคิดเห็นที่ : 19


   คงต้องคุยกันผ่านการประสานงานระหว่างโรงพยาบาลครับ ตอนอาจารย์ไปเยี่ยม ex/intern ก็เคยคุยอยู่บ้างเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์หลักของอาจารย์ที่ไปเยี่ยม ก็เลยได้แต่เปรยให้ฟังบ้าง หรือไม่ก็รอคุยตอนพักทานข้าวเที่ยง

ส่วนหนึ่งผู้บริหารท่านก็ไม่ได้เอาใจใส่อย่างเต็มที่นัก เพราะเป็นปัญหาที่เกิดไม่บ่อย และถือว่าผู้ป่วยไม่ได้ถูกละทิ้งหรือไม่ได้ดูแลผู้ป่วย แต่การไม่ได้รับ refer เป็นเหตุที่แก้ไม่ได้

โรงพยาบาลเล็กก็ลำบากหน่อย เพราะ staff (ส่วนหนึ่งก็เป็นแพทย์ใช้ทุนปีสองหรือสาม) ต้องคุยเอง แต่โรงพยาบาลที่มี ex/intern ก็ง่าย บางทีก็สั่งให้ refer ทางโทรศัพท์เลย staff ไม่ต้องมาดู คนรับ load ก็กลายเป็นเด็ก ๆ ต้องเครียดทั้งที่อาการคนป่วยไม่ดี และเครียดทั้ง refer ไม่ได้

ถ้าไม่คุยกัน สักวันต้องเป็นปัญหาแน่


Posted by : พี่น้อง , Date : 2006-07-25 , Time : 13:02:13 , From IP : 124.157.181.87

ความคิดเห็นที่ : 20


   เคยมีความพยายามจะแก้ปัญหาและมีการคุยต่อเนื่องอีกหลายครั้ง copy มาให้ดู ของเมื่อปี 2547 ได้มีการนำเสนอผู้บริหารทั้งกระทรวงสาธารณสุขและมหาวิทยาลัย



สรุปรายงานการหารือ
ระบบการส่งต่อในสภาวะวิกฤต
วันที่ 7 กันยายน 2547


สรุปเนื้อหาการหารือ
1. ปัญหาในระบบส่งต่อที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ปัญหาในการส่งต่อที่มีปัญหามากนั้นคือปัญหาผู้ป่วยในระยะวิกฤต ทั้งอันเนื่องมาจากสถานการณ์ไฟใต้หรือสถานการณ์ปกติก็ตาม โดยปัญหาที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆที่มีปัญหาในการส่งต่อ ได้แก่
- การไม่มีแพทย์ในสาขาขาดแคลน เช่น Nuero-surgery , Orthopedist เป็นต้น ปัญหาการขาดแคลนแพทย์กลุ่มนี้มีมายาวนาน และไม่มีแนวโน้มที่ความขาดแคลนจะดีขี้น เช่น ปัจจุบันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีแพทย์ Orthopedic เพียง 2 ท่าน และมี Nuero-surgeon เพียง 2 ท่านที่ประจำที่ รพศ.ยะลา
โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลน Neuro-surgeon นั้น มีความขาดแคลนสูงในโรงพยาบาลของภาครัฐ แต่หากนับรวมถึงโรงพยาบาลเอกชนในตัวเมืองหาดใหญ่แล้ว มีจำนวนที่มากพอ ซึ่งหมายความว่าต้องการการบริหารจัดการทรัพยากรทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันในการสร้างระบบการดูแลผู้ป่วยที่ดีที่สุด Neuro-surgeon ส่วนใหญ่ยินดีมาผ่าสมองให้ในโรงพยาบาลของรัฐ โดยได้ค่าตอบแทนตามสมควร แต่สิ่งที่เขาต้องการควบคู่กันคือ คนที่จะรับดูแลหลังการผ่าตัดต่อไป
- การมีเครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ สำหรับ case refer ที่ต้องใส่ endotracheal tube ทำให้เมื่อไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ก็มีการปฏิเสธการรับ refer โดยมักไม่ได้เข้าใจความยุ่งยากของโรงพยาบาลชุมชนในการดูแลผู้ป่วยและครอบครัวในรายนั้นๆ ปัญหาดังกล่าวมีมานาน แต่ไม่ได้รับการแก้ไขโดยภาพรวม ในปัจจุบันโรงพยาบาลสุไหงปาดีมีเครื่องช่วยหายใจของตนเอง หากมี case ก็จะพาเครื่องไปด้วย เมื่อใช้เสร็จก็ขอคืนมาสำรองที่โรงพยาบาล เรื่องดังกล่าว หากมีการบริหารจัดการในโรงพยาบาลใหญ่ ร่วมกับการจัดการงบลงทุนในภาครวมแล้ว น่าจะอยู่ในวิสัยที่จัดการแก้ปัญหาได้
- การไม่มีเตียงว่างในแผนกนั้นๆที่จะรับผู้ป่วยไว้ดูแลรักษา แม้ว่าจะมีเตียงว่างในแผนกอื่นก็ตาม ซึ่งมักจะเป็นปัญหาในกรณีที่มีความจำเป็นต้องส่งต่อมายังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ส่วนโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขนั้นไม่มีปัญหา เพราะเป็นระบบเสริมเปลได้หากเตียงเต็ม
- ผู้ป่วยที่มี Multiple Trauma หรือ Multiple Systemic Involvement ที่มีพยาธิสภาพในหลายระบบ บ่อยครั้งที่แพทย์ผู้ส่งต่อจากโรงพยาบาลชุมชน ต้องประสานภายในกับแพทย์เฉพาะทางแต่ละสาขาด้วยตนเอง ซึ่งทำให้เสียเวลาในการส่งต่อมาก ทั้งๆที่การประสานภายในควรเป็นบทบาทหน้าที่ของแพทย์ที่ ER ของโรงพยาบาลที่รับ refer
ดังนั้น ด้วยความไม่พร้อมที่จะรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิหรือตติยภูมิ ทำให้แพทย์ในโรงพยาบาลชุมชน ต้องใช้เวลามากในการโทรประสานเพื่อส่งต่อผู้ป่วย จากโรงพยาบาลแรกที่ไม่รับด้วยข้อจำกัดบางอย่าง ไปสู่โรงพยาบาลแห่งที่ 2 ที่มีเหตุผลที่ไม่รับต่างออกไป บางครั้งต้องโทรศัพท์ถึงโรงพยาบาลที่ 5 –6 จึงมีการตอบรับ จึงจะสามารถส่งต่อผู้ป่วยไปได้ ท่ามกลางความไม่เข้าใจของญาติว่า ทำไมโรงพยาบาลถึงส่งช้ามาก และมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ป่วย ทำให้ได้รับการดูแลต่อโดยแพทย์เฉพาะทางที่ล่าช้าเกินไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

2. แนวคิดในการแก้ปัญหา
เพื่อลดความกดดันของแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชน จึงควรจะกำหนดให้มี ศูนย์ประสานการรับส่งต่อ ภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งรับผิดชอบ 6 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา พัทลุง สตูล เพื่อเป็นศูนย์ประสานที่สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องของสถานการณ์ด้านเตียง แพทย์ เครื่องมือ ในแต่ละรพ.ที่มีศักยภาพที่จะรับผู้ป่วยได้ เพื่อให้ "แพทย์" ในรพ.ชุมชนหรือรพ.ระดับทุติยภูมิ ได้ข้อมูลว่าจะสามารถติดต่อโดยตรงในกรณีฉุกเฉินกับโรงพยาบาลใดที่จะเสียเวลาในการโทรส่งต่อน้อยที่สุด ในอนาคตศูนย์นี้จะขยายหน้าที่ จนไปถึงแก้ปัญหา การส่งต่อส่งกลับด้วย
โดยมีพันธกิจ คือ
1. เน้นระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินในขั้นแรก
2. ในระยะเริ่มต้น ควรเริ่มโดยรวมอย่างน้อย 3 จังหวัดภาคใต้ ตอนล่าง และสงขลา
3. สร้างความยอมรับจากแต่ละรพ.ที่รับการส่งต่อ
4. หาทางแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง โดยประสานการใช้ทรัพยากรจากโรงพยาบาลเอกชน
5. สร้างองค์กรที่สามารถแก้ปัญหา โดยพึ่งระบบการเป็นมิตร ( Informal ) และระบบราชการ ( formal )ควบคู่กัน

ภาระกิจ (ในระยะแรกเน้น อุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน)
1. ประสานการดำเนินการระบบส่งต่อใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคใต้ตอนล่าง
2. ประสานข้อมูลการรับ-ส่งต่อ และการส่งกลับ
3. แก้ปัญหาการส่งต่อ และดำเนินการรับส่งต่อ ภายใต้ข้อกำหนดของคณะกรรมการศูนย์ประสานการรับส่งต่อ




องค์กรหลักประสานการรับส่งต่อ
เนื่องจากทุกจังหวัดในขณะนี้ได้มีระบบการรับผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน ณ.จุดเกิดเหตุ หรือ 1669 อยู่แล้ว ดังนั้น น่าจะสามารถใช้ความพร้อมของระบบ 1669 ให้รับภารกิจนี้เพิ่มเติมด้วย อันจะทำให้การทำหน้าที่ต่อยอดจากบทบาทของ 1669 ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับการจัดวางระบบนั้น มีข้อเสนอแนะดังนี้
1. 1669 โรงพยาบาลหาดใหญ่ พัฒนาเป็นศูนย์ประสานการรับส่งต่อ ภาคใต้ตอนล่าง มีหน้าที่ในการประสานข้อมูลภายในจังหวัดสงขลา และประสานขอข้อมูลจาก 1669 ของแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานกลางของทุกจังหวัดในภาคใต้ตอนล่าง
2. 1669 โรงพยาบาลยะลา ปัตตานี นราธิวาส สุไหงโกลก เบตง (สตูล พัทลุง) เป็นผู้ประสานภายในจังหวัด แล้วแจ้งรายงานให้กับ 1669 ของโรงพยาบาลหาดใหญ่

แนวทางการดำเนินงานของศูนย์ประสานการรับส่งต่อ (1669 หาดใหญ่)
1. จัดตั้งทีมงานรับส่งข้อมูล ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมอุปกรณ์สื่อสารประจำศูนย์ 1669 (โดยจะกำหนดเบอร์โทรศัพท์ใหม่)
2. ทุกเช้า - เย็น ศูนย์ประสานการรับส่งต่อ จะโทรติดตามจากศูนย์ประสานในแต่ละจังหวัด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Neuro-surgery, Ortho, เตียง Admit, Ventilator
3. ทุกเช้า - เย็น ศูนย์ประสานการรับส่งต่อดำเนินการเช่นเดียวกับ 2 กับ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์และโรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการ
4. โรงพยาบาลต่างๆ เมื่อประสงค์จะส่งต่อสามารถโทรศัพท์ขอข้อมูล ความพร้อมสถานพยาบาลจากศูนย์ประสานการรับส่งต่อ(หาดใหญ่)ได้ หากติดต่อสถานพยาบาลที่ได้รับข้อมูลแล้วยังมีปัญหา ให้แจ้งกลับศูนย์ประสาน จะเป็นตัวกลางดำเนินการแทน
5. ศูนย์ประสานจะดำเนินการแก้ปัญหาภายใต้คณะกรรมการระดับเขต โดยข้อกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ และสถานพยาบาล รับดูแลเบื้องต้น ภายใต้แนวคิดรับไว้แล้วจัดการให้

กลไกการดำเนินการ
แกนนำ 1.ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข
2. คณะกรรมการดำเนินการ จากแกนนำของทีมต่าง ๆ โดยกำหนดให้มี
ผู้ทำหน้าที่ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
ทีม ประกอบด้วยตัวแทนจาก 1669 ของแต่ละจังหวัด (หัวหน้าศูนย์และเลขา)
องค์กรที่จะมีส่วนร่วม ในเบื้องต้น
รพ. สงขลานครินทร์,รพ.หาดใหญ่, รพ.เอกชน, รพ.สงขลา, รพ.ยะลา, รพ.ปัตตานี, รพ.นราธิวาส, รพ.เบตง, รพ.สุไหงโก-ลก (รพ.พัทลุง, รพ.สตูล),
รพ. ชุมชนในจังหวัดต่าง ๆ



บทสรุป
การมีศูนย์ประสานงานกลางเพื่อการส่งต่อนั้น จะสามารถช่วยให้เกิดความราบรื่นลงตัวในการส่งต่อผู้ป่วยได้มากขึ้น และจะทำให้มีระบบการเก็บข้อมูลการส่งต่อได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์และวางระบบที่มั่นคงต่อไป








Posted by : อดีตหมอ รพช. , Date : 2006-07-25 , Time : 15:34:16 , From IP : 203.147.36.34

ความคิดเห็นที่ : 21


   ตอนอยู่มอ ก็ไม่เข้าใจปัญหาค่ะ
แต่ตอนนี้ออกมาอยู่ข้างนอกก็เริ่มเข้าใจค่ะ
ถ้า on ETtube referไม่เคยได้เลยค่ะ สิ่งที่พยายามทำคือพยายาม try wean
ให้ได้ค่ะ...แต่บางครั้งคนไข้ก็จำเป็นในการ managementทีมอ รพศูนย์ทำไม่ได้
ตอนนี้พยายามเต็มที่แล้วค่ะ
รู้สึกอาการคนไข้จะแย่ลง...สงสารค่ะ...พูดไม่ออก
หลายๆอย่าง...คิดว่าถ้าได้ไปเร็วกว่านี้ยิ่งดีค่ะ
(ตอนนี้ไม่ได้โทรreferแล้ว เพราะมอบอกว่าเตียงเต็ม และคงมีแนวโน้มไม่ได้ เพราะมีcase หลังOR จองเตียงทุกวันค่ะ)
ระบบคงยังมีปัญหา..จริงๆค่ะ
ไม่อยากโทษฝ่ายไหน..



Posted by : หมอใหม่ , Date : 2006-07-27 , Time : 21:27:26 , From IP : 124.157.246.146

ความคิดเห็นที่ : 22


   อ่านความเห็นที่ 5 นะ

3. ทั้งที่ร.พ.สงขลาและหาดใหญ่ผู้ที่รับสาย refer คือ intern ใช่หรือไม่ (แถมบางทียังได้ยินเสียงหันไปถามพยาบาลข้างๆว่าทำยังไงดีพี่) นั่นเหมาะสมแล้วหรือ
4. ที่มอ.ถ้าบอกว่าเตียงเต็มก็คือเต็มครับ
ตอนนี้ ward trauma ล้นแล้ว (refer แต่มอ. เพราะสงขลาไม่รับ case trama ที่มี neuro condition และวันที่ neuro ศัลย์ร.พ.หาดใหญ่ไม่อยู่เวรหาดใหญ่ก็ไม่รับ case ที่มี neuro condition อีก)
5. น่าจะแก้ไขได้แล้วครับที่ว่าร.พ.ศูนย์และร.พ.จังหวัดไม่รับ case สมมติว่าไม่มีร.พ.มอ.แล้วจะเป็นไง ที่อื่นอีก 13 จังหวัดภาคใต้เขาไม่มีร.พ.มหาลัยเขายังดูแล case trauma กันได้เลย สงขลาต่างจากจังหวัดอื่นตรงไหนครับ ผมว่าดีกว่าอีกต่างหากที่มีร.พ.ใหญ่ตั้ง 2 ร.พ. ......มันมีปัญหาที่ตัวบุคคลหรือเปล่า น่าคิดไหม

Posted by : Dr.K , Date : 2006-07-23

เผอิญ อ่าน 2 รอบแล้ว ยังไม่เห็นว่า เคสนี้ รพ หาดใหญ่ เข้ามามีส่วนร่วม ตรงใหนเลย
และ เคยอยู่ จังหวัดเชียงใหม่
รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ที่เป็นของ คณะแพทย์ มช. รับเคส เหมือน โรงบาล ศูนย์ เรื่องเตียง ไม่ค่อยไม่มี วันที่ไม่เต็ม นอนล้นมาที่ลิฟต์เสมอ จนบางที วอร์ด ศัลย์ ชาย 1 และ 2 มี เตียงเสริม มานอนติดๆ กัน
และ ถ้าคิวผ่าตัดเต็ม เคสใหน เบา พอจะรอได้ หรือ ส่งไปผ่า รพ.ขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆ เช่น นครพิงค์ ลำพูน มช. ก็เป็นคนประสานให้ที่นั่น มารับ เพราะ รพ. นครพิงค์ ก็มี นักศึกษา จาก มช. และ เอกเทอร์น ไปอยู่ที่นั่นด้วย ถือว่า ได้ให้ ลูกศิษย์ ตัวเองได้มีเคส เรียน เพื่อนๆ น้องที่อยู่ โรงพยาบาลเล็กกว่ารับคำสั่ง และ ปฏิบัติงานได้ง่าย + คนไข้ก็ได้ความสะดวกขึ้น
และที่นั่น ปัญหาการรับส่งต่อ ก็น้อยกว่าที่สงขลาจริงๆ
มันมีปัญหาที่ตัวบุคคล จริงๆ


Posted by : guru , Date : 2006-07-29 , Time : 13:53:48 , From IP : 203.188.14.129

ความคิดเห็นที่ : 23


   เรียน คุณ guru เท่าที่ทราบ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ในปัจจุบันเป็นของคณะแพทย์ก็จริงแต่เคยเป็น ร.พ.ศูนย์ สังกัดกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน ส่วนร.พ.จังหวัดจริงๆ คือ ร.พ.นครพิงค์ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ากันมาก facility จึงไม่พอที่จะ service ในระดับ tertiary ได้ จึงยังเป็นหน้าที่ของร.พ.มหาราชนครเชียงใหม่ต่อไป และก็คงไม่รู้จะไปเกี่ยงให้ใครด้วยเพราะแถวนั้นก็ไม่มีโรงพยาบาลใหญ่ๆที่อยู่ใกล้อีก แต่ก็เห็นด้วยกับคุณอย่างหนึ่งคือ ภาคอื่นๆ ไม่ค่อยมีปํญหาแบบนี้เท่าไร ?

Posted by : ผู้พอรู้ , Date : 2006-07-30 , Time : 16:28:09 , From IP : 203.172.90.142

ความคิดเห็นที่ : 24


   รพ. นครพิงค์ ขนาดเล็กว่า มหาราช ( มช ) เยอะมาจริงๆ 400 / 1250 เตียง ( ถ้านับจริง คง จะ 1500 มั้ง ) โดยเฉพาะ ICU นี่ยิ่ง ฟ้า กับเหว เลยมั้ง

แต่ นครพิงค์ สตาฟ นี่ ครบทุกแผนกมั้ง เห็นว่า ออร์โธ เจนสัลย์นี่ เกือย 10 อาย อีเอนที ก็ราว 4-5 คน ดมยาก็มี ศักยภาพ ก็คงไม่น้อยกว่า รพ สงขลาหรอก แต่ก็อาจไม่เท่า หาดใหญ่

และที่ มช นั่นด้วยความที่เน้น เซอร์วิส มาตั้งแต่แรก จึง ไม่มีการจำกัดเตียง ที่นั่น เคย แอดมิน มะเร็งตับ เดือนเดียวเกือบ 30 ราย
( มช ไปยึด รพ. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ มาใช้เป็นที่สอน คล้าย
มน เอา รพ พุทธชินราช แต่ ต่อมา มน ก็มาสร้าง รพ. ของตนเอง )

ปัญหาอยู่ที่ เราสอนเด็ก นศพ ใน โรงบาล มหาวิทยาลัย
คนไข้มาก ก็ปิดบัตร
เตียงเต็ม ก็ส่งไป รพ ของกระทรวง สาธารณสุข
แต่ พอเด็ก จบไปปุ๊บ ก็ไม่สนใจลูกศิษย์ คนนั้นแล้ว( ออกนอกรั้วไปแล้ว )

อย่างนี้ มันก็เลยเป็นปัญหา
ทำไมไม่สอนให้เด็กรู้สถาณะการณืจริงที่จะต้องเผชิญละ


Posted by : guru , Date : 2006-07-31 , Time : 19:18:19 , From IP : 125.25.1.41

ความคิดเห็นที่ : 25


   ที่บอก ICU ฟ้ากับเหวนี่ คือ จำนวนเตียงนะ อย่าแปลเจตนาเป็นอื่นไป และก็อยู่ห่างจากตัวเมือง ไม่เกิน 12 กิโล พอๆกับ มอ ไปแถวๆ เนินขุมทอง
และ ห่าง เชียงใหม่ มี รพ ลำพูน ( 30 กิโล ) ขนาดราว 180 - 200 เตียง


Posted by : guru , Date : 2006-07-31 , Time : 21:17:07 , From IP : 210-86-142-200.stati

ความคิดเห็นที่ : 26


   จบไปปุ๊บ ก็ไม่สนใจลูกศิษย์ คนนั้นแล้ว( ออกนอกรั้วไปแล้ว )

น้ำตาจะไหล โดนใจจริงๆ


Posted by : . , Date : 2006-08-03 , Time : 12:02:19 , From IP : 203.172.100.192

ความคิดเห็นที่ : 27


   จบไปปุ๊บ ก็ไม่สนใจลูกศิษย์ คนนั้นแล้ว (ออกนอกรั้วไปแล้ว)....
คงใช้คำพูดแรงไปมั้งครับ ผมว่าไม่มีครูดีๆ คนไหนที่เห็นศิษย์ได้ดีแล้วอิจฉา ศิษย์ตกอับแล้วสมน้ำหน้า ศิษย์เดือดร้อนแล้วไม่ช่วยเหลือหรอกครับ


Posted by : Simple , Date : 2006-08-03 , Time : 21:35:37 , From IP : 203.209.108.249

ความคิดเห็นที่ : 28


   

ปัญหาอาจอยู่ที่เรามีครูดีๆน้อยลง และคนที่มาสอนเราไม่แน่ว่าเขาเป็นครูหรือไม่ แต่เขาคงเป็นแพทย์อย่างที่เห็นทั่งไปในท้องตลาด
สงสัยต้องกลับไปหาหนังสือ แพทย์เทพเจ้ากาลี มาอ่านใหม่แล้ว

แพทย์เทพเจ้ากาลี / อีวาน อีลิช ; แปลโดย สันต์ หัตถีรัตน์


Posted by : ผ่านเลยไป , Date : 2006-08-04 , Time : 08:37:29 , From IP : 203.147.36.34

ความคิดเห็นที่ : 29


   คำพูด ของผมที่ว่า จบแล้ว ก็ไม่สนใจ หมายความว่า มีเรื่องที่ต้องส่งมา ( อย่างเช่น เคสนี้ ) ไม่ค่อยได้รับ ความสดวก
ถึงมีเรื่องที่จะต้องเรียก หมอทั้งจังหวัดมาคุย เรื่องการส่งต่อ รร แพทย์ มี ลูกศิษย์ ที่จบออกไปต้อง30 รุ่นแล้วมั้ง หมอในสงขลา แทบทั้งหมด ก็เป็น ลูกศิษยที่นี่ ถือว่า ที่นี่เป็นพ่อ หรือ พี่ใหญ่ เป็น ประธาน หรือ เป็นหัว โต๊ะ ช่วย รับแก้ปัญหาให้ ลูกศิษย น้องๆ ไม่ได้เลยหรือ

ที่ขอนี่ มากเกินไปแล้ว หรือเปล่า

ที่พูดมาเนี่ย
ไม่ได้เปลว่า มอ เห็นลูกศิษยื ได้ดี แล้ว อิจฉา
หรือ ไม่ได้แปลว่ามอ เห็น ลูกศิษย์ ตกอับ แล้วสมน้ำหน้า

แต่ ลูกศิษย์ เดือดร้อน แล้วไม่ช่วยเนี่ย............ คนนั้น คงเป็นครู ที่เป็นแค่เรือจ้างจริงๆ


Posted by : guru , Date : 2006-08-04 , Time : 08:51:13 , From IP : 61.19.24.122

ความคิดเห็นที่ : 30


   ขอไม่อภิปรายเกี่ยวกับปัญหาของกระทู้นี้โดยตรงนะครับ ผมเพียงสนใจวิธี "label ครู" ของคุณ guru เท่านั้น

"ลูกศิษย์ เดือดร้อน แล้วไม่ช่วยเนี่ย............ คนนั้น คงเป็นครู ที่เป็นแค่เรือจ้างจริงๆ"
หมายความว่าถ้าครูทำทุกอย่างอย่างครูหมด "ยกเว้น" ไม่ได้ช่วยตอนลูกศิษย์เดือดร้อน ครูคนนี้ไม่ใช่ครู เป็นแค่ "เรือจ้าง" เท่านั้นหรือ?

เป็นแค่เรือจ้างจริงๆ
จริงๆเราก็น่าจะสำนึกคุณ "เรือจ้าง" บ้างไหมครับ ไหนๆอุตส่าห์พาเราข้ามฟาก จากนักศึกษา มาเป็นแพทย์ หรือว่าบุยคุณอันนี้ ชำระไปกับค่าเทอมเรียบร้อยหมดสิ่นกันแล้ว?



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-04 , Time : 12:27:02 , From IP : 58.147.26.181

ความคิดเห็นที่ : 31


   
ลูกศิษย์เขาไม่ได้เดือดร้อนเองหรอก แต่เขาเดือดร้อนแทนผู้ป่วย ซึ่งน่านับถือในจิตวิญญานที่ครูเขาสอนมา หรือเขามีมาจากตนเองและครอบครัว ถ้าไม่มีใครแยแส ต่อไปจะเป็นอย่างไร
ใครหนอจะช่วยปลดเปลื้องและเสริมส่งภาระกิจอันงดงามนี้ให้เขา เขาก็หวังพึ่งครูของเขาหรืออาจจะเคยเป็นครูของเขา หรือในวิชาชีพนี้เคยถือกันว่า ไม่ว่าจบจากสถาบันใด ก็เป็นพี่น้อง เป็นครูอาจารย์กันทุกคน ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วหรือ


Posted by : ตะวันชิงพลบ , Date : 2006-08-04 , Time : 13:38:20 , From IP : 203.147.36.34

ความคิดเห็นที่ : 32


   ขอตอบ คุณ Phoenix

ความเป็นครู กับ ศิษย์ ไม่ได้ จบสิ้นไปพร้อมวันที่ นศพ สอบเสร็จ
( บางคน ใช้คำว่า เป็น เพื่อนแพทย์ เพื่อนร่วมวิชาชีพ เพราะ
มี ใบประกอบโรคศิลป์แล้ว เท่ากับ มี สิทธ์ที่ จะรักษาได้เท่าๆกัน หรือ
มีสิทธที่จะเดือดร้อน หากอยู่ในยุคที่ การฟ้องร้องหากได้รับ
ผลการรักษา ที่ไม่สมหวัง )
แต่ ความเป็นครู กับ ศิษย์ คงต้องมีอีกต่อไป
ศิษย์ ก็ต้องมีสำนึกใน บุญคุณ ของ ครู และ โรงเรียนแพทย์ ที่ได้ อบรม สั่งสอน ให้ตนเอง ได้รับวิชา มาประกอบอาชีพ จึงควรจะเรียกได้ว่า ตราบใดที่ ยังเป็น หมอ ตราบนั้น ยังเป็นหนี้บุญคุณ ของโรงเรียนแพทย์ และ ครูอยู่ไปเรื่อย

ส่วนครูก็ยังคงต้อง สั่งสอน ศิษย์ ต่อไปเรื่อยๆ ตราบที่ ยังคงอยู่ใน โรงเรียนแพทย์ และ นอกจากการสอนในวิชาการแล้ว การสอน ให้บริหารงาน บริหารลูกน้อง ก็คงยังต้องมี ไม่เช่นนั้น ก็ จะเป็นหมอที่ อยู่กับ ชุมชน รพ อำเภอ ได้ไม่นาน หรือ จบแล้ว ก็จะหาทางกลับมาอยู่ในอ้อมอก อาจารย์อยู่ร่ำไป หรือว่า โรงเรียนแพทย์ เรา ชอบให้ลูกๆ เราเป็น เด็กที่เลี้ยงไม่โต ติดพ่อแม่อยู่ตลอดไป

( หาก ใครเจอเหตุการณ์ ที่คล้ายๆ กับ เคสนี้ ซ้ำๆ แล้ว ยังชอบอยู่ รพช อีก ก็คงเป็น โรคจิต มาโซคิสต์ แล้วละมัง )
จริงแล้ว ไม่อยากกลับไปพูดถึงเคสนี้อีก

ส่วน คำว่า เรือจ้าง ไม้ได้ตั้งใจ จะว่า ใคร คนใดคนนึง หรือ สถาบันใดๆ
แต่ ถ้า คนใหนที่ สอนลูกศิษย์ เพราะ หวังแค่ เงินค่าสอน และ เมื่อ ขึ้นถึงฝั่งแล้ว ก็หมดความสัมพันธ์กัน
หันหัวเรือไป เตรียมรับคนต่อไปเลย ก็ไม่ต่างจาก คนขับเรือจ้าง ใช่ใหม


Posted by : guru , Date : 2006-08-04 , Time : 18:58:51 , From IP : 125.25.5.50

ความคิดเห็นที่ : 33


   ผมคิดว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่ "กตัญญูกตเวที" นั้น เป็นความรู้สึกฝั่งคนได้รับประโยชน์เป็นหลัก ไม่ได้อยู่ฝั่งคนให้

ดังนั้นเอง เวลาเราได้รับบริการ จาก service boy จากแพทย์ พยาบาล จากครู จากคนขับรถรับจ้าง ฯลฯ เรื่องของความรู้สึก "ขอบคุณ" นั้น ไม่ได้เป็นภาระของคนให้บริการครับ แต่เป็นความ "ควร ไม่ควร" ที่จะรู้สึกของคนรับบริการต่างหาก การที่มีคนบริการเรา แล้วเราจะขอบคุณหรือไม่ คนให้บริการอาจจะคาดหวัง / ไม่คาดหวัง แต่ผมคิดว่าที่จะทำให้เกิดความแตกต่างนั้นคือ ฝั่งคนที่จะรู้สึกขอบคุณมากกว่า ที่จะส่งผลกระทบไปถึงสังคม

ลองพิจารณาดู ต่อให้มี "มือรับจ้างสอน" จริง ไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรกับคนเรียน แต่ผมคิดว่าคนเรียนจะมีบทบาทสำคัญมากที่จะทำให้เกิด concept of gratification ต่อๆไป เพราะกตัญญู หรือการรู้สึกขอบคุณ ก่อให้เกิดกตเวทีนั้น จะเห็นว่าเป็นบทบาทหลักของฝ่ายเดียวแหละครับ ทีจะสานคุณธรรมข้อนี้ (โดยไม่มีเงื่อนไขว่ารับมาจากใคร)

===================

ที่ผมบอกว่าจะไม่ขออภิปรายในปัญหากระทู้นี้โดยตรงเพราะ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็น subjective หรือความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่สรุปว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะอะไร บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นระบบที่ไม่เอื้อ บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของปัจเจก incident หรือ ปัจเจกบุคคลที่ส่ง refer (น่าจะมีการ refer ทีประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีบ้างหรือไม่? แต่เหตุการณ์เหล่านั้นเราไม่ค่อยได้พูดถึงเท่าไหร่ใช่ไหมครับ ไม่เห็นมีคนเชื่อมโยง case ที่สำเร็จเหล่านี้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีของครูลูกศิษย์เลย)

ผมคิดว่าปฏิสมัพันธ์ของครูแพทย์กับลูกศิษย์ที่จบไปจากที่นี่นั้น มีมากมาย สำเร็จเกิดคาดบ้าง ตามคาดบ้าง น้อยกว่าที่คาดบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่การที่จะ pick เอาอันที่ผิดหวังมา judge คุณค่าความเป็นครู นั้น ผมคิดว่ามันรวดเร็วไปนิดนึงเป็นการ dramatization เกินไปนิดนึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเรากำลังพูดถึงความเป็นครู-ลูกศิษย์ ผลกระทบที่อาจจะเกิดต่อๆไป

บางทีเราลืมสิ่งดีๆที่เกิดมาค่อนข้างง่าย แต่มักจะไม่ลืมอะไรที่เราผิดหวัง บวกกับการด่วนสรุปว่าอะไรเป็นระบบ อะไรเป็นปัจเจก อะไรเป็นบริบท เหล่านี้รวมกันมักจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-04 , Time : 20:00:23 , From IP : 58.147.26.181

ความคิดเห็นที่ : 34


   ไม่ขอตอบ โดยใช้ ศัพท์แสง วิชาการ แบบ
ปัจเจก incident หรือ ปัจเจกบุคคล
pick เอาอันที่ผิดหวังมา judge คุณค่า
dramatization เกินไปนิดนึง
อะไรเป็นปัจเจก อะไรเป็นบริบท

แต่ ขอตอบ ว่า ครูที่เป็น ครู คือ
คนที่ ให้ลูกศิษย์ โดยไม่คาดหวังว่า ศิษย์ จะตอบแทน
เพราะ เชื่อว่า เกียรติ ของครู นั้น สูงค่า เกินกว่า จะตอบแทนด้วยเงินทองได้

แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย
คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง
เหนื่อยยากอย่างไรไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง
ครูนั้นยังลำพองในเกียรติของตนเสมอมา

อ้อ ขอโทษที่ จำเนื้อได้ไม่หมด และ
ไม่ได้ กล่าวถึงเคสอื่นที่เคย refer ทีประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี


Posted by : guru , Date : 2006-08-05 , Time : 10:59:43 , From IP : 203.188.54.15

ความคิดเห็นที่ : 35


   ผมคิดว่าเราไม่มีความเห็นขัดแย้งอะไรเลยในด้านของอะไรคือครู และอะไรคือบทบาท คุณค่าของครู ประเด็นที่เรากำลังนำเสนอเปรียบเทียบอยู่ที่ อะไรคือลูกศิษย์ อะไรคือบทบาท และอะไรคือพฤติกรรมที่คาดหวังของลูกศิษย์ต่างหาก

เนื่องจากในส่วนของครูนั้น ได้ทำงาน คือสั่งสอน อบรม ความสำเร็จของครูนั้นคงไม่ใช่ "ได้สอน" แต่อยู่ที่นักเรียน "ได้เรียน" ตรงนี้เป็นเรื่องท้าทายเพราะครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องของนักเรียน แต่ถ้าอะไรที่มันควบคุมได้ร้อยเปอร์เซนต์ มันก็ไม่ท้าทายเท่าไหร่

อ่านย้อนขึ้นไป จะพบว่าที่ได้เริ่มอภิปรายมานั้น คือตั้งแต่การที่ลูกศิษย์เริ่มมีการให้นิยาม ให้คำเรียกของครู เมื่อเกิดความผิดหวังในด้านความช่วยเหลือต่างหาก

ในช่วงชีวิตหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับลูกศิษย์นั้น ไม่ใช่เป็นจุดๆหนึ่ง หรือเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่ง มันน่าจะยาวนานกว่านั้น มีปฏิสัมพันธ์กันนานกว่าเรื่องๆเดียว ดังนั้นไม่แปลกอะไรที่ความสำเร็จของการช่วยเหลือจะมีการแปรเปลี่ยนไปตามบริบท สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง บ้างก็เป็นอภิชาติศิษย์ก็ยังได้ ครู้ยังอยู่ที่เดิม จริงๆผมเข้าใจว่าอุปมาอุปมัย "เรือจ้าง" นี่ใช้ในทางบวกนะครับ แสดงถึงหน้าที่ แสดงถึงความสม่ำเสมอ คนที่จะมีความคิดแตกต่างกันในเรื่องของคุณค่า คือคนนั่งเรือจ้างต่างหาก บางคนก็สำนึกในบุญคุณเรือจ้าง บางคนก็เห็นเป้นแค่ทางผ่าน ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไร ค่าโดยสารก็จ่ายไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าคนมีอาชีพขับเรือจ้างนั้น สามารถที่จะภาคภูมิใจที่ได้พาผู้โดยวารกลุ่มหนึ่งๆข้ามฟากโดยตลอดรอดฝั่งได้ ดีใจที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ถ้ามีผู้โดยสารหันมายิ้มให้ ก็น่าจะดีใจเป็นธรรมดา ถ้าเจอกันบ่อยๆ พบกันข้างนอกท่าน้ำก็อาจะทะกทายมีความสัมพันธ์กันได้ แต่ส่วนหนึ่งคงจะมองแล้วจำได้ว่าคนๆนี้เคยขับเรือจ้างให้เรานี่หว่า ก็จบแค่นั้น

เรื่องบางเรื่อง ครูอยากจะช่วย แต่บริบทมันไม่เอื้ออำนวย การจะ "ฟันธง" ว่าอะไรเป็นการ "จงใจ" ไม่ช่วย หรือว่าช่วยไม่ได้นั้นยากยิ่ง ผมสสงสัยว่าในฐานะลูกศิษย์นั้น จะมีประโยชน์อะไร มีมงคลเช่นไร ในการที่จะคอยนิยามความแตกต่างของครู กับ "เพียงแค่เรือจ้าง" บ้าง ในพุทธภาษิต "ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี" นั้น ไม่เห็นได้ให้เงื่อนไข job description หรือความผูกพันของ "คนให้" ว่าต้องสำเร็จแค่ไหน อย่างไร แต่เป็นเรื่องของคนที่ได้รับบุญคุณต่างหากที่ควร หรือไม่ควรรู้สึกอะไรบ้าง

ผมเห็นด้วยว่าครูส่วนใหญ่คงไม่ได้คาดหวังว่าเด้กจะแสดงความซาบซึ้งอะไรมากมายนัก แต่ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าครูยิ่งน้อยกว่าที่จะรู้ตัวว่าเมือ่ไหร่ก้ตามที่เขาไม่สามารถจะช่วยลูกศิษย์ได้อย่างที่เขาปราถนาหรือคาดหวัง ตัวเองจะถูกลดศักดิ์ศรีมาเป็นแค่คนถูกจ้างสอนเท่านั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-05 , Time : 13:42:44 , From IP : 58.147.26.181

ความคิดเห็นที่ : 36


   สงสัยจะอ่านความคิดผมไม่ตรงตามที่ผมคิดมั้ง เอาใหม่ แล้วกัน
เคสนี้ ที่ผ่านมาถูกต้องทั้งหมดเลย
แต่ต่อไป คงหาหมอ อยู่ รพช . น้อยลงไปเรื่อยๆ เเละ มาอยู่ มอ. มากขึ้นๆ


Posted by : guru , Date : 2006-08-05 , Time : 16:01:00 , From IP : 125.25.19.0

ความคิดเห็นที่ : 37


   ปัญหาดังกล่าวหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการแก้ปัญหาน่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุขหรือเปล่าครับ หรือว่าเป็นหน้าที่ที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องมาแก้ไขด้วย ชักงงๆนะครับ

Posted by : งง , Date : 2006-08-05 , Time : 23:27:32 , From IP : 203.172.90.222

ความคิดเห็นที่ : 38


   ปัญหาดังกล่าวหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการแก้ปัญหาน่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุขหรือเปล่า
เป็นปัญหา ของแพทย์ ครับ


Posted by : guru , Date : 2006-08-06 , Time : 09:48:57 , From IP : 203.188.3.106

ความคิดเห็นที่ : 39


   เผอิญ ไปเปิด เอกสาร การ สอน สมัยเป็น นศพ
อาจารย์ ศัลย์ ผู้หญิงท่านหนึ่ง ( ขณะนี้ ท่าย ลาโลกไปแล้ว )
สอนว่า
ฉันไม่ต้องการให้เธอ มาพูดขอบคุณ ที่ฉันสอน
ขอแค่ เธอเป็นแพทย์ที่ดี ทำชื่อเสียง ให้มหาวิทยาลัยที่เธอสำเร็จการศึกษา
เท่านั้น ฉันก็พอใจแล้ว
และ เพลงที่ ท่านชอบ ก็คือ เพลง แม่พิมพ์ ของชาติ

แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย
คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง
เหนื่อยยากอย่างไรไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง
ครูนั้นยังลำพองในเกียรติของตนเสมอมา
ที่ทำงานช่างสุดกันดารในป่าดงไพร
ถึงจะไกลก็เหมือนใกล้ เร่งรุดไปให้ทันเวลา
กลับบ้านไม่ทันบางวันต้องไปอาศัยหลวงตา
ครอบครัวคอยท่าไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน
ถึงโรงเรียนก็เจียนจะสายจวนได้เวลา
เห็นศิษย์รออยู่พร้อมหน้า ต้องรีบมาทำการสอน
ไม่มีเวลาที่จะได้มาหยุดพอพักผ่อน
โรงเรียนในดงป่าดอนให้โหยอ่อนสะท้อนอุรา
ชื่อของครูฟังดูก็หรูชวนชื่นใจ
งานที่ทำก็ยิ่งใหญ่ สร้างชาติไทยให้วัฒนา
ฐานะของครูใครๆก็รู้ว่าด้อยหนักหนา
ยังสู้ทนอุตส่าห์สั่งสอนศิษย์มาเป็นหลายปี
นี่แหละครูที่ให้ความรู้อยู่รอบเมืองไทย
หวังสิ่งเดียวคือขอให้ เด็กของไทยในผืนธานี
ได้มีความรู้เพื่อช่วยเชิดชูไทยให้ผ่องศรี
ครูก็ภูมิใจที่สมความเหนื่อยยากตรากตรำมา

ภูมิใจ อย่างยิ่ง ที่ ได้มีโอกาศ เป็นศิบย์ ของอาจารย์ ที่ ไม่เคยหวัง
แม้แต่ คำขอบคุณ ของศิษย์
แต่ หวัง ให้ ศิษย์ เป็นแพทย์ที่ดี
ของ
มหาวิทยาลัย เชียงใหม่


Posted by : guru , Date : 2006-08-07 , Time : 19:06:33 , From IP : 203.114.117.206

ความคิดเห็นที่ : 40


   ครู ของคุณ guru กับ คุณ Phoenix คงเป็น "คนเดียวกัน" นั่นแหละครับ

แต่ใครคนหนึ่ง "มองไม่เห็น" ในสิ่งที่ "อยากเห็น" (ไม่ได้หมายความว่าจริงๆ ไม่มี)

คงเป็นเรื่องของ "มุมมอง" กระมังครับ


ขอโทษที่บังอาจสรุป


Posted by : OmniSci , Date : 2006-08-07 , Time : 23:53:56 , From IP : 172.29.5.191

ความคิดเห็นที่ : 41


   อ้อออ
สำหรับปัญหาข้างบน

ผมเห็นด้วยที่มี บางคน บอกว่า ต้องให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางครับ คิดจะให้บริการเป็นแบบไหน

ถ้าทุกคนที่เกี่ยวข้อง "เป็นห่วง" คนไข้เหมือนญาติเรา ทางออกคงสวยกว่านี้

ที่ทำงานผม มีหมอที่ดูแลคนไข้ทุกคน เหมือน "ญาติอันเป็นที่รัก" อยู่อย่างน้อยก็ 2 คนครับ

คุณหมอทุกคนในเหตุการณ์ เขาใช้อะไรมาตัดสินในการ made decision บ้างนะ

ถ้าเตียงเต็ม เราจะแก้ปัญหาอย่างไรดีนะ
ประสาทศัลยแพทย์ไม่อยู่ จะทำไงดีนะ
อ๋อ ช็อค ด้วย เราจะแนะนำเขาอย่างไรดี

ตอนตัดสินใจไปนั้น เราอยากให้เขามีชีวิตรอดไหม หรือ ลืมคิดไป

เอ เรามั่นใจแล้วนะว่าไม่มีหนทางอื่นให้เลือกจริงๆ

คงเป็นเรื่องตลก ที่คนอยากเป็นหมอ แต่เห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าคนไข้พ้นทุกข์




Posted by : OmniSci , Date : 2006-08-08 , Time : 00:09:03 , From IP : 172.29.5.191

ความคิดเห็นที่ : 42


   ครู ของคุณ guru กับ คุณ Phoenix คงเป็น "คนเดียวกัน" นั่นแหละครับ

แต่ใครคนหนึ่ง "มองไม่เห็น" ในสิ่งที่ "อยากเห็น" (ไม่ได้หมายความว่าจริงๆ ไม่มี)

คงเป็นเรื่องของ "มุมมอง" กระมังครับ


ขอโทษที่บังอาจสรุป

Posted by : OmniSci

เรียนคุณ OmniSci

ผมหวังว่า คงไม่ใช่ มากกว่า นะ

อ้อ เมื่อวาน ได้อ่านหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง
เขียนว่า
ครู ก็เหมือนเด็กเลี้ยงควาย
คือ ต้อนฝูงควาย ไปที่หนองน้ำได้

ควายที่ดี มันจะกินน้ำที่ยังสะอาดก่อน แล้ว จึงลงไปเล่นให้น้ำขุ่น ทีหลัง

แต่ควายที่ ดื้อ + โง่ จะลง ไปเล่นน้ำก่อน

อนาคต ควายที่ ดื้อ + โง่ คือ โรงฆ่าสัตว์
ควายที่ ฉลาด สอนได้ ฝึกได้ ชาวนา จะเลี้ยงใว้ใช้งาน


Posted by : guru , Date : 2006-08-08 , Time : 08:56:42 , From IP : 61.19.24.122

ความคิดเห็นที่ : 43


   ผมเอง ก็ ไม่สามารถ รับรองได้ว่า จะ ช่วย ลูกศิษย์ได้ ทุกเรื่อง ที่ ลูกศิษย์ เดือดร้อน
ยกตัวอย่างเช่น
ลูก ศิษย์ ไปเอาทุน นราธิวาส จบมาก็ต้องไปอยู่ รพ ระแงะ มาขอให้ช่วยย้าย
ให้เขามาอยู่ใน มอ อย่างเนี่ย
ต่อให้ ผมทำได้ ก็ไม่ทำให้ เด็ดขาด
ใม่ใช่ ผมไม่รักลูกศิษย์
แต่ ศิษย์ที่ ดี ย่อมไม่ทำ ความเสื่อมเสีย ให้ สถาบัน


Posted by : guru , Date : 2006-08-08 , Time : 15:03:30 , From IP : 61.19.24.122

ความคิดเห็นที่ : 44


   ผมคิดว่าตัวอย่างทั้งหลายแหล่ที่ยกมาแสดงจุดร่วมประการหนึ่งคือ "บริบท" มีความสำคัญ ไม่มี universal rule หรือ กฏอะไรที่จะใช้ได้ในทุกสถานการณ์ (อืม... จะยกเว้นก็คงจะเป็นประเภทสัจจพจน์ หรือ Noble truths หรือ อริยสัจจ์ อะไรทำนองนั้น ไม่ได้มีบ่อยๆ)

"บางครั้ง" ครูก็ไม่อาจจะช่วยศิษย์ได้ เป็นได้ทั้งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรช่วย ก็ไม่ต้องช่วยตะพึดตะพือ หรือครูเองก็เอาตัวไม่รอดตรงนั้นอยู่แล้ว ก้ไม่ต้องพยายามเป็นเตี้ยอุ้มค่อม หรือเหตุผลธรรมดาๆเช่น "ช่วยไม่ได้" ก็มี

"บางครั้ง" เรื่องสรุปบน "ใบปะหน้า" นั้นไม่เพียงพอที่เราจะมองเห็นและเข้าใจบริบททั้งหมดก็เป็นไปได้ถ้าจะเอาตัวอย่างที่ยกมา หมอระแงะ รับทุนนราธิวาสขอย้ายจากพื้นที่นี่ ถามว่าพอจะมีเหตุผลที่ "พอฟังได้" บ้างไหม? อาจจะพอมีบ้างเช่น ถูกผู้ก่อการร้ายส่งจดหมายขู่ฆ่ามาสามฉบับแล้ว หรือบ้าน ลูกเมียพึ่งถูกข่มขู่ทำร้าย คนธรรมดาๆเจอบางเรื่อง บางสถานการณ์เข้าไป ก้ถึงขีดจำกัดได้เหมือนกัน ไม่งั้นจะเหมือนท่านแม้วที่บอกว่าครูสามจัวหวัดชายแดนรับเงินส่งเสริมพิเศษมาแล้ว ยังไงๆก็ต้องอยู่ได้ ไม่ฟังว่าเขาทุกข์แค่ไหน อย่างไร อาจจะเป็นเพราะท่านคิดว่าเงินแก้ทุกปัญหาในโลกนี้ แต่จริงๆคงไม่ใช่ ฉะนั้นในกรณีที่ยกมา ผมเชื่อว่าคงจะมีบริบทที่ชัดเจนที่ยังไม่ได้เล่า ที่หมอระแงะท่านนั้นน่าจะย้ายเพราะจงใจเบี้ยวทุน จึงไม่ได้ช่วย

บางทีคนเราจะถูก "ตัดสิน" อะไรไปรวดเร็ว พยาบาลอาวุโสบางท่านทำงานมายี่สิบ สามสิบปี เริ่มช้าลง ไม่ทันใจหมอหนุ่มไฟแรง ก็ถูกด่าเสียๆหายๆทันทีในที่สาธารณะ ความดีที่ทำมานับสิบๆปีถูกมองข้ามไปพริบตา หมอบางคนทำงานในพื้นที่อันตรายมาสิบปี พอขอย้ายปุ๊บก็ถูกเพ่งเล็ง บางคนจบมายังไม่ได้ใช้ทุน ขอไปเรียนต่อเมืองนอกก็จะถูกมอง negative ไว้ก่อน โรค "ด่วนสรุป" นี้อันตรายครับ เป็น judgemental attitude ที่ทำให้เราชอบด่วนตัดสิน เติมคำในช่องว่าง และ over-simplify ความซับซ้อนของการตัดสินใจ หรือชีวิตของคนอื่นๆไปอย่างรวดเร็ว

บางทีเป็นเพราะขี้เกียจพูด ขี้เกียจพิมพ์ ไม่ได้ขยายความ แต่น้องๆ เด้กๆที่ยังไม่รู้อะไรดี อาจจะ copy พฤติกรรมการด่วนสรุปนี้ไปใช้ เพราะเห็นบ่อย ก็เป็นได้ เราคงต้องหัดใช้วิธีของ evidence-based medicine (ถ้าแบบฝรั่ง) หรือกาลามสูตร (ถ้าแบบไทย) หรือ Occam Razor (ถ้าแบบนักวิทยาศาสตร์) กันให้มากๆ "ฟันธง-syndrome" จะได้ลดลง



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-12 , Time : 00:00:55 , From IP : 124.157.182.207

ความคิดเห็นที่ : 45


   ขออภัยที่ เอ่ยถึง ระแงะ นราธิวาส โดยไม่ได้เกี่ยวข้อง แค่ ยกตัวอย่าง เฉยๆ

ส่วน ก๊อปปี้ แล้ว แปะ วาง นี่ เจอบ่อย ใน รายงานที่ พิมพ์ คอมพิวเตอร์
บางที ถามให้ เด็ก ตอบดูซิ ประโยค แรก ถึง คำสุดท้าย
มัน เหมือนกันทุกคำ เลย
การ สรุปให้เห็นภาพ เข้าใจง่าย และ ตรงกัน มันอาจจะคล้าย ฟัน ธง แต่ ผมไม่ชอบ สอนแบบ เอ่อ อ่า ประมาณว่า ทำนองนี้
สอนจบ พูด ดิสคัสเป็นอย่างเดียว ทำอะไรไม่เป็นเลย


Posted by : guru , Date : 2006-08-12 , Time : 14:33:13 , From IP : 203.188.34.188

ความคิดเห็นที่ : 46


   สาเหตุที่นักศึกษาจะสามารถอภิปรายได้ คงจะต้องมาจาก "คิดได้ วิเคราะห์ได้" ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง

psychomotor (หรือ "ทำเป็น") นั้น ไมได้ขึ้นกับการสอนมากเท่ากับการได้ฝึกฝนเอง เราจะสอน psychomotor domain ไดยากมากหากคนเรียนไม่เข้าใจมาก่อนว่ากำลังจะเรียนเรื่องอะไร ไปทำไม ในศึกษาศาสตร์ตรงนี้คือ "ฉันทา" ใน andragogy (adult learning) คือ self-motivated learning

ใน ideal เราคงอยากให้นักศึกษาอภิปรายได้ ทำได้ แน่อยู่แล้ว ประเภื short-cut หรือด่วนสรุปคิดอะไรไม่เป็น ต้องรอคนเคี้ยวแล้วคายให้กลืนนั้น ไม่น่าจะเป็นการเรียนที่ sustained ได้นานเท่าไหร่

ในทางการแพทย์นี่ จริงๆแล้วเราสามารถจะด่วน "ฟันธง" อะไรได้สักเรื่องนึงไหม? ก็น่าสงสัยอยู่ ถ้ามีอะไรที่ฟังธงได้อย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นๆคงจะกลายเป็น guideline online ไปเลย ไม่ต้องรอแพทย์ไปเรียนมาเล่าให้ฟัง เช่น การงดสูบบุหรี่ การหลีกเลี่ยงยาเสพติด แต่ถ้าจะฝึกหมอสักคน ผมว่าเริ่มจาก "ไม่ฟันธง" จะเป็นฐานที่แน่นกว่า ฟังธงนั้นเป็น judgemental attitude ครับ อันตรายอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่การละเมิด autonomy ของคนอื่น เพราะเราจะด่วน "ไม่เข้าใจ" และ "ด่วนสรุป" พฤติกรรม ความคิด ของคนอื่น based on ประสบการณืเก่าของเราเป็นหลัก



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-12 , Time : 21:43:29 , From IP : 124.157.182.207

ความคิดเห็นที่ : 47


   เอ้ ผม ฟันธง ตรงใหน หรือ


Posted by : guru , Date : 2006-08-13 , Time : 08:27:47 , From IP : 61.19.24.122

ความคิดเห็นที่ : 48


   โดยทั่วๆไป เวลาผมอภิปรายผมจะอภิปรายบน "ความคิดเห้น" และหลีกเลี่ยงการอภิปรายว่า "ใคร" คิดอะไร (ซึ่งเป็นคนละประเด็นกันอย่างสิ้นเชิง)

จุดเชื่อมโยงคือ เวลาที่เรานำเสนอความคิด เรา (มักจะ) ให้บริบทไปประกอบเสมอ เพราะนั่นจะช่วยในการสื่ออย่างมาก ทีนี้การที่เรามีบริบทครบในใจแต่ไม่ได้สื่ออกมาทั้งหมด เรื่องที่นำเสนอจะดูห้วนสั้น จนบางทีเหมือน illogical หรือในดีกรีที่น้อยกว่านั้นคือเป็นการ "ฟันธง"

ตรงนี้คงถึงเวลาที่จะ define คำ "ฟันธง" ก่อน ก่อนที่เราจะอภิปรายต่ออีกยี่สิบกระทู้ในคนละเรื่อง คนละคำ การฟันธงที่ไม่ใช่อุปมาอุปมัยมักจะใช้ในการแข่งขันลู่ เช่น วิ่งแข่ง ม้าแข่ง รถแข่ง ปัจจัยในการสรุปผลมีอย่างเดียวคือมีส่วนประกอบของผู้เข้าแข่งผ่านเส้นชัยก็ประกาศชัยชนะ ทีนี้อุปมาอุปมัยในเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้คือการนำเอาหลักเดียวกันของฟันธงมาใช้ในเรื่องอื่นๆที่ไม่น่าใช้ คือการตัดสินเรื่องที่ซับซ้อนเพียงแค่ประเด็นเดียวในการคิด

ก็อย่างที่ตัวอย่างหมอระแงะก็ได้ครับ "ลูก ศิษย์ ไปเอาทุน นราธิวาส จบมาก็ต้องไปอยู่ รพ ระแงะ มาขอให้ช่วยย้าย ให้เขามาอยู่ใน มอ อย่างเนี่ย ต่อให้ ผมทำได้ ก็ไม่ทำให้ เด็ดขาด " นี่เป็นตัวอย่างของบริบทที่ไม่ครบ จนดูเหมือนกับว่าถ้ามีองค์ประกอบแค่นี้ ก็เพียงพอที่จะตัดสินว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ ไม่ควรสนับสนุน ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่อย่างนั้น

"การ สรุปให้เห็นภาพ เข้าใจง่าย และ ตรงกัน มันอาจจะคล้าย ฟัน ธง แต่ ผมไม่ชอบ. การทำให้เข้าใจง่ายนั้นเป็นเป้าหมาย แต่วิธีคิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องๆหนึ่งอาจจะผ่านการคิดอย่างรอบคอบ ทุกด้าน โดยไม่ยาก ก็ได้ครับ ไม่เสี่ยงต่อการเผลอไปฟันธง ผมกำลังเสนอว่าในการทางแพทย์ที่เกี่ยวกับชีวิตคนนั้น ภาพที่เป็นอยู่ส่วนใหญ่มันไม่ได้สรุปได้โดยง่ายอย่างแค่ที่เราเห็น แค่ที่เรารับรู้ จนกว่าเราจะเข้าใจคนไข้ เข้าใจบริบทของเขาอย่างถ่องแท้ เราจึงจะสรุปได้ "ใกล้เคียง" เราควรจะทำเช่นนี้เพราะเราจะช่วยใครสักคนหนึ่งนั้น เราจะต้องเข้าใจเขาซะก่อน ว่าเขาทุกข์เรื่องอะไร อะไรมากที่สุด และเกี่ยวพันกับเรื่องอะไร มีข้อจำกัดตรงไหนบ้าง แผนการช่วยเหลือของเราจึงจะเป็นการ customize เฉพาะผป.รายนี้ ไม่ใช่เป็นการตัดเสื้อโหลให้ใครก็ได้ ใช้ได้เหมือนกันหมด

ความเสี่ยงของ oversimplifying เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตคนนั้น มีตัวอย่างมากมาย เช่น ภัยใต้เป็นเรื่องของโจรกระจอก แก้ได้ง่ายๆด้วยการโปะเงิน หรือความจนของประชาชนแก้ได้ด้วยการตั้งกองทุนเสริมการกู้มาใช้ เศรษฐกิจดูหมุนเวียนแต่สร้างอุปนิสัยหนี้สิน ไม่พึ่งพาตนเอง ถ้าเราพยายามทำเรื่องที่ซับซ้อนให้ง่ายๆเกินไป นักศึกาเราก็จะคิดว่าเรื่องคุณภาพชีวิต เรื่องปรัชบญาทางการแพทย์นี้มันมีสูตรสำเร็จ มันตื้นเขิน และใช้ได้เป็น universal ตรงนี้อาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เนื่องจากผมไม่อาจจะทราบได้ว่า "รายละเอียด" เบื้องหัลงการคิดของคนอื่นคืออะไร เพียงแต่ต้องคาดเดา และพบว่ามันมี "หนทาง" นำไปสู่อะไรที่ผมคิดว่าแก้ไขปรับปรุงได้ จริงๆเราอาจจะเห็นพ้องต้องกันก็ได้ในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้พิมพ์ออกมา ก็เป็นได้



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-13 , Time : 09:31:30 , From IP : 124.157.182.207

ความคิดเห็นที่ : 49


   เห็นใจค่ะ ขอยืนยัยว่าระบบรับ refer ของมอห่วยจริง

Posted by : อยู่ในเหตการณ์ , Date : 2006-08-13 , Time : 21:24:08 , From IP : 202.129.51.34

ความคิดเห็นที่ : 50


   เรียน คุณPhoenix
ที่ผมพูดว่า เอาทุนที่ใหนมาก็ต้องไปใช้ทุนที่นั่น แล้วไม่ยอมให้ย้ายนั้น ไม่ใช่การฟันธง แต่เป็นการตั้งใจทำของผม
ถ้าฟันธง คือ ตัดสินว่า สิ่งนั้น ถูก ผิด ดี ชั่ว
แต่ การตั้งใจ กระทำ หรือ ไม่กระทำ ไม่ใช่การฟันธง
เหมือน หมอ คิดว่า ผู้หญิงคนนี้ ไม่มี ข้อบ่งชี้ ในการผ่าท้องคลอด หมอก็จะลองให้ คลอดเองก่อน ถ้าไม่ได้ จริงๆ ถึงเอาไปผ่า
บางครั้ง หมอผ่าตัด กับ หมอ Paliative care อาจมีความเห็นไม่เหมือนกัน
หมอ Paliative care ให้คนไข้ ตัดสินใจเอง เพราะ ทางใหนก็ไม่แตกต่างกัน
แค่ หมอผ่าตัด ต้อง ตั้งใจแน่วแน่ในการทำงาน มิฉะนั้น การผ่าตัด จะล่าช้าจนเกิดความเสียหายตามมา

ผมอ่านความเห็นของคุณเรื่อง
เรียนอาจารย์แพทย์ที่รับผิดชอบชั้นปี

หนูเป็นนศ.ชั้นปี2คณะหนึ่งของมอ. คือว่าหนูมีเรื่องจะแจ้งให้อาจารย์ทราบว่า เพื่อนของหนู คนหนึ่ง มีนักเรียนแพทย์มาจีบ แรกๆหนูไม่รู้นะว่าใครติดต่อใครก่อน มาทราบอีกทีก็เห็นโทรคุยกันแล้ว เพื่อนก็มาเล่าให้หนูฟังว่ามีเด็กแพทย์มาจีบอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ระยะหลังนี้เห็นเพื่อนเศร้าๆๆ ทราบว่าเลิกกันแล้ว มาจีบเพื่อ หลอกฟั_ ไม่ได้จริงจังอะไร พอได้ แล้วก็ทิ้ง หรือมีเหตุผลอื่นๆๆหนูก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเสียตัวให้เขาแล้ว

หนูได้ยินแล้วรู้สึกสงสารเพื่อนมาก หนูไม่อยากให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น กับลูกผู้หญิงอีก อย่ามองเห็นผู้หญิงเป็นเครื่องอำนวยความสุขทางเพศ เพราะว่าเป็นเพศแม่ เขาก็มีแม่ ให้นึกว่าถ้าคนอื่นทำกับน้องสาวเขา พี่สาวเขา เขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

หนูไม่อยากให้ว่าที่คุณหมออีก4 ปีข้างหน้า เป็นคนไม่ดี เห็นแก่ความสุขส่วนตัวชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น เพราะคนทั่วไปจะมองว่าหมอเป็นคนที่เสียสละความสุขส่วนตัว เป็นคนดี เป็นคนชั้นหนึ่งของสังคม

ตัวเขา มองภายนอกเรียบร้อย พูดจาดี ไม่คิดว่าจิตใจจะไม่ดี ชอบรังแกลูกผู้หญิง อยากให้เลิกพฤติกรรมแบบนี้เสีย ไม่ต้องทำตัวเด่นมากหรอก กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอไงว่าเรียนแพทย์ เห็นเด็กแพทย์คนอื่นๆที่หนูเคยรู้จัก ไม่เป็นแบบนี้เลย หนูรู้ว่าเขาเป็นใคร เรียนปีไหน แต่ก็ไม่อยากทำร้ายอนาคต ใคร เพราะเขายังมีอนาคตอีกไกล

อยากให้อาจารย์ตักเตือนด้วยค่ะ
เพื่อนหนู หนูก็ได้ตักเตือนแล้วค่ะ

Posted by : saw , E-mail : (-) ,
Date : 2006-08-16 , Time : 18:31:43 , From IP : 58.147.118.199
แล้วไม่ค่อยเข้าใจ แนวทางการแก้ ปัญหานี้ ช่วย อธิบายให้ผมรู้หน่อยได้ใหมว่า ปีหน้าจะ มีแนวทางป้องกันอย่างใร เพราะ นศ ปี 2 บางคน อายุไม่ถึง 18 ปี มีเรื่องแบบนี้ พ่อแม่ ถือว่า เป็นผู้เสียหายร่วม
ถ้าเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง ขอให้ รายนี้ที่เป็นรายแรก และ รายสุดท้าย หรอก ( ได้แต่หวังว่า คนที่มาโพสต์ นี้ คงมาแกล้ง ล้อเล่นนะ )


Posted by : guru , Date : 2006-08-18 , Time : 08:40:00 , From IP : 61.19.24.122

ความคิดเห็นที่ : 51


   ผมได้ชี้แจงไว้ในกระทู้ก่อนแล้วว่าผมตั้งใจหมายถึง "ฟันธง" ในความหมายใด คือเมื่อไหร่มีการ ตัดสิน ที่วางอยู่บน single criterion ในเรื่องที่ซับซ้อน หรือน่าจะมี criteria อื่นๆ ผมคิดว่านี่เป็น judgemental attitude หรือการฟันธงที่ไม่เหมาะสม สำหรับศัลยแพทย์เอง มีข้อยกเว้นเจาะจงแค่ Life-and-dead situation with patient compromising decision-making ability เท่านั้นที่ต้องตัดสินแทน มิฉะนั้นส่วนใหญ่แล้วจะต้องใช้ทั้ง medical criteria และ informed consent คือเหตุผลบริบททางด้านคนไข้ประกอบเสมอ

ผมไม่แน่ใจว่าประเด็นไหนที่ศัลยแพทย์ควรจะมีความเห็นแตกต่างจากหมอ palliative เพราะว่าหลักของ palliative care นั้น แพทย์จะให้ข้อมูลทางการแพทย์ "ทั้งหมด" ที่คนไข้และครอบครัวจำเป็นต้องทราบ หลังจากนั้นผู้ป่วยเป็นคนตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอา ในกรณีที่ผู้ป่วยและญาติมอบหมายให้สิทธิการตัดสินใจเป็นของแพทย์เจ้าของไข้ หมอที่ใช้หลัก palliative care ในการดูแล (ซึ่ง "ไม่ใช่" หมอเฉพาะทางนะครับ palliative care เป็นหลักการดูแลผู้ป่วยที่ผมคิดว่าหมอ "ทุกคน" สามารถนำไปใช้ได้) ก็จะช่วยคนไข้ตัดสินใจทำเพื่อประโยชน์สูงสุด ตรงนี้ผมเกิดความไม่มั่นใจว่าเรากำลังพูดถึง palliative care เดียวกันหรือไม่ และผมไม่แน่ใจว่า "หมอ palliative care" ที่คุณ guru พูดถึงเป็นยังไง

==================

อีกประเด็นหนึ่ง ผมเขียนตอบไว้และวิเคราะห์ไว้ยาวมากและหลากหลายประเด็น ผมเลยไม่อยากจะขยายความของ article ที่ยาวอยู่แล้วให้ยาวยิ่งขึ้น ถ้าคุณ guru จะถามเจาะจงมากกว่านี้ และถามในกระทู้ original เองผมจะตามไปขยายความให้ เพราะผมคิดว่าถ้าเราทำได้ คือกระทู้เก่าก็ยังมีอยู่ เราไม่น่าจะ discuss กระทู้อื่นๆในกระทู้คนละหัวข้อกัน คนมาอ่านทีหลังและเจ้าของกระทู้คงจะงงน่าดู



Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-18 , Time : 15:33:57 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 52


    เรียน คุณ ฟีนิกซื
หมอ Paliative Care ในความหมายผม คือ ยังไง คนๆทุกคนต้องตาย หลีกหนีไม่พ้น ก่อนถึงขั้นที่ ยังไง ก็ต้องตาย ถึงเวลานั้น จะ ตัดสินใจ บังไง ก็ถูก เพราะยังไงๆ ก็ จบแบบอย่างเดียวกัย แล้วแต่ใครชอบแบบใหน

ผมว่า คุณกับผม อาจ มี ความคิดเห็น ต่างกัน ใน ทุกๆด้าน ชนิด ขั้ว + กับ -
แต่ผมชอบ มองอะไร แบบ ตรง ไม่อ้อมค้อม สอนแบบ ชี้ชัด ยกตัวอย่าง จะๆ
แต่ คุณ ความรู้เยอะ วิชาการมาก
ก็ไม่ได้ว่า อะไร
อ้อ ขอทราบแนวทาง การสอน ทำยังไง เด็ก ถึงจะไม่ลอกข้อสอบ เพราะ

555 ไม่อยากสอบตกก็"ลอก"กันสิ
ชั้นปีเราก็มีคนลอก ขนาดขึ้น Clinic แล้วนะ
อาจารย์ก็ไม่เห็นจาทำอะไร

(คงเพราะไม่อยากให้พักการเรียนมั้ง...แต่มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่นเลย
แล้วมันก็ไม่ยุติธรรมกับสังคมภายนอกด้วยในฐานะที่เราเป็นรร.แพทย์ )

อิอิ...เจ็บใจเลยมาpost

ล้อเล่นนะเรื่องที่บอกให้ลอกกัน!!!

คุณจะอยากได้คะแนนสูงๆไปทำไม???

เขาบอกว่า
ถ้าขาดอาหาร คุณจะตายใน 7 วัน
ถ้าขาดน้ำ คุณจะตายใน 3 วัน
ถ้าขาดอากาศ คุณจะตายใน 3 นาที (brain น่ะ)

แต่ถ้าขาดศักดิ์ศรี มันก็ไม่ต่างอะกับ คุณตายไปแล้วทั้งเป็น


Posted by : converse all star* , Date : 2006-08-17 , Time : 15:10:49 , From IP : 172.29.4.194


Posted by : guru , Date : 2006-08-19 , Time : 12:13:54 , From IP : 203.114.104.137

ความคิดเห็นที่ : 53


   เรามีความเห็นไม่ตรงกันในรายละเอียดของ palliative care อยู่นิดหน่อยครับ

คนๆทุกคนต้องตาย หลีกหนีไม่พ้น ก่อนถึงขั้นที่ ยังไง ก็ต้องตาย ถึงเวลานั้น จะ ตัดสินใจ บังไง ก็ถูก เพราะยังไงๆ ก็ จบแบบอย่างเดียวกัย แล้วแต่ใครชอบแบบใหน

ส่วนแรกที่ว่า คนๆทุกคนต้องตาย หลีกหนีไม่พ้น อันนี้ตรงกัน และอยู่ใน recommendation ของ WHO คือ "Dead is a natural event. Palliative care is neither extending dying nor accelerating dead" แตที่ว่า ถึงเวลานั้น จะ ตัดสินใจ บังไง ก็ถูก เพราะยังไงๆ ก็ จบแบบอย่างเดียวกัย แล้วแต่ใครชอบแบบใหน ตรงนี้อาจจะเกิด misleading ได้

"ตัดสินใจยังไงก็ถูก" นั้น มีความสำคัญมาก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ "ใคร" เป็นคนตัดสินใจ "ญาติและครอบครัว" ควร/ไม่ควรมีสิทธิ มีส่วนร่วมมากแค่ไหน และคนตัดสินใจในณะนั้นได้รับ "ข้อมูล" ขนาดไหน มีทางเลือกหรือไม่ และสภาพอารมณื ความคิด เป็นอย่างไร ยังไม่รวมเรื่องของ ความเชื่อ ศาสนา taboo culture ซึ่งสามารถแตกต่างกันออกไปได้อย่างมาก หลายๆเรื่องเป็นเรื่องที่หมอเองไม่เคยได้ยิน ไม่เคยทราบ และไม่เคยอยู่ในบริบทหรือมีบริบทความคิดแบบนั้นมาเลยทั้งชีวิต

"หมอ palliative" สำหรับผมแล้ว คือหมอธรรมดาๆ ที่นำเอาหลักจริยธรรมมาใช้ และสามารถอยู่กับผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งได้จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ไม่ใช่เป็นเรื่องวิลิศมาหราแต่อย่างใด เรายังคงใช้ความรู้ทางการแพทย์รักษาควบคุมบรรเทาอาการเหมือนเดิม เราเพียงแต่ organize ให้มีการดูแลด้านมิติอื่นๆของคุณภาพชีวิตเท่านั้น ได้แก่ อารมณ์ สังคม และมิติทางจจิตวิญญาณ หลายๆอย่างหมอคนนี้เพียงแค่ play host ที่จะเปิดโอกาส หรือจัดเวทีให้คนอื่นๆมามีส่วนร่วมในการดูแลวาระสุดท้ายของคนๆหนึ่ง ตรงนี้ใช้แค่ "ความเป็นมนุษย์" ธรรมดาๆ ไม่ต้องมีปริญญา ดีกรี หรือประกาศตนว่าเป็นหมอ palliative
=================================

เรื่องลอกข้อสอบ และเรื่องโพย เคยมีการอภิปรายโดยพิศดารและยาวมากมาหลาย sessions คุณ guru อาจจะลอง search ดูในกระทู้เก่าๆ ยังไงถ้าไม่เจอเราอาจจะเริ่มกันใหม่ (เพียงแต่ผมคิดว่าเราอภิปรายเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว มักจะลงเอยมี pool ความเห็นคล้ายๆเดิม เพราะ variation มันก็ได้แค่นั้น




Posted by : Phoenix , Date : 2006-08-19 , Time : 13:06:02 , From IP : 58.147.29.141

ความคิดเห็นที่ : 54


   หลังๆนี้ ไม่ค่อยอยากมาตอบ เพราะ ไม่ค่อยสนุกกับการมาอธิบาย ความหมายที่พูดไป เหมือนมานั่งเขียนรายงาน ส่ง อาจารย์ และ
หลังๆ คนไม่ชอบผมก็มากขึ้น จนมี คนลอกเอาชื่อกูรุ ไปตั้งกระทู้ เสียดสี วิชาชีพอื่น เพื่อให้ผมเสียหาย
ในเวบนี้ มีคนหลายคนที่เคย โดนวิธีการแบบนี้ เช่น ปลุกระดมให้ ช่วยกันตามหา อีเมล แล้วส่ง เมลไปถล่ม
เอาเป็นว่า ใครอยากสอนก็สอนไป


Posted by : guru , Date : 2006-08-24 , Time : 10:39:03 , From IP : 61.19.24.122

ความคิดเห็นที่ : 55


   คุณค่าของครูเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ ขอให้เราคิดอยู่เสมอว่าครูคือผู้ใต่สิงดีๆ

Posted by : กรกช กรดม , E-mail : (www. kib) ,
Date : 2007-03-06 , Time : 21:10:06 , From IP : l227ppp143.ksc.net.t


ความคิดเห็นที่ : 56


   คุณค่าของครูเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ ขอให้เราคิดอยู่เสมอว่าครูคือผู้ให้แต่สิ่งดีๆ
รักครูเสมอ


Posted by : กรกช กรดม , E-mail : (www. kib) ,
Date : 2007-03-06 , Time : 21:11:13 , From IP : l227ppp143.ksc.net.t


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.025 seconds. <<<<<