ความคิดเห็นทั้งหมด : 24

Debate XXXVIII: SDL The versions of meaning


   Self-directed learning? sleep-deep-long? self-destructing looney? เราคงจะมีหลายๆความหมาย ความรู้สึก การตีความ การปฏิบัติ ความชอบ ความเกลียด คำๆนี้อย่างมากมาย เผลอๆจะเป็นเรื่องที่ MATTER มากกว่าตัว PBL ส่วนอื่นด้วยซ้ำ หรือว่า SDL กำลังจะเป็นอะไรที่ "Undoing" ระบบใหม่ของมอ.ออ.เรา?

ขอความเห็นครับ

เนื่องจากเราอาจจะกำลังมีน้องใหม่ไฟแรงมาร่วมอภิปรายขอแจ้งกติกาอีกครั้ง be mature, be positive, and be civilized สามารถบ่น โอดครวญ หรืออะไรทำนองนั้นได้ขอให้ชี้แจงเหตุผลประกอบ และแนวทางแก้ไขที่อยากให้ดีขึ้นด้วย พยายามรักาประเด็น และ logic ของการบ่นด้วยก็จะดี

เชิญครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 19:23:02 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 1


   ...........ผมเองเคยเรียนระบบนี้มาก่อน.....ผมและเพื่อนๆชอบมากเลยครับ......พอถึงเวลาก็ไปเดินตามศูนย์การค้า....ไปทานข้าว....ไปดูหนัง.....หรือแม้แต่รีบกลับบ้านก่อนเพราะวันนี้เลิกเร็วจะได้ไม่ต้องมาเจอรถติด.....เคยมีบ้างที่เอาไปใช้ในการทบทวนบทเรียนจริงๆแต่น้อยมาก......ส่วนใหญ่ของเพื่อนผมนิยมใช้เวลาคาบเรียนนี้ในการพักผ่อนตามอัธยาศัยครับ........ส่วนนึงก็จะใช้ในการเรียนจริงๆ....แต่จากการสังเกตุที่ผ่านมาพบว่าคนที่ใช้ในการเรียนก็จะยังนิยมใช้ในการเรียนไปเรื่อยๆจนเป็นนิสัย....ไปจับกลุ่มอ่านหนังสือในห้องสมุดบ้าง...นัดติวกันบ้าง...Discuss เรื่องบทเรียนหรือไปทบทวนเพื่อมาสอนกันเองบ้าง.......ส่วนพวกใช้ในการเที่ยวก็นิยมเที่ยวอยู่รำไป......ส่วนผมนิยมใช้เพื่อกลับบ้านเร็วจะได้หนีรถติดและไปดูหนังที่โรงหนังใกล้บ้านครับ........สรุปคือพวกที่ขยัน...ก็จะขยันอยู่เรื่อยไปครับ......ส่วนพวกที่ขี้เกียจ(อย่างผม)....ก็ยังเที่ยวเหมือนเดิมครับ.....ตอนนี้ผมจบมาแล้ว....ถามว่าถ้าย้อนกลับไปเพื่อเลือกที่จะเรียนหรือเที่ยว....ผมก็เลือกที่จะเที่ยวเหมือนเดิมครับ(ไม่มีสำนึกเหมือนเคย...)....สาเหตุผมว่าขึ้นกับตัวบุคคลนั้นๆส่วนนึง.....ส่วนนึงจากการจัดการเรียนการสอนครับ.....ดีอยู่ที่ทบทวนเอง...แต่ถ้าอ่านแล้วไม่รู้เรื่องมันก็เบื่อๆ.....ไปกินข้าวดีกว่า....เพื่อนชวนก็ไป....อาจจะเพราะไม่มีการประเมินก็ได้ครับว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือจริงหรือเปล่า....ก็เลยบางทีดูเหมือนเรียนแล้วเลิกครึ่งวัน........ทางแก้ไขถ้าคิดว่าส่วนใหญ่เป็นคนขยัน..ก็น่าจะส่งเสริมบทเรียนหรือหาอะไรที่มันไม่ดูว่างเปล่าและสบายมากไปทำให้กลายเป็นพวกขี้เกียจใช้ไปพักผ่อน....แต่ถ้าสำรวจออกมาแล้วว่าส่วนใหญ่เป็นพวกเที่ยวแล้วหละก็.....การจัดแบบนี้คงไม่ได้ประโยชน์ในด้านการเรียนแก่ผู้เรียนครับ.....อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีแทนครับ.....ไม่รู้นะครับว่าที่นี่เรียน SDL แบบที่ผมเคยเรียนมาหรือเปล่า....................:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-17 , Time : 19:51:26 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 2


   คุณ Death คิดว่าถ้าเราใช้เวลา SDL อย่างนั้นแล้ว (ไปเที่ยว ไปนอน ฯลฯ) เรามีสิทธิ์จะบ่นเรื่องเรียนไม่ทัน เนื้อหาเยอะเกินไป หรือไม่ทราบว่าตรวจผู้ป่วยบน ward ทำยังไงไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 21:46:42 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 3


   SDL เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Block System (หรือที่ใครๆเรียกว่า PBL) จุดหลักที่ผมเข้าใจเขาจัดให้เราเอาเวลาว่าง(ที่เราคิดว่ามันไม่ว่าง)นั้น ไปทบทวนตำราน่ะครับ เอ...แต่ที่ผมเห็น(ผมเองนั่นแหล่ะ) ไม่ได้เอาเวลานั้นไปทบทวนบทเรียนหรอกครับ ส่วนใหญ่น่ะเหรอ ก็เอาเวลามานั่งไล่ตามบทเรียน(ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหา ของเดิมสอน 8 ชั่วโมง อัดมันให้จบใน 1 ชั่วโมง) กับการอ่านตำราเพื่อเอาไปทำ PBL แหม! เรื่องใหญ่นะครับการทำ PBL โดยที่ไม่มีพื้นหรือความรู้อะไรในหัวเลยนี่ เริ่มการ Discussion วันจันทร์ วันศุกร์ก็ต้อง present (เผลอๆต้อง present กันก่อนคืนวันพฤหัสก่อน) แล้วอย่างนี้จะเอาเวลาที่ไหนไป SDL ดังเป้าหมายเดิมล่ะครับ
Self = ตัวเอง, เอ็งนั่นแหล่ะ
Directed = โดยครง, กำหนดทิศทาง
Learning = การเรียน
Self Directed Learning = หาวิธีเรียนเอาเองให้ได้ดังใจผู้สอน/เจ้าของหลักสูตร
นึกชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆไม่ออกแฮะ วานคุณ Phoenix ตั้งชื่อให้หน่อยสิครับ


Posted by : Aqua , Date : 2003-08-17 , Time : 22:52:55 , From IP : 172.29.2.245

ความคิดเห็นที่ : 4


   คุณ Aqua เกือบเข้าใจถูกแล้วล่ะครับ Block System นั้นเป็นคนละส่วนกับปรัชญา PBL เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานนั้นคงจะไม่จำเป็นต้องทำเป็น block Problem-based learning นั้นเป็น mode การศึกษา ส่วนการเรียนเป็น block นั้นเป็น Structure
PBL อาจเรียนเป็น block หรือไม่ก็ได้ การเรียนเป็น block นั้นจะเรียนแบบ teacher-centred ล้วนๆก็ได้

SDL นั้นเป็นอิสระของผู้เรียนครับ นั่นคือความหมายของ self จะเป็นทบทวน จะเป็นอ่านเพื่อเตรียม present จะเป็นอ่านไล่ จะเป็นอ่านล่วงหน้า จะเป็นไปรับคนไข้ จะเป็นดูผู้ป่วยบน ward จะเป็นไปนั่งอยู่ที่ ER จะเป็นไปหา resource person จะเป็นตั้งกลุ่มติว จะเป็นไป surf the net ฯลฯ ขอเพียงเป็นคนทำทำตามที่ตนคิดแล้วก็เป้น self-directed ทั้งนั้น

ที่คุณ Aqua แปลหลังสุดนั้น ผมมองหาส่วนที่จะแปลว่า "ดังใจผู้สอนเจ้าของหลักสูตร" ไม่เจอ ใครแอบมาเติมไว้ตอนไหนก็ไม่รู้ การที่นักศึกษาไม่ทราบว่าจะทำอะไรดีตอน self-directed นี่ หาคนโทษไปคงจะไม่ได้ประโยชน์นะครับ ใช้เวลามาหาว่าทำอะไรดี ดีกว่าหาคนมา blame น่าจะดูสร้างสรรค์กว่าหรือเปล่า?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 23:15:24 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 5


   ....คุณ Phoenix......คุณถามผมแปลกๆนะ......คำตอบของผมก็คือว่า....ถ้าผมใช้เวลาไปในการสำมะเลเทเมาแล้ว....ผมไม่มีสิทธิใดในการมาบ่นว่าเรียนไม่ทัน...ไม่รู้เรื่อง......แน่นอนครับ....................

ผมแนะนำนะครับว่าคุณไม่ควรจะถามคำถามลักษณะแบบนี้.....เนื่องจากมันดูไม่ดีกับตัวคุณเอง......ลักษณะคล้ายๆคำถามนำเพื่อให้บรรลุจุดหมายอะไรสักอย่าง......ผมคิดเอาเองตามการตั้ง Conspiracy Theory ของผมว่า.....คล้ายๆการถามเพื่อเหน็บแนมกระทู้ SDL 2-3อันด้านล่าง......คล้ายคุณทราบอยู่แล้วว่านักเรียนขี้เกียจ....แล้วจะมาบ่นทำไม.......ผมแนะนำนะครับว่าน่าจะใช้ข้อมูลที่ผมเขียน....คุณ Aqua เขียน.....หรือที่คนอื่นจะเขียนต่อ....เพื่อปรัปปรุงแก้ไขเผื่อผลประโยชน์ในการสอนของคุณ....และเพื่อที่จะได้นักเรียนที่เป็นหมอที่ดีเพื่อไปทำประโยชน์ให้ผู้ป่วย.......มิใช่หรือครับ?

ด้วยความเคารพนะครับ...(ขอยืมพี่ Dhan มาใช้ครับ)
.......วันนี้ผมเครียดหลายเรื่องจริงๆครับ.....ขออภัยที่คำพูดอาจจะไม่เข้าท่าครับ................ขอบคุณครับ.......

ส่วนตัวผมแล้ว....ผมยังเชื่อในการเรียนการสอนที่มีผู้สอนมากกว่า.....เนื่องจากผมเองไม่ใด้ฉลาดมากนักที่จะอ่านเองแล้วรู้เรื่องได้เร็วครับ......:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-17 , Time : 23:40:58 , From IP : 172.29.3.199

ความคิดเห็นที่ : 6


   ยอมรับว่าsdlเป็นระบบที่ดีครับ แต่สำหรับคนไฝ่รู้ที่อ่านหนังสือเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อ เท่านั้นแหละครับ
ผมรับมาอ่านเองแล้วยิ่งอ่านยิ่งออกทะเลไม่รู้จะscopeตรงไหนอ่านมากไปก็มึนจำไม่ได้ จุดประสงค์ที่ให้มาก็คลุมเคลือเกินไปในบางจุด ไม่มีใครเน้นย้ำให้ อ่านไปอ่านมาลืมหมด แถมยังมีทับถมลงมาเรื่อยๆ(เช่นวันนี้อ่านไม่จบพรุ่งนี้ก็ต้องรับsdlใหม่มาซะแล้ว) ผมว่าระบบมันก็ดูดีหรอกนะครับ แต่ในทางปฎิบัติ คนไม่ใช่คอมนะครับอ่านวันนี้จะจำได้หมดเป็นบทๆ(อาจยกเว้นเพื่อนๆบางคน)ของจริงน่ะอ่านวันนี้มะรืนนี้ก็เหลือ50-60%แล้ว ผ่านไปอาทิตย์นึงก็ศูนย์พอดี สู้เอาเวลาไปนอนพักกับอ่านเลคเชอร์ดีกว่าออกข้อสอบเยอะกว่าด้วยจริงมั้ยหละครับ


Posted by : ซักคน , Date : 2003-08-18 , Time : 00:19:50 , From IP : 203.157.14.246

ความคิดเห็นที่ : 7


   คุณ Death ครับ ผมไม่เคยมีจุดมุ่งหมายที่จะเขียนให้ตัวผมดูดีเลยครับ (และค่อนข้าง effective ด้วย) บางครั้งการเตือนสตินั้น จำเป็นที่จะต้องไม่อ้อมค้อม เพียงชี้ให้เห็นตรรกะเท่านั้น ไม่ต้องตกแต่งระย้าอะไรมาก จริงอย่างที่คุณ Death ว่ามา คือถ้าเราไม่ได้ทุ่มเทเวลาในการเรียนแพทย์จริงๆแล้ว โอกาสที่จะตามไม่ทันจะยิ่งสูงยิ่งขึ้น เพราะขนาดทุ่มจริงๆก็ยังมีให้อ่านไม่รู้จักจบสิ้น แต่ simple logic แบบนี้แหละครับที่ถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ ขอบคุณที่กรุณาแนะนำว่าผมควรจะถามคำถามแบบไหน ผมไม่ care ว่าผมจะดูดีไม่ดีอย่างไรหรอกครับ ออกมาตั้งกระทู้แบบนี้และอยู่ฝ่ายนี้ผมเตรียมรับ missiles อยู่แล้ว กุศลเจตนาขอน้อมรับไว้ด้วยใจครับ

เรื่องที่เราพูดอยู่นี้ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการสอนของผมหรอกครับ แต่เป็นเพื่อประโยชน์ในการเรียนของนศพ.เพราะเรากำลัง focus on SDL นะครับ อย่าพึ่งปลิ้นประเด็นออกไปข้างนอกอีก SDL ที่ว่านี้น่ะคือการที่นศพ.ใช้เวลาเรียนที่ต้องการ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเรียน "ด้วย" ตนเองนะครับ นศพ.มีสิทธิ์ที่จะไปหา resource person หรือ ไปตั้งกลุ่มเรียนกับเพื่อน หรืออย่างไรก็ได้ เข้า OR ก็ได้ ไปอยู่ห้องเฝือกก็ได้

จะเป็นการเรียนระบบไหนก็ตาม contents ที่มีอยู่ของแพทย์นั้นไม่สามารถเรียนจบในเวลา 9-5 offical hours แน่นอนครับ นั่นเป็นข้อเท็จจริงแท้แน่นอนมาแต่ดึกดำบรรพ์ เคยเห็น นศพ.ใน TV หรือหนังเรื่องไหนที่ไม่มี character ทำงานหนักเช้าจรดค่ำและอยู่ดูหนังสือดึกๆตลอดหกปีบ้าง? คนที่เรียนบ้างเที่ยวบ้างจบมาได้นั้นเก่งจริงครับ หัวดี bright น่านับถือ ยิ่งถ้าเขาเหล่านั้นทุ่มเทเวลากับการเรียนอีกสักหน่อยเราก็อาจจะมีอาจารย์แพทย์ที่มีประสิทธิภาพกว่านี้อีกก็เป็นได้ น่าเสียดายจริงๆ

อย่าลืมว่าเรา fully implement PBL ก็จริง แต่ไม่ได้ fully implement SDL และไม่คิดว่าเราจะ ever will implement ด้วย SDL เป็นกระบวนการฝึกตามหลักการของ adult learning และการค้นคว้าข้อมูล ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่สุดที่ต้องการให้นักศึกษาในระบบใหม่นี้ได้ แต่ขณะเดียวกันเรายังมี lecture, PBL, CRT, group teaching, group teaching ฯลฯ มาเสริมอยู่ ถ้า PBL ตัด SDL ไป แล้ว นศพ.จะใช้เวลาตอนไหนไปค้นหาข้อมูลมา present ล่ะครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-18 , Time : 01:05:32 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 8


   ............ซึ่งน่าจะดีถ้านักเรียนใช้มันในการหาข้อมูลหรือในการศึกษาจริงๆ......ถ้าส่วนใหญ่เอาไปใช้พักผ่อนอย่างที่ผมเคยทำ......แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรเหรอครับ......มันอาจจะเป็นระบบที่ดี....ไม่รู้ดีที่สุดหรือเปล่า....อาจจะเหมาะสมกับการเรียนแพทย์จริง.....แต่พื้นฐานของเราในตอนนี้อาจจะยังไม่ดี...หรือไม่พร้อมที่จะยอมรับมันได้หรือไม่.....เพราะการจะสอนคนสักคนให้ใส่ใจและสนใจในการเรียนเนี่ย...มันน่าจะยาก...และน่าจะเริ่มตั้งแต่เด็กกว่านี้หรือไม่.....เพราะตอนผมเรียนมัธยมหรือประถมเนี่ย....ผมสำมะเลเทเมามากกว่านี้อีก....ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองควรจะให้ความสำคัญกับการเรียนเลยมาตั้งแต่เด็ก.....อาจจะผมเป็นคนแบบนี้..หรือเพราะการเรียนการสอนในอดีตมันไม่ดี?.....ไม่รู้เหมือนกัน.....แต่ผมคิดว่า...ถ้าส่วนนึงเป็นจากที่ตัว"คน"ไม่พร้อมที่จะเข้าใจ....การมาเริ่มสอนตอนนี้คงน่าจะยากกว่าไปเริ่มตอนเด็ก.....แต่ก็ไม่ใช่ว่าชั่งมัน.....รอเด็กรุ่นใหม่อีก10 ปีค่อยขยันและเริ่มหลักสูตรนี้.....เราก็คงมีแพทย์แบบแปลกๆออกไปอีก 10 ปี.............ผมแนะนำว่า...ถ้ามันจะไม่ work เพราะผู้เรียนเองแล้วหละก็.....คงต้องทำใจ.....หาข้อมูลเพื่อแก้ไข....และพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแก้....อย่างนึงการบอกกล่างหรืออธิบายน่าจะจำเป็น.....ถึงจะเป็นพวกขี้เกียจ....แต่ฟังบ่อยๆมันก็ต้องได้อะไรบ้างหละ....คงไม่ค่อยดีมั้ง....ถ้าปล่อยให้ผู้เรียนมาคิดว่าการเรียนการสอนแบบนี้ผู้เรียนลำบาก....แต่ผู้สอนสบายเพราะลดชั่วโมงสอนลง.......ผมเองเคยถูกน้อง นศพ ถามอะไรแปลกๆ....ดูเหมือนว่าจะมองความเจ็บป่วยเป็นชิ้นๆ ส่วนๆตามระบบที่เรียนมา.....แต่เอามารวมกันเป็นตัวผู้ป่วยไม่ได้.....ฟังแล้วดูน่ากลัวพิลึกครับ...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-18 , Time : 16:37:42 , From IP : 172.29.3.118

ความคิดเห็นที่ : 9


   คิดว่าเราควรจะปล่อยให้นักเรียนแพทย์ที่มีเวลา SDL แล้วใช้เวลาไปเที่ยว ไม่ดูหนังสือ หรือค้นคว้า รอเวลารัฐบาลจัดเปลี่ยนระบบการศึกษาระดับประถมใหม่ รอเวลาที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่เห็นดีกับการที่เด็กจะด้เรียนแบบ active ถึงค่อยใช้ระบบ PBL หรือครับ

ผมสงสัยว่า "ข้อสรุป" ที่ว่ามันไม่ work ตอนนี้น่ะมาจากที่ใด ส่วนข้อสรุปที่ว่า "มันอาจจะ work" ตอนนี้มาจากคะแนนสอบ comprehensive รวมของสามสถาบันเปรียบเทียบระบบเก่ากับระบบใหม่ในข่อสอบชุเดียวกันที่พบว่าระบบใหม่ "มีแนวโน้ม" (แต่ไม่มี significant) ที่ได้คะแนนมากกว่านักเรียนในระบบเก่าทำ

นักเรียนแพทย์ "ส่วนใหญ่?" มีต้นทุนดี คือหัวดี ฉลาด และปรับตัวได้ดี อันนั้นเป็นข้อได้เปรียบเบื้องต้นของคนที่ทำคะแนนได้ดี (ไม่คิด EQ เอาแต่ IQ) เรากะได้ยากทีเดียวว่า "silent majority" นั้นคิดอย่างไรกับระบบใหม่

การ "เริ่ม" ปลุกเร้าความรู้พื้นฐานของ learning behavior แก่นักเรียนแพทย์เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ จริงๆแล้วโดยหลักการเท่าที่ฟังดู แม้แต่คนที่ไม่เห็นด้วยก็เข้าใจว่ามันดีกว่ายังไง เพียงแต่พอลงมาถึง "ภาคปฏิบัติ" ที่ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นเท่านั้นที่ไม่เคยชิน และบางคนไม่อยากปรับตัว แล้วก็จะกลายเป้นดินพอกหางหมูในที่สุด

ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนเริ่มปลูกฝังว่า facilitator หรือครู resource person ในระบบใหม่นี้สบายขึ้น การประเมิน "process" นั้นยากกว่าประเมิน content examination หลายเท่า concentration ที่ facilitator ต้องใช้ใน session PBL นั้นสูงกว่าตอน lecture ซะอีก เพราะนอกเหนือจาก content ที่ต้องฟังว่ามันออกนอกเรื่องไปบ้างรึเปล่า ยังต้องคอย observe process ของ "นักเรียนทุกคนในกลุ่ม"

คุณ DeaTH อาจจะต้องลืมอดีตสำมะเลเทเมาต่างนั้นลงซักนิดนึง แล้วลองเปิดใจกันจากเราทั้งคู่ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด และทำอย่างไรเราจะทำให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด สอนคนให้คิดเป็นนั้น กุศลบญมันต่อเนื่องไปหลาย generation ผมไม่คิดว่าเราสามารถจะสรุปได้ว่านักเรียนแพทย์ปัจจุบันส่วนใหญ่ hopeless และไม่สามารถจะเรียนแบบผู้ใหญ่ ฉะนั้นเราควรจะ reverse ไปสู่ระบบ teacher-centred อีกครั้งหนึ่ง รอยุคพระศรีอาริยเมตตรัยมาถึงค่อยเปลี่ยน ผมขอเสนอว่าเราเปลี่ยนไปเลย แล้วช่วยกันฉุดดึงดันผู้ที่ต้องอาศัยเวลาปรับตัวมากกว่าคนอื่นให้ทันคนที่เขาปรับตัวได้ ที่ไปได้ดีมากๆเลยทีเดียวในขณะนี้ จะดีกว่าหรือไม่? ไม่มีใครเป้นอัจฉริยะที่เรียนเล่นๆก็ผ่านฉลุยมาได้ทุกคนหรอกครับ เราหา "ระบบ" ที่น่าจะ benefit คนจำนวนมากที่สุด โดยอาศัย evidence-based ของศึกษาศาสตร์ดีไหมครับว่าเรียนแบบไหนที่มนุษย์รับได้ดีที่สุด คนไทยมี potential ไม่น้อยกว่าคนชาติอื่นหรอกครับ เพียงแต่ติดนิสับถ่อมตัว และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง




Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-18 , Time : 18:13:38 , From IP : 172.29.3.222

ความคิดเห็นที่ : 10


   ...........นี่....คุณ Phoenix........กรุณาอ่านที่ผมเขียนดีๆนิดนึงครับ....อ่านช้าๆ....ผมเข้าใจว่ามันอ่านยากเนื่องจากผมชอบใช้ไอ้...(....)...จุดๆเนี่ยเยอะ....อ่านแล้วมันน่าเวียนหัวจริง......แต่ผมไม่ได้บอกให้เรารอจนกว่ารัฐบาลจะปรับปรุงระบบการศึกษา..........ดูนี่...

......."แต่ผมคิดว่า...ถ้าส่วนนึงเป็นจากที่ตัว"คน"ไม่พร้อมที่จะเข้าใจ....การมาเริ่มสอนตอนนี้คงน่าจะยากกว่าไปเริ่มตอนเด็ก.....แต่ก็ไม่ใช่ว่าชั่งมัน.".....

......เห็นคำว่า"แต่ก็ไม่ใช่ว่าช่างมัน".......ผมหมายถึง....มันน่าจะยากกว่าตอนเด็ก
......แต่ไม่ใช่ช่างหัวมันไปเรื่อยๆ.....

.....แล้วดูนี่ต่อนะครับ.............

....."ผมแนะนำว่า...ถ้ามันจะไม่ work เพราะผู้เรียนเองแล้วหละก็.....คงต้องทำใจ.....หาข้อมูลเพื่อแก้ไข....และพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแก้"

..............ผมหมายถึงว่า....ถ้าผู้เรียนมันเลว....อาจจะต้องทำใจไว้ส่วนนึง....และพยายามหาข้อมูลเพื่อเอามาแก้ไข......โดยพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแก้....ไม่ใช่ยอมแพ้เพราะว่าพวกคุณจะมีหน้าที่ที่ต้องสอนคนเหล่านี้......

..........เข้าใจที่ผมเขียนหรือยังครับ.....ระบบมันอาจจะไม่ work แต่ผมไม่ได้หมายความว่าให้รอสักนิดเลยยยยยยยยยยยยยยยยย.............เฮ้อออออออออออออออออออ................เหนื่อยจิง.............:D...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-18 , Time : 19:29:58 , From IP : 172.29.3.242

ความคิดเห็นที่ : 11


   ...........นี่....คุณ Phoenix........กรุณาอ่านที่ผมเขียนดีๆนิดนึงครับ....อ่านช้าๆ....ผมเข้าใจว่ามันอ่านยากเนื่องจากผมชอบใช้ไอ้...(....)...จุดๆเนี่ยเยอะ....อ่านแล้วมันน่าเวียนหัวจริง......แต่ผมไม่ได้บอกให้เรารอจนกว่ารัฐบาลจะปรับปรุงระบบการศึกษา..........ดูนี่...

......."แต่ผมคิดว่า...ถ้าส่วนนึงเป็นจากที่ตัว"คน"ไม่พร้อมที่จะเข้าใจ....การมาเริ่มสอนตอนนี้คงน่าจะยากกว่าไปเริ่มตอนเด็ก.....แต่ก็ไม่ใช่ว่าชั่งมัน.".....

......เห็นคำว่า"แต่ก็ไม่ใช่ว่าช่างมัน".......ผมหมายถึง....มันน่าจะยากกว่าตอนเด็ก
......แต่ไม่ใช่ช่างหัวมันไปเรื่อยๆ.....

.....แล้วดูนี่ต่อนะครับ.............

....."ผมแนะนำว่า...ถ้ามันจะไม่ work เพราะผู้เรียนเองแล้วหละก็.....คงต้องทำใจ.....หาข้อมูลเพื่อแก้ไข....และพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแก้"

..............ผมหมายถึงว่า....ถ้าผู้เรียนมันเลว....อาจจะต้องทำใจไว้ส่วนนึง....และพยายามหาข้อมูลเพื่อเอามาแก้ไข......โดยพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแก้....ไม่ใช่ยอมแพ้เพราะว่าพวกคุณจะมีหน้าที่ที่ต้องสอนคนเหล่านี้......

..........เข้าใจที่ผมเขียนหรือยังครับ.....ระบบมันอาจจะไม่ work แต่ผมไม่ได้หมายความว่าให้รอสักนิดเลยยยยยยยยยยยยยยยยย.............เฮ้อออออออออออออออออออ................เหนื่อยจิง.............:D...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-18 , Time : 19:30:24 , From IP : 172.29.3.242

ความคิดเห็นที่ : 12


   
OK ครับ ยอมรับว่าเป็นวิธีบอกว่าเห็นด้วยกับระบบใหม่ที่ผมฟังตอนแรกไม่เข้าใจจริงๆ เพราะ 8 sections แรก (นับตามจุดจุดจุดจุด) ที่เกริ่นนำพาผมเขวไป

คงจะหามาตรการที่ทำให้ SDL มีประสิทธิภาพอย่างที่มันถูกออกมแบบมาได้ยากจริงๆ ตราบใดที่เรายังเข้าใจว่า SDL หรือ session ใดก็ตามของการเรียนแพทย์จะอำนวยความว่าง หรือสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่ากับผู้เรียนหรือผู้สอน อันนี้เป็นสมมติฐานส่วนตัวของผมเองนะครับว่า พวกเราบางท่านเข้าใจผิดหรือเปล่าว่าการเรียนระบบใหม่จะสบายขึ้น

จริงๆแล้วการเรียนแบบ PBL นั้นอิงหลักการเรียนการสอนของผู้ใหญ่ที่ mature แล้วค่อนข้างเยอะ ( andragogy ที่ได้พูดถึง ) ก็ต้องยอมรับเราตั้งเงือนไขไว้ว่านักศึกษาแพทย์เป็น adult learner ทีนี้ถ้าตัวปัญหาอยู่ที่ของเรายังเป็นเด็ก (หรือผู้ใหญ่ที่ไม่ mature) ก้ต้องถามต่อว่าเราจะแก้ตรงที่จะยอมให้เป็นการเรียนแบบ immature ไปเรื่อยๆ หรือควรจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าควร แล้วจะทำอย่างไร




Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-18 , Time : 21:37:25 , From IP : 172.29.3.234

ความคิดเห็นที่ : 13


   เรียน...พี่Death ...
พี่บอกว่าเมื่อก่อนมีก็เคยมี SDL ...แต่หนูว่าของมอ.คงมากกว่าของพี่แน่ๆเลยน่ะ และถ้าพี่มาเป็นนศพ.ตอนนี้ ใช้ SDL พักผ่อนเหมือนอดีต หนูว่าพี่คงไม่รอดหรือไม่ก็รอดเฉียดตายถ้าไม่ Bright มากๆ เพราะเรามี SDL เยอะมาก เยอะแบบมหาศาล บางสัปดาห์มี lecture แค่ 3 เรื่อง เรื่องละ ชั่วโมง .... และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ว่างๆพี่ลองขอดูตารางเรียนของเด็กๆดูบ้างนะคะ ... (-_-)


Posted by : KOOL , Date : 2003-08-19 , Time : 21:10:26 , From IP : 172.29.2.83

ความคิดเห็นที่ : 14


   ....เรียนน้อง KOOL ครับ....:D...:D...
.......พี่จะเล่าอะไรให้ฟังนะครับ...:D...:D
......รุ่นพวกพี่เป็นรุ่นที่สองที่จัดการเรียนการสอนเป็นระบบใหม่....แบ่งเป็น Blockๆ อย่างที่ที่นี่เรียนนั้นหละ......รุ่นก่อนพวกพี่คือรุ่นพี่รหัสพี่....เป็นรุ่นแรกของระบบนี้....มีการต่อต้านกันมากมาย.....ถึงกับเดินขบวน....หยุดเรียน(ประมาณนั้น...ฟังเค้าเล่ากันมา)....เพื่อจะล้มไอ้ระบบใหม่นี้ลง...เพราะอ่านเองไม่รู้เรื่อง....รุ่นพวกพี่ก็คือรุ่นหนูทดลองรุ่นที่สองนี้เอง......พี่เคยดูตารางเรียนของพวกน้องๆแล้วครับ....ยอมรับว่ามีการเรียนการสอนแบบ Lecture น้อยมากๆครับ....SDL ที่พวกพี่เคยเรียนนี่มีแค่วันละครั้งเป็นอย่างมาก...ครั้งละ 1-2 ชั่วโมงครับ...บาง Block ใจดีมาก...ก็ให้ SDL ครึ่งวันบ่ายมันซะเลย.....ที่พวกพี่กับเพื่อนเอาไปสำมะเลเทเมานั่นหละครับ...:D..:D......ถามว่าเรียนแบบนี้ดีไหม?.....สำหรับพวกพี่ชอบมากๆเลยเพราะได้เวลาเที่ยวมาก(อย่าเอาอย่าง....แค่เล่าให้ฟัง....ไม่ได้ภูมิใจ)....พี่ว่าที่พี่รอดมาได้เพราะโชคช่วยครับ...อาจจะเพราะมี Lecture มากกว่าที่นี่หรือเปล่าไม่รู้??....แต่จะว่าไปคาบเรียนที่เป็น Lecture นี่พี่ก็เอาไว้นอนหลังห้องเรียนเหมือนกัน....เพราะกลางคืนมัวแต่เล่น Game และ Internet เลยไม่ได้นอน....ก็มานอนเอาตอนเรียนนี้หละ......จนถึงป่านนี้พี่มานั่งนึก......รู้สึกเสียดายเหมือนกันว่าถ้าตั้งใจเรียนดีๆ.....น่าจะมีความรู้มากกว่านี้.....ไม่ต้องมานั่งอ่านใหม่ตอนเป็นแพทย์ใช้กรรมที่ไม่ค่อยมีเวลาเหมือนตอนนี้.......แนะนำน้องได้ครับว่าให้อดทน.....เราไม่ได้เรียนกันมาง่ายๆหรือสบายๆเพื่อมาเป็นหมอหรอกครับ.....เราต้องเหนื่อยกันอยู่แล้ว.....สิ่งใดก็ตามที่ได้มาง่ายๆเนี่ย.....มันไม่ภูมิใจหรอกครับ.....มันต้องดิ้นรนให้ได้มา.....เพื่อจะได้บอกใครต่อใครว่า.....เห็นไหมหละไอ้หลักสูตรเฮงซวย....สุดท้ายชั้นก็เรียนจบ.....และจบเป็นหมอที่ดีด้วย....ไอ้หลักสูตรที่ดีแต่ทำให้ชั้นลำบากอย่างแกเนี่ย.....มันไม่ได้ทำให้ชั้นท้อแท้เลย.................:D...:D..:D........กว่าจะได้สิ่งที่ดีๆมาม้นต้องลงทุนครับ.....ไม่ใช่จ่ายตังค์แล้วจะได้ทุกอย่าง......เหมือนกับคนที่เอาแต่อ่านหนังสือ....ไม่เคยดูคนไข้เลย....ไม่มีวันเป็นหมอที่ดีได้หรอกครับ....ไม่งั้นอนาคตเราคงมีหุ่นยนต์หมอมานั่งตรวจ....ใส่ข้อมูลให้มันให้หมด....มันก็รักษาได้ทุกอย่าง....หมอก็ไม่ต้องมีกันแล้ว..........ตอนนี้ถ้าน้องอยู่ชั้น Pre-clinic ก็อัดความรู้เข้าใว้ให้มากๆครับ.....พอขึ้นชั้น Clinic ก็เอาที่อัดไว้นั้นนะ....มาใช้ในการดูแลคนไข้เพื่อที่จะได้เข้าใจมากขั้น.....ยอมรัยครับว่าการอ่านอย่างเดียวโดยที่ไม่มีตัวอย่างให้ดูนั้นเข้าใจยากมากครับ.....แต่ก็ต้องพยายามหละครับ........สรุปคืออดทนครับน้อง......OK.....จบภาคเทวดา............:D....:D

.......ต่อไปเป็นภาคซาตานครับ.................ถ้าการเรียนมันแย่นัก.....ก็ Feedback ไปเลยครับน้อง.....แล้วก็ต้องตามจิกไม่ปล่อย.....ว่ามีการประเมินหรือดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้ว......เราจะไม่ยอมจบออกมาเป็นหมอโง่ๆที่อ่านเอาเองเข้าใจเองโดยไม่มีคนมาคุมเด็ดขาดครับ......ถ้าอะไรก็ตามที่ทำให้น้องรู้สึกว่ามันแย่...และต้องแก้ไข...เพื่อผลประโยชน์ของการเป็นแพทย์ที่ดีแล้วหละก็......ไม่ควรรอครับ......อัดมันให้เละ.....ถ้ามันแย่....มันต้องแก้ไขครับ....จะมาทิ้งไว้ให้เป็นเวรกรรมแก่รุ่นน้องไม่ได้เด็ดขาด......ถ้า Feedback แล้วไม่มีคนสนใจ.....น้องก็ลุยไปทางอื่นเลยครับ.....สมัยนี้เรามีทางออกในการจัดการกับพวกผู้บริหารงี่เง่าเยอะครับ......ถ้ามันจะไม่สนใจฟังผู้น้อย.....มันจะต้องเดือดร้อนแน่ครับ.....ลงกระดานข่าว....ลงหนังสือพิมพ์.....ติดประกาศ....เดินขบวน..... Strike ไม่เรียน...ไม่จ่ายค่าเทอม.....ก่อม๊อบ....ฟ้องกระทรวง........เพียบครับน้อง.......ไม่ต้องกังวลไปเลยครับ.....ถ้าประชุมชั้นปีออกมาแล้วว่าระบบนี้ห่วย.....เรียนไปได้ออกไปเป็นหมอห่วยๆแน่นี่......ลุยแหลกเลยครับ............:D...:D

.........OK.......ชอบอันไหนตามสบายเลยครับ......แต่ขอให้มองว่าเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวมนะครับ.......จำไว้ว่า.......อย่าคิดจะมุ่งมั่นที่เป็นหมอที่เก่ง.......ขอแค่เป็นหมอที่ดี.....ก็พอแล้วครับ.......:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-19 , Time : 22:12:07 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 15


   



ก่อนจะฟ้อง ไป review ดูก่อนก็ดีนะครับว่าสมัครเข้าเรียนในสถานที่ที่เปิดหลักสูตรเปิดเผยและมีสัมฤทธิผลมากกว่า 90% โดยหาว่าหลักสูตรไม่ดี ไม่รู้ว่าจะใช้เวลา self-directed learning อย่างไรนั้น มีโอกาสชนะแค่ไหน หรือถ้าแพ้จะเป็นอย่างไร

แต่ผมเห็นด้วทุกอย่างในภาคเทวดาครับ




Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-20 , Time : 00:04:55 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 16


   


tr>



ก่อนจะฟ้อง ไป review ดูก่อนก็ดีนะครับว่าสมัครเข้าเรียนในสถานที่ที่เปิดหลักสูตรเปิดเผยและมีสัมฤทธิผลมากกว่า 90% โดยหาว่าหลักสูตรไม่ดี ไม่รู้ว่าจะใช้เวลา self-directed learning อย่างไรนั้น มีโอกาสชนะแค่ไหน หรือถ้าแพ้จะเป็นอย่างไร

ผมไม่แน่ใจว่า culture กระดานข่าวถ้าจะถูก exploit โดยวิธีที่ว่า จะส่งเสริมให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน โดย anonymity การส่งกระทู้ attack นั้นไม่ต่างกับการส่งบัตรสนเท่ห์ และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้ได้รับความเสียหาย ก็จะไร้ซึ่งความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างด้านมืดของการใช้กระดานข่าวแบบนี้คือ Troll breed ต่างๆที่ลอยไปลอยมาให้เราพบเห็นอยู่เนื่องๆ

ผมคิดว่าการ strike หรือไม่จ่ายค่าเทอมนั้นมีโอกาสที่จะถูกเชิญออกจากมหาวิทยาลัยโดยถูกกฏหมายได้ง่ายๆ ทางที่ดีอาจจะมาทบทวนกันดูใหม่ดีหรือไม่ว่าทำไมนักศึกษาศาสตร์ดันทะลึ่งสรุปมาว่าคนเราสามารถมีความรับผิดชอบได้สูงขนาดนั้น คนเราจะเป็นแพทย์เนี่ยต้องรับผิดชอบได้มากมายหยั่งงั้นเทียวหรือ แล้วพวกที่ทำสำเจนั้นเป็น X-Men หรืออย่างไร

แต่ผมเห็นด้วทุกอย่างในภาคเทวดาครับ




Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-20 , Time : 00:07:44 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 17


   ทำไมกระทู้นี้ถึงมีแค่คนสองคนคุยกันเป็นหลัก...
ขอแจมบ้างครับ

อย่างน้อย SDL ก็ทำให้ผมได้รู้ถึงความสำคัญของการจัดการเวลาและการเรียนแบบ andragogy อย่างที่คุณ Phoenix ว่าล่ะครับ
รู้ว่าสำคัญ แต่ยังทำไม่ได้ดี และไม่รู้ว่าจะทำได้ดีก่อนจบปี 6 หรือเปล่า

แต่อ่านข้อความข้างบนแล้ว สิ่งที่อยากพูด มันก็มีอยู่ในคุณ Death ภาคเทวดาแล้วล่ะ

แล้วจะทำยังงัยให้นศพ.สามารถจัดการกับ SDL ได้ดี
ที่จริงอย่างที่คุณ Phoenix ว่า อย่างน้อย นศพ. ก็ IQ ดี ปรับตัวเก่งอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่น่าเป็นห่วงพวกเขามาก คนเก่งๆก็ปรับตัวได้ไป แต่ยังมีคนส่วนน้อยๆ ที่เรียนไม่เก่ง มีปัญหา รู้จักข้อดีของระบบ แต่ไม่ยอมรับข้อดีนั้น ทำให้ไม่สามารถได้รับผลประโยชน์จากจุดนี้ได้อย่างเต็มที่
(รวมทั้ง PBL ด้วย ที่ไม่สามารถสร้างความใฝ่รู้ให้แก่นศพ.ได้อย่างเต็มที่)
อืม ไม่รู้สินะ สิ่งที่ผมพูดถึงนี่ อาจเป็นเพียงความรู้สึกของผมก็ได้ ความรู้สึกที่ว่า SDL กับ PBL ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาให้กับนศพ.

ที่จริง ทุกคนก็ต้องดิ้นรนล่ะนะ ดิ้นรนจนเรียนจบ หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ...

(ดึกแล้ว อ่านหนังสืออยู่ อาจจะเพ้อเจ้อ เขียนไม่ค่อยรู้เรื่อง เอาไว้มาคุยด้วยต่อครับ)


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-20 , Time : 03:09:18 , From IP : netturbo5.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 18


   คนที่จะให้ข้อมูลเรื่องการเรียนแบบPBLได้ดีในเบื้องต้นน่าจะเป็นexternรุ่นปัจจุบัน ถ้าน้องexternบอกว่าดี ก็น่าจะดีจริง แต่ถ้าบอกว่าไม่ดีก็ต้องอธิบายว่าไม่ดีอย่างไรเพราะปัญหาที่น้องเจอมันก็อาจเกิดกับรุ่นที่เรียนระบบเก่าเหมือนกัน ตอนเป็นexternไม่มีการสอบเพื่อเก็บคะแนน ทำแต่งานอย่างเดียว ไม่ต้องเขียนรายงาน ผลของการเรียนแบบPBLน่าจะออกมาเต็มที่ น้องทำงานเป็นหรือเปล่า แก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วยได้หรือไม่ เวลามีปัญหาน้องทำอย่างไร เวลาที่ว่างน้องเอาไปทำอะไร ถ้าน้องบอกว่าไม่ว่างเลยเพราะพีๆใช้งานหนัก ก็คงต้องรออีกปี ให้น้องจบเป็นหมอก่อนแล้วไปเจอปัญหาต่างๆเอง เป็นตัวของตัวเอง น้องคงบอกได้ว่าPBLเป็นอย่างไร แล้วอย่าลืมมาตอบในกระดานให้อาจารย์ได้รู้

Posted by : megumi , Date : 2003-08-20 , Time : 04:41:11 , From IP : 172.29.3.236

ความคิดเห็นที่ : 19


   เรียนระบบเก่าเรามี SDL เหมือนกันครับ นั่นคือทันทีที่กระดิ่งหมดเวลาราชการดัง ที่เหลือก็เป็นภาระของเราที่ต้องทำงานต่อ และ "เกือบทุกคน" ทำต่อ

ปีสองเป็นปีที่หฤโหดที่สุด gross anatomy ตลอดปี และยกเว้นสองอาทิตย์แรกเปิดเทอมแล้ว หลังจากนั้น virtually ทุกอาทิตย์ก็จะเป็นการสอบ 1,2, หรือ 3 วิชาของ gross anatomy, histology, embryology, physiology และ biochemistry ตลอดปีการศึกษา ไม่มีใครสามารถไม่ทำ SDL นอกเหนือจากที่ถูกกำหนดไว้บนตารางเรียน เพราะไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำเสร็จในเวลาราชการกับงานที่ได้รับ assigned มา ใครจำอะไรได้บ้างหลังจากนั้นไม่ได้ทำวิจัย แต่เหลือ "น้อยมาก" จริงๆ ทุกวิชาเป็นท่องจำซะ 80% short-term memory ถูกนำมาใช้ และไม่น่าแปลกใจที่มันหายไปในเวลาเท่าๆกับที่เราใช้ในการ acquire

ที่ได้คือ "ความอึด" และความสามารถในการ "ไม่บ่น" เพราะ job must be finished และนั่นแหละที่เป็น motto ของนักเรียนแพทย์ มีคนไปเที่ยว ไปเตร่เหมือนกันครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเย็นวันสอบเสร็จ (เพราะอีกสองวันก็จะสอบอีกวิชา คืนวันพรุ่งต้องเป็นนกฮูกต่อ) นศพ.จะจำได้แม่นยำว่าโปรแกรมหนังเรื่องอะไรโรงไหนเข้าเมื่อไหร่ สอบเสร็จก็ยัดเข้า taxi 6 คนไปสยามสแควร์

ปีสามปีสี่ปีห้าปีหก ชีวิตไม่เคนเปลี่ยน ถึงแม้จะไม่มีใครมาตั้งชื่อการใช้เวลานอกเวลาเราว่าเป็น sdl ดูทุกคนก็รู้ดีว่าถ้าวันนี้โดด วันนี้ไปก๊ง นั่นหมายความว่าเราต้องชดใช้กรรมแน่ๆเร็วๆนี้

อาจจะเป็นเพราะ age-gap ก็เป็นได้ เพราะผมไม่ใคร่เข้าใจคำว่า "เรียนหนักขึ้น" ที่บ่นมาจากนศพ.รุ่นใหม่ เพราะน้องจะเข้าใจได้อย่างไรว่ารุ่นพี่เรียน "หนัก" ขนาดไหน? ผมเองยังบอกไม่ได้เลยว่าผมเรียนหนักกว่าหรือเบากว่านศพ.รุนใหม่ เพราะว่าผมไม่ทราบว่าน้องเรียนหนักแค่ไหน พอๆกับที่เราไม่ทราบว่ารุ่นพี่เรารุ่นที่แล้วเรียนหนักแค่ไหนอย่างไร

แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นโดยสิ้นเชิง เราไม่ได้สนใจว่าเราเรียนหนักแค่ไหน แต่เราสนใจที่เราต้องรู้อะไรบ้างก่อนจะจบไปมากกว่า ผมไม่เคยเห็น extern หรือ Intern ในอดีตมีความมั่นใจแม่แต่รุ่นเดียวว่ารู้พอแล้ว ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกปกติ เพราะเรารู้ว่าความรับผิดชอบนั้นมันมากขึ้นเรื่อยๆ ความกลัว ไม่แน่ใจ ในเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ และสมควรอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาแพทย์ แต่ทุกคนก็ "ผ่านมาได้" ครับ ผ่านมาได้กว่าร้อยปีแล้ว มองกลับไปทั้งตัวเราและเพื่อนเรา ผมว่าพี่ๆเองก้แทบไม่อยากเชื่อว่ารุ่นเราๆที่ได้คบกันมา เล่นกันมาจะอยู่ในตำแหน่งที่ปัจจุบันนี้เป็นอยู่

ผมอยากจะบอกว่า self-doubt นั้นเกิดขึ้นตามปกติครับ แต่เราควรจะนำมาเป็น positive force ที่จะเอาชนะ อย่าไปโทษครู โทษระบบ โทษสังคม โทษครอบครัว เมื่อ "เรา" ทำไม่สำเร็จ เพราะนั่นเป็นทางตัน แต่ถ้าเรากำหนดว่าเป็น "ตัวเรา" ที่เป็นสาเหตุ หมายความว่า "เรา" ก็สามารถจะแก้ไขได้ ง่ายกว่าจะไปแก้ที่รัฐบาล คณบดี หรือครูบาอาจารย์ ผมอาจจะมีความรู้สึกหลอนตัวเอง เพราะผมรู้สึกว่าเด็กรุ่นใหม่พอเปลี่ยนเรียกครูอาจารย์ว่าเป็นผู้บริหาร ดูมันจะเป็นการ break barrier ที่จะพูดจิกหัว ด่าโดยใช้ภาษากเฬวลากอย่างไรก็ได้ ทั้งๆที่ท่านก็ได้สอนอะไรๆมามากมาย อาจจะไม่เกี่ยวนะครับ แต่ผมว่ากตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดีอยู่



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-20 , Time : 22:38:47 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 20


   เคยคิดว่านักศึกษาแพทย์เป็นคนที่มีมันสมองดี น่าจะเรียนรู้ได้ดี แต่อ่านข้อความในกระทู้ของหลายคนแล้ว อาจต้องเปลี่ยนความคิดว่า นักศึกษาแพทย์ไทยมีศักยภาพในการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ ต้องการเรียนสบาย ๆ มีความรับผิดชอบต่อตนเองน้อย อย่างนี้จะแข่งขันกับต่างชาติได้อย่างไร อีกไม่นานเวียดนามก็แซงแล้ว

Posted by : Hippocrates , Date : 2003-08-21 , Time : 18:38:42 , From IP : 172.29.2.18

ความคิดเห็นที่ : 21


   เอ้อ...ผมคิดว่าความคิดเดิมของคุณ Hippocrates น่ะน่าจะถูกต้องแล้วนะครับ

ประการที่หนึ่ง "ข้อความในกระทู้ของหลายคน" ที่คุณ Hippocrates อ่านนั้น เป็น selective sample ไม่สามารถจะนำมา represent นักศึกษาแพทย์แม้แต่ของชั้นปีเดียวได้ อย่าว่าแต่นักศึกษาแพทย์ไทยเลย

ประการที่สอง ผู้ที่ไม่ชอบใจระบบที่เรียนหนัก คงจะไม่สามารถแปลต่อไปว่ามีศักยภาพในการเรียนรู้ต่ำ จริงแล้วการพัฒนาเรื่องประสิทธิภาพเกิดจากพวกที่คิดว่างานที่ทำอยู่นั้น "หนักเกินความจำเป็น" เพราะฉะนั้น คงไม่ใช่ความผิดมากมายในประเด้นที่นักเรียนอยากเรียนสบายๆ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ

ประการที่สาม ประเด็นการแข่งขันกับต่างชาตินั้น ผมอาจจะเป็นคนแคบนะครับ แต่ผมว่าเราเรียนเพื่อออกไปรักษาผู้ป่วยของไทยนี่ก้พอแล้ว ในระยะต้นนี้ เพราะผมเชื่อว่าวัตถุประสงค์อันนี้ถ้าสำเร็จ ที่เหลือมันจะตามมาเอง แข่งกับตัวเอง แข่งเพื่อปรัชญาวิชาชีพนั้นดีที่สุดครับ มีแต่ win win situation



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-21 , Time : 20:47:07 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 22


    ยอมรับเลยว่า แรกๆที่มีระบบ SDL ออกมานะ รู้สึกไม่ชอบเลย เพราะรู้สึกว่าเป็นการใช้เวลาช่วงกลางวันไปกับการพักผ่อน แล้วมาใช้ช่วงเวลากลางคืนมาอ่านหนังสือ แบบหามรุ่งหามค่ำ และก็ตื่นสาย เนื่องจากในช่วงแรกๆของระบบ block ไม่มีการบังคับให้นศพ. มา round ตอนเช้า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นศพ. มีความรู้มาก เพราะอ่านกันสุดๆ เป็นความรู้่ที่มาจากกระดาษ รักษาคนไข้ในกระดาษ แต่พอถูกถามเข้าจริงๆ ว่าเคยเห็นไหม เคยทำไหม คำตอบคือการส่ายหัว ไม่รู้ ไม่เคย
แต่ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นกับระบบ SDL นะ หลังจากที่พบว่ามีื นศพ. กลุ่มหนึ่งที่รู้จักการใช้ SDL ที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง กรณีที่รู้สึกว่าความรู้มีพอประมาณ แต่ประสบการณ์ยังขาด ก็มาแสวงหาความรู้กันในช่วง SDL ด้วยการมาออก OPD หรือเข้า OR ดีใจนะ ที่ได้เห็นภาพเหล่านี้ ดีใจจริงๆ สิ่งที่ได้รับก็คือการเห็นคนไข้มากขึ้น เห็นสิ่งที่เป็นจริง อาจได้ลองทำหัตถการอะไรบางอย่างในบางครั้ง การเรียนแพทย์นั้นต้องเรียนจากคนไข้นะ การที่เราเข้าถ้ำเก็บตัว อ่านหนังสือ ไม่ได้ทำให้เราเป็นแพทย์ได้นะ ถึงออกจากถ้ำมาจะสอบได้ที่1 แต่รับรองเลยว่าจะไม่สามารถทำงานเป็นแพทย์ ไม่สามารถรักษาคนไข้ได้ แล้วเราอยากเป็นแพทย์แบบไหนกัน


Posted by : 178 , Date : 2003-08-22 , Time : 16:16:13 , From IP : 172.29.3.105

ความคิดเห็นที่ : 23


   เห็นด้วยกับ คุณ 178 ครับ ถ้าอ่านเองได้ ก็คงมีคณะแพทยศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราชไปแล้ว เรียนทางไปรษณีก็ได้ แล้วถ้าอยากดูคนไข้ก็ไปดูใน รพ.ใกล้บ้านเอา




Posted by : Dhan , Date : 2003-08-22 , Time : 18:11:33 , From IP : 172.29.3.103

ความคิดเห็นที่ : 24


   ความคิดคุณ Dhan ก็น่าสนใจดีนะครับ
ที่จริงตอนนี้ชั้นpre clinic ก็เรียนเกือบๆเหมือนอย่างนั้นแล้วล่ะครับ ถ้าไม่รวม lab ต่างๆ นศพซก็สามารถตามเลคเชอร์จากวีดีโอได้ทุกวันเลยล่ะครับ

เรื่อง SDL กับการเรียนระบบเก่า แต่ละระบบก็มีข้อดีที่ต่างกันอยู่แล้ว
SDL เขาก็ตั้งใจให้เราขุดเอาความรับผิดชอบในตัวเองขึ้นมาใช้ ฝึกการบริหารจัดการเวลา
เวลามีให้ฝึก SDL มีตั้ง 2 ปี เรียนๆเล่นๆตามที่แต่ละคนมีความสามารถ ซึ่งก็ต่างกัน บางคนก็เล่นเยอะ บางคนก็ต้องเรียนเยอะ

แต่ผมว่าแรงกระตุ้นให้เรียนก็มีเยอะนะครับ
ทั้งแรงกดดันในการตั้งใจเรียนของเพื่อนๆ คำข่มขู่จากรุ่นพี่ คำถามจากอาจารย์บนวอร์ด ความรู้ตัวเองว่าตัวเองนั้นยังโง่อยู่ ฯลฯ

ผมว่า SDL นี่มีข้อดึที่น่าจะชอบกัน คือ ไม่ต้องให้ใครมาบังคับเรียน ตัวเองยังงัยก็ต้องบังคับใจตัวเองอยู่ดี


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-24 , Time : 19:51:12 , From IP : maliwan.psu.ac.th

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.013 seconds. <<<<<