ความคิดเห็นทั้งหมด : 12

แพทย์ใน3 จังหวัดกับความพยายามที่จะเกิดแพทย์เถื่อนในไทย


   เรียน คณบดี และอาจารย์แพทย์ทุกท่าน
ผมเป็นห่วงแพทย์มอ .ที่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง เท่าที่รู้มา แพทย์ใน 3 จังหวัดไม่ขาดแคลนผลิตแพทย์เท่าไหร่ก็ไม่พอจริงหรือ
1. บางคนได้โควต้ามาแต่ก็ไม่สำนึกกับแผ่นดินเกิด บางคนใช้ทุนให้เสร็จๆ แล้วก็ไป เรียนต่อบ้าง ต่างๆนานา จริงๆ ใครที่ได้โควต้า ก็ควรที่จะอยู่ชุมชนนั้นไปตลอดบังคับอย่างน้อย 10 ปีเป็นต้น เพราะสอบเข้าก็ง่ายอยู่แล้ว
2. แพทย์ในพื้นที่ก็ไม่ขาดแคลนอย่างที่คิด ถึงแม้ว่าแพทย์ผลิตเพิ่มที่ผลิตไปจะไปเรียนต่อหรือหนีหายไป แต่ก็มีน้องใหม่มาทดแทนได้ ผอ.บางคนรวมทั้งหมอบางท่านไม่ทำงานก็มีค่อนข้างเยอะ
3.มีการหมุนเวียนแพทย์ปี1 ไปตามชุมชนอยู่แล้ว ไม่เห็นขาดแพทย์ตรงไหน เพื่อนผมอยู่ทั้ง 3 จังหวัดบอกว่ายังไม่เห็นขาดเลยและยังไม่ต้องการคนช่วยงาน เนื่องจากกล้วการแบ่งหารเวรนอกเวลา เช่นจากที่เคยได้60000 กลัวว่าถ้ามีคนเพิ่ม จะได้เหลือ 40000
4.เพื่อนผมมีที่เป็นแพทย์รังสิต ที่เค้าจะต้องสอบใบประกอบโรคศิลป์ มันก็ไม่ยุติธรรม จะไม่วุ่นวายกันไปใหญ่หรือ
5. มาตรฐานการเรียนของแพทย์ต่างประเทศไม่เท่าเมืองไทย โรคบางโรคเจอในตะวันออกกลาง แต่ไม่เจอในไทยและไม่พบบ่อยในไทย เพราะฉะนั้นการที่คุณสอบมาทั้งปีทั้งชาติ แล้วไม่ผ่านแสดงว่าคุณไม่ได้สามารถเป็นแพทย์ในเมืองไทยได้ เมืองนอกเค้าก็มีการสอบกัน และ3 จังหวัดชายแดนเป็นแผ่นดินไทย เค้าได้ตรวจผู้ป่วยนอกก็บุญถ่มไปแล้ว ในฐานะที่สอบใบประกอบโรคศิลป์ไม่ผ่าน
5.รพ.และส่วนราชการ ในสามจังหวัดชายแดน ต่างพยายามที่จะให้เห็นความสำคัญ ต้องการเงินเพิ่มทุกที่และคิดที่จะหาทางจะได้เงินสนับสนุน เช่นเปิดโรงเรียนแพทย์ ขอสิทธิต่างๆ ทั้งๆ ที่แพทย์แต่ละท่าน บางคนไม่ทำงาน ผลิตแพทย์เพิ่มบ้าบอกันไปใหญ่ จะให้ไปแชร์งาน ทั้งๆตัวเองทำงานไม่เต็มร้อยเท่ากับภาคอีสาน ซึ่งบางที่ตรวจเป็น200 คน/วัน ก็ไม่เห้นจะเรียกร้องอะไรมาก และคนที่ผลิตมาก่อนตั้งหลายปี บางคนก็หายไปบ้าง ทำไมสอบเข้าง่ายแล้วยังไม่สำนึกอีกหรือ



Posted by : แพทย์ , Date : 2006-07-13 , Time : 12:11:40 , From IP : 125.24.10.60

ความคิดเห็นที่ : 1


    ความไม่สบายใจในเรื่องการอบเรมแพทย์ที่จบจากต่างประเทศ ในเขต 3 จังหวัดภาคใต้

เรียนท่านคณาจารย์ทุกท่านครับ
ผมเป็นศิษย์เก่า ที่ปัจจุบันทำงานอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครับ
ขอเกริ่นในเบื้องต้นก่อนนะครับ คือ ในเขต 3 จังหวัด ประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์ จึงได้มีการแก้ปัญหาโดยการ จ้าง แพทย์ที่จบจากต่างประเทศ ซึ่งโดยมากเป็นคนในพื้นที่ (เข้าใจว่า ไปเรียนแพทย์ในประเทศ แถบตะวันออกกลางครับ) ซึ่งคนกลุ่มนี้ เคยสอบขอรับใบประกอบโรคศิลป์ของประเทศไทยแล้ว แต่ ไม่ผ่านครับ โดยจะทำการจ้างเอาไว้ ให้ช่วยตรวจ OPD เป็นหลักครับ (ไม่ต้องดู ER,LR และไม่อยู่เวรนอกเวลาราชการ) ซึ่งแพทย์คนอื่นต้องทำการ cover อีกครั้ง (โดยมากจะเป็น ผอ. cover ครับ)
เรื่องที่อยากเรียนให้ทางคณาจารย์ได้ทราบ คือ ตอนนี้ทางกลุ่มนี้ ได้ทำการติดต่อไปทางกลุ่มการเมือง โดยอ้างถึง เหตุผลในด้านความสมานฉันท์ในเขตพื้นที่ เพื่อให้เกิดการอนุมัติใบประกอบโรคศิลป์ (ได้รับข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า เคยมีการทำอย่างนี้มาแล้ว หลายครั้งครับ) บางคนก็ได้รับเป็นใบประกอบโรคศิลป์ ชั่วคราว? (เห็นว่าต้องต่ออายุ ปีละครั้ง) บางคนก็ยังไม่ได้
ปัญหาก็คือคราวนี้ ได้มีความพยายามอย่างมาก จนทำให้เกิดการอบรมพิเศษ เป็น เวลา 6 เดือน ที่ ม.อ. ของเราครับ ซึ่งผมก็ได้ข่าวอย่างไม่เป็นทางการอีกแล้วครับ ว่าจะมีการช่วยเหลือให้ได้ผ่าน จนได้ใบประกอบโรคศิลป์ในที่สุด (มีคนกระซิบผมมาว่า ทางการเมืองขอมา?) ในส่วนที่เคยทำงานร่วมกันกับแพทย์กลุ่มนี้ผม พบปัญหาบางประการที่อยากให้ท่านคณาจารย์ทราบ คือ
1. ในแง่ความรู้ทางด้านวิชาการ ค่อนข้างด้อย อยู่มากครับ หลายครั้งจะพบว่า miss diagnosis + malpractice แต่อันนี้ไม่ว่ากันครับ เพราะว่า ถ้าเป็นผม ที่ทำงานใน รพช.นานๆ + ไม่ได้ update วิชาการ ก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน จึงเห็นด้วยที่จะให้มีการอบรมความรู้ในครั้งนี้ครับ
2. ในแง่ทักษะ ผมไม่สามารถประเมินได้ครับ เพราะ ไม่เคยเห็นทำหัตถการครับ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นปัญหาแน่ครับ ถ้าหากคนกลุ่มนี้ได้รับใบประกอบโรคศิลป์มา เพราะจะทำให้พวกเขา ถือว่ามีสิทธิเป็นแพทย์คนหนึ่ง และตามมาด้วยขอบเขตความรับผิดชอบที่มากขึ้น เช่น อยู่เวรนอกเวลา,ทำหัตถการในห้องคลอด เป็นต้น เพราะต่อให้ได้รับการอบรมพิเศษนี้มา แต่เมื่อกลับมาปฏิบัติงานจริง ผมเชื่อว่ายังต้องมีการ cover กันเหมือนเดิม ซึ่งจะกลายเป็นภาระงานของแพทย์ที่ทำงานใน รพช. ที่แบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (ในพื้นที่ๆ ถ้าเกิดปัญหากับชุมชนแล้ว มีโอกาสเสียชีวิตเอาง่ายๆเลยครับ) หลายท่านอาจคิดว่า ผมคิดมากไป แต่คิดดูง่ายๆ ครับ ถ้าเขา admit case แล้ว Dx. ผิด หรือ miss diag. แล้ว คนไข้ดันมาตายบน ward แพทย์เวร หรือแพทย์ที่ดูต่อจากเค้า ตาย(เสียชีวิต)เอาง่ายๆเลยนะคับ(เพราะที่นี่ บางครั้งเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ครับ ใช้ได้แค่ว่า พูดภาษาเดียวกัน หรือศาสนาเดียวกันรึเปล่า แค่นั้นจริงๆครับ)
3. ในแง่คุณลักษณะพื้นฐาน หลายคนที่ผมเคยสัมผัส (หลายคนจริงๆ ครับ เพราะ เคยไปอยู่มาหลายที่แล้ว) พบว่าส่วนใหญ่จะคล้ายกันครับ ในด้านความรับผิดชอบ บางคนที่พบ อยู่ขาดงานไปโดยไม่ทราบสาเหตุ + ไม่แจ้งล่วงหน้า? บางคนรับผิดชอบให้ออกตรวจที่ PCU + เค้านัดคนไข้ clinic DM , HT ไว้ อยู่ๆก็หายครับ ตามไม่ได้ ไม่ไปออกตรวจ บางครั้งตรวจอยู่ใน รพ. คนไข้ก็เต็ม OPD ก็แวปไปนั่งดู TV บางครั้ง บ่าย 2 ก็กลับบ้านไปเฉยๆ ครับ พวกผมยังตรวจกันอยู่ รู้สึกตัวอีกที พยาบาลบอกไปแล้ว บางทีมีคนลา ขอให้เข้ามาช่วย ก็หายไปเฉยๆ โดยส่วนตัว ยอมรับครับว่าบวกอารมณ์ไปด้วยครับ แต่อย่างไรก็ตามผมถือว่า ถ้าอู้กันเล็กๆ น้อยๆ หรือ ผลัดกันไปพัก ผมก็รับได้นะครับ (เพราะปกติก็ทำกัน) แต่หลายครั้ง หลายพฤติกรรม แสดงออกถึงการขาดความรับผิดชอบ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญของแพทย์ที่พึงปฏิบัติครับ และทีสำคัญครับ เมื่อมีการเรียกไปพูดคุย หรือแนะนำความรู้ทางการแพทย์ให้ ก็รับฟังครับ ฟังเฉยๆ ไม่เอาไปใช้ ไม่ค่อยพบนะครับที่จะทำตาม แต่ก็แปลกเหมือนกัน เพราะเค้าก็จะไม่เถียง หรือบางคนก็ไม่แก้ตัวเลย ฟัง+รับคำเฉยๆ จนบางครั้งผมก็เริ่มงงครับว่าเข้าใจจริงหรือเปล่า?
คนกลุ่มนี้ก็มีข้อดีอยู่บ้าง ในด้านที่ช่วยแบ่งเบาภาระ คนไข้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อย ที่ OPD ได้บ้าง ช่วยแบ่งเบาภาระในการออกตรวจที่ PCU (ซึ่งมีความเสี่ยงในการเดินทาง) และสามารถพูดภาษายาวีได้ดี ซึ่งทำให้สามารถสื่อสารกับคนไข้ได้สะดวก
สิ่งที่ผมพยายามนำเรียนให้ทราบทั้งหมดนี้ เนื่องจากเหตุผลสำคัญประการเดียวครับ คือ ผมไม่ต้องการให้ มอ. ของเราตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมือง ที่ต้องการอาศัยเรื่องนี้ เพื่อเป็นการเอาใจ คนใน 3 จังหวัด (ตามที่อ้างว่าเพื่อความสมานฉันท์ และช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ในคราวเดียว) เพราะถ้าหากเรายอมให้ คนกลุ่มนี้ได้ใบประกอบโรคศิลป์โดยที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาในภายหลังแทน เช่น
- เพิ่มความเสี่ยงให้กับแพทย์ ผู้ร่วมงาน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
- ทำให้คนกลุ่มนี้ (บางคน) เรียกร้องสิทธิอื่นๆ ตามมาอีก เช่น ต้องการเป็นผู้อำนวยการ (ผมเชื่อว่าเค้าสามารถปลุกระดมคนในชุมชนให้เห็นดี ตามเค้าได้จริงๆครับ) , ต้องการย้ายออกไปอยู่นอกพื้นที่ (เพราะถ้าย้ายตอนนี้ ที่อื่นก็คงไม่จ้างให้เป็นแพทย์ ต้องรอได้ใบประกอบโรคศิลป์ก่อน ซึงจะไม่สามารถแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ได้อยู่ดี)
- และต่อเนื่องจากปัญหาข้างต้น ต่อไปมารตรฐานการดูแลผู้ป่วยก็จะแบ่ง เป็น 2 มาตรฐาน รึเปล่า ถ้าได้รักษากับแพทย์ทั่วไป ก็ได้รับการดูแลแบบหนึ่ง ถ้าไปพบกับคนกลุ่มนี้ (ซึ่งคนทั่วไปไม่รู้) ก็จะได้รับการรักษาอีกมาตรฐานหนึ่ง รึเปล่า แล้วถ้าวันดีคืนดี ผมประสบอุบัติเหตุแล้ว เจอคนกลุ่มนี้เข้า ผมจะตื่นมามีสภาพเหมือนกับ พบแพทย์ทั่วๆไป หรือไม่? หรือถ้าตามพวกเค้าไม่ได้ผมจะตายไม๊?
- อื่นๆ พิมพ์มานานๆ เรื่องที่คิดเอาไว้ ก็ลืมไปดื้อๆครับ
หลายท่านอาจจะคิดว่า ผมวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ ไปรึเปล่า แต่ผมก็ขอยืนยันครับว่า ทั้งหมดที่พยายามกล่าวถึงนั้น ได้มาจากประสบการณ์ จริง ที่ได้สัมผัสมาระหว่างปฏิบัติงานใน รพช. ครับ
ท่านคณาจารย์ทั้งหลาย สามารถสอบถามความเห็นไปยัง ผอ.รพช. หรือ ท่าน นพ.สสจ. ได้ครับ แต่คงต้องเป็นทางลับ หรือพูดคุยเป็นการส่วนตัวนะครับ เพราะหลายท่านคงไม่อยากออกความเห็นในประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมืองแบบนี้ในที่สาฐารณะ หรือในรูปแบบที่เป็นทางการ (เพราะถ้ามีหลักฐานว่าพูด อาจซวยเอาง่ายๆเหมือนกันครับ)
โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าการได้รับใบประกอบโรคศิลป์ของคนกลุ่มนี้ จะเป็นปัญหาครับ ถ้าหากพวกเค้า ทุกคน ได้มาโดยความสามารถ จริงๆ ไม่มีการเมืองแทรก แต่ก็มีข้อสังเกตว่า คนกลุ่มนี้ เคยสอบขอใบประกอบแล้ว หลายครั้ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนในที่สุดก็กลายเป็นการวิ่งเต้นโดย วิธีการต่างๆ จนครั้งนี้ ที่ผมได้ทราบข่าวมา ก็มีความวิตกกังวลอยู่มาก เนื่องจาก ถ้าหากคนกลุ่มนี้ ผ่านได้ เพราะ มอ. เป็นคนอบรม เราก็ต้องถือว่าเค้า ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน เหมือนเป็นศิษย์ มอ. คนหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริง เราต่างก็ทราบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าหากต่อไป คนกลุ่มนี้สร้างปัญหาใดๆก็ตามขึ้น ก็กลายเป็นว่า พวกเราชาว มอ. ต้องร่วมรับไปด้วยรึเปล่า เพราะมาจากสถาบันเดียวกัน ถ้าผ่านมาได้ ก็แปลว่ามาตรฐานเดียวกัน?
ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง ไม่ต้องการให้ แพทย์ มอ. เราต้องตกเป็นเครื่องมือของใครครับ
สุดท้ายคงต้องขออภัยท่านอธิการบดีด้วยครับ ความจริงผมตั้งใจจะส่งผ่านทางสายตรงสู่คณบดี แต่ติดที่ข้อจำกัดที่ว่าต้องเป็นเครือข่ายภายในเท่านั้นครับ



Posted by : 000 , Date : 2006-07-13 , Time : 12:31:22 , From IP : 125.24.10.60

ความคิดเห็นที่ : 2


   ขอประท้วงครับ

Posted by : ศิษย์ มอ. , Date : 2006-07-13 , Time : 19:19:11 , From IP : 172.29.3.225

ความคิดเห็นที่ : 3


   ถ้ามีการวิ่งเต้นจริง ก็รับไม่ได้ครับ อะไรๆก็มักใช้อำนาจ ใช้กฎหมู่ อย่าไปยอมครับ

Posted by : EB , Date : 2006-07-13 , Time : 20:46:13 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมไม่รู้ว่าคนที่โพสต้องการอะไรกันแน่ และอย่าพยายามดึงประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แพทย์ที่สอบใบประกอบโรคศิลปะไม่ได้ เข้ามีสิทธิ์ที่จะสอบหรือไม่ (คำตอบคือมีสิทธิ์) เขามีสิทธิ์ที่จะใฝ่รู้หาความรู้เพิ่มเติมหรือไม่(มี) เขามาขอเรียนที่มอ.ได้หรือไม่ (ได้หากคุณจัดสอนให้) ถามว่าเขาจะสอบได้หรือไม่( ขึ้นกับความสามารถของเขา ) หากเขาไม่เก่งจริงต่อให้สอบกี่ครั้งก็ไม่ได้ และถามว่าอาจารย์มอ.ช่วยให้เขาสอบได้หรือไม่ (ไม่ได้ ขึ้นกับความสามารถของเขา) เพราะการสอบขึ้นกับข้อสอบของแพทยสภา อาจารย์มอ. ไม่ได้มีส่วนในการออกข้อสอบ และไม่รู้ข้อสอบเลย การสอนให้เขามีความรู้ก็เป็นการเพิ่มศักยภาพของเขา แต่เขาจะได้หรือไม่ได้ ขึ้นกับตัวเขาเอง เช่นเดียวกับนักเรียนแพทย์ในมอ. สอบใบประกอบโรคศิลปะฉบับที่ 1 ไม่ผ่านจำนวนหนึ่งอาจารย์มอ. ช่วยได้หรือไม่ ไม่ได้ เขาต้องช่วยตัวเอง เท่านั้น หากไม่อ่าน ไม่รู้ ไม่มีทางสอบได้ ดังนั้นอย่าพยายามดึงประเด็นว่า อาจารย์มอ. จะช่วยทำให้สอบได้ หรือว่าตกเป็นเครื่องมือของเขา อย่ามองในแง่ลบ มองในแง่ดีบ้างว่าเป็นการให้ความรู้ แก่กัน อย่าลืมว่าอาจารย์ในมอ. มีบทบาทหนึ่งที่ต้องให้ความรู้แก่แพทย์ในภาคใต้ (ให้ความรู้นะครับ ไม่ใช่ช่วยให้สอบได้ การสอบขอเน้นว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวเขาเท่านั้น)

Posted by : อาจารย์มอ. , Date : 2006-07-14 , Time : 12:45:07 , From IP : 203.107.189.68

ความคิดเห็นที่ : 5


   การแข่งขันที่ตูเดอร์ฟรองซ์ ทุกคนอาจเข้าเส้นชัยแต่ทุกคนไม่ใช่นักปั่นของจริง

Posted by : cabin_crew , Date : 2006-07-14 , Time : 23:49:54 , From IP : 172.29.4.121

ความคิดเห็นที่ : 6


   เห็นเจ้าของกระทู้พยายามจะนำเสนอเรื่องนี้มาสองสามครั้ง (assume ว่าเป็นเจ้าเดียวกัน) แต่ยังไม่ชัดเจนว่า "ต้องการแบบไหน อย่างไร" นะครับ รวมทั้งพฤติกรรมอะไรที่ว่า ม.อ. "ตกเป็นเครื่องมือ"

คณะแพทยศาสตร์ ม.อ. (และที่ไหนก็ตามในประเทศไทย) เกิดขึ้นมาและคงอยู่ได้เพราะ "หน้าที่" ในการสร้างเสริมความรู้ทางการแพทย์ให้บุคลากรที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพนำไปใช้กับประชาชน เป็นหน้าที่ต่อประชาชนและประเทศไม่ใช่ต่อนักการเมือง (เหมือนที่ป๋าเปรมพูดปราศรัยไปว่ากองทัพนั้นรับใช้ชาติและพระมหากษัตริย์ รัฐบาลนั้นเป็นแค่ jockey ไม่ใช่เจ้าของนั่นแหละครับ) บางทีนักการเมืองจะหาเสียง ก็อาจจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา รัฐบาลไหนๆจะให้คณะแพทย์ช่วยด้านวิชาการ เราก็ทำของเราอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะว่าคนนี้ให้ทำเราจึงทำ (หรือจะไม่ทำเพราะคนนี้ให้ทำ!! อย่างที่คล้ายๆจะบอกเป็นนัยในบทความ)



Posted by : Phoenix , Date : 2006-07-15 , Time : 19:15:16 , From IP : 58.147.117.61

ความคิดเห็นที่ : 7


   
ยินดีที่ทราบว่า มอ. ช่วยยกระดับความรู้ทางการแพทย์แก่ผู้ที่จบจากต่างประเทศ และเขาจะทัดเทียมกับคนอื่นเมื่อเขาผ่านเกณฑ์แพทยสภา และน่าจะมีผลพลอยได้ที่เขาได้มาเรียนรู้เพื่อยกระดับความรู้ ความสามารถ ไปดำเนินชีวิตแพทย์ จากอาจารย์ที่เสียสละ


Posted by : ลูกสงขลานครินทร์ , Date : 2006-07-20 , Time : 15:53:23 , From IP : 203.147.36.35

ความคิดเห็นที่ : 8


    ฉันว่าคนเราไม่ควรดูถูกความสามารถของคนอื่นเลยไม่ว่าจะแพทย์ 3 จังหวัดหรือแพทย์อะไรก็ตามที่ได้มาง่ายๆ เพราะแค่เรามีความตั้งใจที่จะเป็นแพทย์
อยากจะเรียน อยากมีความรู้ และฉันก็อยากบอกว่าแพทย์ 3 จังหวัดบางคนยังเก่งกว่าคนที่สอบเข้าคณะได้ และอีกอย่างหนึ่งการสอบเข้าก็เป็นประตูเข้ามหาวิทยาลัยเฉยๆ ใครเตรียมพร้อมมาดีก็สามารถสอบเข้าได้ และสิ่งสำคัญในการได้เข้าคณะนั้นๆคือการตั้งหน้าตั้งตาเรียน และนำวิชาความรู้มาพัฒนาสังคม อย่ามัวแต่มาแบ่งแยก หรืออิจฉา ว่าเขาเข้าได้ง่ายกว่าเรา อยากบอกว่าทุกคนเกิดมามีความโชคดีไม่เหมือนกัน และอีกอย่างใครจะเป็นแพทย์ได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง ผลลัพย์จะปรากฎเมื่อคุณเรียนจบ ไม่ว่าแพทย์ที่เกิดจากการสอบเข้า หรือสัมภาษณ์ก็ได้เลย


Posted by : คนๆหนึ่ง , Date : 2006-07-20 , Time : 19:42:44 , From IP : 125.24.81.164

ความคิดเห็นที่ : 9


    ฉันว่าคนเราไม่ควรดูถูกความสามารถของคนอื่นเลยไม่ว่าจะแพทย์ 3 จังหวัดหรือแพทย์อะไรก็ตามที่ได้มาง่ายๆ เพราะแค่เรามีความตั้งใจที่จะเป็นแพทย์
อยากจะเรียน อยากมีความรู้ และฉันก็อยากบอกว่าแพทย์ 3 จังหวัดบางคนยังเก่งกว่าคนที่สอบเข้าคณะได้ และอีกอย่างหนึ่งการสอบเข้าก็เป็นประตูเข้ามหาวิทยาลัยเฉยๆ ใครเตรียมพร้อมมาดีก็สามารถสอบเข้าได้ และสิ่งสำคัญในการได้เข้าคณะนั้นๆคือการตั้งหน้าตั้งตาเรียน และนำวิชาความรู้มาพัฒนาสังคม อย่ามัวแต่มาแบ่งแยก หรืออิจฉา ว่าเขาเข้าได้ง่ายกว่าเรา อยากบอกว่าทุกคนเกิดมามีความโชคดีไม่เหมือนกัน และอีกอย่างใครจะเป็นแพทย์ได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง ผลลัพย์จะปรากฎเมื่อคุณเรียนจบ ไม่ว่าแพทย์ที่เกิดจากการสอบเข้า หรือสัมภาษณ์ก็ได้เลย


Posted by : คนๆหนึ่ง , Date : 2006-07-20 , Time : 19:45:29 , From IP : 125.24.81.164

ความคิดเห็นที่ : 10


   เหนด้วยกับคห.9

Posted by : .. , Date : 2006-07-21 , Time : 06:44:03 , From IP : 203.188.16.150

ความคิดเห็นที่ : 11


   เหนด้วยกับคห.9

Posted by : .. , Date : 2006-07-21 , Time : 06:44:04 , From IP : 203.188.16.150

ความคิดเห็นที่ : 12


   ทำไมต้องผลิตแพทย์ ? ที่รพ.หาดใหญ่บางวันคนไข้นั้งรอคิวตรวจกันเยอะมาก

บางคนรอตั้งแต่เช้าถึงเย็นยังไม่ได้ทำไรเลย น่าสงสารครับ

เป็นเพราะอะไร ?

ต้องมีหมอเท่าไรถึงจะพอ ?

ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ขึ้นอยู่ตำรา,การสอบหรือการที่ได้เจอ case ผู้ป่วยจริง




Posted by : หมอคอม , Date : 2006-08-01 , Time : 11:03:21 , From IP : 210-86-142-200.stati

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<