ความคิดเห็นทั้งหมด : 66

มันเกิดอะไรขึ้นกับการเรียนการสอนของม.อ.ที่นี่


    มาทำงานที่ ม.อ. เห็นอะไรประหลาดๆหลายอย่าง
1 ) ที่ตึกผู้ป่วยใน มีความพยายามไม่ให้นักเรียนแพทย์ทำหัตถการกับผู้ป่วยโรคเอดส์ มีคนบอกเหตุผลว่า เพราะนักเรียนแพทย์ ( รวมถึงนักเรียนแพทย์ปี 6 ) ยังไม่มีประสบการณ์ กลัวว่าจะได้รับอันตรายจากการทำหัตถการ ผมอยากถามว่า
ในการทำหัตถการบางอย่าง เช่น การเจาะหลัง มันจะมีผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นเอดส์ที่มีข้อบ่งชี้ให้เจาะหลังสักกี่คนกัน ส่วนมากก็เป็นผู้ป่วยเอดส์ที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบทั้งนั้น บางครั้งผู้ป่วยที่มีเลือดออกใน subarachnoid ก็ไม่ให้เจาะอีก กลัวว่าจะเกิด trauma เดี๋ยวแปลผลไม่ได้ ตกลงนักเรียนแพทย์ไม่ได้เจาะหลังผู้ป่วยเลย ต้องออกไปเจาะหลังผู้ป่วยนอกม.อ. ( เวลามีพี่ๆคุมไม่ได้เจาะ ต้องไปเจาะมั่วๆเอาเอง )
2 ) ผมเคยเจอนักเรียนแพทย์ปีสุดท้ายเจาะท้องไม่เป็น บอกว่าไม่เคยเจาะ ไม่กล้าเจาะ ดีมากเลย
3 ) ที่ตึกอุบัติเหตุ ไม่ให้นักเรียนแพทย์ปี 4 ทำอะไรเลยนอกจากเดินไปเดินมา แล้วก็ดูคนไข้แบบห่างๆ แผลก็ไม่ให้เย็บ ( มีคำสั่งว่าถ้าจะเย็บแผลก็ต้องมีอาจารย์ของภาคนั้นๆมาคุม ซึ่งคงไม่มีใครไปตามแน่ๆ หรือ ต้องให้แพทย์ใช้ทุนอาวุโสมาคุม ซึ่งแพทย์เหล่านั้นก็งานยุ่งเหลือเกิน )
4 ) พอปี 4 + 5 ไม่ได้เย็บแผล ปี 6 ก็ต้องมาเย็บแผล แพทย์ใช้ทุนก็ต้องไปตรวจผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ( ซึ่งผมคิดว่าผู้ป่วยแบบนี้ ปี 6 ควรจะต้องมีทักษะในการดูแล เพราะจะต้องออกไปรักษาผู้ป่วยเหล่านี้เป็นคนแรก ก่อนที่จะเจอแพทย์เฉพาะทาง )
ผมจึงเข้าใจเลยว่า ทำไมผู้ป่วยที่อยู่ในภาคใต้ ่จึงต้องการมารักษาตัวที่ม.อ.
เหตุผลหนึ่งผมคิดว่า เราผลิตแพทย์ที่มักทำงานในภาคใต้ ที่ไม่มีทักษะเพียงพอในการรักษาผู้ป่วยออกไป ชาวบ้านเขาจึงไม่กล้านำชีวิตของเขา หรือ บุคคลที่เขารักมาฝากไว้กับแพทย์เหล่านี้
ขอบพระคุณครับ


Posted by : คนที่เพิ่งมาใหม่ , Date : 2003-08-14 , Time : 23:13:07 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 1


   อยากจะเรียนถามความเห็นของคุณคนที่เพิ่งมาใหม่ว่าในแต่ละข้อนั้น ที่ดีที่สุดในความคิดของคุณควรจะทำอย่างไรครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-15 , Time : 00:05:56 , From IP : 172.29.3.248

ความคิดเห็นที่ : 2


   อย่างน้อยขอทำหัตถการ โดยมีแพทย์พี่เลี้ยงดูแลให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเถอะครับ ไม่ทราบว่าที่ปี4และ5 ไม่ได้ทำหัตถการนี่เกี่ยวกับนโยบาย HA ที่เพิ่งเร่งทำเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้กลายเป็นว่าหัตถการก็มีประสบการณ์ไม่พอ ต้องขวนขวายไปอยู่รพช.ให้พยาบาลสอนให้ เป็นSDL สมกับที่ร่ำเรียนจริงๆ น่ากลัวนะครับ ปี 5ที่ขาดประสบการณ์ไปเป็น extern บทบาทตรงนี้เปลี่ยนกันเพียงชั่วข้ามคืนนะครับ แต่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังไม่อาจสั่งสมได้ภายในชั่วหนึ่งคืนนั้นครับ....

Posted by : ปี5 , Date : 2003-08-15 , Time : 01:02:59 , From IP : 172.29.2.88

ความคิดเห็นที่ : 3


   ป่านนี้ยังเจาะท้องไม่เป็นเหมือนกัน

Posted by : ปี 5 , Date : 2003-08-15 , Time : 01:32:54 , From IP : 172.29.2.245

ความคิดเห็นที่ : 4


   .................ผมชอบอยู่ข้อนึงนะที่ว่าถ้าจะเย็บแผลต้องตามอาจารย์หรือแพทย์ใช้ทุนอาวุโสมาคุมเนี่ย.....ผมเองรู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะ.....ส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบอะไรที่คิดว่าดี...ดีที่สุด.....แต่"ไม่มีวัน"หรือ"ไม่มีทาง"หรือ"ไม่มีโอกาส"ทำได้....แล้วยังมีหน้ามาติดหรือประกาศให้ทำตามๆกัน........ผมว่าเป็นความคิดที่ค่อนข้าง Idiot......บางคนบอกผมว่าต้องติดไว้เผื่อว่ามีคนมาตรวจจะได้เห็นว่าเราจะทำอย่างโง้นอย่างงี้.....แต่เค้าไม่รู้หรอกว่าเราทำไม่ได้....ผมว่าเค้าคงไม่โง่ขนาดนั้นหรอกมั้งตอนมาตรวจโรงพยาบาล..........สมมติเล่นๆว่ามีคนไข้ถูกมีดบาดต้องการเย็บแผล.....ผมกำลังจะสอนน้องปี5เย็บแผล...เผอิญดันมีคนใข้ถูกแทงมา 1 คน....ผมต้องรีบไปดูคนถูกแทงก่อน....เลยตะโกนให้พยาบาลไปตามอาจารย์มาคุมน้องปี5เย็บแผลที......ถามว่าจะมีใครบ้าจี้ทำตามผมสั่งบ้างไหม?.....อ้าว...ก็ที่ข้างกำแพง ER เขียนไว้ว่างั้นนี่....ถ้างั้นก็เย็บแผลไม่ได้สิ.......ไม่มีคนคุมนิ....คนใข้รอก่อนหละกัน....ผมทราบว่าการเรียนโดยการอ่านหนังสือ....ทดลองจากหุ่น....ดูจากการแสดงให้ดู.....และทำโดยมีผู้ควบคุมที่ดี.....นั่น"ดีที่สุด".....แต่ควรจะมองอะไรกันจริงๆบ้างว่า.....บางอย่างตอนนี้มันทำไม่ได้หรอก......ยอมรับและมาหาทางแก้ไข้ให้ดีเพื่อผลประโยชน์ของคนใข้ดีกว่ามานั่งเถรตรงทำอะไรไร้สาระตามกระดาษบนกำแพง...................มีตัวอย่างที่น่าอับอายอย่างนึงนะครับ....มีคนใข้ Trauma มาที่ฉุกเฉิน....สงสัยว่าอาจจะมี C-spine injury.....แค่สงสัยนะครับ...ผมอยากได้ Collar ใส่ให้คนใข้ก่อน.....คำตอบคือไม่มีครับ.....ต้องไปยืม Ward โน้น Ward นี้....ที่นี่มี 2 อัน...ใช้หมดแล้ว.....พระเจ้า!!!!.....นี่มันโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ที่ผ่านการ HA มาแล้วเหรอเนี่ย.....ผมบอกน้องนักศึกษาแพทย์ว่า...ดูไว้นะครับน้องเราควรจะใส่ Collar ถ้าเราไม่แน่ใจ.....แต่ที่นี่ไม่มี.....พี่จะใช้ขวดน้ำเกลือประกบ 2 ข้างแทนไปก่อนคล้ายกับที่ผมใช้ตอนไปทำงานโรงพยาบาลในป่าเลย!!!.....ลองคิดดูแล้วกันว่าถ้าคนใข้มีการศึกษาแล้วเค้าคิดว่าการใส่ Collar น่าจะปลอดภัยสำหรับเขา.....แล้วที่เราตอบว่าไม่มี....นี่คือโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในภาคใต้ตามที่แปะอยู่ใน Lift งั้นหรือ?.......ผมว่าถ้าเราจะมัวแต่มาสร้างสิ่งสวยงาม.....เราเอามาทำประโยชน์ให้ผู้ป่วยและนักเรียนแพทย์ที่เราสอนเผื่อที่เค้าเหล่านั้นจะได้จบไปเป็นแพทย์โดยเห็นตัวอย่างที่ดีจากที่นี่จะดีกว่าหรือไม่????.....



Posted by : Death , Date : 2003-08-15 , Time : 01:56:18 , From IP : 172.29.3.209

ความคิดเห็นที่ : 5


   ถูกเผง…ความชำนาญเป็นเรื่องที่ไม่อาจสร้างในชั่วข้ามคืน
จากคนที่เย็บแผลไม่เป็น…ฉันหัดเย็บผิดเย็บถูก อยู่พักหนึ่ง
มะงุมมะงาหราอยู่ขณะหนึ่ง…จึงเย็บได้
จากนักเรียนแพทย์ที่ไม่เคยเจาะท้อง…ได้ลูกยุลูกเชียร์จากรุ่นพี่ “เอาเลยค่ะน้อง…ของกล้วยๆ”
ได้ป้าแดงที่มีท้องมานเพราะแกกินเหล้ามาก…เป็นเครื่องมือ
ไม่เพียงเย็บแผลและเจาะท้อง…เมื่อฉันเรียนผ่าตัด ฉันใช้ลุงหมานสมยศ พ่อนิรันดร์ ใช้เลือดเนื้อหรือแม้กระทั่งชีวิตของใครอีกหลายเป็นครู…เป็นเครื่องมือส่งให้ฉันกล้าเรียกตัวเองว่าศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ฉันได้หากิน และช่วยเหลือคน(ในบางครั้งบางคราว)
.
ฉันเชื่อว่าทุกวันนี้ หัตถทักษะที่นักเรียนรุ่นน้องต้องเรียนต้องรู้ มันคงไม่ต่างไปจากวันที่ฉันเรียนเท่าไรนัก
เจาะท้อง เจาะหลัง เย็บแผล ฉันเชื่อว่าเขามีเขียนไว้และโรงเรียนยังรักษาหน้าที่ที่จะสอนสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วน
.
แต่ฉันเชื่อว่า เขาอาจจำต้องมีวิธีการที่ต่างไป…ที่จะทำให้คนรุ่นหลังเหล่านั้นได้ฝึกจนชำนาญเท่าฉัน แต่ไม่ต้องรบกวนป้าแดงมากเท่าฉัน ไม่ต้องทำให้สมยศเจ็บโดยไม่จำเป็นอย่างนั้น
.
สถานการณ์แวดล้อมเปลี่ยนไป…เรามีหมอมากขึ้น นั่นหมายถึงเรามีความจำเป็นที่จะ"รีบชำนาญให้ไว ๆ" น้อยลง ลูกค้าของเราสนใจในคุณภาพ เป็นหน้าที่ของเราอยู่เองที่จะต้องให้บริการเวชปฏิบัติที่มีคุณภาพ อีกทั้งคุณภาพและการเคารพสิทธิของผู้รับบริการก็เป็นเรื่องหนึ่งที่นักเรียนของเราต้องเรียนมิใช่หรือ
.
ต้อยตกบันไดศรีษะเป็นแผล เขาจะต้องได้รับการบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานเดียวกัน
นั่นคือบริการที่ดีที่สุด ไม่ว่าเขาจะเลือกมาห้องฉุกเฉินของเรา ไปโรงพยาบาลราษฏร์ยินดีหรือมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง…ความสะดวกสบายอาจต่างกัน แต่มาตรฐานทางวิชาชีพ มันควรจะต้องมีแบบเดียว
.
นั่นมิได้หมายถึง การจัดการเรียนการสอนเย็บแผล ล้างแผล ทำไม่ได้ที่ห้องฉุกเฉินของโรงเรียนแพทย์ แต่หมายถึง หากจะเป็นการเรียนการสอน คุณภาพของเวชปฏิบัติมันจะต้องไม่ด้อยลงไป
ป้าแดงจะพอใจ และยิ่งยินดีเมื่อแกรู้ว่าแกได้มีโอกาสเป็นครู แต่แกอาจยินร้ายถ้ารู้ว่านักเรียนที่จะมาเรียนกับแก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก่อน ซ้ำร้ายไม่มีใครมาดูแลเสียอีก
ฉันกำลังจะให้ความเห็นว่า ในยุคนี้ เราไม่อาจโยนกระบะทำแผลให้นักเรียนแพทย์ แล้วไปทำอย่างอื่นได้อีกต่อไป (ยกเว้นเมื่อมีคนถูกแทงเข้ามาในห้องฉุกเฉิน)
.
กฏของการเคารพคนอื่นไม่ว่าเขาจะเป็นใครไม่ได้อยู่ที่ข้างฝา ไม่ได้แปะไว้เพียงเพื่อให้ใครมาตรวจ มันควรจะปลูกไว้ใน"จิตสำนึกและความรู้อยู่แก่ใจ"ของเราในฐานะผู้ขายบริการทางการแพทย์เสมอ



Posted by : Shonikeka , Date : 2003-08-15 , Time : 14:03:20 , From IP : 133.1.67.161

ความคิดเห็นที่ : 6


   "เกิดอะไรขึ้นกับการเรียนการสอนของม.อ.ที่นี่"
มันไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในมอ. นี่ แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนได้เรียนรู้ถึงความเป็นมนุษย์ การรู้จักคน การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การเคารพถึงสิทธิของผู้ป่วย ที่พึงจะได้รับ การทรนงตัวคิดว่าสิ่งที่เราทำไว้ในอดีตแล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้องควรจะต้องหมดไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมที่เจริญ คนที่ไม่เคยเรียนรู้ก็คงจะต้องเรียนรู้ ว่าวิวัฒนาการของการเรียนการดูแลรักษาคนไข้ได้เปลี่ยนไปโดยคำนึงถึง"ความเป็นคน" ที่มากขึ้น


Posted by : Medulla , Date : 2003-08-15 , Time : 22:02:44 , From IP : 203.113.76.11

ความคิดเห็นที่ : 7


   ส่วนตัวผม ผมไม่ใคร่ชอบคำว่า "ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เรายังไม่พร้อม ทำงี้ไปก่อน อย่างนี้ดีที่สุดแล้ว ของเราเอาแค่นี้ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ"

อุดมคติอาจจะแปลว่าสมบูรณ์พร้อมและเป็นนัยถึงยากมากหรือเป็นไปไม่ได้ แต่วิธีใช้ไม่ได้ set เอาไว้ให้คนหมดอุดมการณ์ หมดความหวัง หมดความคิดที่จะทำเพื่อคนรุ่นต่อไป หมดความปราถนาในสิ่งที่ "ดีพร้อมกว่า" สิ่งที่เราเองเคยเจอ และยอมรับว่ามันยังไม่ดี แต่มันมีไว้เป็น guideline เป็นกรอบ เป็นแผนที่ เป็นจินตนาการ เป็นสิ่งที่เราชี้ไปข้างหน้าแก่น้องลูกหลานดู

ลองใคร่ครวญถึงตัวเลือกใหม่ และลอง "ใช้ความพยายาม" คิดดูว่ามันถูกนำมาใช้เพราะอะไร ถ้ามันยังไม่สมบูรณ์ มันอยู่ที่ "วิธี" หรือ "ตัวหลักการและเหตุผลปรัชญาเบื้องหลัง" การจะแก้ไข ไม่ใช่พร้อมที่จะล้มเลิกกลับไปทำแบบเก่า แต่ขอให้พิจารณาว่าเพราะเหตุอะไรเขาจึงใช้แบบใหม่ ถ้าเหตุผลเขาดี ก็มาช่วยกันหาวิธีที่ทำให้เหตุผลใหม่มัน work และถ้าเป็นไปได้ ไอ้มุมมองทำนองเป็นไปไม่ได้ หรือ สุดวิสัยนั้นน่ะ ลองเก็บพับไว้ใช้หลังจากปัจจุบันนี้สดูสักสองสามอาทิตย์แล้วมาคิดกันก่อนว่าจะทำยังไงจึงจะสำเร็จ

มีแพทย์ที่อื่นที่เขาได้ประสบการณ์น้อยตอนเป็นนักเรียนแพทย์หรือไม่? คำตอบคือมี เช่น ยุโรป และ อเมริกา แล้วแพทย์เขาคุณภาพเป็นยังไง ผ่าตัด เจาะท้อง เจาะหลัง เป็นไหม? คำตอบก็คือคงจะเป็นมั้ง ไม่งั้นเราคงไม่ส่งคนไปเรียนจากแพทย์ในประเทศเหล่านี้เพิ่มเติมหรอกนะ แล้วเราพร้อมหรือยังที่จะทำให้ได้ดีจนมีคนจากที่อื่นสอบแข่งขันเพื่อจะมาเรียนที่ไทยบ้าง? ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆคือ ถ้าเราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ คนของเรามีความสามารถแค่นี้แหละ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน

ทำไมนักเรียนแพทย์ถึงถูกห้ามไม่ให้ทำหัตถการเหล่านั้นในผู้ป่วยโรค aids ผมว่าลองค่อยๆคิดดูก็ได้นะครับว่าทำไม

ทำยังไงจึงจะจัดการกับ case เย็บแผลที่สอนน้องค้างอยู่ แล้วมี case ฉุกเฉินมา ผมว่าใครที่กำลังจะเป็นศัลยแพทย์น่าจะลองคิดและ manage ดู ว่าถ้าจะให้ผู้ป่วยทั้งสองคนได้รับการรักษาที่แฟร์ควรจะทำอย่างไร บอกใบ้ให้นิดนึง ถ้าฉงนงงงวยกับ priority หรือ กฏระเบีบย มองย้อนไปว่ากฏนั้นมัน serve อะไร กฏ จะต้องสอดคล้องกับหน้าที่ หน้าที่ต้องสอดคล้องกับจริยธรรม จริยธรรมต้องสอดคล้องกับปรัชญา ปรัชญาแพทย์นั้นผู้ป่วยมาก่อนครับ ไม่ใช่ นศพ. หรือ ego ของแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่

PS: ARIGATO KOSIMUTSU SHONIKEKASAN



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-16 , Time : 01:16:45 , From IP : 172.29.3.219

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมว่าก็ดีแล้วนะครับ เมื่อก่อนผมเคยป่วยแล้วไป รพ.จุฬา โห ปล่อยให้ นศพ. เข้ามาดู อย่างกับผมเป็นของประหลาด ตั้งแต่นั้น รพ. ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ไม่เข้าเด็ด ขาด อีกอย่างเรื่องอะไรจะให้เด็กที่ยังไม่ชำนาญงานมาลองกับร่างกายเรา รพ.อื่นๆ ที่มีแพทย์อาวุโสคอยดูแลยังมีอีกตั้งเยอะ

Posted by : x , Date : 2003-08-16 , Time : 03:38:29 , From IP : ppp-203.144.235.68.r

ความคิดเห็นที่ : 9


   .............เฮ้อออออออออออออ..............ผมรู้สึกเบื่อจังเวลามีพวกบ้ามาชี้ไอ้กระดาษข้างฝานั่นให้ผมดูแล้วบอกว่าคุณทำนอกเหนือนั่นไม่ได้.....เค้าสั่งให้คุณเป็นคนสอน....ไอ้คนที่ชี้บอกผมเค้าไม่เห็นจะแคร์ว่าผมต้องดูคนไข้คนอื่นที่ด่วนกว่าเลย......บอกแต่ว่าคุณไม่มีสิทธิให้คนอื่นมาคุม....โดยไม่แคร์อะไรว่าเป็นอะไร....โดยไม่สนใจว่าอะไรคือสิ่งที่ด่วนกว่า......สิ่งที่เห็นทำก็ดีแต่จับเวลาว่าคนไข้มารอชั่วโมงแล้วไม่ได้ตรวจโดยที่ไม่ดูว่ามีคนไข้ 1 คนเป็น Blunt Abdomen และกำลังใส่ Tube, Cut down, DPL อะไรกันอยู่..........รู้ไหมครับคุณ Phoenix......ผมเบื่อครับ.....ผมเคยมีไฟในการทำงานมากกว่านี้......แต่ตอนนี้ผมเบื่อครับ.......อาละวาดขึ้นมาที่ไรก็มีหนังสือร้องเรียนไปที่ภาคว่าดุร้าย......เยี่ยมจริงๆ......ผมยึดหลักอย่างนึงในการดูคนไข้ครับ....ผมไม่รู้ว่าหลักนี้ถูกหรือเปล่านะครับในสังคมปัจจุบัน........ผม"สนใจ"แต่"คนไข้"ครับ.....ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดหรือสิ่งใด...ขั้นตอนใด....หรือระบบใดๆที่จะทำให้"คนไข้"ของผม Delay, เสียผลประโยชน์หรือเดือดร้อนโดยไม่เห็นเหตุผลอันสมควรแล้วหละก็......สิ่งเหล่านั้นก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะมีปัญหากับผม......ส่วนตัวอย่างที่ผมยกมานั่นผมมีทางแก้ไข้อยู้แล้วครับ.......ตอนนี้แล้วผม"ไม่เคย"ร้องขออะไรที่"จำเป็น"สำหรับ"คนไข้"ของผมแล้ว"ไม่ได้"อีกต่อไปแล้วครับ..................ผมไม่ได้ภูมิใจกับมันเลยนะครับที่ทำให้ผมต้องมากลายเป็นพวกดุร้ายในสายตาผู้ร่วมงาน.........คุณ Phoenix ทำงานแบบเดียวกับที่ผมทำน่าจะทราบดี............แต่ไม่ค่อยมีคนเข้าใจเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย....................บอกได้เลยนะครับ.......ไอ้กระดาษที่ปะอยู่บนฝานั่นจะไม่ได้รับความสนใจจากผมเลยถ้าสิ่งที่เขียน....มันจะมาทำให้คนไข้ผมเดือดร้อน............................



Posted by : Death , Date : 2003-08-16 , Time : 13:43:00 , From IP : 172.29.3.103

ความคิดเห็นที่ : 10


   ฉันคงทำไม่ต่างจากคุณในสถานการณ์เร่งด่วน ในสถานการณ์ที่เร่งด่วนมากขึ้นอีก นักศึกษา พนักงานดูแลความสะอาด พนักงานรักษาความปลอดภัย ก็อาจต้องมาช่วยกันดูแลคนไข้ เท่าที่เขาพึงสามารถ ในสถานการณ์แวดล้อมที่ผิดแผก เราไม่ผิดที่จะแปลกแยกไปจากเกณฑ์ หรือความเข้าใจเดิมที่หมายตั้งไว้เพื่อใช้ยามปกติ
.
ฉันไม่รู้ว่า ในห้องฉุกเฉินของเรา ปีหนึ่งมีวันเร่งด่วยกี่วัน มีชั่วโมงเร่งด่วนกี่ชั่วโมง แต่หากมันมี 364 วัน ในวันที่ 365 ฉันก็จะกลับมาอ่านกระดาษบนข้างฝา ทำความเข้าใจและลองปฏิบัติตาม
.
มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากให้เป็นของขวัญในฐานะที่ผ่านมันมาก่อน ก็คือ"อย่าเสพติดในความเร่งด่วน อย่ายึดถือว่าศัลยแพทย์ที่เสียงดัง ผ่าตัดเลือดอาบ โผงผาง หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเท่านั้น ที่จะเป็นวีรบุรุษ - ในทางตรงข้าม ฉันอยากให้คุณหัดที่จะเป็นศัลยแพทย์ที่รู้จักคิด เตรียมการและวางแผน ศัลยแพทย์ที่รู้จักเอื้ออารีกับคนไข้ดูบ้าง"
.
เมื่อคุณโตขึ้นและโตขึ้น คุณจะเข้าใจมากขึ้นและมากขึ้นว่าสิ่งที่เขียนไว้ตามกระดาษบนเสา กรอบที่เขาพยายามวางไว้ มันมิใช่ตรวนหรือขอบข่ายของความอิสระเลย หากสิ่งที่คุณถือเป็นหลักของชีวิต มันเป็นเรื่องเดียวกับสิ่งเหล่านั้น มันกลับเป็นเครื่องสะท้อนให้คุณมั่นใจว่า ในสังคมนี้มี"ความเข้าใจร่วมกัน"ที่ไปกันได้กับหลักของคุณเอง และคุณมิใช่ผู้เดียวที่เดินอยู่บนทางร่วมนั้น
.
ความเร่งรีบเร่งร้อนเป็นเรื่องแยกไม่ออกสำหรับห้องฉุกเฉิน หรือเวชปฏิบัติ ยิ่งคุณทำงานมากก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเจอกับปัญหาและความจำเป็นต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากขึ้น แต่"หากคุณทำงานมากและรู้จักทบทวนบทเรียนให้กับตัวเองอยู่เป็นนิจ" ความเร่งร้อนจะเป็นเรื่องที่คุณสามารถ"คิดมาจากบ้าน"และจัดการได้ดีจนไม่ต้องรน ไม่ต้องเสียงดัง ไม่ต้องผิดกฏและแสดงบทแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ วันที่สงบงามมันก็จะมากขึ้นจาก 1 วันในหนึ่งปีได้

img src=<"http://www.sunisland.com.hk/image/children.gif">


Posted by : Shonikeka , Date : 2003-08-16 , Time : 14:33:58 , From IP : 133.1.67.161

ความคิดเห็นที่ : 11


   เอาล่ะ ตกลงรู้สึกจะมี specific case ที่คุณ death ไม่พึงพอใจเป็นกรณีพิเศษลองเล่า scenario ให้ฟังหน่อยสิครับว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แล้วเรามาคิดกันว่าควรจะส่งข้อมูล feedback ไปที่ใคร คุณ Deatyh เข้าใจถูกแล้วว่าการทำบ้า เสียงดัง aggressive นั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของใครทั้งสิ้นรวมทั้งตัวคุณเอง

คำถามในกรณ๊นี้คงจะเป็น มีเหตุการณ์ที่คุณ DEATH กำลังสอนนศพ.เย็บแผล แล้วมี case emergency มา คุณ Death ทำยังไงต่อนะครับ ถึงได้มีการชี้ป้งชี้ป้ายชี้ประกาศกัน หรือมีการกระทำอย่างไรที่ทำให้คุณ Death ไม่สามารถไปดูผู้ป่วยฉุกเฉินรายนั้นได้อย่างที่ควรจะเป็น หรือมีคนยืนยันว่าคุณ Death จะต้องสอนนศพ.เย็บแผลให้เสร็จเสียก่อน ถ้ามีพยาบาลพยายามจะมาบอกหมอไม่ให้ทำเรื่องฉุกเฉินก่อน เรื่องนี้ serious และสมควรจะทำเป็น incident report แจ้งผู้บริหารและจัดการให้สิ้นทรากโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่กลายเป็นทำให้หมอหมดไฟในการทำงาน

โดยที่ฟังมา ผมยังไม่แน่ใจว่าคุณ DEATH ไม่พอใจในเหตุผลเบื้องหลังประกาศอันนั้น หรือว่าไม่พอใจ "การใช้" โดยพยาบาลหรือใครที่ห้องฉุกเฉิน เพราะนี่เป็นสองประเด็นที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย มีบ่อยครั้งกว่าที่เราจะนับได้ที่ กฎ หรือ ระเบียบ ถูกนำมาใช้ผิดๆ แต่เราจะรู้ได้ทันทีว่ามันผิดหรือไม่ผิดโดยดูว่ามัน correspond ต่อ หน้าที่ จริยธรรม และปรัชญาแพทย์หรือไม่

เมื่อเราพบอุปสรรคในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเป็นคนเสียประโยชน์ เราไม่ควรหมดไฟครับ ยิ่งน่าจะเป็นเชื้อเพลิงทำให้ไฟมันโหมยิ่งขึ้นเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ถูกต้อง ในอนาคตคุณ DEATH ลองคิดดูเมื่อคุณเป็นผู้บริหาร แล้วจะจัดการเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไร คงไม่ใช่ไฟมอดแล้วปล่อยตามยถากรรมนะ ผมหวังว่า

คนที่มีปัญญาแค่ชี้ป้ายนั้น จำเป็นต้องถูกชี้แจงให้เข้าใจถึง ความหมาย ความเป็นมา และลำดับความสำคัญครับ ไม่ใช่ปล่อยให้ชี้ๆแล้วเราก็ก้มหน้าทำตามป้ายเสร็จแล้วมาโวยวายทีหลังบนกระดานข่าว เรียก head ER มา หรือถ้าไม่ได้ผลก็ทำ incident report รายงานกรรมการ ER ให้จัดการ ลองทำอะไรโดยยึดหลักการและระบบให้เป็นประโยชน์ดูสักหน่อยนึงเถอะนะครับ การที่ยึด policy ว่าอะไรที่ผู้บริหารเขียนมานั้นต้องไม่ได้เรื่องตลอดกาลน้น้นเป็นความรู้สึกของ teenager ซึ่งเราควรพ้นผ่านวาระนั้นมานานแล้ว



อันนี้ของคุณ Shonikeka น่ารักดีนะครับ





Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-16 , Time : 16:00:31 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 12


   ...........ขอบคุณครับคุณ Shonikeka..........:D...:D
......คุณ Phoenix ครับ.......ตอนนี้ในสายตาผู้ร่วมงานผมกลายเป็นพวกดุร้ายไปแล้วครับ......คงแทบจะสามารถส่งเวรได้เลยหละมั้งครับว่าวันนี้หมอ Death อยู่เวร...คนไข้มาปุ๊ปต้องรีบไปทำไงก็ได้ให้ได้ HN มาทันทีที่หมอ Death จะเริ่มส่ง X-ray....อย่าพยายามขัดใจหมอ Death เด็ดขาดถ้าไม่จำเป็น.....Trauma เละๆเกือบทุกรายหมอ Death จะใส่ Collar ต้องไปหามาให้มี......ไม่ควรไปต่อปากต่อคำว่าหมดแล้วหรือรอยืมขนาดเด็กมาให้ผู้ใหญ่ใส่แก้ขัดไปก่อน.....ไม่ว่าจะ Cutdown, ใส่ Tube, ใส่ ICD, CPR หรือ Thoracotomy ไม่ควรจะให้หมอ Death สั่งเกิน 1 ครั้งเป็นอันขาด................ๆลๆ....................ส่วนเวรหมอท่านอื่นที่ไม่ใช่หมอ Death จะสบายกว่านี้.....:D....:D
...................ส่วนเรื่องเย็บแผลนั่น......ฮิตมากครับช่วงที่ HA มาตรวจโรงพยาบาล......แบบว่าเขียนอะไรไว้ก็ต้องตามนั้นเป๊ะๆ......ตอนนี้ไม่แล้วครับ....หลังจากโดนผมอาละวาดไปทีนึง......ไม่ต้องไปแจ้งหรือเขียนรายงานอะไรนั่นหรอกครับ.....ผมบอกไปแล้วว่าตอนนี้"ไม่มี"อะไรที่ผมร้องขอแล้ว"ไม่ได้"ตอนผมอยู่เวรอีกแล้ว.......ผมถึงบอกตั้งแต่ที่เขียนอันแรกไงครับว่า......น่าสนใจข้อที่ว่าต้องตามแพทย์ใช้ทุนหรืออาจารย์อาวุโสมาคุมเย็บแผล........ถ้าคนที่เขียนเรื่องนี้เป็นแพทย์แสดงว่าที่โรงพยาบาลแห่งนี้บางที.....มีการใช้ Double Standard....:D..:D....แบบว่าวันไหนผมอยู่เวรเป็นแบบนึง.....พอเป็นหมอคนอื่นที่ใจดีกว่าก็อีกแบบนึง...........ดูมันน่าตลกดีไหมครับ....:D...:D
........ผมขอแนะนำอย่างนึงนะครับคุณ Phoenix......อย่าพยายามเอยถึงห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งนี้เลยครับ....ผมเคยเห็น Topic เหล่านี้ถูกลบไปเฉยๆเลยก็มีครับ.....ผมพยายามอยู่แล้วในส่วนของผมครับ.....อย่างน้อยๆ วันที่ผมอยู่เวรที่ห้องฉุกเฉิน....ผู้ป่วยที่เป็น Trauma จะไม่มีการ Delay หรือมีขั้นตอนหรือระเบียบบ้าๆใดๆที่จะทำให้คนไข้ผมเสียผลประโยชน์มามีผลกับผมได้อยู่แล้วครับ.......คุณ Phoenix เองน่าจะจำวันที่จัดประชุมเรื่อง ER ที่ภาคได้นะครับ.....เห็นไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น......กะแค่รับปากหรือสัญญาหรือแม้แต่ระบุเวลาให้ชัดเจนว่าปัญหาที่มีจะได้รับการแก้ไขเมื่อไหร่แบบเป็นรูปธรรมยังทำไม่ได้เลย................ถ้าคิดว่าฟังแล้วผ่านแล้วผ่านเลย..............ก็อย่ามาขอความร่วมมือหรือความเห็นใจใดๆจากผมเลย........................ผมจะสนใจแค่"คนไข้"ของผม........แค่นั้นครับ....:D..:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-16 , Time : 16:59:12 , From IP : 172.29.3.103

ความคิดเห็นที่ : 13


   ที่แปลกกว่านั้นคือเมื่อก่อนที่นี่เค้าอะไรๆให้ทำมากกว่านี้นะคุณ
แล้วมันก็หดลงมาเรื่อยๆจน น้องๆโดนห้ามทำอะไรไปซะหมด
เช่นเมื่อก่อนมีexternอยู่เวรหลังเที่ยงคืนเหมือนโรงเรียนแพทย์อื่นด้วยนะ
แต่เค้ามีเหตุผลว่าextern ยังเป็นนักเรียนอยู่ต้องให้กลับไปนอน
อยู่ที่นี่ก็มีอะไรแปลกแต่ก็ไม่ใช่externทำอะไรไม่เก่งนะ
เค้าไปเก่งตอนครึ่งที่ไปอยู่ข้างนอกไง แต่ทำไมเราไม่ฝึกเด็กเราให้เก่งเองเนาะ
ต้องให้คนอื่นฝึกให้ ทั้งที่เราก็มีศักยภาพ สงสัยคงกลัวคนไข้มาฟ้องร้อง
หรือมาด่าโรงพยาบาลมากๆๆจนขึ้นสมองนะคุณ



Posted by : / , Date : 2003-08-16 , Time : 19:00:40 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 14


   คงไม่ใช่เป็นการขอความเห็นใจจากใครหรอกนะครับ เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเรื่องนั้นคงจะหวังยาก

คุณ Death พอจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ไหมครับว่า ถ้าไม่ใช้เวรคุณ Death อยู่ล่ะก็ แพทย์ทุกคนหรือบางคนที่เหลือยังคงถูกข่มขู่หรือ intimidate โดยการชี้ป้ายที่ว่านี้อยู่ หรือขออะไรแล้วยังไม่ได้อยู่ ผมเข้าใจว่าเราคงจะหวังให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีทุกเวรโดยที่ไม่ต้องมีคุณ DeTH เป็นยันตร์ศักดิ์สิทธิ์ปกป้องอยู่ ไม่งั้นแล้วคุณ Death จบไปแล้วไม่อยู่ที่นี่ก็แย่ล่ะซิครับ

น่าสนใจเรื่องการกำหนดเวลาที่ว่าตอนท้ายนี่นะครับ จากความเข้าใจของผมตอนนั้นสิ่งที่เป็นตัว dictate ที่สำคัญที่สุดในเรื่องที่อภิปรายกันคือ "กำลังคน" และกำลังคนนี้คงจะขึ้นอยู่กับปริมาณคนที่ "มาสมัคร" ไม่ใช่ปริมาณคนที่เรา "สามารถไปเกณฑ์" ถ้าเป็นอย่างหลังก็จะดี มีโอกาสที่เราจะเห็น time frame ได้ชัดเจนว่าสภานการณ์น่าจะดีขึ้นตอนไหน ถ้าเป็นอย่างแรกก็จะน่าสนใจมากหากเราได้รับคำสัญญาว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อไหร่ โดยที่เราไม่ทราบว่าจะมีคนมาเพิ่มกี่คน

ผมไม่ทราบว่า Topc ที่ว่าถูกลบไปเพราะคำว่า "ห้องฉุกเฉิน" ใน Topic นั้นหรือว่าสาเหตุอื่นเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คุณ Death อาจจะลองทบทวนดูแล้วให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ว่ามันถูกลบเพราะอะไร เพราะการมีคำว่า "ห้องฉุกเฉิน" หรือเพราะการใช้ภาษา กิริยามารยาท ฯลฯ คุณเคย predict ว่ากระทู้บางอย่างไมสามารถจะมีได้ และจะถูกลบไป แต่ผมว่าเราก็ได้คืนมา หรือไม่ได้ถูกลบก็มีอยู่ กาลเวลาอาจจะเปลี่ยนไปแล้วเป็นไปได้ไหมครับ? ถ้าเราแสดงให้เห็นว่ากระดานแห่งนี้ป็นที่ที่คนเจริญแล้วเป็นห่วงมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยมาถก มาปรึกษากันอย่างศิวิไลซ์ น่าสนใจมากครับว่ามันจะถูกลบไปต่อหน้าต่อตา

แพทย์จะโตขึ้นและมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น คุณ Death เองจะได้เป็นผู้บริหารเองในอนาคต ผมคิดว่าคุณคงจะหวังให้ผู้ร่วมงาน หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาสามารถพูดจาด้วยเหตุผล ไม่ใช้บัตรสนเท่ห์ ไม่ใช่อารมณ์ และไม่หมดไฟอย่างง่ายดายเกินไป สิ่งเหล่านี้ "ไม่เอื้อ" แก่บรรยากาศการบริหารเท่าไหร่หรอก เชื่อผมสิ

เรื่องการฟ้องร้องนี่ ถ้าใครได้ฟังอาจารย์เอกพลจากศิริราชมาพูดวันสุดท้าย จะเข้าใจว่าที่เราเต้นกันเรื่องถูกฟ้องร้องต่างๆเนี่ย เรากำลังตื่นเต้นอยู่กับแค่ Tip ogf the ice-berg และมีจำนวนที่มีศักยภาพหรือมีมูลที่จะฟ้องร้องร้องเรียนได้อีกไม่น้อยกว่า 500% คงจะขึ้นอยู่กับขวัญกำลังใจของผู้บริหารแต่ละคนล่ะครับว่าจะ ignore หรือวางแผนป้องกัน อย่าลืมว่าฟ้องร้องนั้น imply ว่ามีผู้ป่วยเดือดร้อน และผู้ป่วยเดือดร้อนนั้น imply ว่ามีการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควรเกิดขึ้น เราเป็นโรงเรียนแพทย์ก็จริง ลำดับความสำคัญสุดยอดยังคงอยู่ที่รักษาผู้ป่วย ไม่ใช่สอนนศพ.อยู่ดี



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-16 , Time : 20:36:49 , From IP : 172.29.3.218

ความคิดเห็นที่ : 15


   ..............เอาหละ.........เอาทีละอันหละกัน................:D....:D

.....อย่างแรกผมแค่ตั้งข้อสงสัยว่า....คนเขียนกระทู้อันนี้ทำไมยังพูดถึงเรื่องการเย็บแผลโดยต้องมีแพทย์อาวุโสหรืออาจารย์มาคุมอยู่..........เพราะไอ้การต้องทำตามป้ายประกาศน่าจะหมดไปตั้งแต่ HA เลิกมาตรวจโรงพยาบาลแล้ว.......ทำไมยังมีอีกเหรอ????.........ในตอนนี้เพื่อนผมบางคนได้กลายสภาพจากหมอผู้แสนดี......กลายเป็นซาตานเวลาอยากได้อะไรเพื่อคนไข้.......ไม่เข้าใจว่าผู้ร่วมงานไม่สามารถแยกแยะได้หรือว่าอะไรคือสิ่งที่ด่วน....อะไรคือสิ่งที่ไม่ด่วน....ทำไมชอบจะให้ต้องโวยวายเพื่อให้ได้อะไรสักอย่างมา.......หรือเพื่อเห็นหมอโวยวายจะได้มีอะไรเขียนในรายงานอย่างงั้นหรือ???...........เท่าที่เคยสอบถามรุ่นน้องหรือ Intern บางท่านก็บอกว่า....ไม่ค่อยอยากมีเรื่อง......ไม่กล้าบ้าง.....เบื่อบ้าง.....บางคนก็ว่าอยู่ให้มันจบๆไป.......แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง.......ผมว่าแย่นะถ้าคนเรามาทำงานโดยรู้สึกว่าให้มันหมดๆไป......ลองทำแบบสำรวจแบบไม่ระบุผู้ตอบดูดีไหมครับ....กระจายออกไปในหมู่แพทย์ใช้ทุน....แล้วดูว่ามีสักกี่คนถ้าเลือกได้...จะไม่อยากทำงานแบบนี้......หรือมีปัญหาอะไรบ้างที่ต้องการให้แก้ไข.....แต่นั่นก็ต้องมั่นใจได้นะว่าจะได้ประโยชน์จริงๆ......ไม่ใช่ผ่านแล้วผ่านเลยเหมือนตอนแรกตั้งขึ้นมา......แล้วบอกว่าจะมีการสำรวจและประเมิน....เมื่อ 3 ปีก่อน....แล้ว"ไหนหละ".....ไอ้ผลการประเมินที่ว่า????.....อยู่ที่ไหนเหรอครับ????....................

...........อย่างที่สอง....เรื่องเวลาและการให้สัญญา.....ผมไม่เห็นว่ามีการ Improve อะไรในช่วงที่ผ่านมาเลย.....หรือว่ามี?....แล้วผมไม่รู้......น่าจะมีการแถลงความคืบหน้าเป็นระยะๆไหม...ว่าการร้องเรียนแต่ละครั้งตอนนี้อยู่ในขั้นไหนแล้ว?......หรือว่าฟังไปอย่างงั้นเอง????.......

............อย่างที่สาม.....เรื่อง Topic ที่เคยเห็นว่าโดนลบ...ก็เรื่องในช่วงที่กระทู้แพทย์ใช้ทุนศัลย์ลาออก.....ช่วงนั้นมีกระทู้่เรื่อง ER โผล่มา 1 อัน.....เขียนโดยคนที่ผมทราบว่าเป็นใคร....มีคนตอบ 2-3 คนแล้วก็หายไปพร้อมๆกับกระทู้แพทย์ใช้ทุนศัลย์.......ก่อนที่กระทู้แพทย์ใช้ทุนศัลย์จะกลับมาเพียงอันเดียว.....ก่อนหน้านี้กระทู้เรื่องแพทย์ใช้ทุนศัลย์ที่ ER ก็เคยหายสาบสูญไปเมื่อ 1 ปีก่อน....ก่อนจะ"ต้อง"กลับมาเพื่อให้คนอ่านกันตอนที่เรียกประชุมแพทย์ใช้ทุน.......ผมแนะนำนะว่า.....ถ้าสถาณที่แห่งนี้จะต้องการมีความยุติธรรมกับคนทั่วไป....ทำไมไอ้ตอนลบกระทู้....ไม่ใส่ชื่อผู้ขอแจ้งลบ....และเหตุผลใส่ไว้ให้อ่านแก้สงสัยกันหน่อยหละัครับ........หรือลบไปก่อน.....ถ้าไม่มีคนออกมาด่าก็เลยตามเลย......คล้ายมีอำนาจอยากทำอะไรก็ทำอย่างงั้นหรือ???...............

...........อย่างที่สี่......มีทางออกอะไรสำหรับเรื่องนี้ไหมหละ.....ลองดูเรื่อง Collar ที่จะใส่คนไข้ Trauma case ก่อนไหมครับว่าทำอะไรได้บ้าง.....เราควรจะมีเป็นกองที่ ER เพื่อให้คนไข้ได้ใช้มากกว่าจะใช้ที่ต้องไปยืมที่โน่นที่นี่....บางที่ผมก็คิดแปลกๆนะว่า......เราไม่มีตังค์ซื้อเหรอ....ทำไมเรามีตังค์ไปแต่ง Lift....มีตังค์ไปสร้างบ่อปลา......ถ้าโรงพยาบาลจนกรอบเหมือนที่ผมเคยเห็นในป่า....ยาก็ไม่ค่อยมี.....โรงพยาบาลโทรมๆ....ผมจะไม่ว่าเลยครับว่าอะไรเหล่านี้ที่มัน"จำเป็น"สำหรับคนไข้แล้วเราไม่มีเนี่ย.......



Posted by : Death , Date : 2003-08-16 , Time : 21:20:16 , From IP : 172.29.3.103

ความคิดเห็นที่ : 16


   ประเดี๋ยวก่อนนะครับ ผมว่าประเด็นชักจะ blur ลงยังไงชอบกล ตกลงคุณ Death ไม่ได้เห็นด้วยว่านศพ.จะเย็บแผลควรจะมีคนคุมหรือครับ? ผมเข้าใจมาตลอดว่าคุณคิดว่า OK แต่เวลามี case ฉุกเฉินที่แพทย์ผู้คุมควรจะไปดูก่อน ก็น่าจะทำตามความสำคัญ ที่ post มาตอนแรกนี่หมายถึงหลักการทั่วไป ตกลงคุณ Death คิดว่าเพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รับประโยชน?มากที่สุดนั้น นศพ.ควรหรือไม่ควรมีคนคุม? ผมคิดว่ากระทู้นี้เริ่มโดยไม่มี emergency situation แต่เป็นหลักการโดยทั่วๆไปในการเรียนการสอน มีแต่ของกรณีคุณ DeaTH ที่มีการพูดถึง "ข้อยกเว้น" เช่นมีผู้ป่วยฉุกเฉิน นอกนั้นไม่ได้มีใครพูดถึงเรื่องนี้นะครับ

อืม..น่าสนใจครับที่มี Intern บางท่านบอกว่าที่ทำงานนี่เป็นทำไปวันๆ ขอขยายความเพิ่มเติมหน่อยนะครับ เพิ่มเป็นหมอจบหมาดๆก็เริ่มหมดกำลังใจตั้งแต่เริ่มต้นเลย คงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ดี ไม่ทราบเป็นนักศึกษาเก่าที่นี่ หรือจากที่อื่นครับ?

เอ่อ..มาทวงการประเมินเมื่อสามปีก่อนตรงนี้ผมก็ใบ้กินเหมือนกันครับ ไม่รู้หัวหางความเป็นมา ทางที่ดีขอจากผู้รับผิดชอบ อาจจะได้คำตอบชัดเจนกว่า ว่าแต่เขาบอกว่าจะตอบคุณ Death โดยตรง หรือใจความสัญญาว่ายังไงล่ะครับ?

เรื่องระยะเวลาของที่ได้มีการอภิปรายไปนั้น ขออภัยที่ไม่ได้เขียนไว้ชัดเจนพอในคำตอบที่แล้ว คืองี้ เนื่องจากประเด็นสำคัญที่สุดคือ "จำนวนคน" และเราพึ่งจะมีการ reinforce แพทย์ทั้งหมดของปีการศึกษานี้ครบถ้วนเร็วๆนี้เอง การจัด rotation นั้นจัดล่วงหน้าประมาณ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย ผมเข้าใจว่าก่อนที่เราจะมีการอภิปรายครั้งที่แล้วด้วยซ้ำ หมายความว่าข้อมูลที่ complete ว่าปีนี้เรามีคนเท่าไหร่ก็มีตอนที่แพทย์ประจำบ้านรายงานตัวล่าสุด บวกแพทย์ใช้ทุนทั้งหมดที่เหลทอจากการทนอยู่ได้ไม่ลาออกไป การวางอัตรากำลังก็คงเป็นปีการศึกษา 2547 กระมังครับ นี่เป็นการประเมินโดยคร่าวมากๆ คุณ Death คิดว่าเรื่องนี้ควรจะมีการให้เห็นและแล้วเสร็จภายในเวลากี่วันครับ ที่แล้วมา?

เรื่องกระทู้ที่โดนลบนั้น ผมเรียนถามว่าลบเพราะอะไรครับ ไม่ได้เรียนถามว่ามีอะไรลบไปบ้าง ภาษาวาจาที่ใช้ถูกต้องกับกฏระเบียบที่เขียนไว้บนยอดกระดานหรือเปล่า หรือว่าเป็นกระทู้ก่อม็อบ?

ขอบคุณที่กรุณาเตือนผมว่ากระทู้อะไรพูดได้ กระทู้อะไรพูดไม่ได้นะครับ แต่ผมไม่ค่อยเชื่อใครเรื่อง "พูดไม่ได้" หรือ "พูดได้" ซักเท่าไหร่ เพราะผมคิดว่าถ้าผมมีเรื่องอยากจะพูด และพูดในแบบที่ผมกำงจะพูดแล้ว มันไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนใหญ่ปัญหาจะมาจาก element ที่นอกเหนือการ control ของผมนั่นแหละ motto ที่ผมเขียนไว้ทุกครั้งเวลาตั้งกระทู้ว่า Be mature, be positive, and be civlized นั้น ยังไม่เคย fail มาก่อน

เรื่อง collar ที่ er ไม่ทราบว่าคุณ Death เคยคุยกับอาจารย์แพทย์ผู้ควบคุม ER แล้วรึยีงครับ? มีเหตุการณ์กี่ครั้งที่ Collar ไม่พอ หรือผู้ป่วยถูก put at unnecessary risk ข้อมูลลตรงนี้สำคัญจริงอย่างที่คุณ Death ว่า หากเรามี case ?ควร support collar ตาม Clinical Practice Guideline แต่มีของไม่พอ ก็จะเปิกดอกาสให้โรงพยาบาลถูกฟ้องแน่นอนหากมีกรณ๊ผู้ป่วยเสียหายเกิดขึ้น ประเด็นสำคัญคือ unncessary morbidity ของผู้ป่วย คุณ Death พอจะเขียนรายงานให้อาจารย์ ER หรืออาจารย์ neurosurgery (เพราะอาจารย์เท่านั้นที่สามารถสั่ง hardware พวกนี้ได้น่ะครับ ไปบ่นกับพยาบาลหรือนศพ.ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น) ทราบว่ามีผู้ป่วยกี่คนที่เกิด risk โดยความไม่พร้อม รับรองว่าถ้ามีรายงานประเภทนี้ จะดึงดูดความสนใจและ action มากกว่าการอาละวาดกับพยาบาลแน่นอน หรือคุณ DeaTH ว่าไม่มันเท่า?





Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-16 , Time : 21:56:59 , From IP : 172.29.3.218

ความคิดเห็นที่ : 17


   ........................
.............ผมเห็นด้วยครับว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด......ถ้ามีคนคุม....ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว......เพียงแต่ผม"แปลกใจ"ในสิ่งที่คนเขียนกระทู้เอามาเขียน.....แค่นั้น...ผมคิดว่าคนเขียนน่าจะไม่ใช่แพทย์ใช้ทุนศัลย์เลยแปลกใจว่าทำไมต้องไปตามคนมาคุม....แสดงว่าแพทย์ใช้ทุนศัลย์ที่อยู่วันนั้นไม่สามารถว่างมาคุมได้หละมั้ง?......ผมไม่รู้......แสดงว่าคนเขียนอาจจะโดนห้ามด้วยป้ายประกาศนั้นหรือเปล่า???....ผมไม่รู้ครับ....อ่านที่ผมเขียนแล้วมาดีๆครับ.......

.............ส่วนเรื่องผู้ทีเบื่อในการทำงานที่ ER.......เชิญหาข้อมูลที่เข้าท่าทางอื่นเถอะครับ.......ผมเชื่อว่าถ้าถาม 100 คนว่ามีใครอยากจะทำงานที่ ER บ้าง.......น่าจะน่าสนใจกว่ามานั่งถามผมว่าเป็นใครที่ไหนนะครับ....ทำไมเหรอครับ.....ถ้่าจบที่อื่นแล้วมาบ่นอะไรบ้าๆนี่......ต่อไปจะได้ไม่รับที่อื่นมาเนื่องจากความอดทนต่ำเหรอครับ????...........

..............เรื่องการประเมินนั้นปล่อยมันไปเถอะครับ.........ผมบอกแล้วไงว่าผมเบื่อกะไอ้เรื่องนี้แล้ว.......ไม่มีใครให้คำตอบผมหรอก.....และจะไม่มีด้วย....ผมเชื่อเช่นนั้น.....และผมจะไม่ฟังสัญญาอะไรงี่เง่าพวกนั้นอีกแล้ว......ถ้ายอม 1 ก็จะมี 2 และ 3 และ 4......................

..........ถ้างั้นหมายความว่า......ปีหน้า 2547......จะดีกว่านี้ใช่ไหมครับ?.....ผมไม่รู้ว่าเวลาเท่าไหรนี่ดี......แต่ถ้าจะให้รอปีนึงนี่......ก็คงน่าสนใจนะครับ....ร้องเรียนทีนึง....รอปีนึง......ไม่ดีอีัก....ร้องเรียนใหม่....รออีกปีนึง....เดี๋ยวไอ้พวกบ้าขี้บ่นก็ออกไปเอง.....ไม่ลาออกก็เรียนจบไปนั่นหละ........

..........ส่วนเรื่องกระทู้ที่โดนลบนั่น.....ผมไม่ทราบว่าทำไมโดนลบครับ....ไม่ต้องมาถามผมครับ.....เพราะผมไม่ได้เป็นคนลบ......ผมเพียงแค่อยากได้คำชี้แจงว่าทำไมถึงลบในแต่ละครังก็เท่านั้น....และคุณ Phoenix ก็ให้คำตอบจุดนี้ไม่ได้เหมือนกัน......ถือซะว่าผมบ่นบ้าไปก็แล้วกัน...........

...........เรื่อง Collar นี่แปลกนะครับ......เป็นอุปกรณ์จำเป็นแทนที่จะหาไว้ให้มี.....ทำไมต้องให้ผมมา Report Case ที่มีคนไข้เดือดร้อนขึ้นมาก่อนให้น่าสนใจหละครับ......ผมต้องอาศัยความเดือดร้อนของคนไข้สักคนเพื่อมาจัดหาของที่"จำเป็น"และควร"จะมี"เพื่อผู้ป่วยคนต่อๆมาจะได้ไม่ซวยเหมือนคนแรกเหรอครับ......การป้องกันไว้ก่อนโดยสมควรตามที่เคยเรียนมานี่......ไม่ดีเหรอครับ????........



Posted by : Death , Date : 2003-08-16 , Time : 22:47:04 , From IP : 172.29.3.103

ความคิดเห็นที่ : 18


   ด้วยความเคารพครับ
-เรื่อง Rotation ที่บอกว่าต้องจัดล่วงหน้า 6 เดือนจะมีผลในปีหน้า ผมก็ได้ยินตั้งแต่ สามปีที่แล้วเช่นกัน สงสัยจะไม่ได้จัดล่วงหน้าหกเดือนมั้งครับ คงจัดกันสิบปีไม่แน่ใจว่าจะเสร็จมั๊ย ทราบว่าไม่เกี่ยวกับคุณ Phoenix แต่คุณเป็นคนที่ผมเคารพ จึงอยากเรียนให้ทราบว่ามีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น
-เรื่อง Collar ขอเรียนยืนยันว่าจริง ตามที่คุณ Death เขียน เบื่อเหลือเกินที่จะต้องมาตอบคำถามว่า "หมอจะเอาจริง ๆ หรือคะ ต้องไปยืมนะคะ" หรือ "ยืมแล้วคะ แต่หมด" คงต้องขอแก้ความเข้าใจผิดของคุณ Death นิดนึง ไม่ใช่ว่ามีสองอัน ความจริงแล้ว ไม่มีเลย ต้องยืมทุกครั้ง เคยคุยกับระดับหัวหน้า ER เขาชี้แจงว่าเคยทำเรื่องขอแล้วแต่ไม่อนุมัติ งงมั๊ยผู้บริหารที่ดูแล ER เป็น NeuroSx แท้ ๆ

เดี๋ยวจะหาว่าผมหลงกระทู้ เห็นด้วยครับว่าการเรียนรู้ต้องไปควบคู่กับการรักษาที่ได้มาตรฐาน แต่แนวทางที่ทำอยู่อาจไม่เหมาะสม ถ้าถามทางออกยังนึกไม่ออกแต่คิดว่าน่าจะมีทางที่ดีกว่านี้


Posted by : Dhan , Date : 2003-08-16 , Time : 23:20:56 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 19


   ผมคิดว่าในที่ประชุมครั้งสุดท้ายนั้นไม่มีกำหนดเวลาหรือสัญญาว่าสถานการณ์จะ improve ได้เมื่อไหร่ แค่อธิบายว่าสถานการณ์จะดีขึ้นได้อย่างไร และส่วนต่อมาคือการอธิบายว่าสถานการณ์ที่จะช่วยให้ดีขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับอะไร ส่วน time frame นั้นเป็นผมกะคร่าวๆโดยพิจารณาจากวาระการประชุมจัดคน ER ประจำปี ซึ่งแต่ละภาควิชาจะมีความคล่องตัวและความฝืดแตกต่างกัน อันนั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่วนกลางไม่สามารถควบคุมได้ จะมีส่วนแค่ไหนนั้น เหนือกว่าที่ผมจะคาดคะเนได้ ถ้าคุณ Death กำลังจะสรุปว่าผมได้สัญญาว่าปี 2547 จะดีขึ้นนั้น ผมเกรงว่าต้องขออภัยที่เขียนให้เข้าใจผิดอีกรั้ง ผมไม่ทราบว่ากำลังคนในขณะนี้เป็นอย่างไร และไม่ทราบว่า strategy ของห้องฉุกเฉินต้องการคนเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขที่มีแล้วสถานการณ์สวยงามแค่ไหน ที่ผมเขียนไปต้องการ address เรื่อง TIME FRAME อย่างเดียว ไม่ได้ทราบรายละเอียดที่สำคัญส่วนอื่น

ไม่เข้าใจที่คุณ Dhan ชี้แจงครับ ตาราง rotation จัดได้เป็นปีต่อปีเท่านั้น และจำนวนคนใน Pool ทีการเปลี่ยนแปลงทุกปี ขึ้นอยู่กับคนสมัครแพทย์ใช้ทุนแต่ละภาค คนลาออกแต่ละภาค สุดวิสัยที่ผมจะคิดว่าสามารถจัดกันได้เป็นสิบๆปีอย่างที่ว่า

เป็นเรื่องที่น่าเสียใจทีเดียวครับ ที่ผมได้ยินว่าแพทย์ "ไม่อยากทำงานที่ ER" สาเหตุที่ผมถามถึงว่ามาจากที่ไหนนั้น เพื่อการตั้งสมมติฐานต่อว่าอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ทราบว่างาน ER เปนอย่างไรที่นี่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเวลาปฐมนิเทศครั้งต่อไปอาจจะมีประโยชน์ที่จะรวมการชี้แจงข้อมูลนี้ไปด้วย คุณ Death มีความสามารถเฉพาะตัวในการสรุปและตั้งสมมติฐานในแง่ลบได้อยู่เนืองๆนะครับ ฟังดูน่าตื่นเต้นสะใจดี

เรื่องความ "ประหลาดใจ" ของคุณ Death นั้นประกอบจาก assumption หลายชั้นทีเดียว ผมยอมรับผิดว่าตามไม่ทันว่าคุณคิดอะไรอยู่จึงอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง สาเหตุที่ผมถามไปล่าสุดเพราะคุณเขียนว่า (quote) "เพราะไอ้การต้องทำตามป้ายประกาศน่าจะหมดไปตั้งแต่ HA เลิกมาตรวจโรงพยาบาลแล้ว" และผมเข้าใจว่าป้ายประกาศนั้นต้องการให้มีคนคุมนศพ.ในการเย็บแผล หวังว่าคุณ Death คงพอจะเห็นใจที่ผมจะเข้าใจผิดไปไกล ตกลงคุณ Death ที่แท้ก็ต้องการให้มีคนคุม นศพ.เย็บแผลอย่างป้ายที่ว่านั้นใช่ไหมครับ? ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าเราจะคุมกันเฉพาะตอนตรวจ QA

เรื่อง collar ที่ ER ไม่มีผมจะถามอาจารย์ผู้เกี่ยวข้องให้ก็แล้วกัน ว่าเรื่องนี้มีการยื่นเรื่องหรือล้มเหลวอย่างไรจึง "ไม่มี collar ที่ ER" ผมเห็นด้วย 100% ว่าเราควรจะมี และการนำเสนอให้ทราบในที่นี้เป็นสิ่งที่น่าชมเชยครับ เพราะผู้ป่วยจะมีประโยชน์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 00:55:55 , From IP : 172.29.3.218

ความคิดเห็นที่ : 20


   ผมคิดว่าในที่ประชุมครั้งสุดท้ายนั้นไม่มีกำหนดเวลาหรือสัญญาว่าสถานการณ์จะ improve ได้เมื่อไหร่ แค่อธิบายว่าสถานการณ์จะดีขึ้นได้อย่างไร และส่วนต่อมาคือการอธิบายว่าสถานการณ์ที่จะช่วยให้ดีขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับอะไร ส่วน time frame นั้นเป็นผมกะคร่าวๆโดยพิจารณาจากวาระการประชุมจัดคน ER ประจำปี ซึ่งแต่ละภาควิชาจะมีความคล่องตัวและความฝืดแตกต่างกัน อันนั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่วนกลางไม่สามารถควบคุมได้ จะมีส่วนแค่ไหนนั้น เหนือกว่าที่ผมจะคาดคะเนได้ ถ้าคุณ Death กำลังจะสรุปว่าผมได้สัญญาว่าปี 2547 จะดีขึ้นนั้น ผมเกรงว่าต้องขออภัยที่เขียนให้เข้าใจผิดอีกรั้ง ผมไม่ทราบว่ากำลังคนในขณะนี้เป็นอย่างไร และไม่ทราบว่า strategy ของห้องฉุกเฉินต้องการคนเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขที่มีแล้วสถานการณ์สวยงามแค่ไหน ที่ผมเขียนไปต้องการ address เรื่อง TIME FRAME อย่างเดียว ไม่ได้ทราบรายละเอียดที่สำคัญส่วนอื่น

ไม่เข้าใจที่คุณ Dhan ชี้แจงครับ ตาราง rotation จัดได้เป็นปีต่อปีเท่านั้น และจำนวนคนใน Pool ทีการเปลี่ยนแปลงทุกปี ขึ้นอยู่กับคนสมัครแพทย์ใช้ทุนแต่ละภาค คนลาออกแต่ละภาค สุดวิสัยที่ผมจะคิดว่าสามารถจัดกันได้เป็นสิบๆปีอย่างที่ว่า

เป็นเรื่องที่น่าเสียใจทีเดียวครับ ที่ผมได้ยินว่าแพทย์ "ไม่อยากทำงานที่ ER" สาเหตุที่ผมถามถึงว่ามาจากที่ไหนนั้น เพื่อการตั้งสมมติฐานต่อว่าอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ทราบว่างาน ER เปนอย่างไรที่นี่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเวลาปฐมนิเทศครั้งต่อไปอาจจะมีประโยชน์ที่จะรวมการชี้แจงข้อมูลนี้ไปด้วย คุณ Death มีความสามารถเฉพาะตัวในการสรุปและตั้งสมมติฐานในแง่ลบได้อยู่เนืองๆนะครับ ฟังดูน่าตื่นเต้นสะใจดี

เรื่องความ "ประหลาดใจ" ของคุณ Death นั้นประกอบจาก assumption หลายชั้นทีเดียว ผมยอมรับผิดว่าตามไม่ทันว่าคุณคิดอะไรอยู่จึงอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง สาเหตุที่ผมถามไปล่าสุดเพราะคุณเขียนว่า (quote) "เพราะไอ้การต้องทำตามป้ายประกาศน่าจะหมดไปตั้งแต่ HA เลิกมาตรวจโรงพยาบาลแล้ว" และผมเข้าใจว่าป้ายประกาศนั้นต้องการให้มีคนคุมนศพ.ในการเย็บแผล หวังว่าคุณ Death คงพอจะเห็นใจที่ผมจะเข้าใจผิดไปไกล ตกลงคุณ Death ที่แท้ก็ต้องการให้มีคนคุม นศพ.เย็บแผลอย่างป้ายที่ว่านั้นใช่ไหมครับ? ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าเราจะคุมกันเฉพาะตอนตรวจ QA

เรื่อง collar ที่ ER ไม่มีผมจะถามอาจารย์ผู้เกี่ยวข้องให้ก็แล้วกัน ว่าเรื่องนี้มีการยื่นเรื่องหรือล้มเหลวอย่างไรจึง "ไม่มี collar ที่ ER" ผมเห็นด้วย 100% ว่าเราควรจะมี และการนำเสนอให้ทราบในที่นี้เป็นสิ่งที่น่าชมเชยครับ เพราะผู้ป่วยจะมีประโยชน์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 00:55:56 , From IP : 172.29.3.218

ความคิดเห็นที่ : 21


   เมื่อเจ็ดปีที่แล้วขณะที่ฉันเคยหงุดหงิดกับเครื่องอีเคจี พยาบาลคนหนึ่งบนหอผู้ป่วยอายุรกรรมแนะนำให้ฉันเขียนข้อแนะนำให้โรงพยาบาลซื้อใหม่ ฉันเขียนมันไปวันนั้น สามเดือนต่อมา เรามีเครื่องใหม่ ฉันได้ผ้าขนหนูหนึ่งผืนเพื่อตอบแทนสำหรับคำแนะนำ
.
ฉันกำลังบอกว่า เมื่อรู้สึกว่าส่วนจำเพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของงานมีปัญหาและเห็นทางที่จะทำให้มันดีขึ้นได้ อย่าปล่อยให้มันผ่านไป อย่าเก็บสะสมมันไว้ใน"โอ่งเก็บปัญหา"แล้วควักมาสาดเบี่ยงประเด็นเวลาพูดถึงเรื่องอื่น
.
เมื่อกำลังวิจารณ์ปัญหาใด ให้ความเห็นด้วยความรู้ที่ดีที่สุดที่เรามีเกี่ยวกับปัญหานั้น ให้เหตุผลที่ตรงกับปัญหานั้น ทางออกที่ดีในทรรศนะของเราเกี่ยวกับปัญหานั้น มิใช่ตีขลุมไปก่อนว่า "ห้องฉุกเฉินที่นี่เลวเพราะขาด hard collar จะเอาต้องโวยวายขอ เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นที่เกิดขึ้นที่นี่ ต้องเลวหมด" มิใช่ใช้เหตุผลว่า "ถ้าโรงพยาบาลมีงบประมาณสำหรับทำบ่อปลาก็จะต้องมีงบประมาณสำหรับซื้อ collar ใหม่แน่" ข้อแนะนำเรื่องการเกาะกับประเด็นเดิมเมื่อวิพากษ์ปัญหาเกี่ยวกับบุคคลหรือสถาบัน มาจากสมมติฐานที่กล่าวว่า "ไม่มีใคร หรือที่ใดสมบูรณ์พร้อม แต่ละปัจเจก แต่ละที่ต่างมีปัญหาที่ต่างไป"
.
ถ้าฉันจะลองพากลับมาที่ประเด็นเดิมดู
"นักศึกษาแพทย์ของเรามีโอกาสฝึกทำหัตถการกับผู้ป่วยน้อยลงในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์"
คุณฟินิกส์ถามว่า "แล้วทางออกที่ดีคืออย่างไร" (ยังไม่มีคำตอบ)
ฉันเองให้ความเห็นว่า "เป็นเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันตลอดจนระบบควบคุมคุณภาพ ทำให้เราไม่สามารถละเลยได้อีกต่อไป เราอาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางแพทยศาสตร์ศึกษาเข้าทดแทนวัตถุประสงค์นี้ และฉันไม่ห่วงว่าเขาจะต้องรีบทำอะไรให้เป็นเร็วมากนัก เรามีแพทย์กระจายตามสถาบริการมากขึ้น"
มีนักศึกษาแพทย์ (ตามที่อ้าง) ให้ความเห็นว่าเขารู้สึกอยากทำหัตถการอย่างมีผู้ควบคุมในโรงพยาบาลนี้
.
ถ้าเราวิพากษ์กันอยู่ในกรอบนี้ เราจะสามารถนำไปสู่ข้อสรุปและทางออกที่ (อาจจะ) พาไปสู่การปฏิบัติ หรือกฏเกณฑ์ที่ดีขึ้น แต่หากเราตีขลุม ควักเรื่องอื่นมาพูด "เขามีเมียน้อย เขาเลว ทำอะไรก็เลวไปหมด" เราจะไม่มีโอกาสได้แตะต้องตัวปัญหาอย่างแท้จริง และทั้งหมดที่เขียนที่คิด มันก็จะเป็นแค่ขยะ


Posted by : Shonikeka , Date : 2003-08-17 , Time : 10:22:09 , From IP : 133.1.67.161

ความคิดเห็นที่ : 22


   ผมหมายความว่าเมื่อสามปีที่แล้วก็ได้ยินมาอย่างนี้ ไม่เห็นมีอะไร Improve แต่ผมต่างกับคุณ Death ที่ผมไม่นิยมเสียงดัง ผมไม่ได้เป็นห่วง หรือ(ทำเป็น)เห็นแก่ประโยชน์ของคนไข้ถึงขนาดนั้น ผมคิดว่าอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่เจ็บตัวดีกว่า เพราะอยู่ไม่นานก็ไปแล้ว จุดยืนเราต่างกันครับ คุณ Phoenix คุณ Shonikeka ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานและคาดว่าคงจะรักที่นี่ จึงอยากจะทำให้อะไรมัน Improve ขึ้นมา ผมคิดว่าการเขียนเป็นหนังสือ หรือเขียนที่นี่ก็ไม่ต่างกัน ผมไม่เชื่อว่าคนที่มีอำนาจตัดสินใจจะไม่อ่านกระดานนี้ อะไรทำให้คนในไม่เชื่อมั่นและศรัทธาในระบบ ประสบการณ์ที่ผ่านมาคงตอบได้ เราอาจมีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน คนที่แสดงความเห็นแล้วมีการ ตอบสนอง( ไม่ว่า Positive หรือ Negative ) ย่อมรู้สึกว่าเขารับฟัง แต่หลายคนที่ทำทุกวิถีทางก็ไม่เคยได้รับการสนใจ จนต้องทำให้มันเป็นข่าวขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความสนใจ(ไม่ใช่ผม) สำหรับผมมีข้อเสนอในทุกประเด็นที่เป็นข่าวที่ผ่านมาแล้ว และยินดีที่จะพูดกับคนที่ใจกว้างพอที่จะให้แสดงความคิดเห็นโดยอิสระ ผมยังไม่เหนื่อยครับที่จะคุย คุณ Phoenix ก็รู้อยู่แล้วว่าผมเป็นใคร

Posted by : Dhan , Date : 2003-08-17 , Time : 11:26:26 , From IP : 172.29.3.244

ความคิดเห็นที่ : 23


   เกี่ยวกับกระทู้นี้ ผมเห็นด้วยที่การทำหัตการของนักเรียนแพทย์ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้มีอาวุโสกว่า ผมยังสำนึกถึงบุญคุณของรุ่นพี่ที่อดทนรอดูและให้คำแนะนำเรา ถึงแม้ว่าเราจะทำช้าหรือเก้ ๆ กาง ๆ สิ่งที่ผมได้รับการสอนมาเสมอก็คือ ถ้าเห็นมีหัตถการที่อยู่ในข่ายที่เราน่าจะทำได้หรือได้ทำ ก็ให้รีบใส่ถุงมือไปช่วยพี่เขาเดี๋ยวเราก็ได้ทำเอง โดยเฉพาะเย็บแผลที่ ER นี่ ถ้าเป็น Laceration ของผู้ใหญ่ที่ไม่ได้อยู่บนใบหน้า ใส่ถุงมือกระโดเข้ามาเถอะครับได้เย็บอยู่แล้ว



Posted by : Dhan , Date : 2003-08-17 , Time : 11:33:46 , From IP : 172.29.3.244

ความคิดเห็นที่ : 24


   ...........ผมเริ่มเข้าใจแล้วหละที่รุ่นพี่เคยบอกไว้ว่า.....ให้อดทนเข้าไว้...เดี๋ยวก็จบจากที่นี่ไปแล้ว.......การเจ็บตัวเพื่อให้ได้อะไรเพื่อการพัฒนาขึ้นมาสักอย่างนี่เหนื่อยน่าดู.............ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดครับ....ไม่มีอะไรที่สำคัญที่ถูกสร้างขึ้นมาในวันเดียว.......และก็ไม่มีอะไรอีกเช่นกันที่จะถูกทำลายลงภายในวันเดียวได้เหมือนกัน.................เพื่อนผมคนนึงเตือนผมว่า....ไหนเคยเขียนว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของโรงพยาบาลอีกแล้วไงหละ......ผมว่าคงเป็นสันดานเสียๆของผมที่แก้ค่อนข้างยาก........ผมขอโทษนะครับคุณ Phoenix.....ที่สิ่งที่ผมเขียน...กลายเป็น Conspiracy Theory.......เฮ้อออออออออออ.......เอาไว้ผมหายเบื่อแล้วค่อยมาว่ากันต่อหละกันครับ.......:D...:D
..........เออคุณ Shonikeka ครับ.....ผมเสียใจที่จะต้องบอกนะครับว่าผมไม่มีความรู้สึกอยากจะแก้ปัญหาอะไรให้คนอื่นแล้วหละครับ.......ผมจะเก็บโอ่งเก็บปัญหาของผมไปสาดไกลหูไกลตาชาวบ้านแล้วครับ.........แล้วก็นอนลงพร้อมกับบอกคนอื่นๆว่า....."ผมจะนอน....ขออยู่เงียบๆ...แล้วไม่ต้องมายุ่งกับผมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับใครที่ไหนเมื่อไหร่ก็ตาม".......บางทียุ่งอยู่กับปัญหาของตัวเองนี่น่าจะพอแล้วครับ.................ขอบคุณครับ......:D....:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-17 , Time : 16:13:45 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 25


   ความจริงคุณ Death เป็นคนมี imagination น่ะดีอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้า focus ให้อยู่บนเรื่องที่กำลังทำเพิ่มอีกสักนิด บวกกับคิดว่าคนอื่นอาจจะเป็นคนดีและหวังว่าจะแก้ไขอะไรอย่างจริงใจด้วยก็เป็นไปอีกสักหน่อยนึง โลกอาจจะน่าอยู่เพิ่มขึ้นรึเปล่า? ไม่แน่ใจ

conspiracy ที่ว่านั้นเกิดจากอ่านๆไปผมแยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นการประชดประชัน ตรงไหนเป็น exaggeration ตรงไหนเป็นสิ่งที่คุณ Death กำลังคิดว่าเกิดขึ้นจริงๆ คำสร้อยของ content ของคุณ Death ไม่เป็น "ผมบ้าไปเอง เป็นสันดานเสียของผมเอง ไปนอนดีกว่า ฯลฯ และอื่นๆอีกมากมาย" นั้นทำให้เราอาจจะอฃดูเหมือนไม่ได้กำลังอภิปรายกันอย่างจริงจังเพราะปัญหามัน serious คุ้มกับเวลาที่เรากำลงใช้อยู่

เราเขียนเรื่องราวเจ็บช้ำน้ำใจบนนี้กนานพอสมควรแล้ว อาจจะนานมากกว่าการรายงานรพ.ว่า ER ขาด collar รึเปล่า ไม่แน่ใจ (ไม่นับการรายงานพยาบาลว่าของขาดนะครับ ผมหมายถึงรายงานคนที่รับผิดชอบสถานที่นั้นๆ) action สองอย่างที่เกิดจากการเป็นห่วงผู้ป่วยจริงๆจะทำให้เกิด reaction ที่แตกต่างกันหรือไม่? แล้วตกลงถ้าผู้ป่วยเดือดร้อนจริงๆ พยาบาลไม่ยอมทำอะไรให้มันมี นี่จะเป็น "ทุกอย่าง" ที่เราสามารถทำได้จริงๆหรือ? ถ้าหากผู้บริหารระดับล่างยังไม่เห็นควมสำคัญของปัญหาที่ผู้ป่วยจะเปนคน suffer เราหมดหนทาง และขั้นตอนที่จะแก้ไขแค่นั้นจริงๆหรือ?

การยินดีที่จะชิงด่าว่าตนเองว่าไร้ความสามารถ บ้า หรือสันดานเสียนั้นไม่อาจจะเป็นโล่ห์กำบังความรับผิดชอบไปได้นานหรอกครับ บางท่านอาจจะคิดว่าถ้าฉันชิง degrade หน้าที่ความรับผิดชอบฉันไปเรื่อยๆ ที่สุดแล้วฉันจะไม่ต้องทำอะไรต่อไป นั่นก็ไม่จริงอีกเหมือนกัน การที่คุณ Death สามารถ identify ปัญหา สามารถคิดว่าสมควรนำปัญหานี่ put forward เป็นก้าวๆใหญ่ที่คนหลายๆคน ignore ไป เหลือแต่เพียงนำเรื่องไปที่ที่ถูกช่อง ก้จะได้สิ่งที่ต้องการ เหมือนที่ผมเคยพูดไว้ ก่อนที่เราจะสรุปว่า "เป็นไปไม่ได้ เราทำได้แค่นี้ หรือเรามีความสามารถแค่นี้" นั้น จริงๆเป็นเพียงข้ออ้างหรือ barrier ทางจิตใจที่เราสร้างขังศักยภาพที่แท้จริงของเรา และที่สำคัญคือ เราเองเท่านั้นที่จะป็นคนปลดปล่อยศักยภาพออกจากกรงขังใจอันนี้ มิใช่คนอื่น เราเองที่เป็นคนกำหนดว่า "ฉันไปนอนดีกว่า ฉันไม่ทำต่อดีกว่า ฯลฯ" เพื่อนคุณ Death เองไม่สามารถจะควบคุมการจะทำหรือไม่ทำของคุณทั้งสิ้น

ลักษณะงานของเราในห้องผ่าตัดนั้น ก่อนจะเริ่มลงมือ step ปิดท้อง ปิด skin ผมคิดว่าเรามี mindset คล้ายๆกันคือ "เราน่าจะทำอะไรได้บ้างน่ะ" และรักษา mindset อันนี้ไว้ตลอดการผ่าตัด เพราเมื่อไหร่ก้ตามหัวหน้าทีมบอกว่า "โฮ้ย หมดหวัง" case ก็ปิด ใช่ไหมครับ โอกาสที่ assitant จะสะกิดบอกลูกพี่ว่า "พี่ๆ ลุยต่ออีกหน่อยเถอะ" คงมีน้อย โดยส่วนตัวผมคิดว่า mindset ที่สู้ไปเรื่อยๆ เพราะหลังจากเราถอยแล้วอาจจะไม่เหลือใครสู้เลย" นี่แหละ เหมาะกับบรรยากาศพัฒนาบ้านเราอย่างยิ่ง เพราะของเราอย่าว่าแต่คนถอยเลยครับ คนจะเริ่มสู้ก็น้อยเต็มทน บวกกับสู้บ้างถอยบ้าง เราเลย "กำลังพัฒนา" อยู่ในขณะนี้




Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 18:07:01 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 26


   ...........ผมหมดแรงจริงๆนะครับ.....นอนลืมตาโพลงมาตั้งแต่เช้า.....ข้าวยังไม่ได้กินเลย......วันนี้ผมเจอเรื่องแย่ๆมาหลายเรื่องแล้วครับ.....ผมเครียดเรื่องอื่นๆมากกว่าครับ.....ตอนนี้ผมรอดู Taken Episode 7 อยู่ครับ...กะว่าดูเสร็จแล้วจะไปหาข้าวกินแล้วก็นอนครับ.......ผมเข้าใจที่คุณเขียนนะครับ.....แต่วันนี้ผมไม่ไหวจริงๆครับ.....บางวันที่ชีวิตมันแย่นี่.....ก็แย่มากเลยครับ............เฮ้อออออออออออออ............:D...:D




Posted by : Death , Date : 2003-08-17 , Time : 19:55:38 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 27


   เคยมีแพทย์ใช้ทุนที่จบจากที่อื่นบอกผมสมัยเมื่อผมเป็น Ext. ว่า Ext. ที่นี่เก่งได้ภายใน 6 เดือน
ตอนแรก ๆ ฟังแล้วก็เห็นด้วยทันทีครับ เพราะว่าอะไร หัตถการที่ทำตอนเป็น Ext. ทำที่ รพ.ศูนย์ที่เราออกไปข้างนอก 6 เดือนที่ เป็น Ext. รพ.ข้างนอกครับ
เพราะว่าอยู่ข้างนอก ทำภายใต้ความรับผิดชอบของ staff ที่อยู่ข้างนอกครับ
แต่พออยู่ข้างในนี้จะทำอะไรแต่ละครั้งดูเหมือนจะวุ่นวายมากครับ เพราะขนาดว่าแพทย์ใช้ทุนรุ่นพี่ บางอย่างก็ไม่กล้าทำเหมือนกันครับ เพราะว่ากลัวครับกลัวว่าทำงานที่ ER แล้วจะ มีปัญหา ซึ่งเวลามีปัญหาแต่ละครั้งแล้ว ผู้บริหารหรือว่าผู้รับผิดชอบที่ ER เรียกไปต่อว่า ไม่เคยได้คิดว่างานที่ ER ขยะทั้งนั้น พลาดไม่ได้ ตัวอย่างที่ คุณ Dhan กล่าวมาผมเห็นด้วยครับ collar ที่ ER จำเป็นมากครับ ไม่อย่างนั้นจะเรียนมาทำไม ต้องเป็นของที่หยิบได้ใกล้ตัว
เหมือน ๆที่อาจารย์สอนผมสมัยเป็น นศฑ.ครับ ว่า airway support ก่อนแต่ว่าถ้าไม่รู้สึกตัวต้องระวังด้วย c-spine ไม่รู้เป็นไง ดังนั้นผมเห็นด้วยครับ ว่า ER ที่นี่ห่วยจริง ๆ มีปัญหาที่หมักแล้วหมักอีก หมักจนเป็นเหล้าก็เน่าแล้วเน่าอีกครับ
ผมเห็นด้วยกับหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ เราทำอยู่ตอนนี้ในฐานะที่เป็น รร.แพทย์ ต้องเป็นผู้นำ ต้องเป็นที่พึ่งของ รพ.ศนย ์หรือ รพ.ทั่วไปได้ครับไม่ใช่ว่าจะทำอะไรเพื่อรักษาชื่อเสียงหรือปกป้องตัวเองไม่ให้เจ็บตัวต้องไปลงข่าวหนังสือพิมพ์อย่างที่ทำ ๆ กันอยู่ในปัจจุบัน ผมทราบว่าการที่มาเขียนกันในกระดานข่าวอย่างนี้ไม่ได้ทำให้ผู้บริหาร รพ.รู้สึกได้หรอกครับ เพราะว่าไม่เคยจะอ่าน ส่วนคนที่อ่าน ๆ กันก็ลูกเด็กทั้งนั้นทะเลาะกันไป ๆ มา ๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ว่าก็ขอเขียนหน่อยเหอะ เผือนว่าจะมีคนนำไปให้ผู้บริหารหรือคณะบดีได้อ่านบ้าง ที่จริง czse หลาย ๆ czse ที่ นศพ.น่าจะต้องได้เรียนหรือว่าได้ศึกษา ให้เหมาะสมกับการที่จะจบไปเป็น GP นั้นผมบอกได้เลยครับอยู่ที่ รพ.ศูนย์หรือ รพ.ทั่วไปทั้งนั้นครับ ที่มา รร.แพทย์ก็มีบ้าง แต่ก็คงไม่พ้นถูกส่งไปรักษา รพ.ใกล้ ๆ นี้ เพราะว่ามีปัญหาเรื่องเตียงไม่พอ (รึเปล่า) หรือว่าหมอไม่พอ ???
เห็นได้ว่ารพ.มอ.เตียงคนไข้เพิ่มขึ้นครับแต่ที่เพิ่มขึ้นนั้นก็เป็นห้องพิเศษ เพื่อรักษาคนพิเศษ (มีตังค์)
ถ้าเทียบกันครับระหว่างจำนวนเตียงสมัยก่อนต่อจำนวนแพทย์ปัจจุบันนี้ครับบอกได้เลยว่าปัจจุบันทั้งอาจารย์แพทย์แล้วแพทย์ใช้ทุนเพิ่มมากขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณเตียง อัตราส่วนน่าจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าย้อนกลับไปดู mission ของ รพ. ก็น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ นศพ. ได้ทำหัตถการภายใต้ พชท หรืออาจารย์แพทย์คุมมากกว่า ที่เราจะ support ญาติครับน่าจะต้องมีป้ายหรืออะไรที่บอกไว้ครับว่าเราเป็น รร.แพทย์ครับ หน้าที่อันนึงก็คือสอน นศพ. ไม่อย่างนั้นรพ.ข้างนอกๆแถว ๆ นี้เขาจะว่าเอาได้ครับ เพราะว่า mission ของเราคือการเป็น รร.แพทย์ไม่ใช่ ทำหัตถการภายใต้ staff หรือ intern หรือ พยาบาล รพ.ศูนย์ข้างนอก


Posted by : รัก มอ. ห่วงใย มอ. ขอบ่นหน่อย , E-mail : (/??) ,
Date : 2003-08-17 , Time : 20:36:04 , From IP : 172.29.3.137


ความคิดเห็นที่ : 28


   สรุป รพ.นี้ไม่มี collar ฟรีครับ
มีสำหรับที่มีจะมีเงินจ่ายในภายหลัง เพราะว่าที่ ER ยังไม่มีเลยครับต้องยืม ward
ผมเห็น ตาม รพ.บ้านนอกหรือว่ากู้ภัย มูลนิธิท่งเซียงเซี่ยงตึ้งมีบน รถ ครับ
ของมอ.ต้องรอในเวลาราชการครับ ( รอเงินมาซื้อ ) 555
เรื่องจริงไม่ได้ล้อเล่น


Posted by : ????? , E-mail : (ใฝใฝใฝ) ,
Date : 2003-08-17 , Time : 20:40:33 , From IP : 172.29.3.137


ความคิดเห็นที่ : 29


   สรุปอีกที กลัวเจ๊งครับ รพ.กลัวเจ๊ง
กลัวว่าจะต้องจ่ายเงินฟรีครับ เหอ เหอ เหอ
แต่ว่า รพ.ข้างนอกเจ๊งไม่เป็นไร
ที่จริง ๆ เราเป็น รร.แพทย์ครับ รพ.ข้างนอกที่เราส่ง นศฑ.หรือว่า Ext. ไปทำหัตถการนั้นเป็น รพ. ที่เราควรจะต้องช่วยครับ เพราะอะไร เพราะว่าแพทย์ที่จบไปแถว ๆ นั้นก็จบที่เราทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะจบเฉพาะทางหรือว่า GP ก็เหอะ เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์จบ มอ.ครับ
ดูแล้วก็น่าจะคล้าย ๆ แม่กับลูกครับ ช่วยกันไปช่วยกันมาอย่าไปผลักภาระให้เขาเลยครับ


Posted by : HARDYAI , E-mail : (xss) ,
Date : 2003-08-17 , Time : 20:47:34 , From IP : 172.29.3.137


ความคิดเห็นที่ : 30


   ผมมีความเห็นว่า "นศพ.ควรจะทำหัตถการใดๆก็ตามกับผู้ป่วยโดยมีอาจารย์หรือพชท.ควบคุมอยู่" แต่ไม่ได้หมายความว่าหัวเด็ดตีนขาดต้องเป็นเช่นนั้นครับ เราสามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปได้ตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี (ไม่อาจกล่าวได้ครบถ้วนในที่นี้)
ส่วนประโยคต่อไปนี้เป็น"ความจริง"ที่ผมมีความเห็นเช่นเดียวกับคุณ Dhan ครับ ขอโทษหากต้องอ่านซ้ำ
-เรื่อง Rotation ที่บอกว่าต้องจัดล่วงหน้า 6 เดือนจะมีผลในปีหน้า ผมก็ได้ยินตั้งแต่ สามปีที่แล้วเช่นกัน
-เรื่อง Collar ขอเรียนยืนยันว่าจริง ตามที่คุณ Death เขียน เบื่อเหลือเกินที่จะต้องมาตอบคำถามว่า "หมอจะเอาจริง ๆ หรือคะ ต้องไปยืมนะคะ" หรือ "ยืมแล้วคะ แต่หมด" คงต้องขอแก้ความเข้าใจผิดของคุณ Death นิดนึง ไม่ใช่ว่ามีสองอัน ความจริงแล้ว ไม่มีเลย ต้องยืมทุกครั้ง เคยคุยกับระดับหัวหน้า ER เขาชี้แจงว่าเคยทำเรื่องขอแล้วแต่ไม่อนุมัติ
-ผมคิดว่าอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่เจ็บตัวดีกว่า เพราะอยู่ไม่นานก็ไปแล้ว จุดยืนเราต่างกันครับ
-ผมไม่เชื่อว่าคนที่มีอำนาจตัดสินใจจะไม่อ่านกระดานนี้ อะไรทำให้คนในไม่เชื่อมั่นและศรัทธาในระบบ ประสบการณ์ที่ผ่านมาคงตอบได้ เราอาจมีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน คนที่แสดงความเห็นแล้วมีการ ตอบสนอง( ไม่ว่า Positive หรือ Negative ) ย่อมรู้สึกว่าเขารับฟัง แต่หลายคนที่ทำทุกวิถีทางก็ไม่เคยได้รับการสนใจ จนต้องทำให้มันเป็นข่าวขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความสนใจ


Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-08-17 , Time : 21:16:48 , From IP : 172.29.3.137

ความคิดเห็นที่ : 31


   เมื่อวันศุกร์ที่แล้วอาจารย์นิติเวชจากศิริราชมาบรรยายเรื่องการฟ้องร้องร้องเรียนที่เกี่ยวกับอาชีพเรา ผมว่าจะเรียกว่าเป็น highlight ของงานก็คงไม่ผิด ทั้งความสนุกสนาน และเนื้อหา และบทความเป็นนัยสำคัญเบื้องหลัง

ประเด็นฟ้องร้องนั้น เราอาจจะสามารถมองลึกลงไปกว่าผิวนอกเรื่องชื่อเสียงของโรงพยาบาลอะไรทำนองนั้น และผมคิดว่าการที่เราพูดอยู่แต่ว่าเรื่องฟ้องร้องคือเรื่องชื่อเสียงของโรงพยาบาลนี่แหละที่ misslead ความสำคัญของเรื่องนี้มากที่สุด

โรงพยาบาลถูกฟ้องร้องเพราะผู้ป่วยไม่พอใจกับการรักษาครับ ผู้ป่วยไม่ได้ฟ้องร้องเพราะเรื่องชื่อเสียงของโรงพยาบาล นั่นไม่ได้มีอะไรกับผู้ป่วยหรือญาติ แต่ "ผลการรักษา หรือ การรักษา" นั้นไม่เป็นที่พอใจ เรื่องนี้แหละที่ทุกโรงพยาบาล "สมควร" จะต้องพิจารณา เห็นด้วยไหมครับ? ตามหลักปรัชญาแพทย์ที่สมเด็จพระราชบิดาท่านปูไว้ อันดับหนึ่งที่แพทย์ต้องยึดคือประโยชนของผู้ป่วย ถ้าโรงพยาบาลไหนทำแค่นั้น ก็จะได้ประโยชน์ส่วนที่สองตามมาคือลาภยศสรรเสริญ อาจารยที่มาบรรยายกล่าวไว้ชัดเจนว่าเกราะเพชรที่จะป้องกันเรื่องฟ้องร้องหรือความไม่พอใจของผู้ป่วยนั้นจริงๆแล้วลดลงเรื่องสองประการเด็ดๆ คือ ๑) doctor-patient relationship และ ๒) clinical-practice-guideline ถ้าสองอย่างนี้ perfect ผู้ป่วย จะพอใจกับที่เขาได้รับ หรือถ้าไม่ถึงกับพอใจ (เช่นมี morbidity หรือ mortality) ก็จะ "เข้าใจ" ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นแล้วคงไม่เฉพาะโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ที่จะกลัวถูกฟ้อง หมอทุกคนควรจะกลัวถูกฟ้อง ที่กลัวถูกฟ้องนั้นควรจะเป็นเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ทำตาม clinical practice guideline แล้วผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ไม่ใช่เพราะการกลัว HA ไม่ผ่าน หรือกลัวถูกคนจับได้

ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนในประเทศไทยหรือในโลกนี้ก็ตามยังคงต้องปรับปรุงทั้งนั้น และเป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้อง concern เรื่องนี้ ผมทราบว่าเราทุกคน หรือหลายๆคนต่างก็เคยหรือคิดว่าถ้าเราเป็นผู้บริหารเราจะสามารถทำได้ดีกว่านี้หลายสิบเท่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แสดงว่าเรามี vision และความสนใจในการพัฒนา และข้อสำคัญคือบางคนกจะ persue ไปจนถึงตำแหน่งนั้น หรือที่สุดก็ได้ไปบริหาร ณ โรงพยาบาลอำเภอ จังหวัด หรือ เอกชนฯลฯ ผมเข้าใจว่าที่เราต้องการนั้นคือ "หลักการ" ครับ principle ที่เราจะนำมาใช้ ER เป็น station สำคัญที่ถ้าไม่สมบูรณ์ผู้ที่ใช้ facilities อยู่สามารถ feedback อย่างเป็นทางการได้ (ผมคิดว่านะ) แต่คงไม่ใช่กระดานข่าวที่ topic เกี่ยวกับแพทยศาสตรศึกษา นี่ก็เป็นปัญหาการอภิปรายไม่อยู่ในชื่อของ Topic ผมทราบว่าตัวผมเองก็มีส่วนปลิ้นทะลัก respond ส่วนที่ไม่เกี่ยวจนลามไป แต่ถ้าเราอยากจะอภิปรายให้มีประโยชน์ ผ่านทางที่ประชุมภาควิชาฯ เพื่อที่ไปสู่กรรมการคณะฯหรือโรงพยาบาลน่าจะเป็น formal channel ที่มีประยชน์กว่าการไขว้นิ้วภาวนาให้มีคนลุยอ่านการทู้แพทยศาสตรศึกษาแล้วเจอเรื่อง ER หรือเปล่าครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 21:41:04 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 32


   ให้น.ศ.พ.ทำหัตถการทั้งหมดเลยดีไหม แต่ถ้าไม่เคยเห็นก็ให้ดูก่อน ถ้ายังไม่แน่ใจก็ให้พี่คุม ครั้งที่ 3 ค่อยทำเอง
อย่าให้ไปทำครั้งแรกที่ร.พ.ข้างนอกม.อ.เลยครับ สงสารคนไข้
หัตถการผู้ป่วยเอดส์ ก็ให้ทำเลยครับ ออกไปข้างนอกก็ต้องทำอยู่ดี


Posted by : คนมาใหม่ , Date : 2003-08-17 , Time : 22:43:47 , From IP : 172.29.1.160

ความคิดเห็นที่ : 33


   เนื่องจากเป็นนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งที่ยังไม่ได้มีโอกาสได้ขึ้นไปทำงานบนหวอด แต่โดยส่วนตัวแล้วก็อยากจะมีประสบการณ์ในการทำหัตถการให้มากๆ แต่ก็ไม่อยากจะระเมืดสิทธิผู้ป่วย จากการที่ได้มีโอกาสไปฝึกงานในรพช. พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่จะมีความคาดหวังในตัวนศพ.มาก รวมไปถึงตัวแพทย์ก็ดี การทำหัตถการบางอย่างพยาบาลมีความชำนาญมากกว่าแพทย์ซะอีก แต่ถ้าเกินขอบเขตความสามารถของเขาก็ต้องตามแพทย์ ถ้าแพทย์ไม่มีความชำนาญแล้วจะทำอย่างไร หากเราไม่ค่อยมีโอกาสได้ฝึกฝนหัตถการอย่างที่ควรจะเป็นแล้วต้องออกไปฝึกฝนตอนออกไปอยู่รพช. แล้วผู้ป่วยที่รับการรักษาที่มอ.กับรพช.ไม่เท่ากันหรอกเหรอ จะเป็นไปได้ไหมที่จะทำให้นศพ.ได้ฝึกหัตถการอย่างเพียงพอตั้งแต่ตอนที่อยู่ในมอ.

Posted by : นักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง , Date : 2003-08-17 , Time : 23:27:11 , From IP : 203.113.51.68

ความคิดเห็นที่ : 34


   ตอนยังไม่เกิดเรื่องทำอะไรก็ดูจะดีทั้งนั้นนะครับ ถ้ามีนศพ.ที่พึ่งหัดทำหัตถการแล้วเกิดพลาดแล้วเป็น AIDs ไม่แน่ใจว่าบรรยากาศการอภิปรายจะเปลี่ยนไปรึเปล่า?

โรคพวกนี้ น่าจะเป็นบุคลกรที่ trained ดีที่สุดในการ handle case นั้นๆเพื่อที่จะมีโอกาสพลาดน้อยที่สุด เผอิญตอนนี้ aids ติดแล้วไม่ตายทันที (แต่ยังสรุปว่าตาย 100% อยู่ดีอย่างช้าๆ) เลยรู้สึกไม่เป็นไรน่ะ แต่ถ้าโรงพยาบาลเวียนนศพ.ไปทำหัตถการผู้ป่วยโรค SARS ล่ะ จะเห็นด้วยกันหรือไม่? สถานการณ์เหมือนกันแต่ dramatic กว่าเท่านั้นเอง พวกเราบางคนบอกว่าไม่เป็นไร ลองถามพ่อแม่นศพ.เขาแล้วหรือยังว่านี่คือความเสี่ยงที่เขา "ต้อง" ยอมรับ? แม้แต่นศพ.เองจะมีความกล้าทำก็เถอะ ผมสงสัยว่าผู้บริหารโรงเรียนแพทย์หรือโรงพยาบาลที่ไหนจะอนุญาตให้ทำ แล้วถ้าเขากล้าจะมีเหตุผลที่เป็นที่ยอมรับหรือไม่ อัตราการตายในไต้หวันส่วนใหญ่เป็นบุคบกรทางการแพทย์คือหมอพยาบาล และพวกนี้จบแล้ว มีประสบการณ์แล้ว ยังล้มตายกัน สมควรที่เราจะให้ นศพ. ซึ่งยังไม่จบเป้นด่านหน้าหรือเปล่า?

ปัญหาคือโรงพยาบาลที่ นศพ.ออกไปปฏิบัติงานนั้น ไม่มี certified doctor หรือ nurse แล้วหรือจึงมอบ case AIDS ให้ นศพ.ทำ หรือเราควรจะเห็นด้วยในหลักการและอนุญาตให้โรงพยาบาลข้างนอกตั้งเป็นนโยบายว่าไหนๆมีนศพ.มาฝึกงานก็เอาเป็นด่านหน้าโดยรับทำหัตถการใน case ที่เสี่ยงที่สุดซะเลย? ที่น่าแปลกใจมากกว่าคือกลายเป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีนโยบายไม่ให้นศพ.ทำ case AIDS SARS เป็นผู้ผิดฐานะหา case ให้ไม่พอ แต่โรงพยาบาลทข้างนอกที่ส่ง นศพ.ไปทำ case พวกนี้มีน้ำใจส่งเสริมการเรียนการสอน เรื่องแต่ละเรื่องมีหลายด้านหลายมุมในการมองนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-17 , Time : 23:31:19 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 35


   ฉันสนใจประเด็นของคุณ Death และ กระหลั่วเป็ด เรื่องที่"อยู่ไม่นานเดี๋ยวก็จบไปแล้ว" ประโยคนี้ถูกและเคยอยู่ในกรอบวิถีที่ฉันคิดเมื่อฉันเป็นเช่นคุณ ฉันเคยอยู่ในโรงเรียนในเมืองหลวงที่ไม่มีบริการอัลตร้าซาวด์นอกเวลาและนึกหัวเสียว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ฉันอาจนึกไปได้ร้อยแปดว่าเขาขี้เกียจหรือระบบมันเลวไปจนกระทั่งผู้บริหารกลัวขาดทุน แต่ความจริงที่วางอยู่ตรงนั้นไม่ได้จากการคิดไปนึกไป วันหนึ่งฉันได้เอ่ยถามความจริงจากอาจารย์รังสีแพทย์ที่นั่น ท่านสาธยายเหตุจำเป็นจนฉันเริ่มเข้าใจ ท่านยังอธิบายให้ฉันเห็นแนวทางจัดการปัญหาและความพยายามที่กำลังกระทำ รวมทั้งปัญหามากมายที่มันขวางอยู่
.
หลายครั้งที่สถาบันมีปัญหา เรามักคิดไปว่า
- ผู้บริหารไม่รู้ไม่รับฟังปัญหา
- ผู้บริหารเห็นแก่เฉพาะผลประโยชน์เฉพาะตนหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสถาบัน
- ผู้บริหารเลวเพราะเขามีเมียน้อย เขาทำอะไรมันก็เลวไปหมด
.
บางครั้งที่เราคิดมันถูกครับ แต่ไม่ทั้งหมด
.
คุณ Death จบจากที่นี่ไปได้แน่ ในเวลาไม่นาน แต่ใครล่ะจะจบจาก "ปัญหาในการทำงาน" ไปได้ ตราบเท่าที่เขายังทำงานอยู่ ใครล่ะจะจบจาก "ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน" ไปได้ ตราบเท่าที่เขามิได้อยู่ตัวคนเดียว สภาพไตรลักษณ์เกิดกับทุกเรื่องทุกอย่าง ใครหาญที่จะหนีพ้นมันได้เล่า
.
ฉะนั้น เรียนที่จะแก้ปัญหาด้วยวิธีการ identify มันให้ชัด วิเคราะห์หาเหตุที่แท้จริง มองทางออกหรือสภาพที่ปรารถนา และทางที่จะไปถึงสภาพนั้นทั้งหมดนี้ใช้ปัญญาครับ อย่าใช้อารมฌ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมฌ์บวกคือความก้าวร้าวรุนแรง หรืออารมฌ์ลบคือการหนีไปเสียอย่างที่คุณว่า ฝึกเสียแต่ตอนนี้ครับ มาเรียนเป็นศัลยแพทย์ เท่ากับมาเรียนเรื่องนี้ด้วย ไม่ต้องรอให้จบก่อน ไม่ต้องรอให้ได้ไปอยู่โรงพยาบาลในฝันเสียก่อน
.
เพราะมันไม่มีครับ


Posted by : Shonikeka , Date : 2003-08-18 , Time : 08:17:55 , From IP : 133.1.67.161

ความคิดเห็นที่ : 36


   สิ่งที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน นั่นคือวิวัฒนาการของโรงเรียนแพทย์ และสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน หากมองใจอย่างเป็นกลางก็จะมองเห็นว่าแต่ละมุมมองมีส่วนที่ทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง ขึ้นกับว่าจะเอาไปตัวเปรียบเทียบ ผมคิดว่านี่คือความเป็นจริงของสังคม ในแต่ละยุคสมัย ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไป เรามีหน้าที่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด การแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งดี ช่วยให้เรามีมุมมองหลายๆด้าน การที่ผู้บริหารไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้หมายความว่าไม่มีการรับฟัง แต่อาจจะเป็นเพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นเช่นไร การที่ไม่ได้ทำตามข้อเสนอแนะไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วย แต่การตัดสินใจอะไรบางอย่างต่างก็มีข้อคำนึงถึงและมีเหตุผลในการทำเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะดีหรือไม่ แล้วแต่ยุคสมัย และผลลัพธ์อาจจะไม่แสดงให้เห็นในระยะสั้นๆ เท่านั้น ความคิดก็เช่นกัน ถูกในวันนี้อาจจะผิดในวันหน้า ผิดในสายตาของบางคนในวันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกในอนาคต(ในสายตาของบางคนอีกนั่นแหละ)
วางใจให้เป็นกลาง คิดเสียเถอะว่าพวกเราทำอะไรมีการกลั่นกรองเสมอ และเฝ้าระวังดูว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน หรือมีข้อควรระวังที่จะให้ข้อเสนอแนะ อย่างสม่ำเสมอแบบที่เป็นก็ดีแล้วครับ


Posted by : ระวังภัย , Date : 2003-08-18 , Time : 09:37:42 , From IP : 172.29.3.184

ความคิดเห็นที่ : 37


   เรียนคุณนกฟินิกส์
แล้วแพทย์ กับ พยาบาลที่ติดเชื้อเอดส์จากการทำหัตถการ มันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้มากกว่าที่นักศึกษาแพทย์ติดเชื้อหรืออย่างไร
ถ้าไม่อยากให้มีบรรยากาศที่ไม่ดี ก็ต้องประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่สามารถทำหัตถการได้
แล้วเอามาใช้
นักศึกษาแพทย์วันนี้ พรุ่งนี้เขาก็เป็นแพทย์อยู่ดี วันนี้เราห้ามเขาทำหัตถการ เขาก็ไม่มีประสบการณ์ พรุ่งนี้เขาเป็นแพทย์จบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ เราก็ห้ามเขาทำหัตถการ เพราะว่าไม่มีประสบการณ์เหมือนเดิม เขาสมัครเป็นแพทย์ใช้ทุน หรือ แพทย์ประจำบ้าน เขาก็ยังไม่เคยทำอยู่ดี เราจะห้ามเขาทำไหม ถ้าห้ามก็ต้องเอาอาจารย์มาเจาะเลือดคนไข้ที่เป็นเอดส์ เอามาเจาะหลัง เพราะถือว่ามีประสบการณ์สูง ถูกต้องไหมครับ
พอหมดอาจารย์ หรือแพทย์ที่เคยทำหัตถการผู้ป่วยที่เป็นเอดส์แล้ว ต่อไปใครจะทำ
นักศึกษาแพทย์วันนี้ พอผ่านไป 1 - 3 ปี เป็นแพทย์แล้ว ความสามารถเขาจะเพิ่มพูนตามคำนำหน้าเขาไหม จากการเป็นน.ศ.พ.เป็นคำว่า น.พ.หรือ พ.ญ.เขาจะเก่งขึ้นทันทีเลยไหม
มุมมองของผมเป็นอย่างนี้ครับ
(


Posted by : คนที่เพิ่งมาใหม่ , Date : 2003-08-18 , Time : 12:15:15 , From IP : 172.29.3.222

ความคิดเห็นที่ : 38


   ถึงคุณนกฟินิกส์อีกครั้ง
ผมอาจจะไม่ได้อ่านความคิดเห็นของคุณบางอัน เพราะว่า คุณเขียนภาษาไทย ปนอังกฤษ ซึ่งผมอ่านไม่รู้เรื่อง และ ผมถือว่าถ้าผมอ่านไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่ชอบ ก็จะไม่อ่านครับ
ขอบคุณครับ


Posted by : คนที่เพิ่งมาใหม่ , Date : 2003-08-18 , Time : 12:19:28 , From IP : 172.29.3.222

ความคิดเห็นที่ : 39


   หทารนั้นเป็น acceptable casualties ในสงครามเพราะอะไรล่ะครับ? แล้วทำไม civilians จึงเป็นที่รู้กันว่าเป็น crimes ถ้าถูกทหารฆ่าในสงคราม

นศพ.นั้นยังไม่ได้ถือว่าเป็นแพทย์ที่ fully trained ส่งเขาไปทำงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญพิเศษนั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือไม่? ถูกแล้วครับแพทย์พยาบาลที่สูญเสียชีวิตจากโรค SARS นั้นเป็นเรื่องน่าเศร้า และเป็นสูญเสียที่ยิ่งใหญ่โดยแท้ แต่ผมไม่สามารถมองเห็นว่าคุณจะให้เหตุผลอันนี้มาบอกว่างั้นส่งนศพ.ไปทำก็ได้

ถ้าเรากำลังพูดถึง case AIDS อยู่ล่ะก็ เราคงต้องการเหตุผลมากกว่านี้ที่จะให้แพทยสภาหรือศาลรัฐธรรมนูญยินยอมให้ unqualified medical student ไปทำ แต่ถ้าพูดถึง case ทั่วๆไป คุณคิดว่าระบบที่ นศพ.ควรจะมีคนคุมทำหัตถการนั้นเป็นอย่างไรครับ? เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ผมเรียนถามไปแล้วครั้งหนึ่งในคำถามแรกว่าอะไรคือข้อแนะนำแต่ยังไม่ได้คำตอบ ยกเว้นการยืนยันว่านศพ.ควรจะได้ทำหัตถการใน case AIDS ว่าแต่ว่าการเพิ่ม case AIDS ให้นศพ.ทำนั้นคิดว่าจะเพิ่มหัตถการได้สักเท่าไหร่ครับ?เมื่อเปรียบเทียบกับนักเรียนแพทย์ทั้งหมด หรือปริมาณ case ทั่วๆไปที่ นศพ.สามารถทำได้ในขณะนี้?

ผมคิดว่าภาษาอังกฤษที่ใช้ในบทความนี้แพทย์ทุกคนสามารถค้นหาความหมายหรือทราบความหมายอยู่แล้วนะครับ ส่วนคุณจะไม่อ่านเรื่องที่ไม่ชอบแล้วล่ะก็ อาจจะไม่ค่อยดีนักในการอถฃภิปรายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เพราะแปลว่าถ้าใครไม่เห็นด้วย คุณไม่ชอบ ก็จะไม่รับฟัง มันดูยังไงๆอยู่นะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-18 , Time : 13:20:32 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 40


   R = PE

เมื่อ R คือความเสี่ยง
P คือโอกาสในการเกิดความผิดพลาด
และ E หมายถึงผลกระทบที่เกิดเมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้น

สมการนี้ฉันมิได้ยกเมฆขึ้นมาเอง แต่หาอ่านได้ตามตำราการจัดการสมัยใหม่ทั่วไป
.
ในเรื่องความเสี่ยงในการทำหัตถการในผู้ป่วยติดเชื้อ พวกเราคงรู้ดีว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนคนหนึ่ง หากเขาพลาดเมื่อทำหัตถการในผู้ป่วยที่ถือความเสี่ยงทางชีวภาพ แม่ค่า E อาจลดได้ด้วยยาบางอย่าง แต่เรามีวิธีที่ดีกว่าที่จะลดค่า R นั่นคือ
.
ลดค่า P โดยการให้เขาได้ฝึกทำในหุ่น ในอาสาสมัคร และในผู้ป่วยที่มีค่า E ต่ำกว่า จนชำนาญในระดับหนึ่ง เมื่อเขาพร้อมพอจึงค่อยทำกับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงมากขึ้น สมการเดียวกันนี้ใช้อธิบายค่า R ที่หมายถึงความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือไม่พอใจกับเวชปฏิบัติได้เช่นเดียวกัน
.
หากพิจารณาเฉพาะในทางกฏหมายอย่างเถรตรง เวชปฏิบัติกระทำได้ก็เฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยความยินยอมของผู้รับบริการ เวชปฏิบัติที่เป็นการเรียนการสอน ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่ "จำต้องเกิด"ในโรงเรียนแพทย์ ในทางปฏิบัติเป็นเรื่องที่ประนอมยอมให้เกิดทั้งสองฝ่าย
.
ในทัศนะส่วนตนของฉัน หากฉันเป็นผู้ป่วย แม้ไม่ติดป้ายไว้หน้าบ้าน ฉันก็คงรู้ว่าโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงเรียนแพทย์และมีการเรียนการสอน (จะว่าไปทุกโรงพยาบาลก็ควรจะมีการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนา แต่บริบทเรื่อง"ใครสอน" " สอนใคร"และ"สอนอะไร"อาจต่างไป) และฉันก็คงรู้สึกยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ภายใต้ข้อแม้ว่า คุณภาพของเวชบริการที่จะได้รับ มันจะต้องไม่ด้อยลงไป ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไม่พึงปรารถนา ไม่มากขึ้น
.
ในทางรูปธรรม ฉันหมายถึงปัจจุบันเมื่อข้อแม้ทางสังคมเปลี่ยนไป อาจารย์แพทย์หรือแพทย์รุ่นพี่จะต้องทำงานหนักกว่าเดิมในการดูแลให้นักศึกษาแพทย์ได้มีโอกาสฝึกหัตถทักษะ สถาบันจำต้องมีระบบประกันคุณภาพในการสอนหัตถการ (ซึ่งมีอยู่แล้ว) แพทย์อาวุโสที่ฝังใจในวิธีการเรียนรู้แบบเดิมอาจต้องทำความเข้าใจบ้างว่า สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดอยู่เรื่อยไป นักศึกษาแพทย์ที่จบใหม่ในวันนี้ อาจมิได้ผ่าตัดไส้ติ่งเก่งจนหลับตาทำได้เหมือนท่าน บาง คนอาจจะผ่าตัดทำคลอดไม่เป็น แต่ฉันเชื่อ(เป็นความเชื่อ) ว่าศักยภาพโดยรวมของระบบยังสมดุลย์ด้วยจำนวนแพทย์อาวุโสและแพทย์เฉพาะทางที่มากขึ้น หากความเชื่อของฉันผิด อุปสงค์ของการรับบริการเองจะผลักดันให้เขาเหล่านั้น "ทำ" จน "เป็น" ได้ในที่สุด
.
ระบบย่อมมีกลไกรักษาสมดุลย์ของมัน


Posted by : Shonikeka , Date : 2003-08-18 , Time : 14:49:03 , From IP : 133.1.67.161

ความคิดเห็นที่ : 41


   ............ผมลองยกตัวอย่างเรื่องการเย็บแผลนะครับ....:D
.....ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าแต่ละวันมี Case ที่จะใช้เย็บแผลเพื่อสอนนักเรียนนี้เพียงพอหรือไม่....ครั้นจะถามว่าเมื่อไหร่ถึงเพียงพอ.....คงน่าจะพอที่คนๆนั้นจะมั่นใจในการทำได้ด้วยตัวคนเดียว(มั้ง).....อย่างตอนผมเรียนเป็น นสพ เนี่ย....จะแบ่งกลุ่มมาผ่านที่ ER....และเรียงลำดับการเย็บตามหมายเลข....เช่น Case ที่ 1 นาย A เย็บ.....ต่อไปนาย B....ถามว่าวันๆนึงได้วนครบทั้งกลุ่มไหม....ไม่ครับ...และเวลาที่ผ่านก็ช่างน้อยเหลือเกิน....ส่วนใหญ่ที่ผมไปหัดเย็บเนี่ย....ไม่ปฎิเสธครับว่าไปหัดมาจากโรงพยาบาลด้านนอกทั้งนั้นเลย.....คล้ายกับกลายๆว่าในโรงเรียนแพทย์เราได้แต่อ่านหนังสือ...ส่วนเวลาปฎิบัติต้องออกไปหัดทำด้านนอก....ซึ่งใครคุมเหรอครับ..ก็พยาบาลไม่ก็พี่ Intern นั้นหละ....บางทีไม่มีด้วย....แบบว่า CPR trauma case ที่ละ 5 case นี่....ผมทำเองกับเพื่อนอีก 2 คนคนละ case เลยครับ.....ตั้งแต่ใส่ Tube ใส่ ICD Cutdown แม้กระทั่ง DPL หรือทำ Emergency Trecheostomy.............เนื่องจากบางโรงพยาบาลคนน้อยมาก...และแต่ละทีเขาก็มองพวกผมเป็นกำลังหลักเหมือนกัน........ผมเห็นด้วยกับคุณ"นักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง"นะครับ.....ว่าเป็นเช่นนั้นจริง.....พวกเราไปเก่งกันมาจากด้านนอกทั้งนั้น....ทั้งที่เราควรจะสอนให้เก่งจากด้านในไปดีหรือไม่?..........กลับมาเรื่องเย็บแผลต่อ....เพราะเราไม่มีคนใข้มากงั้นหรือ.....ผมรู้สึกว่าไม่นะ.....การที่"ต้อง"เย็บแผลเพราะถ้าไม่ทำแล้วไม่มีคนทำเหมือนในป่า....กับการที่ได้เย็บและมีคนดูแลเนี่ย......มันให้ความรู้สึกต่างกันมากครับ...แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่ามันเป็นไปไม่ได้ทุกกรณีหรอกครับ.....ผมเห็นด้วยกับคุณ"คนที่เพิ่งมาใหม่"ครับว่าเราไม่ได้เก่งกันจากการได้ นายแพทย์ หรือ แพทย์หญิง มาขึ้นนำหน้าหรอกครับ....แต่ขอให้เข้าใจว่า....เราเก่งแน่นอนครับ...ไม่ว่าจะจากใครสอนก็ตาม..เพียวแต่ตอนนี้เค้าอาจจะไม่เก่งเร็วอย่างที่พวกเราเป็นมาเหมือนเมื่อก่อนก็ได้ครับ.....ส่วนเรื่องการบริการ.....ผมคิดว่าคุณภาพนั้นไม่ด้อยจริงครับ....แต่ถ้าจะเอาความเร็วเหมือนที่ผู้ป่วยบางท่านชอบเนี่ย....โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์อาจจะไม่เหมาะสมครับสำหรับการที่ท่านเหล่านั้นจะมารักษา......เพราะไม่งั้น ER ควรจะมีแต่ Staff เพราะ Staff เก่งที่สุด.....เร็วที่สุด....ไม่ต้องมาเจอ นศพ extern intern พชท 2 พชท 3 พชท 4 และ อาจารย์......เราน่าจะมองการบริหารที่ควบคู่ไปกับการสอนนักเรียนครับ.....การที่จะบอกว่าเราเน้นที่การบริการแล้วผลิตแพทย์ห่วยๆก็เหมือนการที่เราปัดสวะให้พ้นตัวไปเป็นหมอห่วยๆด้านนอก....แล้วก็ Refer กลับมานั้นหละครับ....ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยครับว่าเราจะยึดการบริการเป็นหลัก.....เราน่าจะให้ข้อมูลผู้ป่วยว่าเราเป็นโรงเรียนแพทย์....อาจจะไม่ทันใจพระเดชพระคุณทั้งหลายบ้าง.....และผู้ป่วยมีสิทธิที่จะเลือกครับ.....ถ้าไม่พอใจก็ไปที่อื่น.....ไม่ได้แต่มองบริการ....บริหารเข้าไป...หาเงินเข้าโรงพยาบาลโดยมองการเรียนการสอนเป็นเรื่องรอง..คนใข้ต้องได้รับความพึงพอใจสูงสุด...โดยไม่แคร์ว่าเราจะสอนนักเรียนแพทย์ออกไปอย่างไร...ผมว่าอันนั้นผิดครับ....ถ้าผู้บริหารคิดแบบนี้ควรจะไปเปิดโรงพยาบาลเอกชนหาเงินที่อื่นเถอะครับ.....การที่จะเป็น"ครูแพทย์"กับ"ผู้บริหาร"เนี่ย.....มันคงทำไห้ดีทั้งสองอย่างยากครับ.......:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-18 , Time : 17:22:10 , From IP : 172.29.3.118

ความคิดเห็นที่ : 42


   ขอข้อสรุปครับ ว่าควรจะทำอย่างไรเรื่องหัตถการที่ นศพ.ทำในโรงเรียนแพทย์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-18 , Time : 17:53:32 , From IP : 172.29.3.222

ความคิดเห็นที่ : 43


    ผมขออนุญาติแสดงความคิดเห็นครับ ผมคิดว่าถ้าเราต้องการให้นักศึกษาแพทย์ของเราทำหัตถการเป็นคงจะต้องมีผู้ที่ทำเป็นมาสอนครับ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นหน้าที่ของอาจารย์แพทย์มากที่สุดครับ จริงอยู่ว่าอาจารย์แพทย์หลายท่านมักบ่นว่างานหนัก แต่งานนี้เป็นการเรียนการสอนหรือเปล่าครับ แล้วคณะเรายังมีนโยบายเน้นการเรียนการสอนหรือไม่ครับ หากเป็นเช่นนี้แล้วผมคิดว่าอาจารย์แพทย์ทุกคนหรือหลายๆคนคงต้องพิจารณาแล้วล่ะครับว่าถึงเวลาหรือยังที่เราจะมาช่วยกันเพื่อทำให้นักศึกษาแพทยมีประสบการณ์ในการทำหัตถการพอสมควรที่จะออกไปอยู่โรงพยาบาลชุมชนได้โดยไม่ต้องอายใครครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวร้ายนะครับ หากเพียงแต่ต้องการเห็นการพัฒนาในด้านการเรียนการสอนของเราให้ดียิ่งขึ้นครับ ผมไม่คิดว่าแพทย์ใช้ทุนรุ่นพี่จะทำหน้าที่แทนอาจารย์ได้ทั้งหมดครับ ลำพังงานบริการดูแลคนไข้เองก็แทบจะแย่อยู่แล้ว ไหนจะต้องทำวิจัย อ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วด้วย ผมคิดว่าแพทย์ใช้ทุนก็แทบแย่แล้วนะครับ

Posted by : free bird , Date : 2003-08-19 , Time : 09:50:44 , From IP : 172.29.1.172

ความคิดเห็นที่ : 44


   
...เคยทำงานที่นี้นานมาแล้ว..และลาออกนาน มาแล้ว...เช่นกัน....ไม่น่าเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อ10 ปีที่แล้ว...ยังไม่ได้แก้ไข...เหมือนเดิมเลย...ทุกอย่าง..
ขำจัง...ทำอะไรกันอยู่นะท่าน....ก้อไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พัฒนาสักที...ล้าหลังกว่าที่อื่นเยอะแล้วนะ...ถ้าทำงานด้วยใจ..คนไข้มาก่อนเสมอ...ถ้าทำงานด้วยระบบ
กติกามาก่อนเสมอ....เอาแบบไทยๆนะ....อย่าตามฝรั่งมาก...ปล.ชอบคุณdeath
จัง...ถ้ายังอยูู่่ทีนี้...คงทะเลาะกันสนุกสนาน....แต่ก้อ DDDD


Posted by : Thai ... , E-mail : (Thai @hunsa.com) ,
Date : 2003-08-19 , Time : 12:06:08 , From IP : 172.29.3.233


ความคิดเห็นที่ : 45


   


Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-19 , Time : 15:28:44 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 46


   
ได้แจ้งให้ ER ทำเรื่องจัดซื้อ hard collar แล้ว ทางผู้บริหารก็ไม่ขัดข้อง ก้ลองรอดูแล้วกันว่า Process จะใช้เวลานานแค่ไหน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-19 , Time : 15:30:16 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 47


   .........โอ้...........มีคนชอบผมด้วย.......ขอบคุณครับ....:D...:D
......เออ....คุณ Phoenix ครับ.........Collar ที่ควรจะใช้ตอนนี้เนี่ยครับ.....น่าจะเป็น Philadelphia Collar (ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่าครับ)........ไม่ควรจะเป็น Hard Collar แล้วครับ......บางคนก็บอกว่าไอ้ Philadelphia Collar ก็เป็น Hard Collar แบบนึงนะครับ......แต่ Hard Collar ที่ผมเห็นที่ ER จะเป็นแบบแผ่นพลาสติกโค้งๆ 2 แผ่นวนมาประกบกันครับ......Collar แบบนี้ไม่ดีในแง่ที่ว่าเรากันคนไข้ไม่ให้ Flex และ Exten ได้ครับ.....แต่เรากัน Rotation ไม่ได้ครับ......แบบ Philadelphia นี่ดีกว่าตรงที่ป้องกันได้ทั้ง Flex Exten และ Rotation ครับ.....รบกวนเรียนนึดนึงครับ......เพราะเท่าที่ทราบนี่.....ราคา Hard Collar ธรรมดานี่น่าจะถูกกว่าครับ.....กรุณาอย่าซื้อของห่วยและถูกมาใช้เลยครับ......อายโรงพยาบาลอื่นที่เค้า Refer คนไข้มายังใช้ของดีกว่านี้เลย...........:D...:D.........ส่วนเรื่อง Process นี่คงไม่ช้าแล้วมั้งครับ......คงอายชาวบ้านน่าดูอุตสาห์ขอมาเป็นปี.....ไม่เห็นได้เลย....พอลงกระดานข่าวแค่ไม่กี่วันก็เริ่มดำเนินการได้เลย......ดีครับ....:D...:D...........ถ้ายังช้าอยู่.....แพทยื Death จะดำเนินการโวยวายที่ ER เป็นระยะๆครับ.......ขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกท่านครับ.....และขอโทษที่นิยมประชดครับ....นั่นเป็นสันดานเสียๆของผมที่พยายามแก้ไขอยู่ครับ....:D....:D

.........ส่วนเรื่องการเรียนการสอนที่ ER นั้น.....สมควรจะมีการคุมการทำหัตถการให้นักศึกษาแพทย์และ Extern ครับ......แต่กรณีเร่งด่วนที่ไม่สามารถคุมได้....จะต้องมีข้อยกเว้นครับ.....ขึ้นกับแพทย์ใช้ทุนที่อยู่เวรวันนั้นๆเป็นคนพิจารณาครับ.....จะไม่มีการชี้ไอ้กระดาษงี่เง่าบนฝาถ้าเกิดกรณีที่ไม่สามารถทำได้ครับ.....ส่วนหัตถการอื่นๆบน Ward ถ้า Extern หรือนักศึกษาแพทย์.....อยากจะทำ...และทำได้.....จะต้องสอนและมีคนควบคุมโดยตลอดครับ.....ขึ้นกับความสมัครใจของ Extern หรือ นศพ นั้นๆเองครับ.....จะไม่มีการมาบังคับให้ทำหัตถการที่ไม่อยากทำ....เหมือนการเจาะหลังคนไข้ HIV สมัยผมเป็น Extern นี่ผมเจาะคนเดียวเลยครับ.....เพื่อนๆกลัวเลยไม่ทำครับ.....นั้นหมายความว่าคนที่จะทำต้องรับทราบ Risk ของการเกิดปัญหาและต้องได้รับการควบคุมโดยอาจารย์หรือแพทย์อาวุโสและต้องมีการ Protect ตัวเองอย่างดีที่สุดด้วยครับ.........ผมคิดว่ายังงี้นะครับ.....ขอบคุณครับ....:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-19 , Time : 22:33:47 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 48


   

ประการที่หนึ่ง ผมโทรศัพท์หาคนที่เกี่ยวข้องครับ ถามเขาว่าทำเรื่องขอซื้อ collar ทำไง จะใช้ที่ ER เพราะไม่มี คำตอบก็คือ OK ไม่ทราบว่าเขาอ่านกระทู้หรือเปล่า

ประการที่สอง เท่าที่คุยกับพยาบาล ER เขาบอกผมเองว่าจะสั่งแบบ philadelphia ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นยังไง เพราะฉะนั้นดูแล้วเขาก็เข้าใจตรงกับคุณ Death และรู้ว่าจะใช้แบบไหน ก็คงไม่ผิด spec แล้วล่ะครับ อย่าไปกังวลหรือคิดมากว่าจะมีคนซื้อของห่วยมาแก้ขัดเฉยๆโดยไม่คำนึงถึงการใช้งานเลยครับ

ประการที่สาม มีใครอายใครบ้างไม่ทราบ เพราะทุกคนที่ผมคุยรู้สึกยินดีให้ความร่วมมือ ก็น่าจะ happy ending ดีนะครับ

ประการที่สี่ นักศึกษาแพทย์ยังไม่ qualified ที่จะบอกว่า accept the risk แล้วจะได้รับอนุญาตให้ทำอะไรก็ได้ เพราะนั่นจะไม่คุ้มครองโรงพยาบาลผู้อนุญาตแน่นอนในกรณีที่เกิดเรื่อง เรายังไม่ desperate ขนาดต้องหา HIV case มาให้ นศพ.ทำหัตถการหรอกครับ ถ้ามี extern หรือแพทย์ใช้ทุนที่กำลังจะคุม นศพ.เย็บแผล HIV หรือ SARS หรือผู้ป่วย active Tbc โดยที่ตนเองไม่ take over ในรายนั้น ผมว่า judgement ค่อนข้างอันตรายมาก ผู้ที่อาวุโสกว่าไม่ได้มีหน้าที่สอนเด็กอย่างเดียว แต่เราต้อง make decision ที่ถูกต้องเพื่อจะปกป้องเขาด้วย ตราบใดที่นักศึกษามหาวิทยาลัยเรายังใส่หมวกตะเบ๊ะยามหน้าประตูทุกวี่ทุกวันนี่ ผมว่าจะอันตรายมากถ้าจะสรุปว่าเขาเหล่านี้เข้าใจเรื่อง risk





Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-19 , Time : 23:36:42 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 49


   เอา collar มาทำอะไรกันครับ มันช่วย immobilize cervical spine injury ได้หรือครับ?

Posted by : ไดโนเสาร์ , Date : 2003-08-20 , Time : 08:26:16 , From IP : 172.29.1.172

ความคิดเห็นที่ : 50


    ผมขออนุญาติแสดงความคิดเห็นครับ ผมขอตอบคำถามคุณ ไดโนเสาร์ ครับ เท่าที่ผมเคยเรียนมา สิ่งที่น่าจะเหมาะสมในการ immobilize cervical spine ก็น่าจะเป็น philadelphia collar อาจเนื่องจากว่ามันสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวได้พอสมควรครับ ถ้าจะเอาแบบดีที่สุดก็คงต้องเป็น halo ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเหมาะสมสำหรับเราหรือเปล่าครับ

Posted by : free bird , Date : 2003-08-20 , Time : 09:10:20 , From IP : 172.29.1.172

ความคิดเห็นที่ : 51


   คุณควรบอกให้ได้ตั้งแต่ผ.ป.มาถึง E.R. ได้ไม่นานแล้วว่ามี cervical spine injury หรือเปล่า? บน spine board + head block + ที่รัดศีรษะ ที่ใส่มาตั้งแต่ที่เกิดเหตุแล้ว ; ถ้า clear ก็เอาออกเลย ผมว่าไม่ถูกนะครับที่จะใส่ collar ให้กับผ.ป. ที่ได้รับอุบัติเหตุทุกคนโดยไม่มีอนาคตว่าจะเอาออกเมื่อไร?

Posted by : ไดโนเสาร์ , Date : 2003-08-20 , Time : 11:04:54 , From IP : 172.29.1.172

ความคิดเห็นที่ : 52


   ในโลกอุดมคติเราอยากจะให้เป็นอย่างที่คุณ dinosaur ว่า คือ paramedics รับวิทยุหรือโทรศัพท์แจ้งว่ามีอุบัติเหตุ เอารถพยายามไปรับ (หรือเฮลิคอปเตอร์) ให้ first aid วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีอะไรบาดเจ็บตรงไหนบ้างแล้วก็วางมาตรการป้องกันตั้งแต่ตอนแกะผู้ป่วยออกจากทรากรถ ป้องกัน cervial spine etc แต่เราไม่มีอย่างที่ว่าบ่อยนักครับ

อีกประการหนึ่งก็คือ definite diagnosis ว่ามีหรือไม่มีนั้นหลายครั้งที่ต้องการ cervial spine x-ray ซึ่งบอกไม่ได้จากสถานที่เกิดเหตุ หรือแม้แต่ที่ ER งั้นถ้าเราสงสัย เราก็ควรจะป้องกันไว้ก่อนเป็นสิ่งถูกต้องอยู่แล้ว จนกว่าจะ confirm ว่า "ไม่มี" แล้วค่อยเอาออก

เผอิญเราไม่ได้อภิปรายในรายละเอียดว่าจะใส่ collar อย่างไร คุณ dinosaur เข้าใจถูกแล้วว่า ER เราไม่ได้มีนโยบายแจก collar ให้ผู้ป่วยทุกรายเป็น souvenir หรือมีใครในที่นี้บอกว่าใส่ไว้โดยไร้อนาคตว่าจะเอาออกเมื่อไหร่ นั่นเป็นรายละเอียดนอกประเด็นเลยไม่มีการพูดถึงน่ะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-20 , Time : 12:02:41 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 53


   ...............ส่วนใหญ่ Case ที่มา...มีแต่แบบเละๆมา....นอนจมกองเลือด....ไม่มีอะไรใส่มาให้ก่อนหรอกครับ.....หน่วยกู้ภัยหรือพลเมืองดีที่นำมาส่งนี้ไม่มีไอ้ Spine board หรือที่รัดหัวอะไรนั้นมาหรอกครับ....ในเมื่อมาแบบไม่มีอะไรเลย.....คนไข้ conscious แย่ๆ....เมาไม่รู้เรื่อง......ผมว่าไม่ผิดครับที่ถ้าเรา R/O ไม่ได้ว่ามี C-spine injury แล้วเราจะใส่ไว่ก่อน......ผมไม่เคยใส่ทุกคน......และไม่เคยใส่แบบไม่มีอนาคต....บางที่ใส่แล้วดู Film c-spine มัน +/- ก็ยังต้องใส่ไว่ก่อนเลย.....อาจจะรออาจารย์มาช่วยประเมิน...หรือบางคนต้องส่ง CT หรือ MRI ก่อนด้วยซ้ำถึงจะมั่นใจว่าไม่มีจริงๆ.........ถามคุณ ไดโนเสาร์นิดนึงเถอะครับว่า....มีอะไรมาวัดหรือ Definite Diagnosis ว่าไม่มี C-spine injury ที่ ER ด้วยเหรอครับ......การที่การวินิจฉัยไม่แน่นอน....การกระทำที่ทำให้คนไข้ปลอดภัยไว้ก่อนนี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ครับ.....แต่ไอ้การกระทำที่ประมาท.....มั่นใจในตนเองเกินเหตุอันจะนำมาให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายนั่น....เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง.....ถ้าคุณไดโนเสาร์คิดว่ามั่นใจมากกับการตรวจคนไข้ที่จมกองเลือด....เมาไม่ได้สติ...โวยวายอาละวาด....ว่าไม่มี C-spine injury แล้วหละก็.....ทำไปเถอะครับ.....ผมไม่กล้าทำครับ....ผมไม่มั่นใจ.....ผมใส่ทุกราย......ผมถูกสอนมาว่าการไม่มั่นใจ...ถ้า R/o ไม่ได้..."ต้อง"ใส่ครับ.....ถ้าคิดว่าสิ่งที่ผมเรียนมามันผิด....กรุณาไปหา Evidence base มายืนยันครับ.....ถ้าจะมาอ้างลอยๆว่าตรวจดีๆไม่ต้องใส่ก็ได้นี่.....ระดับความน่าเชื่อถือมันต่ำมากครับ.....Expert Openion ในกรณีที่มี Guideline ชัดเจนแล้วนี่"ไม่มี"ความหมายครับ.....ถ้าผมไปทำตามที่คุณ ไดโนเสาร์ว่าแล้วเกิดปัญหากับคนไข้แล้วนี่.....ผมผิดเต็มๆครับ.......ขอร้องนะครับคุณ ไดโนเสาร์ถ้าจะอ้างอะไรที่เป็นวิชาการ...กรุณาไปเตรียมข้อมูลที่เข้าท่ามาด้วยครับ.....อาจน้องๆที่เขาเข้ามาอ่านครับ.....เราเรียนกันอยู่ในยุค Internet แล้วนะครับ....ไม่ใช่หมอสมัยโบราณที่เชื่ออะไรก็เชื่อต่อๆกันมาครับ....ขอบคุณครับ....:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-20 , Time : 14:07:47 , From IP : 172.29.3.138

ความคิดเห็นที่ : 54


   ผมคิดว่าคุณมาถูกทางแล้วครับ คุณต้องใช้ guideline ครับ มีมากมายครับ เราจะไปเอาของคนอื่นมาดัดแปลงใช้ หรือคิดทำกันเองก็น่าจะได้นะครับ ถ้าคุณไปอ่านหนังสือกันบ้างผมคิดว่าเราอาจจะ focus topic of debate กันได้ และ discuss กันได้สนุกขึ้น
ส่วน evidenced-base ที่คุณถามหานั้นมีมากมายในโลกปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับคุณจะหากันเองหรือให้ผมหาให้ ต้องการอย่างไหนบอกมาได้นะครับ
ตอนนี้เรามีศูนย์นเรนทรนะครับ ถ้าคุณเป็นคนที่เคยมา ER คุณก็จะเห็นว่าหน้า ERในขณะนี้ มี ambulance อยู่ 2 คันนะครับ กรุณาไปดูกันบ้างนะครับว่าใช้ทำอะไรกันบ้างใน 2 คันนี้
ผมคิดว่าเรื่อง prehospital care ไม่ใช่เรื่องที่เป็น ideal ครับ แต่เป็นเรื่องที่เราไม่ทำกันต่างหาก จริงไหมครับ !!!


Posted by : ไดโนเสาร์ , Date : 2003-08-21 , Time : 08:37:50 , From IP : 172.29.1.172

ความคิดเห็นที่ : 55


   พอดีแวะเข้ามาอ่านแล้วเจอการโต้ตอบกันอยู่
ผมเองรู้สึกว่าคุณไดโนเสาร์เต่าล้านปีต้องการกวนคุณDeath นะ(อันนี้ผมรู้สึกนะ ไม่รู้จะจริงหรือเปล่า)
และผมเองก็เป็นเพียงคนโง่ๆ ที่ไม่ค่อยอ่านหนังสือ
ผมว่าคุณไดโนเสาร์ช่วยหา evidenced-base ที่คุณเอ่ยว่ามีมากมายในโลกปัจจุบันมาโพสให้ดูกันไปเลยดีกว่านะ เอาแบบว่าหาเองนะครับ ไม่ใช่ให้คนอื่นหามาให้
ส่วนเรื่องศูนย์นเรนทรนะครับ ผมเคยเห็นว่าหน้า ERในขณะนี้ มี ambulance อยู่ 2 คัน ไปทีไรก็เห็นจอดอยู่แบบนั้น สงสัยว่าผมคงไปไม่เจอจังหวะที่เค้าทำงานน่ะครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าใช้ทำอะไรกันบ้างใน 2 คันนี้ คุณไดโนเสาร์ก็บอกมาเลยก็ได้นี่ครับ ไม่ต้องเล่นลิ้นลวดลาย ผมมันพวกคิดเองไม่ค่อยได้ แถมไม่มีความพยายามในการไปหาคำตอบซะด้วย
ขออภัยหากคิดว่ามากวน (จริงๆก็มีนิดหน่อย แต่อยากรู้คำตอบที่พยายามเอามาเบ่งเรื่องวิชาการกันมากกว่า)


Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-08-21 , Time : 09:21:57 , From IP : 172.29.3.138

ความคิดเห็นที่ : 56


   ทำไมเรื่องการเรียนการสอนนักเรียนแพทย์ กลับกลายเป็นเรื่องการใส่ collar หรือ รถฉุกเฉินไปแล้วละ
ถึงคุณนกฟินิกส์
1 ) หัตถการบางอย่าง อาจไม่สัมพันธ์กับผู้ป่วยเอดส์ เช่น การเย็บแผล แต่หัตถการบางอย่าง ผมคิดว่าสัมพันธ์แน่นอน ตัวอย่างเดิมที่ยกไว้ตั้งแต่ตอนแรก ก็คือ การเจาะหลัง
2 ) ทำไมผมถึงต้องไปค้นคว้าภาษาอังกฤษ เพื่อเอามาตอบคุณนกฟินิกส์ละ
3 ) ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยแล้วไม่อ่าน แต่ผมไม่อ่านเพราะผมไม่อยากอ่านภาษาไทย ปน อังกฤษ ทั้งๆที่บางคำสามารถใช้คำไทยได้


Posted by : คนที่เพิ่งมาใหม่ , Date : 2003-08-21 , Time : 10:25:38 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 57


   .........ว่าแต่ไอ้ในรถ 2 คันนี้.....มี Collar หรือเปล่าครับ?..................:D...:D
..........แล้วที่ว่าเราไม่ทำ Pre-Hospital care นี่....เรากลายเป็น Trauma Center ทีมี"คุณภาพ"เพียบพร้อมไปตั้งแต่เมื่อไหรเหรอครับ?......ส่วนใหญ่ไอ้เละๆที่ผมเห็น..พลเมืองดีเค้าก็หอบหิ้วเลือดนองใส่รถรับจ้างมากันทั้งนั้นครับ......ถ้าเราคิดจะทำให้เข้าท่า....แต่สักแต่ว่า"พยายาม"คิดว่าจะทำ.....อย่าเลยครับ....อายชาวบ้านเค้า......รถพยาบาลนี่มีไว้ขัดให้สะอาดโชว์หน้าโรงพยาบาลหรือเปล่าครับ?.............ส่วน Evidence อะไรนั่นนะ....ขอผมดูที่มันชัดๆที่คุณว่านิดเถอะครับ....ว่ามีอะไรที่บ่งบอกบ้างว่า Collar นี่ไม่แน่ใจไม่ต้องใส่ได้เนี่ย?.....ผมไม่เคยเห็นการดำเนินชีวิตด้วยการประมาทเนี่ย....แล้วจะดีสักคนเลย......ขอร้องนะครับ.....ยึดถือคนไข้เป็นหลักครับ....อาจารย์ท่านนึงของผมที่เสียไปแล้วเคยกล่าวไว้ว่า....."หมอจะทำตัวห่าเหวหรือสำมะเลเทเมาอย่างไรก็ช่างหัวหมอ....แต่หมอต้องดูคนไข้!!!".......ผมไม่เคยลืมคำพูดนี้ครับ.......ถ้าการกระทำใดๆก็ตามอันจะนำมาซึ่งความประมาทและทไให้คนไข้เดือดร้อนแล้วหละก็.....อย่าทำเลยครับ.....:D...:D

..........ขอโทษนะครับคุณ"คนพึงมาใหม่"ที่ผมชอบลากออกนอกเรื่อง...........:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-21 , Time : 11:26:23 , From IP : 172.29.3.118

ความคิดเห็นที่ : 58


   เรียน "คุณคนพึงมาใหม่"

ขอขยายความสักนิดได้ไหมครับ ไม่เข้าใจว่า case AIDS ที่ต้องเย็บแผลจัดว่าไม่สัมพันธ์แต่ถ้าถูกเจาะหลังจะสัมพันธ์

คือความเห็นของผมก็คือ นศพ.นั้นมี case อื่นๆที่ปลอดภัยกว่าและอยู่ในสถานการณ์ที่ภายใต้การควบคุมกว่า เช่น เย็บแผลปิดท้อง หรือปิดแผลใน OR ขณะที่ผู้ป่วยดมยาสลบ หรือ case เย็บแผลในตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวกับ cosmetic และ "ผลแห่งความเสี่ยง" (ดู กระทู้คำตอบของคุณ Shonikeka) ไม่มาก

เจาะหลังนั้นเป็นหัตถการที่มีข้อบ่งชี้จำเพาะมากๆเพราะเป็น invasive procedure และในกรณี Immunocompromised host อันตรายจากความเสี่ยงยิ่งสูงมากขึ้นเป็นทวีคูณ นั่นเป็นสาเหตุที่เรา "ไม่ควร" เอา case แบบนี้มาให้ trainee ลองฝีมือ ทำนองเดียวกับถ้ามี case ฉุกเฉิน หรือแผลบริเวญใบหน้า ไม่ต้องเป็น AIDS เราก็ไม่ควรจะให้ นศพ.ทำ เพราะผลแห่งความเสี่ยงมันต่างกันกับเย็บแผลที่หน้าแข้งหรือส้นเท้า ความเสี่ยงของ นศพฬที่จะทำให้เกิด contamination จากการเจาะหลังนั้นผม "ว่า" มากกว่าแพทยืที่จบแล้วหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน ขนาดในห้องผ่าตัดที่เป็น control environment ถ้าเป็น case ที่มีความเสี่ยงสูง เรายังไม่ให้ resident ดมยาทำเลยครับ ไม่ต้องพูดถึง นศพ. ความควร ไม่ควร ในสถาบันการฝึกอบรมนั้นสำคัญมาก

ไม่ได้กำหนดว่าคุณต้องไปค้นมาตอบผมหรอกครับ การตอบหรือไม่อย่างไรเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคุณ ในทำนองเดียวกันกับ preference การเขียนของผมหรือของคุณเอง สำนวนอย่างไร สั้นยาวแค่ไหน เป้นเรื่องสิทธิส่วนบุคลอย่างสิ้นเชิง ฉนั้นข้อบ่งชี้ว่าคุณจะอ่านต่อบทความไหน เมื่อไม่มีหรือมีภาษาอังกฤษเฉพาะคำที่คุณอนุโลมนั้นเป็นสิ่งที่ผมคงไม่กังวลเท่าไหร่ ผมไม่มี List ของคำที่คุณอนุมัติว่าให้ใช้ภาษาอังกฤษได้ซะด้วย ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ และล่วงหน้าในอนาคตที่คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-21 , Time : 18:01:32 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 59


   สนใจอยากรู้ evidence-based criteria การใส่ Philadelphia Collar จากคุณไดโนเสาร์นะครับ อาจจะขออนุญาตนำมาดัดแปลงลง CPG ที่ ER เพราะรู้สึกว่าคุไม่เห็นด้วย และบอกว่าการวินิจฉัย spine injury นั้นสามารถทำได้ทุกรายตั้งแต่ pre-hospital care

สถานการณ์ของเรายังต้องขอบคุณพลเมืองดีที่นำผู้ป่วยอุบัติเหตุมาส่งรพ.เราอยู่ค่อนข้างมาก และการ stabilize cervical spine เพื่อปลอดภัยไว้ก่อนนั้นสำคัยแน่นอนครับ (ผมสงสัยว่าเราควรจะต้องลงทุนทำวิจัยเรื่องนี้จริงๆหรือไม่ โดยลองใส่กับไม่ใส่ เพราะเกรงว่า RCT เรื่องนี้จะไม่ผ่านที่ประชุมจริยธรรมน่ะครับ)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-21 , Time : 18:18:51 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 60


   เห็นด้วยกับอาจารย์นกไฟดังนี้ครับ
-อยากเห็น evidence-based criteria การใส่ Philadelphia Collar จากคุณไดโนเสาร์ -----> อย่าพูดลอยๆ ผมมันพวก slow learner
-สถานการณ์ของเรายังต้องขอบคุณพลเมืองดีที่นำผู้ป่วยอุบัติเหตุมาส่งรพ.เราอยู่ค่อนข้างมาก และการ stabilize cervical spine เพื่อปลอดภัยไว้ก่อนนั้นสำคัญ -----> มันเป็นเรื่องจริงที่"ต้อง"ยอมรับ ไม่ใช่ทำเป็นอ้างเรื่องอื่น


Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-08-21 , Time : 19:01:44 , From IP : 172.29.3.137

ความคิดเห็นที่ : 61


   ผมคิดว่า
-นศพ.ควรได้ทำหัตถการเยอะๆภายใต้การดูแลของแพทย์อาวุโส
-นศพ.ไม่ควรทำหัตถการในcaseที่มีความเสี่ยงเช่นHIV
เหตุผลก็คือ นศพยัง.มีประสบการณ์น้อยครับ
ตัวอย่าง
- นศพ ปี 4 คนหนึ่งสงสัยว่า วิธีการถอด capกับการเปลี่ยนเข็มฉีดยานั้นต่างกันอย่างไร จึงไปหัดใส่หัดถอดจนเข้าใจ แต่ก็โดนเข็มตำสังเวยความสะเพร่า ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยโดนเข็มตำอีกเลย
-แพทย์คนหนึ่งเดินผ่านเตียงผู้ป่วยเห็นExt ที่เพิ่งขึ้นใหม่กำลังควานหาเส้นจากแผลcut downจึงเข้าไปถามว่าทำอะไร Ext บอกว่าพี่ให้มาOff cut downครับ
-Ext คนหนึ่งได้รับnotifyว่าคนไข้ปวดท้อง เวรเมื่อวานมีคนฉีดMO ให้คนไข้ อาการก็ดีขึ้น เขาจึงให้ฉีดด้วย ตอนเช้าคนไข้ sepsisเพราะbowel gangrene
-Ext คนหนึ่งได้รับnotify ว่าคนไข้post op day 3 NG tube หลุดเขาจึงไปใส่ใหม่ ปรากฏว่า อาจารย์ด่าเละเพราะเป็นcase esophagectomy และต่อ anastomosis ไว้ที่คอ
นีเป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆที่เกืดจากด้วยประสบการณ์ พวกเราส่วนใหญ่จะให้อภัยน้องๆที่ทำพลาดไปแล้วผู้ป่วยเกิดmorbidity ( อาจจะด่านำไปก่อน ) แต่ที่สำคัญเราไม่อยากให้น้องของเราต้องหมดอนาคตจากการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการครับ



Posted by : megumi , Date : 2003-08-21 , Time : 22:18:04 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 62


   ผมคิดว่า
-นศพ.ควรได้ทำหัตถการเยอะๆภายใต้การดูแลของแพทย์อาวุโส
-นศพ.ไม่ควรทำหัตถการในcaseที่มีความเสี่ยงเช่นHIV
เหตุผลก็คือ นศพยัง.มีประสบการณ์น้อยครับ
ตัวอย่าง
- นศพ ปี 4 คนหนึ่งสงสัยว่า วิธีการถอด capกับการเปลี่ยนเข็มฉีดยานั้นต่างกันอย่างไร จึงไปหัดใส่หัดถอดจนเข้าใจ แต่ก็โดนเข็มตำสังเวยความสะเพร่า ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยโดนเข็มตำอีกเลย
-แพทย์คนหนึ่งเดินผ่านเตียงผู้ป่วยเห็นExt ที่เพิ่งขึ้นใหม่กำลังควานหาเส้นจากแผลcut downจึงเข้าไปถามว่าทำอะไร Ext บอกว่าพี่ให้มาOff cut downครับ
-Ext คนหนึ่งได้รับnotifyว่าคนไข้ปวดท้อง เวรเมื่อวานมีคนฉีดMO ให้คนไข้ อาการก็ดีขึ้น เขาจึงให้ฉีดด้วย ตอนเช้าคนไข้ sepsisเพราะbowel gangrene
-Ext คนหนึ่งได้รับnotify ว่าคนไข้post op day 3 NG tube หลุดเขาจึงไปใส่ใหม่ ปรากฏว่า อาจารย์ด่าเละเพราะเป็นcase esophagectomy และต่อ anastomosis ไว้ที่คอ
นีเป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆที่เกืดจากด้วยประสบการณ์ พวกเราส่วนใหญ่จะให้อภัยน้องๆที่ทำพลาดไปแล้วผู้ป่วยเกิดmorbidity ( อาจจะด่านำไปก่อน ) แต่ที่สำคัญเราไม่อยากให้น้องของเราต้องหมดอนาคตจากการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการครับ



Posted by : megumi , Date : 2003-08-21 , Time : 22:18:04 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 63


   อาจจะมีคนเข้าใจผิดว่า cognitive, psychomotor, และ affective domains ของการเรียนรู้นั้นเป็นคนละหมวดคนละเรื่องกัน

จริงๆแล้วความชำนาญในการทำหัตถการนั้นจะ "ไร้ความหมาย" และข้อสำคัญ "อันตรายอย่างยิ่ง" ถ้าขาดความรู้ในเรื่องหัตถการนั้นๆเป็นพื้นฐาน ที่คุณ Megumi เล่ามานั้นก็พอจะเป็นตัวอย่าง แต่ผมว่าไม่หมดอนาคตหรอกนะครับ แต่เป็นการเรียนบทเรียนด้วย Hard Way เท่านั้น ขนาด morbidity นะ ไม่ต้องพูดถึง mortality เอาง่ายๆฉีดเคมีบำบัดเข้าเส้นนี่แหละ ใครลองให้ นศพ.ฉีด adriamycin แล้ว leak คุณจะเห็น necrotizing fasciitis ที่ผุ้ป่วยภูมิคุ้มกันไม่ดีอาจจะตายใส่ก็เป็นได้ อันนั้นน่ะจะแพงมากเกินค่าเล่าเรียนที่มีใครบ่นว่าไหนๆเสียตังค์แพงๆ เลยจะขอทำอะไรเยอะๆ ที่นี่ไม่ใช่ตลาด หรือเลหลัง specimen ทางการแพทย์

อาจารย์ผมเคย round และผมจำมาบอกต่อๆให้น้องคือ เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องรู้ indication ในการทำหัตถการ สำคัญมากที่เราต้องรู้วิธีแก้ไข complications แต่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องรู้ contraindications เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอะไรกับผู้ป่วย

ผมว่าเป็นเรื่องดีครับที่ นศพ.อยากทำหัตถการเป็น แต่ตอนไม่มี case นั้น น้องไปทบทวน indication, contraindications, และ การดูแลรักษา complications นั้นให้คล่องไปพลางๆ ทำกับ "อาจารย์หุ่น" ไปพลางๆ ดูวิดีโอสอนแสดงไปพลางๆ อยากทำอะไรกับ "อาจารย์" เหล่านี้ก็ทำไป ไม่มีใครว่าอะไร แต่อย่าลองเลยครับกับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยเด็กเล็กๆ การที่เราเป็นนักเรียนแพทย์ มีอภิสิทธิ์ที่จะถลกผ้าชาวบ้านเขาดูโดยถกต้องตามกฏหมายนั้นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าเราเป็นลูกพระราชบิดาที่ทำไปเพราะประโยชน์ของเขาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เราไม่มีอภิสิทธิ์นอกเหนือจากนี้หรอกครับที่จะ "ขอหน่อยน่า" จะจบอยู่แล้วยังไม่ได้ทำเลย



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-21 , Time : 22:37:33 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 64


    เห็นด้วยกับ megumi นะ เรื่องนศพ. ยังไม่ควรทำหัตถการในคนไข้ HIV positive คิดว่ายังเด็กเกินไปที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ การเรียนรู้่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลานะ ถ้า่เราขวนขวาย ถ้าเรารู้จักร้องขอเมื่อสมควร ยกตัวอย่างนะ เวลา ward round หากมีคนไข้คนใดคนหนึ่ง มี Penrose drain แล้วอาจารย์หรือพี่แพทย์ใช้ทุนบอกให้ short drain O.K. ว่าานศพ.เจ้าของ case ที่ดูแลเฝ้าทำแผลอยู่ทุกวัน ควรเป็นคนได้หัดทำก่อน แต่ถ้าเคยทำแล้ว หรือเป็นการ short drain ครั้งต่อไป ควรให้เพื่อนคนอื่นในกลุ่มมาผลัดกันทำนะ จะำได้มีประสบการณ์กันหลายๆคน การที่เราได้ short drain 1หรือ 2 ครั้งนั้นไม่ได้แตกต่างกันเลยนะ ไม่ได้ทำให้เราทำได้คล่องขึ้นอย่าง significant หรอก ของแบบนี้นะ ให้รู้ว่าต้องทำอย่างไร เคยทำสักครั้ง ความมั่นใจก็จะบังเกิด มือก็จะไม่สั่น ก็แค่นั้น ขออย่างเดียว เกรงใจคนไข้บ้าง อย่างเกี่ยงเกรงใจกันเกินไป หรือแ่ย่งกันเกินไป อย่าตะโกนว่า " เรายังไม่เคยทำเลยนะ ขอทำบ้าง" ถ้าคนไข้ได้ยินคงกลัวนะ สงสารเค้าบ้าง เค้าก็เป็นครูเรานะ
ส่วนตัวเอง ได้มีประสบการณ์ เจาะปอด และเจาะท้องตั้งแต่เป็นนศพ. ปี 4 ไม่รู้่เหมือนกันว่าทำไม พี่แพทย์ใช้ทุนอายุรกรรมท่านนั้นถึงให้ทำ (ตอนนี้ท่านเป็นอาจารย์ cardio med ที่กำลังศึกษาต่ออยู่) รู้แต่ว่า เวลามีหัตถการอะไร ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถ้าเป็น case ตัวเอง หรือกรณีที่อยู่เวรนะ จะวิ่งไปหยิบถุงมือ sterile มาใส่เตรียมไว้ทุกครั้ง ช่วยจับนู่น จับนี่ หยิบของ ส่งของให้ ทำกันบ่อยๆ จะรู้ step ไปโดยปริยาย ทำจนสนิทกับพี่แพทย์ใช้ทุนคนนี้ และพี่อนุญาตให้ทำหัตถการในที่สุด ไม่ใช่แต่ตัวเองที่ได้ทำอะไรแบบนี้นะ เพื่อนคนหนึ่งได้เจาะข้อตั้งแต่เป็นนศพ. ปี 4 เหมือนกัน สิ่งที่ได้คืออะไรรู้ไหม คือความภูมิใจที่พี่่ไว้ใจ และความมั่นใจ หากเมื่อเราโตขึ้น เราจะต้องทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีพี่คนนี้อยู่ เราก็ทำได้ด้วยความมั่นใจ และ้ด้วยความปลอดภัยเมื่อในวันนึงที่เราโตขึ้น และต้องทำหัตถการเหล่านี้กับผู้ป่วย HIV positive
ู้


Posted by : 178 , Date : 2003-08-21 , Time : 23:04:30 , From IP : 172.29.3.105

ความคิดเห็นที่ : 65


   
......คุณ Death...มีเบอร์...email....ไหม....อยากรูจัก...เป็นเพื่อน..นะ.....


Posted by : thai , E-mail : (Thai @hunsa.com) ,
Date : 2003-08-21 , Time : 23:10:42 , From IP : 172.29.3.218


ความคิดเห็นที่ : 66


   จงถูมิใจในความเป็นมอเถอะ เชื่อผมเถอะ ตอนนี้ผมมาอยู่โรงเรียนแพทย์ชั้นนำในกรุงเทพ รู้มั้ย เมื่อก่อนผมว่า มอ เราไม่ไหวเลย เด็กก็ไม่ได้เรื่อง พอมาที่นี่แล้ว มอ เราไม่ได้ด้อยกว่าเค้าแน่แน่ครับ ผมขอยืนยัน
สำหรับ คนเพิ่งมาใหม่ที่เข้ามา post ไว้นะครับ เอาไว้เวลาคุณจบออกไปจากที่นี่ หรือมี vision มากกว่านี้คุณก็จะเข้าใจที่ผมพูดครับ


Posted by : A , E-mail : (sarayut_geater@hotmail.com) ,
Date : 2003-09-30 , Time : 22:56:41 , From IP : 202.28.179.1


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.062 seconds. <<<<<