ความคิดเห็นทั้งหมด : 9

ปราการแห่งทิฐิ ..


   ปราการแห่งทิฐิ ..
อ่านมาจาก Bord อื่น อีกแล้ว

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เวียดนาม ..
เป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรักที่บันทึกไว้ในข้อเขียนเรื่อง”เมตตาภาวนา :
คำสอนว่าด้วยรัก” ของท่าน “ติช นัท ฮันท์
อ่านจบหลายครั้งก็ยังประทับใจ จึงอยากนำมาเล่าต่อ
ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน
ฝ่ายชายก็ถูกเกณฑ์ไปราชการสงคราม
หญิงสาวไปส่งสามีจนสุดสายตา
เขาหายไปในสงครามเป็นเวลากว่า 3 ปีจึงส่งข่าวคราวกลับมา
เธอดีใจมากจูงมืออ้ายตัวเล็กไปรับผู้เป็นพ่อแต่เช้าตรู่
ทันทีที่พบกันทั้งสองโผเข้าหากัน..สัมผัสไออุ่นจากกันและกันนิ่ง
นานจนเกือบลืมไปว่า..
มีลูกชายตัวเล็กยืนจ้องตาแป๋วอยู่
ผู้เป็นพ่อดีใจมากยื่นมือไปหมายกอดลูกชายแต่เจ้าหนูถอยกรูด
แม่ปลอบว่า
“อย่าตกใจเจ้าหนูไม่เคยเห็นหน้าพ่อมาก่อนก็เป็นเช่นนี้แหละ”
ทั้งสามเดินกลับมาตามทางจนถึงตลาด
หญิงสาวขอตัวเข้าไปซื้อข้าวของสำหรับทำกับข้าวมื้อพิเศษ
ชายหนุ่มมีโอกาสอยู่กับลูกชายจึงขออุ้มเจ้าตัวน้อยอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ
เท่านั้นยังไม่กระไร พอเจ้าลูกชายเริ่มพูดบางสิ่งบางอย่าง
เขาจึงรู้สึกได้ถึงที่มาแห่งปฏิกิริยาอันผิดปกติ “น้าไม่ใช่พ่อของหนู
พ่อหนูมาหาแม่ทุกคืน พอแม่นั่งพ่อก็นั่ง พอแม่ยืน พ่อก็ยืน”

เพียงไม่กี่คำเท่านี้เองหัวใจของชายหนุ่มผู้เหนื่อยหนักมาจากสงครามอันแสนหฤโหดอันยาวนานก็พลันกระด้างยังกับแผ่นศิลา..
สักพักหนึ่งพอหญิงสาวเดินกลับมาจากตลาดเธอก็พบว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เขาไม่เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หากหน้าเธอเข้าก็ไม่ปรายตามองอีกต่อไป
เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น..

เย็นวันนั้นอาหารที่เธอบรรจงทำอย่างสุดฝีมือเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขาจืดสนิท ทั้งคู่เข้านอนแต่หัวค่ำ ต่างนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
เธอถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่เธอแวะไปซื้อของ
เขาถามว่าเธอยังเป็นผู้หญิงคนที่เขาสุดรักอย่างจับใจคนเดิมอยู่หรือเปล่า
ต่างคนต่างถามกันและกันในความมืด
ทว่าเป็นการถามที่เงียบงำจนวังเวง
เขาเย็นชากับเธอจากวันแรกจนถึงวันที่สาม
ไม่มีการถามไถ่ ไม่มีการโอบกอดอันอบอุ่น
ไม่มีการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่มีแม้แต่การปรายตามองกันและกันอย่างเต็มสองตาฉันสามีหนุ่มภรรยาสาว
การณ์เป็นไปดังนั้นอยู่จนถึงเย็นวันที่สาม
แล้วความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลง
เธอตัดสินใจลาจากความระทมทุกข์ ..
ที่แม่น้ำสายหนึ่งทิ้งปมปัญหาทุกอย่างไว้ข้างหลังอย่างไม่ไยดี
เย็นวันนั้นเขารู้ข่าวการจากไปของเธอด้วยน้ำตานองทั้งสองแก้ม
เขาไปรับศพเธอมาบำเพ็ญกุศลอย่างเงียบๆในบ้านของตัวเอง
มีเพียงเจ้าหนูเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขาจนดึกดื่น
และคืนนี้ความลึกลับทั้งปวงก็ได้รับการคลี่คลาย ..
ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่จุดไว้บนโลงค่อย ๆ หรี่ลงจวนเจียนจะดับ
เขาเติมน้ำมันแล้วจุดใหม่ เปลวไฟโชนแสงวูบวาบ
เขาลุกเดินกลับไปกลับมาสุด
ขณะนั้นเองเงาของเขาทาบทอไปปรากฏยังฝาเรือน
เจ้าหนูชี้ไปที่เงาพลางตะโกนลั่น “นั่นไง พ่อหนูมาแล้ว
พอแม่นั่งพ่อก็นั่ง พอแม่ยืนพ่อก็ยืน คนนั้นแหละพ่อของหนู”
ชายหนุ่มมองตามเจ้าหนูเห็นเงาของตัวเองทาบทออยู่ที่ฝา
จึงเข้าใจขึ้นมาในนาทีนั้นเองว่า “พ่อ” ที่เจ้าหนูเอ่ยถึงก็คือ “เงา” ที่เห็นอยู่นี่เอง
ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว..
เธอ...คงรักเขามากสินะถึงขนาดสมมุติให้เงาตัวเองเป็นเขา
แล้วบอกเจ้าหนูว่าเงาก็คือตัวเขา คือ “พ่อ”ที่หายไปในสงคราม

โอ...ไม่น่าเลยความจริงนี้เจ็บปวดเกินไป
เจ็บเกินกว่าหัวใจของคนธรรมดาจะรับไหว
รุ่งขึ้นอีกวันเขาได้ชดใช้ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของตัวเอง
ด้วยการให้แม่น้ำเป็นตุลาการผู้พิพากษาชีวิตเขาอีกชีวิตหนึ่ง...

เรื่องราวของเขาและเธอเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรักที่เล่าขานกันมาอีกนานแสนนาน
วันนั้น หลังจากเจ้าหนูพูดถึง “พ่อ” ของตัวเองให้เขาฟังที่กลางตลาด
หากเขาไม่หุนหันพลันแล่นมีสติสักนิดหนึ่ง ถามไถ่จากเธอว่า”พ่อ”คนที่
เจ้าหนูพูดถึงคือใคร และหลังจากที่เขาเย็นชา
ปิดปากเงียบสนิทหากเธอจะอาจหาญถามเขากลับไปว่า
มันเกิดอะไรขึ้น..

เธอก็คงไม่ต้องเจ็บจนเกินเยียวยาและเขาเองก็คงไม่ต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถเช่นนั้น
ไม่ใช่เธอ ไม่รักเขาและไม่ใช่เขา ก็ไม่รักเธอ
หากทั้งเธอและเขาต่างรักต่างภักดีต่อกันอย่างสุดซึ้ง
ความรักของคนทั้งสอง
กลายเป็นตำนานเล่าขานดังเรื่องราวของวีรบุรุษวีรสตรีผู้พิชิต
ความผิดพลาดหากจะพึงมีบนเส้นทางแห่งรักแท้
จนกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมของคนทั้งคู่เกิดจากเส้นบางๆของปราการแห่ง “ทิฐิ” โดยแท้ หากทั้งเธอและเขา ยอมวาง “ทิฐิ”
ลงแล้วหันหน้าเข้าหากันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
ถามไถ่จากกันและกันอย่างให้เกียรติกันทั้งสองฝ่ายไหนเลย
จะต้องมาจำพรากทั้งที่ยังรักล้นใจเช่นนั้น..

รักนั้นงดงาม บริสุทธิ์ อ่อนหวาน
ไม่ใช่ความผิดของความรักหรอก หากจะผิด.. ก็ผิดที่ใจอันมากด้วย “ทิฐิ”
ของทั้งคู่นั่นต่างหาก

หากปรารถนารักที่ยั่งยืนหมื่นปี อย่าให้มี
“ปราการแห่งทิฐิ”มากางกั้นแค่นั้นพอ..



Posted by : Dhan , Date : 2003-08-12 , Time : 10:33:25 , From IP : 172.29.3.119

ความคิดเห็นที่ : 1


   .........Death....is the begining......HAHAHAHAHAHAHA..........



Posted by : Death , Date : 2003-08-12 , Time : 11:33:05 , From IP : 172.29.3.210

ความคิดเห็นที่ : 2


   โง่ โง่ ทั้งคู่ สมควรแล้วที่ต้องจบชีวิต เป็นพ่อแม่ที่ไม่ควรได้รับคำว่า พ่อ และ แม่ เลย ไม่สงสารเจ้าตัวเล็กที่ควรต้องรับผิดชอบบ้าง

Posted by : ???? , Date : 2003-08-12 , Time : 23:00:32 , From IP : 172.29.2.245

ความคิดเห็นที่ : 3


   

Posted by : J , Date : 2003-08-12 , Time : 23:58:24 , From IP : 172.29.3.224

ความคิดเห็นที่ : 4


   เห็นด้วยว่าทั้งสองคนเห็นแก่ตัวและค่อนข้างจะเขลามาก ไม่มีใครเห็นแก่ลูกเลย

แต่สงสัยว่าเห็นแก่ตัวและเขลาทำให้ใคร "สมควร" จบชีวิตจริงๆหรือครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-13 , Time : 00:43:27 , From IP : 172.29.3.204

ความคิดเห็นที่ : 5


   ผมชอบเรื่องของพี่ Dhan นะ ถึงใครจะว่ายังงัยก็ตาม ฟังแล้วถึงมันจะดูเว่อร์ไปหน่อย แต่มันก็สอนอะไรเราลึกๆได้จริงๆ ไม่ว่าเราจะโตขึ้นเท่าไหร่ ความรักก็ยังเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอยู่ดี และทิฐิก็ยังเป็นสิ่งที่ตามมาหลอกหลอนคู่รักหลายๆคู่เหมือนกัน


Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-08-13 , Time : 20:24:41 , From IP : 172.29.3.208

ความคิดเห็นที่ : 6


   ไม่ใช่เรื่องของผมครับ คุณกะหลั่วเป็ด :)
ใครอ่านหนังสือของท่านติช นัท ฮันท์ บ้างครับ ผมมีอยู่หลายเล่ม เอาไว้ตั้งโชว์ คืออ่านไม่จบสักที สงสัยจะเอาดีเรื่องมีสาระไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นนิยายคงจบไปนานแล้ว

Copy มาให้อ่านเฉย ๆ ครับ ไอ้แบบที่ไม่ต้องจิ้มดีดเองนี่ชอบครับ


Posted by : Dhan , Date : 2003-08-14 , Time : 00:50:26 , From IP : 172.29.3.119

ความคิดเห็นที่ : 7


   โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
เขาแนะให้มีสติ

แต่ไอ้ตัวสตินี่ ถ้าไม่จับมันบ่อยๆ มันก็หลุดเอาง่ายๆเหมือนกัน


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-14 , Time : 00:53:57 , From IP : netturbo5.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 8


   สนุกดี

Posted by : นศพ อีกคนหนึ่ง , Date : 2003-08-14 , Time : 23:30:40 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 9


   "สงสารเด็ก"
เด็กชั่งพูด กับพ่อแม่ที่ไม่พูดกัน โธ่ อะไรกันนี่?


Posted by : pp , Date : 2003-09-02 , Time : 12:45:09 , From IP : 192.168.26.62

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.025 seconds. <<<<<