ความคิดเห็นทั้งหมด : 22

Debate XXXVI: Andragogy - Five assumptions about adult learning


   Andragogy is a term introduced to North Amercan by Malcolm Knowles. Defining it as "The art and science of helping adults learn."

Andragogy is based on five assumptions
1) Adults are independent and self directing
2) They have accumulated a great deal of experience, which is a rich resource for learning
3) They value learning that integrates with the demands of their everyday life.
4) They are more interested in immediate problems centred approaches than in suject centred ones.
5) They are more motivated to learn by internal drives than by external ones

คำถามคือ "นักศึกษาแพทย์เป็น adult learner หรือไม่? อย่างไร?"

Let"s roll.



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-11 , Time : 23:41:48 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 1


   PS: ใครจะ add "แพทย์" เข้าไปอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของอภิปรายด้วยก็ไม่ผิดกติกานะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-11 , Time : 23:43:27 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 2


   ขอบ่นนอกเรื่องหน่อยนะ
รู้สึกว่าเราไมใช่เพียงแต่เปิดรับวัฒนธรรมจากฝรั่งเท่านั้น เรากลับยึดมันเป็นคัมภีร์ดำเนินชีวิตเสียแล้ว
ลองมองมองไปรอบตัว อาหาร เครื่อง ดื่ม ขนม ของเด็กรุ่นใหม่ เพลงของนักร้องรุ่นใหม่ การแต่งกาย ทรงผม (วันก่อนดู real madrid เห็นนักเตะไทยคนนึงย้อมผมสีทองไม่เข้ากับใบหน้าเลย) การใช้ชีวิตทางเพศ
ออกประหลาดใจไม่ได้ว่าวัฒนธรรมไทยมันแย่มากหรือ เราถึงต้องทิ้งมันไปอย่างรวดเร็วหรือเรากำลังถูกครอบงำ
แม้แต่การตัดสินแพทย์ นักศึกษาแพทย์?


Posted by : อย่ารู้เลยครับ , Date : 2003-08-12 , Time : 12:44:58 , From IP : 172.29.3.111

ความคิดเห็นที่ : 3


   รู้สึกจะเพี้ยนไปไกลมากเลยครับ ข้างบนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับวัฒนธรรมเลย เป็นแค่ส่วนหนึ่งของศึกษาศาสตร์ มีอะไรที่แสดงถึงวัฒนธรรมไทยที่แย่มาก หรือกำลังจะถูกทิ้งจากกระทู้ข้างบนหรือครับ? ช่วยขยายความสักเล็กน้อย ถ้าจะให้ดีลองชี้แจงถึงวัฒนธรรมศึกษาศาสตร์ของไทยมาด้วยจะเป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-12 , Time : 13:19:45 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมชักจะเริ่มงงแล้วครับ ตกลงคุณ Phoenix ว่า ศึกษาศาสตร์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับศึกษาศาสตร์เลยหรือ? งั้นผมก็ไม่ต้องชี้แจง วัฒนธรรมศึกษาสาสตร์ ตามที่ขอมาแล้วสินะ
ที่จริงผมก็ออกตัวไว้แล้วว่า ขอนอกเรื่องหน่อย อยากแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกมาเท่านั้นเอง ถ้าไม่เข้าประเด็นเจ้าของกระทู้ ก็ขออภัยด้วยครับ


Posted by : อย่ารู้เลยครับ , Date : 2003-08-12 , Time : 14:02:54 , From IP : 172.29.3.111

ความคิดเห็นที่ : 5


   พิมพ์ผิดครับ ศึกษาศาสตร์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเลยหรือ?

Posted by : อย่ารู้เลย , Date : 2003-08-12 , Time : 14:06:30 , From IP : 172.29.3.111

ความคิดเห็นที่ : 6


   วัฒนธรรมไทยมันไม่แย่หรอกครับ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อจะดีขึ้นหรือเลวลง
คุณ"อย่ารู้เลยครับ" คิดว่าอะไรคือ วัฒนธรรม ครับ การกินดื่ม แต่งกาย ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ...
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งภายนอก ถ้าจะเรียกว่า วัฒนธรรม ก็คงเรียกว่า วัฒนธรรมฉาบฉวย หรือ แฟชัน เสียมากกว่า และพร้อมจะอ้าแขนยินดีรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาทุกวัน
แต่วัฒนธรรมจริงๆ ในใจคนไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ ความไม่มีระเบียบวินัย(เข้าแถวไม่ต่อคิว ทิ้งขยะเพ่นพ่าน มือบอน ฯลฯ) ความไม่รับผิดชอบ(พันท้ายนรสิงห์จึงเป็นตำนานไปเลยงัยล่ะครับ) กินเหล้าเฉลี่ยมากที่สุดในโลก(ข้อมูลจากนสพ.) และที่เขาว่ากันจนเรายอมรับก็คือ "ตามใจคือไทยแท้"
สิ่งที่หายไปก็คงเป็น "ลูกผู้ชาย" และ "ความมีน้ำใจ" ล่ะครับ และคงไม่ใช่เพราะวัฒนธรรมต่างชาติด้วยที่ทำให้สิ่งเหล่านี้หายไป

ว่ากันถึงวัฒนธรรมการศึุำกษา
ขอตอบคำถามก่อนว่า นศพ. เป็น adult learning หรือไม่
ขอตอบว่ายังไม่เป็นครับ แต่หลักสูตรการเรียนและสิ่งรอบข้าง พยายามกรอกหูเราเป็นประจำว่า จงโตเป็นผู้ใหญ่ และพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองเสีย เพราะแพทย์ต้องเป็นผู้ที่่่ต้องศึกษาอย่างไม่รู้จักจบ
ทุกคนก็อยากเป็น adult learning ล่ะครับ แต่ท่าทางความเป็น เด็กไม่รู้เดียงสา มันจะมีมากเหมือนกัน ทำอย่างไรได้ล่ะครับ ถูกป้อนและยัดเยียดให้เรียนมาตั้งแต่อนุบาลแล้วนี่นา

วัฒนธรรมการศึกษาของคนไทยก็คงเป็นการสอนคนไม่เป็นล่ะครับ


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-12 , Time : 14:09:54 , From IP : maliwan.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 7


   คุณ "อย่ารู้เลย"

ผมสงสัยว่าการเปิดกระทู้อภิปรายทางศึกษาศาสตร์นั้นเป็นการแสดงเป็นนัยหรือโดยตรงว่าวัฒนธรรมไทยแย่อย่างไร? หรือควรจะต้องทิ้งไปอย่างไร? และตรงไหนที่เป็นการ "ตัดสิน" แพทย์ นักศึกษาแพทย์"คุณมีสิทธิ์แสดงความคิดส่วนตัวแน่นอนครับ ถ้าไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับหัวข้อกระทู้เลยก็อาจจะเป็นการป้องกันความสับสนโดยการตั้งกระทู้ใหม่ แต่ถ้าเกี่ยวก็อยากจะให้ขยายความ เพราะไหนๆคุณหาที่บ่นที่อื่นไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เกี่ยวกับกระทู้ที่ตั้งก็ยังดีนะครับ

วัฒนธรรมศึกษาศาสตร์นั้นผมคิดคำนี้ขึ้นมาตะกี้นี้เองครับ หารู้ไม่ว่ามีหรือไม่ และถ้ามีมีใจความว่าอย่างไร

การย้อมผมของนักบอลคนนั้นคงจะตกอยู่ในสิทธิส่วนบุคคลด้วยหรือเปล่า? ทุกๆคนต้องไว้ผมสีที่คุณ approve ว่าเข้ากับใบหน้าจึงเป็นการรักษาวัฒนธรรมไทยหรือเปล่า? ทรงผมแบบไหนที่เป็นการแสดงออกถึงวัฒนธรรมไทย? ถ้าหากคุณสนใจในประเด็นนี้จริงๆแนะนำให้ตั้งกระทู้ใหม่ครับ เดี๋ยวจะตามไป เพราะถึงตรงนี้ผมยังไม่เห็นความเกี่ยวโยงของวัฒนธรรมและศึกษาศาสตร์เท่าไหร่นัก

+=============
คุณ ArLim ครับ

ผมยังไม่อยาก "สรุป" หรอกนะครับว่าคนไทยเรามีวัฒนธรรมอย่างนั้น (อย่างน้อยมันไม่ค่อยจะ "วัฒนา" สักเท่าไหร่นะครับ ธรรมอย่างที่คุณ ArLim ว่า) แล้วคุณว่า concept ห้าข้อที่ว่ามานั้นพอจะเนมาตรฐานของ adult learning ได้ไหมล่ะครับ เราจะได้ดำเนินการอภิปรายต่อไป






Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-12 , Time : 15:44:33 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 8


   ....Oh....เอออ.....ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า.....:D...:D.........ทำไมมันกลายเป็นเรื่องอะไรไปแล้วเนี่ย....:D...:D......เออ...ช่างเถอะ.......:D...:D
......นี่ๆ คุณ Phoenix ถ้าว่างรบกวนแปลไทยนิดนึงนะครับ....Androgogy นี่แปลว่าอะไรครับ...:D...แหะแหะ...:D...เอาหละๆ.....เข้าเรื่องก็ได้...:D...:D....ถ้าถามผมว่านักศึกษาแพทย์เป็น Adult Learner ไหม?...เป็นครับ...อย่างไร?...คิดว่าจากอายุคงไม่น่าจะแก่มากขนาดเป็นไม่ได้มั้งครับ(ผมไม่รู้นะว่าอายุเป็นเกณฑ์ตัดสินหรือไม่นะครับ)....รุ่นพวกผมนี่เอนติดเข้าหมอปีหนึ่งตอนอายุ 16 กำลังได้ทีเลยครับ....ทั้งเทียว...ดูหนัง...ไม่เรียน!!!....แบบว่าปีหนึ่งที่เรียนนี่เหมือนไปเทียวเลยครับ(ไม่ใช่เรื่องดี...ไม่ควรภูมิใจ...และไม่ควรเอาอย่างถ้าไม่จำเป็น).....คือพวกผมก็เรียนการเป็นผู้ใหญ่มาจากการเรียนในมหาวิทยาลัย.....จบมาอายุ 22 ถาวว่าโตแล้วไหม?....ไม่รู้นะครับ....เพื่อนผมบางคนยังเป็นเด็กอยู่เลย....บางคนก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น(ผมเริ่มลดลงและเปลี่ยนสี)....ถ้าถามผมว่าดูยังไงว่าใครดูเป็นผู้ใหญ่กว่า....ผมว่าคงดูที่ความรับผิดชอบต่องานครับ...ยิ่งเรียนปีสูงขึ้นความรับผิดชอบย่อมมากขึ้น.....จะหนีไปเที่ยวแบบตอนปีแรกๆก็ไม่ได้แล้ว....ถามว่าจบเป็นแพทย์แล้วยังต้องเรียนรู้อีกหรือไม่....น่าจะต้องครับ....เพราะแพทย์รุ่นผมอายุแค่ 22(เพื่อนผมที่อายุน้อยสุดตอนเรียนจบนี่ 20 เองครับ).....สมัยผมเริ่มมาเรียนต่อ....ได้คุยกับเพื่อนๆที่ออกไปทำงานพบว่าหลายๆคนได้พัฒนาการขึ้นอีกมากทั้งด้านความรู้และความรับผิดชอบ.....พูดได้ว่าจบหมอแล้ว...ก็ยังมีอะไรให้เรียนที่จะเติบโตได้อีก...ส่วนถามว่าเมื่อไหรจะเป็นผู้ใหญ่....เมื่อไหรจะ Mature?....อันนี้ไม่ทราบครับ...ไม่ทราบว่ามีอะไรบ่งบอกหรือไม่ครับว่าเมื่อไหร่จะเป็นผู้ใหญ่....พร้อมจะมีครอบครัว?....ไม่รู้เหมือนกัน.....ส่วนถามว่า 5 ข้อนั้นพอไหม?.....ผมตอบแบบแปลกๆนะครับ.....ว่า.....การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่หรือเพื่อจะเติบโตขึ้นไปนั้นนะ..มีการมากำหนดหรือกะเกญฑ์เป็นข้อๆได้ด้วยเหรอครับ?......ผมว่าชีวิตที่จะดำเนินไปนั้น.....บางอย่างไม่มีอะไรมากำหนดได้หรอกครับ....ชีวิตคือสิ่งที่จะเดินไปโดยที่เราไม่สามารถตีกรอบอะไรมันได้.....ผมเชื่อว่าการตีกรอบหรือกะเกณฑ์อะไรในชีวิตมากไป.....ทำให้เราขาดสีสันและความสนุกในการดำเนินชีวิตครับ...:D...:D....เคยมีใครพูดประโยคนึงให้ผมฟังครับ...." Life not limit by line "........บางคนบอกผมว่าผมบ้าที่ไม่เคยวางแนวทางหรือตีกรอบให้ชีวิตตัวเอง.....ผมตอบว่า...ผม Happy กับชีวิตแบบนี้.....มันอาจจะแสดงว่าผมยังไม่โตหรือเป็นผู้ใหญ่พอสำหรับโลกใบนี้ก็ได้...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-12 , Time : 20:48:23 , From IP : 172.29.3.251

ความคิดเห็นที่ : 9


   กำหนดได้ครับคุณ Death พระพุทธเจ้าท่านกำหนดทางพ้นทุกข์ซึ่งยากกว่าแต่ใช้น้อยข้อกว่าอีก นั่นคือ อริยสัจสี่

ผมไม่ทราบภาษาไทยของคำนี้จริงๆครับ honest!

จริงๆแล้ว 5 ข้อนี่ไม่เชิงกำหนดว่า adult learning เป็นอย่างไรหรือต้องเป็นอย่างไร เท่าที่ผมเข้าใจคือนี่คือ observation และรวบรวมเป็น "วิธี" กว้างๆว่าวิธีและเจตคติของผู้ใหญ่ในการเรียนรู้นั้นเป็นอย่างไร คล้ายๆกับที่ marketing manager ต้องไปทำวิจัยตลาดมาก่อนว่าลูกค้ามี preferences ต่อสินค้า (หรือในที่รวม "บริการ" ด้วย) อย่างไร เพื่อที่มากำหนด strategy (ในที่นี้คือการจัดประสบการณ์การสอน) ในตรงตามความต้องการและมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากที่สุด พูดง่ายๆคือ customer-based หรือ student-based นั่นเอง

หลังจากเขาสรุป preference หรือ attitude เอาไว้อย่างนั้นห้าข้อ Michael Knowles ก็ proposed หลักการ 7 ข้อของ andragogy หลักการทั้งเจ็ดข้อนี้มีนักการศึกษาและนักทฤษฎีการเรียนรู้มากมายคิดว่าคงไม่จำกัดเฉพาะผู้ใหญ่ แต่ใช้ได้หมดเลยทีเดียว

7 ข้อนั้นคือ (ขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษ ไม่แน่ใจว่าจะแปลครบถ้วน ถึงแม้ศัพท์จะไม่ยากมากก็ตาม)
1) Establish an effective learning climate, where learners feel safe and comfortable expressing themselves (อาจจะไม่ค่อยเหมือนใน conference room ของบางภาควิชา!!!!)
2) Involve learners in mutual planning of relevant methods and curricular contents (น่าสนใจ แต่ยังไม่เกิดขึ้น)
3) Involve learners in diagnosing their own needs-this will help to trigger internal motivation (อืม...ชั่วโมงพบปะอาจารย์ที่ปรึกษา จะ work ไหมเนี่ย?)
4) Encourage learners to formulate their own learning objectives- this gives them more control of their learning (อันนี้เราถูก indrectly control มาจากเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภา หรือของราชวิทยาลัย แต่น่าจะทำให้ยืดหยุ่นได้ ถ้าไม่เขียนให้ rigid เกินไป)
5) Encourage learners to identify resources and devise strategies for using the resources to achieve their objectives (ผมคิดว่าระบบเรา และ facilities ที่มีค่อนข้างอำนวยด้านนี้ "พอประมาณ")
6) Support learners in carrying their own learning plans (ช่วยๆกันเข็น กันลาก กันไป)
7) Involves learners in evaluatin their own learning - this can develop their skills of critical reflection (อันนี้สำคัญ แต่ยังไม่มีรูปแบบชัดเจน รู้สึกพวกเราจะเป็น expert ในการ criticize คนที่บังอาจมา criticize เรามากกว่า ใครอย่ามาว่า ตำหนิ เราเชียว เป็นกันหมดทุกคนแม้แต่ผมเองก็หลุดการควบคุมอยู่เนืองๆ)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-12 , Time : 21:17:28 , From IP : 172.29.3.204

ความคิดเห็นที่ : 10


   ฟังดูยากจัง......ถามผมให้เรียนตอนนี้....ผมไม่เอาดีกว่า....ดูไม่น่าจะสนุกเลย....เอออ......แต่ถ้ามองงานประจำที่ทำอยู่นี่ก็...เรียนแบบนี้บ้างอาจจะดี......แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนึง.....ว่า.....จะรู้ได้ไงว่าผู้เรียนประสบความสำเร็จ......ในเมื่อมันกว้าง...แล้วเราจะเอาอะไรมาชี้วัดสิ่งที่กว้างและประเมินได้ยาก(ผมว่าประเมินไม่ได้นะ)....บางทีการเรียนจบมหาวิทยาลัยอาจจะไม่ใช้ความสำเร็จของทุกครอบครัวก็ได้.....เพราะบางคนมีงานที่ดีทำสามารถเลี้ยงครอบครัวต่อไปได้..ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดีแล้ว(มั้ง).....ยากนะ???......อีกอย่างนะ....ถ้าจะใส่นี่เข้าไปในการเรียนการสอนนักเรียนแพทย์แล้วหละก็.....ผมว่าเอาไปใส่ตอนเรียนมัธยมก่อนที่จะเลือกเอนทรานซ์นี่......จะดีกว่าหรือเปล่า?....เพราะเพื่อนผมบางคนเรียนจบมาแล้วไปทำงานอย่างอื่นก็มี.....แบบว่าเพิ่งมารู้ว่าเดินทางผิดตอนมาเรียนแล้ว....จะถอยหลังก็ลำบาก......เฮ้ออออออ.................:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-08-12 , Time : 21:57:43 , From IP : 172.29.3.251

ความคิดเห็นที่ : 11


   ทำไมการให้กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนเอง วิธีการเรียนเอง เวลาสถานที่สิ่วแวดล้อมเอง จะกลายเป็นสนุกน้อยกว่าทักอย่างครูอาจารย์หรือโรงเรียนกำหนดให้ล่ะครับ?

สิ่งเดียวที่ต้องมีคือความรับผิดชอบที่จะสามารถนำชีวิตตนเอง หรือ ความเป็นผู้ใหญ่ (ผมชอบ maturity มากกว่าแฮะ เพราะอายุฟังดูเกี่ยวน้อยกว่า)

ส่วนรู้ได้อย่างไรว่าผู้เรียนประสบความสำเร็จนั้น จริงแท้ที่สุดคงขึ้นอยู่กับ individual แหละครับ เหมือนตรัสรู้นั่นแหละ ไม่มี test ไม่มี oral ไม่มี Interview คนๆนั้นรู้เอง ทราบเอง

ประการสำคัญไม่มีตรงไหนของ andragogy ที่บอกถึงมหาวิทยาลัย โรงเรียนมัธยม หรือ อนุบาล เลยนะครับ มันเป็นปรัชญาการเรียนที่ "ถ้าผู้เรียน" มีคุณสมบัติตรงกับห้าข้อที่ว่าไว้ เขาคิดว่าหลักการการจัดประสบการณ์การเรียนเจ็ดข้อนี้น่าจะเข้าท่า ส่วนจะใช้ในการเรียนเล่นบาสเก็ตบอล เรียนดนตรี เรียนการเมือง หรือเรียนหนังสือก็สามารถจะนำไปดัดแปลงได้ รวมไปถึงการจัดประสบการณ์การสอนลูก หรือเด็กไม่กี่ขวบก็สามารถใช้หลักการข้อ 1,2,3 ได้ ไม่ได้จำกัดแต่ในมหาวิทยาลัยอย่างเดียวหรอกครับ อย่างที่คุณ Death ว่า ถ้าใครก็ตามทราบว่าตนเองเหมาะไม่เหมาะกับวิชาอาชีพอะไรแล้วล่ะก็ andragogy จะช่วยและสามารถนำไปใช้ได้หมด

แน่นอนที่สุดถ้านักเรียนนักศึกษาคนไหน ไม่สามารถจะตั้งวัตถุประสงค์การเรียนได้ตรง หรือทราบว่าที่แท้เราอยากจะทำงานอะไร หรือไม่ทราบว่าปรัชญาของสายอาชีพที่กำลังเรียนนั้นคืออะไร วิธีดังกล่าวก็คงจะไม่ได้ผล ถ้านักศึกษายังเดินมาถามอาจารย์อยู่ว่าบน ward มีอะไรให้ดูบ้าง วิธีนี้ก็จะยังไม่ optimized ถ้านักเรียนไป ER แล้วถูกจับไปอยู่ข้างหลังไกลๆไม่ให้คนไข้เห็น (เพราะกลัวเข้าใจผิดว่า เอ๊ะ หมอตั้งเยอะทำไมตรวจช้า เห็นว่ามีการปรึกษาจะเอา นศพ. ไปซ่อนที่ไหนดี!!!!) ก็คงจะไม่ได้ deploy หลักการที่ว่านี้ในทางปฏิบัติ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-13 , Time : 00:37:08 , From IP : 172.29.3.204

ความคิดเห็นที่ : 12


   1. ระบบการศึกษาเมืองไทย ไม่เคยสอนให้เด็กคิดเป็น ไม่สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง ปลูกฝังให้เยาวชนเป็นคนหัวอ่อน จะได้ควบคุมและชักจูงได้ง่าย
2. ประสบการณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้แบบ PBL และ SDL แต่ประสบการณ็ก็เป็นสิ่งที่ต้องสั่งสมด้วยกาลเวลา
3. การประสบกับปํญหาที่ต้องแก้ไขในการทำงาน เป็นสิ่งกระตุ้นให้ต้องแสวงหาความรู้เพื่อแก้ปัญหานั้น อันนี้พอไหวเพราะนศพ.ต้องรับคนไข้ของตัวเอง และต้องทำรายงาน แต่ก็ไม่ได้เป็นแรงกระตุ้นที่รุนแรงนัก เพราะยังไม่ใช่ความรับผิดชอบที่มีผลได้เสียอย่างใหญ่หลวงจริง
4. อันนี้ OK ตามหลัก PBL อยู่แล้ว
5. ก็เหตุผลเดียวกับข้อ 3
Add เสริมว่านศพ.แต่ละคนก็มี maturity ไม่เท่ากัน บางคนก็มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ บางคนก็ยังเป็นเด็กๆ อย่า!!!บอกผมว่าเป็นนักศึกษาแล้วต้องเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ละคนมีประสบการณ์มาในชีวิตไม่เหมือนกัน กาลเวลาและประสบการณ์เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให็เด็กเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง แล้วทุกคนคิดว่าประสบการณ์อะไรบ้างที่จะทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อที่จะได้นำมาเสริมในหลักศูตร เพื่อเตรียมเด็กๆเหล่านั้นให้พร้อมสำหรับการเรียนแบบ Adult learning


Posted by : Jedi_Knight , Date : 2003-08-13 , Time : 11:44:21 , From IP : 172.29.2.231

ความคิดเห็นที่ : 13


   การกำหนดวัตถุประสงค์เอง การเรียนเอง แน่นอนครับ ว่าสนุกกว่าการนั่งฟังเลคเชอร์นิ่งๆเป็นไหนๆ
อย่างที่คุณ Jedi ว่าล่ะ ถูกสอนให้คิดไม่เป็น หัวอ่อน โตขึ้นมาพออยากจะแก้ไขก็ลำบากเสียแล้ว ขาดความกล้าที่จะคิดและกระทำ รวมทั้งความกล้าที่จะแสดงออกทางความคิดเห็นด้วย
พอจะเรียนเองก็กลัวว่าจะไม่ตรงหลักสูตร กลัวอ่านไม่ตรงกับข้อสอบที่จะออก ... วีดีโอเลคเชอร์ของชั้นพรีคลินิกจึงขายดีงัยล่ะครับ (เขาให้เหตุผลกันว่า ข้อสอบออกจากเลคเชอร์ - - ทั้งที่อาทิตย์นึงเหลือเลคเชอร์เพียง 6-7 ชั่วโมงเท่านั้น)
พูดถึงประสบการณ์แล้ว ยังมีประสบการณ์แบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาสั่งสมด้วยนะครับ นั่นก็คือ ประสบการณ์สำเร็จรูป ... ประสบการณ์จากผู้ที่มีพร้อมนำมาถ่ายทอดให้แก่ผู้ยังเยาว์และเขลา คิดว่าตรงส่วนนี้คนยังขาดความสนใจกันอยู่ (คอยดูวันมะรืนนี้แล้วกัน งานช่วงประสบการณ์จากรุ่นพี่ถึงน้อง จะมีนศพ.ตั้งใจเข้ามาฟังกันจริงๆกี่คน)

การที่หลักสูตรของคณะพยายามเร่งรัดให้นศ.เป็น adult learning ได้ด้วยตัวเองนั้น ใช้วิธีที่ถูกและเหมาะสมกับทุกคนแล้วหรือเปล่า สำหรับผม ผมคิดว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะมีอะไรหลายๆอย่างในวิธีเรียนที่บังคับให้เราเรียนตามอยู่ดี โดยไม่ต้องคิดเองและเกิดความต้องการจากภายในได้ด้วยตัวเอง


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-13 , Time : 17:11:44 , From IP : 172.29.2.164

ความคิดเห็นที่ : 14


   ผมไม่คิดว่า "เวลา" กับประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์นั้นมีความสัมพันธ์แบบ Linear หรอกนะครับ มันน่าจะเป็น "การใช้เวลาอย่างไร" มากกว่า

คุณ Jedi_Knight บอกว่าอย่าบอกว่าเป็นนักศึกษาแล้วต้องเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตัวผมเองอยากจะพูดว่า "อย่าบอกว่าอายุ 40 ปี แล้วแปลว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว" ถ้าเรากำลังพูดถึง maturity มีคนอายุไม่น้อยจำนวนมากตกอยู่ในหมวด "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" นั่นคือหาได้เรียนรู้สั่งสมประสบการณ์อะไรมาเลยที่ใช้ชีวิตมา ตรงกันข้ามเด้กบางคนเสียอีกที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีก็บรรลุ maturity ได้ เรามีคำดุว่าเด็กว่า "แก่แดด" นั่นก็เป็นเจตคติอย่างหนึ่งแล้วที่เราเคยมองเด็กว่าควรมีหน้าที่แบบทำตัวอาโนเนะไปวันๆ ยิ้มไร้เดียงสา (แปลว่าดวงตาว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย) จึงเป็นพฤติกรรมเด็กที่"ไม่แก่แดด" เดี๋ยวนี้จะเปลี่ยนให้เด้กมันโตขึ้น ก็ปรากฏว่ากลายเป็นแต่งหน้าแต่งตาให้เหมือนผู้ใหญ่ (ซึ่งบางคนแต่งหนักขนาด เฉพาะผู้ใหญ่บางอาชีพเท่านั้นจึงจะกล้าแต่งอย่างนั้น) กล้าเต้นรำแหกแข้งแหกขาแบบผู้ใหญ่ (บางอาชีพอีกเช่นกัน)

ประเทศเรามีปัญหาอยู่ที่ไม่ยอมโต (ตรงกันข้ามกับปัญหาของเด็กตะวันตกที่โตเร็วเกินไป) เด็กมหาวิทยาลัยยังจงใจพูดไม่ชัด อ้อๆแอ้ๆ แบบเด็กอมมือ นัยว่ามันคิคุอาโนเนะน่ารักน่าชังดี งานการความรับผิดชอบตนเองต่อสังคมเป็นอะไรที่ "ไม่ cool" ที่จะพูด จะอภิปราย การมีหลักการหรือใช้เหตุผลกลายเป็น (อย่างที่มีคนเคย post ที่นี่) "จะดีเกินไป"

ถ้าเรายอมรับเรื่องเหล่านี้ ผมก้คงจะบอกว่า andragogy นั้นไม่ได้ผลแน่นอน แต่ทีนี้เราจะเปลี่ยนมันรึเปล่า หรือว่าช่างหัวมันแห้วมันแกว ถ้าจะเปลี่ยนเราจะมีบทบาทอย่างไรในขบวนการนี้ (ไม่ต้องไปบังคับหรือรอคนอื่นให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ก่อนหรอกครับ เอาพวกเราในที่นี้นี่แหละว่าจะทำอย่างไร)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-13 , Time : 17:30:02 , From IP : 172.29.3.196

ความคิดเห็นที่ : 15


   ...คุณ Phoenix ถามในบทบาทของแพทย์หรือบทบาทของคนๆหนึ่งในสังคมล่ะครับ

สำหรับตัวผมเอง นศพ. ในเมื่อรู้ตัวว่ายังไม่ mature พอ ก็พยายามที่จะเรียนรู้ ฝึกฝน (แม้จะขี้เกียจและหลับเป็นอุปสรรค)
ถ้าอยากให้คนอื่นเขาพัฒนาด้วย ก็คงต้องให้เขารับรู้ล่ะครับ ว่าตัวเองนั้นยัง immature แค่ไหน และมีศักยภาพในตัวเองขนาดไหนที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้
และความสำคัญของการเติบโตด้วยครับ
(มีเยอะนะครับ คณะอื่นๆ เรียนจบแล้วยังไม่รู้ตัวเองว่าจะทำอะไรดี เรียนมาเพราะเอ็นท์ติด .. เฮ้อ)


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-13 , Time : 18:14:57 , From IP : 172.29.2.164

ความคิดเห็นที่ : 16


   บทบาทของคนเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามวัยวุฒิ คุณวุฒิ และหน้าที่ความรับผิดชอบ เมื่ออายุมากถึงค่าหนึ่งมองกลับไปจะแปลกใจว่าเรา "เปลี่ยน" มากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยิ่งพวกปรัชญาชีวิตตอน teenager นั้น ตอนนั้นดูมันช่าง absolute และคงจะไม่เปลี่ยนอีกต่อไปแล้ว ที่ไหนได้.... เคยมีคำว่า (ฝรั่งพูด) if you are a teenager and not liberal, you are heartless but if you are an adult and not conservative, you are brainless.



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-13 , Time : 20:35:53 , From IP : 172.29.3.196

ความคิดเห็นที่ : 17


   ทำไม adult ที่ไม่ conservative ต้อง brainless ด้วยล่ะครับ น่าจะตรงข้ามกันมากกว่านะครับ

Posted by : ArLim , Date : 2003-08-14 , Time : 00:12:16 , From IP : netturbo5.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 18


   มันเป็นคำพูดของพวก republicans น่ะครับ!!

คืองี้...เขา (republcians) อธิบายว่าตอนคนเราอายุยังน้อยๆ เรามักจะเป็น idealism ได้แก่ เพื่อสังคม เพื่อประชาชน เพื่อความเสมอภาค อะไรทำนองนี้ และไม่มี grey zone มีแต่ขาวกับดำ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ socialism หรือ communism นะเนครั้งหนึ่งเคย attract วัยรุ่นหรือนักศึกษาจำนวนมากเข้าเป็นพวกได้ วัยนี้จะเป็นวัยที่ต้องการ "อุดมคติ" และโลกที่ทุกๆมีความสุข แต่ส่วนใหญ่หมายถึงมีมาตรฐานการครองชีพของอเมริกันนะครับ (นอกเรื่องนิดนึง WHO บอกว่า quality of life ในนิยามของอเมริกันว่าครอบครัวนึงอย่างน้อยควรจะมีรถหนึ่งคัน ตู้เย็น ทีวี วิดีโอ วันหยุด ฯลฯ เป็น capitalist elusion เพราะถ้าจะ apply กับประชากรประเทศจีนประเทศเดียว resource ทั้งโลกก็ไม่พอ!!! เอามาจาก magazine TIME เล่มที่แล้ว)

แต่พอเด็กพวกนี้โตขึ้น มีหน้าที่การงาน มีครอบครัว ในระบบ capitalism นั้น การแก่งแย่งหน้าที่การงาน หรือ job นั้นดุเดือดมาก มีคนมีกำไร ก็แทบจะหมายถึงมีคนถูก ripped off พวกนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าที่เคยปาวๆว่ามนุษย์ทุกคนเท่ากัน prosperity ของคนรวยต้องนำมาเจือจานทุกๆคน ก็ชักจะเริ่มลังเลที่จะแจกเงินให้พวก jobless homeless ที่ On benefit (หมายถึงเงิน support จากรัฐบาลเลี้ยงพวกตกงาน ไร้บ้าน ให้เบี้ยเลี้ยงเกือบเท่า minimal wage) แล้วขี้เกียจ ไม่ได้ขวนขวายหางานทำ แล้วเริ่มสงสัยว่าที่ตนเองทำงานเหื่อยยากเลี้ยงครอบครัวอยู่ทุกวันนี้ เป็นการยุติธรรมแล้วหรือ ที่ 40-50% ของภาษีถูกดึงไปพยุงพวกนี้ เพื่อ the sake of "Equity" แล้วก็ turn ไปเป็น Conservative หรือ Right Wing หรือในอเมริกาคือ Republicans (พวกเดียวกับ Bush ตอนนี้แหละครับ)

สงสัยนิยามของ Conservative ของคุณ Arlim จะไม่เหมือนที่ผมตั้งใจไว้ ของผมนั้นหมายถึง Political side of thought ที่แยกขวาแยกซ้ายน่ะครับ (Liberal นี่ suppose ว่าควรจะอยู่กลางๆ แต่ที่ Popular ทากกว่ากลายเป็น liberal left)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-14 , Time : 01:26:36 , From IP : 172.29.3.196

ความคิดเห็นที่ : 19


   ผมก็เข้าใจนะครับว่าแยกเป็นพวกหัวซ้ายหรือขวา
แต่ผมไม่คิดว่าเดี๋ยวนี้พวกอนุรักษ์นิยมจัดจะถือว่าเป็นพวกมี brain นะครับ ลองขวาจัดหรือซ้ายจัดอย่างนี้ มันก็แสดงว่าเขาไม่คิดอะไรแล้ว ยึดกับหลักการของตัวเองหรือนโยบายเพียงอย่างเดียว


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-14 , Time : 01:40:18 , From IP : netturbo5.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 20


   คุณ ArLim เป้นเรื่องอันตราย (และค่อนข้างเขลา) ในการที่จะ describe ผู้ที่มี Political view แตกต่างจากเราว่าโง่หรืออะไรอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกประโยคที่ quote มานั้นเป็น propaganda ของพวก repubican แต่ประการหนึ่งที่ผมสามารถ reassure ได้ว่าจริงก็คือ political opinion กับ intelligence นั้น ไม่ได้แปรตามกัน

ทุกๆ Political ideology มี range ของประชาชนมากมาย รวมทั้ง idiot ไปถึง genius คุณ ArLim ๕งจะไม่สรุปว่า Winston Churchill หรือ Magaret thatcher เป้น brainless ใข่ไหมครับ ในทำนองเดียวกันเราก็พอจะมั่นใจว่า Carl Marx นั้นไม่ใข่โง่แน่นอน แต่ปรัชญาความเชื่อทางการเมืองนั้นเป็นอะไรที่เหนือกว่าความฉลาดมาเกี่ยวข้องนะครับ

การสรุปว่า different political ideology เป้นความโฉลาดนั้น อันตรายพอๆกับเรื่องศาสนานั่นแหละครับ คือคนที่ทำอย่างนั้นจะกลายเป็นคนโง่เร็วที่สุด



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-14 , Time : 01:57:46 , From IP : 172.29.3.196

ความคิดเห็นที่ : 21


   if you are a teenager and not liberal, you are heartless but if you are an adult and not conservative, you are brainless.
ผมก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงหาว่าพวกที่ไม่ consevative ถึงเป็น brainless งัยล่ะครับ มันก็แค่ต่างความคิด ต่างอุดมการณ์เท่านั้นเอง


Posted by : ArLim , Date : 2003-08-14 , Time : 13:25:07 , From IP : 172.29.2.231

ความคิดเห็นที่ : 22


   อย่างที่เรียน "propaganda" ก็คือการ discredit ฝ่ายตรงกันข้ามคือ democrat เพียงแต่ทั้งสองพรรคใน USA ทั้งสองฝ่ายเป็น capitalists ขวาจัด หรือขวาค่อนมาตรงกลางแค่นั้น

ที่ผมนำมาอ้างเพราะมันเฉียดๆกับที่ว่าเราจะมีการเปลี่ยนแปลงความคิดไปตามประสบการณ์และกาลเวลา แม้แต่คนพูดประโยคข้างบน ก็บอกเป็นนัยๆว่าเขาเองก็เคยเป็น Lefties มาตอนวัยรุ่นเหมือนกันแต่เปลี่ยนไปเพราะมองคนละมุม คนละวัยเมื่อเวลาผ่านไป



Posted by : Phoenix , Date : 2003-08-14 , Time : 15:14:13 , From IP : 172.29.3.160

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<