รพ.พุทธฉือจี้ ที่กล่าวถึงนั้นคือพุทธศาสนามหายานนิกายหนึ่งในไต้หวัน คือ นิกายฉือจี้ ครับ กระทรวงสาธารณสุข สวสส. สสส. และสนง.หลักประกันสุขภาพ จัด convoy ไปเยี่ยมชมงานหลายต่อหลายชุดแล้ว ขอกล่าวสรุปนิดนึงก็แล้วกัน พุทธศาสนามีนิกายย่อย (lineages) 3 lineages คือ เถรวาท (วาทะของคนเฒ่า) มหายาน และวัชรยาน (Tibetan buddhism) ส่วนคำว่า "หินยาน" นั้นเป็นมหายานเขาเรียกเถรวาท (Theravad) ยังงั้นเพราะอะไร กำลังจะบอก เถรวาทของไทยนั้น ใช้คัมภีร์พระไตรปิฏก (สามตะกร้า) หรือ Pali canon (Tipitakka) เป็นคัมภีร์หลัก แบ่งเป็นพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม รวม 84000 พระธรรมขันธ์ สามารถศึกษาได้จนลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนพระอภิธรรม มหายานนั้น share พระอริยสัจจสี่ (The Four Noble Truths) เหมือนเรา แต่มีต่างคือจะมีการปวารณาตนจะใช้ชีวิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์ (หรือการทำ Bodhisattava Vow) ที่ว่าด้วยการอุทิศตนในการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นมรรคาหลัก นอกเหนือจากมรรค 8 (จึงเป็นที่มาของชื่อ มหายาน = ยานพาหนะของคนจำนวนมาก) และเปรียบของเราเป็น "หินยาน" หรือยานพาหนะของคนจำนวนน้อย (หิน อ่าน "หิ-นะ" แปลว่าน้อย) เพราะของเรานัยว่าต้องปลีกวิเวก บำเพ็ญวิปัสสนาสมาธิฌานต่างๆของตนก่อน ประเทศที่ใช้มหายานเยอะๆ ก็เช่นญี่ปุ่น และไต้หวันที่ว่าเป็นต้น เมื่อนิกายฉือจี้นำเอาปรัชญาการปฏิบัติตัวมา apply ในชุมชน ผลที่ได้เกินความคาดหมายอย่างยิ่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของคนนอก) เพราะแต่ละคนจะเน้นการทำบุญ กุศล โดยการช่วย ช่วย ช่วย ช่วย ฯลฯ ผู้อื่นเพื่อจะได้บรรลุพุทธะ คนกล่าวว่าจะยอมแม้กระทั่งไม่ตรัสรู้ เพื่อที่จะได้กลับมาเกิดในวัฎสังสารและมีโอกาสช่วยคนอื่นต่อๆไปอีก ผลที่ได้คือเป็นกองทัพอาสาสมัครที่แย่งกันมาช่วยคน มหายานฉือจี้ยอมให้มีการสะสมทรัพย์ได้ เพราะมีเงินแปลว่าจะนำม่ช่วยคนได้เยอะขึ้น เขาจึงมีอาสาสมัครเก้บของ recycle มาขายบริจาคเงินให้มูลนิธิ มีเงินเข้าก้สร้างสถานี้โทรทัศน์เป็นของตนเอง เป็นอิสระ (เป็นอีก version ของ iTV (Independent TV) และออกอากาศเป็นช่วงๆ ในโปรแกรมจะมีแต่เรื่องว่าใครที่ไหนทำอะไรดีต่อสังคมบ้าง เอามาเชิดชู เอามาสรรเสริญ เอามา share ประสบการณ์กัน สถานีเขา hi-tech ไม่แพ้ CNN BBC เลยทีเดียว โรงพยาบาลพุทธฉือจี้ เป็นโรงเรียนแพทย์เปิดใหม่ไม่นานเท่าที่อื่นๆ จะมีอาสาสมัครมาช่วยเข็นเปล อ่านหนังสือให้ผป.ฟัง บางคนก็มาเล่นเปียโนที่ Grand Hall ของ รพ. กล่อมคนไข้ให้ฟรี ลานหน้า รพ. จะมีอาสาสมัครใส่ชุดเสื้อน้ำเงิน กางเกงขาว (เขาเรียกว่าพวก Blue Angel) มากวาด ทำความสะอาดให้เอี่ยมอ่อง ลำพังหน้าที่อาสาสมัครพวกนี้ มีคนสมัครเยอะจนต้องเข้าคิวเป็นปีๆก็มี พวกนี้มีภัยพิบัติ เดือดร้อนที่ไหน เขาก็จะ despatch ทีมไปช่วยทันที (ถ้าเข้าใจไม่ผิด ตอนสุนามิ เขาก็มาด้วย) พอช่วยเสร็จ อาสาสมัครเหล่านี้จะก้มลงคารวะคนที่เขาช่วยอย่างงดงาม นัยว่าขอขอบพระคุณที่เราเปิดโอกาสให้เขามาช่วย เป็นการทำให้เขาได้สะสมบุญมากขึ้น ขอบคุณนะคร้าบ! ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจมากอีกมาก ลอง search google ดูก็ได้ครับ ใช้ Tsu chi หรือ Buddhism hospital Taiwan จะออกมาเยอะแยะไปหมด มีสาขามากมายรวมทั้งในไทย ============================================= ทีนี้ลำพังเอามาใส่ไว้ใน mission statement ของไทยนั้น ขึ้นอยู่กับว่า Mission Statement นั้นกับ "วัฒนธรรมองค์กร" มีความสัมพันธ์กันแบบไหน เพราะที่เราต้องการนั้นคือ "บริบท" แวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้รู้สึกว่านี่คือ routine ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ใจผมเชื่อว่าที่เขาสอนได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก concept ในกฏ ในมณเฑียรบาลของ รพ. หรือ รร. แต่เป็นเขา ใช้ชีวิตแบบนั้น จาก "คุณค่า บริการ และเจตคติ" อย่างแท้จริง เป็นวิถีชีวิต เป็น Way of Life อะไรทำนองนั้น ใจผมคิดว่าเรื่องทำนองนี้น่าจะเป็น bidirectional คือทั้ง Top-down และ Bottom-Up คือทั้งนโยบายลงมา มาเจอกับคนในองค์กร "พยายาม" ที่จะใช้ชีวิต ตั้งคุณค่า และบริการคนอื่นอย่างไร ผมคิดว่าคนเรานั้น ไม่ว่าจะยังไม่ mature แบบไหนก็ตาม สามารถเข้าใจได้ทั้งนั้นแหละครับว่าช่วยคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ส่วนจะดันอีกนิดให้เป็น Altruism (หนึ่งใน Core Competencies ของ รพ. ศิริราชครับ) ต้องช่วยแบบยอมสละความสุขส่วนตัว ประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ได้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะ "สั่ง" กันได้ หรือเขียนไว้ใน Mission Statement เฉยๆโดยไม่มี backup ด้วยนโยบาย กลยุทธ์ที่ลงระดับปรัชญา Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-17 , Time : 22:41:41 , From IP : ppp-124.120.219.97.r |
ความเห็นจาก Social Network : Facebook |
|
>>>>> Page loaded: 0.015 seconds. <<<<< |