"เณรนะยะ"
ทั้งน่าสลดและน่าสะอิดสะเอียนกับภาพข่าวสามเณรตุ๊ดที่วัดแห่งหนึ่ง อันเป็นที่ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ซึ่งมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่เหมาะสมกับสมณเพศ
พากันกรี๊ดกร๊าดแต่งหน้าทาปากแดงแจ๋ ชู 2 นิ้ว กอดกันกลม เพื่อโพสท่าถ่ายรูป
บ้างก็แอ๊กชั่นดูวิดีโอลามกกันทั้งผ้าเหลืองอย่างโจ๋งครึ่ม
เล่นเอาชาวพุทธตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน
ตะลึงเพราะไม่เชื่อว่าสามเณรเหล่านี้ ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือเยาวชนของชาติที่กำลังจะมีอนาคตจะมาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงเช่นนี้
เพราะนอกจากจะเป็นการไม่สมควรแล้ว
ยังเป็นการทำพระพุทธศาสนาเสื่อมถอยอีกด้วย
หลังจากภาพสามเณรตุ๊ดถูกเผยแพร่ออกไปทางสื่ออินเตอร์เน็ตจนเป็นที่ฮือฮา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง จึงรีบตรวจสอบหาที่มาที่ไปทันที
นางบุญศรี พานะจิตต์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพศ. ในฐานะโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมากล่าวว่า ภาพดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้รับทราบผ่านทางอินเตอร์เน็ตมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงสืบสวนหาต้นตอที่มาของการเผยแพร่และวัดต้นสังกัดของสามเณรกลุ่มดังกล่าว
"เบื้องต้นทราบว่าเป็นวัดแห่งหนึ่งที่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ มีพระภิกษุ-สามเณร เรียนหนังสือรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าอยู่ในพื้นที่ไหน เนื่องจากเกรงว่าพระภิกษุ-สามเณร ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย" นางบุญศรีกล่าว
ส่วนการแก้ไข เจ้าหน้าที่ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาได้ถวายเรื่องพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศและการใช้สื่อที่ไม่เหมาะสมของสามเณรดังกล่าวให้เจ้าคณะผู้ปกครอง ตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาสรับทราบ และพิจารณาดำเนินการแก้ไขอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม การป้องกันปัญหาในลักษณะเดียวกันนี้จำเป็นต้องดำเนินการในวงกว้าง โดยในการประชุมพระสังฆาธิการแต่ละครั้ง ทางสำนักงานฯ จะต้องถวายปัญหาดังกล่าวให้คณะสงฆ์ทราบด้วย เพื่อให้รู้เท่าทันและหาทางป้องกันต่อไป
ด้านนายมนตรี สินทวิชัย หรือ "ครูยุ่น" เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก และส.ว.สมุทรสงคราม มองว่า เรื่องนี้ต้องดูด้วยว่าการเบี่ยงเบนทางเพศของพระภิกษุมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะเราต้องยอมรับว่าสามเณรต้องอยู่ร่วมวัดกับพระ
ดังนั้น หากวัดใดที่มีพระลักษณะเบี่ยงเบนทางเพศ ก็อาจเกี่ยวเนื่องไปถึงสามเณรด้วย
"ครูยุ่น" บอกว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่เคยเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปล่อยปละละเลยเกินไป ทั้งที่บางปัญหาเราต้องมองไปข้างหน้าเพื่อหาแนวทางในการป้องกัน เนื่องจากกลไกในการจัดการปัญหาการเบี่ยงเบนทางเพศของพระเป็นไปอย่างเชื่องช้า
เลยทำให้เรื่องราวบานปลายและเลยเถิดจนมีผลพวงมาถึงสามเณรด้วย
และที่สำคัญ เรื่องเหล่านี้ เจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยนำปัญหามาเปิดเผยต่อสังคมเลย กลายเป็นสื่อที่นำมาเปิดเผย ทำให้สังคมไม่เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาและรายละเอียด ซึ่งจะกลายเป็นการบั่นทอนศาสนาไปเรื่อยๆ ตนเชื่อว่าพระภิกษุและสามเณรที่มีลักษณะเบี่ยงเบนทางเพศไม่ได้มีเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น ในต่างจังหวัดก็มี เพราะสื่อลามกเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ทำให้การกระตุ้นทางเพศสื่อเข้าไปในวัด และเมื่อพระมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน สามเณรที่อยู่ด้วยย่อมมีโอกาสเสี่ยงด้วยเช่นกัน
"จากรูปภาพที่เห็น ผมเชื่อว่าเณรไม่น่าจะเป็นผู้ที่คิดจะโชว์เอง ต้องมีพระหรือผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ความผิดไม่น่าจะอยู่ที่เณรซึ่งเป็นเด็ก เพราะเด็กมักจะตกเป็นเหยื่อ และอยากฝากเตือนผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานบวชเณรด้วย
"โดยเฉพาะการบวชเณรในภาคฤดูร้อน ซึ่งเณรจะต้องอยู่ใกล้พระเป็นเวลานาน เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง หากพระพี่เลี้ยงมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ก็จะส่งผลกระทบถึงเณร ดังนั้น ผู้ปกครองต้องตรวจสอบให้ดี และหน่วยงานของรัฐต้องตรวจสอบประวัติของพระด้วย พฤติกรรมลักษณะนี้น่าจะตรวจสอบได้ไม่ยาก" นายมนตรี กล่าว
ขณะที่นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ประธานมูลนิธิเด็ก ให้ความเห็นว่า เรื่องราวสามเณรเบี่ยงเบนทางเพศทางอินเตอร์เน็ตถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ซึ่งน่าสงสัยว่าเป็นสามเณรจริงหรือเปล่า ถ้าหากเป็นสามเณรจริง ไม่เชื่อว่าจะทำเอง ต้องมีผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวัด อาจจะเป็นพระหรือฆราวาสเป็นผู้ที่นำภาพลักษณะนั้นออกมาเผยแพร่ ซึ่งคนที่เผยแพร่ก็ต้องเป็นคนที่มีจิตวิตถาร หรือเบี่ยงเบนทางเพศเหมือนกัน แต่หากเป็นเณรปลอม ก็จะเป็นกระทำในลักษณะที่ต้องการหาพวกหรือหาคนเข้ากลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่ชอบอะไรแปลกๆ
"ผมคิดว่าเด็กทำเองเลยไม่ได้หรอก ต้องมีผู้ใหญ่กระตุ้น และหากเณรออกมาแต่งหน้าทาปากแล้วเอารูปมาโชว์ต่อสาธารณชนแบบนี้ ลำพังเณรเองคงไม่มีทางทำได้ นอกจากจะมีผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
"การกระทำลักษณะนี้นอกจากจะผิดศีลธรรมแล้ว ยังผิดกฎหมายอีก หน่วยงานของรัฐต้องเร่งเข้าไปจัดเรื่องนี้โดยเร่งด่วน ซึ่งผมเชื่อว่าในปัจจุบันพระและเณรที่มีลักษณะเบี่ยงเบนทางเพศน่าจะมีจำนวนมาก" นายสรรพสิทธิ์ กล่าว
สอดคล้องกับนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางแก้ไข ว่า เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาในลักษณะดังกล่าวซ้ำอีก ทางสำนักงานฯ จะทำหนังสือแจ้งพระสังฆาธิการ และเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ ให้ดูแลพฤติกรรมของสงฆ์และเณร ภายใต้ในการปกครองอย่างเข้มงวด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระ-เณรที่ศึกษาอยู่ในร.ร.พระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ทั่วประเทศ จำนวน 406 โรง ซึ่งมีพระและเณร ศึกษาอยู่ประมาณ 73,000 รูป
จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุด
"พระและเณรของไทย มีจำนวนกว่าแสนรูป เมื่อเกิดพวกเบี่ยงเบนเพียง 1-2 ราย จึงถือว่ามีปัญหาไม่ถึง 0.01 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจถือได้ว่าสื่อมวลชนต่างประเทศ นำข้อมูลส่วนน้อยไปตีแผ่ให้เห็นเป็นภาพของส่วนใหญ่
"อย่างไรก็ตาม หากทางสำนักงานฯ ได้ข้อมูลกรณีภาพเณรเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตชัดเจนแล้ว จะชี้แจงให้สำนักข่าวต่างประเทศดังกล่าวมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาในคณะสงฆ์ไทย" นายสุทธิวงศ์กล่าว
นับเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เขย่าวงการดงขมิ้นจนสั่นสะเทือน
แต่อันที่จริงก็คือภาพรวมของปัญหาสังคมไทยด้วย!?!
Posted by : . , Date : 2003-08-05 , Time : 03:08:57 , From IP : 172.29.3.220
|