ความคิดเห็นทั้งหมด : 18

เป็นผู้ใหญ่นี่มันยากจัง


   จำได้ว่าตอนเป็นเด็กๆ ไม่ชอบอะไรกัน ก็บอกกันตรงๆ ไม่พอใจมากๆก็ชกกันเลยง่ายดี เดี๋ยวเดียวก็กลับมาเล่นกันได้อีกเหมือนเดิม แต่ปัจจุบันนี้ไม่รู้มีใครเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างมั้ย อึดอัด รู้สึกว่าในที่ทำงานมีหลายคนใส่หน้ากากเข้าหากัน ต่อหน้าพูดดี ลับหลังก็ด่ากัน ไม่จริงใจ แต่แปลกดีน่ะยิ่งใครใส่หน้ากากได้เนียนมากเท่าไรก็ยิ่งมีแต่คนชอบมากเท่านั้น ต่อหน้าพูดดีๆเข้าไว้ ในใจคิดอะไรก็เก็บเอาไว้ แล้วค่อยไปด่ามันทีหลัง ไม่ชอบขี้หน้ากันก็ยังคุยกันได้ แสร้งยิ้มใส่กัน ไม่ชอบเลย ไม่รู้ว่าแบบนี้มันเป็นสิ่งที่เราควรทำในการเข้าสังคมใช่มั้ย ลองช่วยกันแสดงความเห็นหน่อยได้มั้ยครับ

Posted by : iris , Date : 2006-04-30 , Time : 18:11:13 , From IP : 172.29.7.242

ความคิดเห็นที่ : 1


   เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ทำได้แต่ทำใจรับมันให้ได้มั้งครับ
สำคัญที่คุณอย่าทำแบบนั้นด้วย




Posted by : kronous , Date : 2006-04-30 , Time : 19:15:32 , From IP : 172.29.4.214

ความคิดเห็นที่ : 2


   เจอกับตัวเองเหมือนกันแหละ แรก ๆ มาทำงานมีเรื่องกันแต่ก็ยังคงต้องประสานงานกัน ก็อึดอัดมาก ๆ ๆ ๆ แต่พออยู่ไปนาน ๆ ก็ทำใจได้เพราะยังไงก็ต้องเจอกันอีกนานหลายสิบปี เลยพูด ๆ มันซะเลย ทะเลาะกันไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องพูดกันอยู่ดี
ก็เลยไม่ใส่ใจซะ เดี๋ยวก็ไปพูดดีกับเขา หลัง ๆ เขาจับทางเราถูก เขาก็เลยทำแบบเดียวกะเรา และได้พูดตกลงกันเลยว่า เราทะเลาะกันเรื่องงานนะเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว อยู่ที่เดียวกันเหมือนลิ้นกับฟัน บางทีกะพ่อแม่พี่น้องเรายังทะเลาะกันเลยจริงมะ ทุกวันนี้ก็ Happy ดีนะ อย่าเรียกว่าหน้ากากเลย ขึ้นอยู่กับการปรับตัวและการทำใจมากกว่า ม่ายงั้นทุกข์นานนาจาบอกให่


Posted by : ก.ไก่ ผู้มีประสบการณ์ , Date : 2006-04-30 , Time : 21:32:30 , From IP : 172.29.3.193

ความคิดเห็นที่ : 3


   คงต้องพยายามทำใจให้เป็นกลาง ประสบการณ์ และเวลา จะทำให้เรามีสติและนิ่งขึ้นเมื่อมีอะไรต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต และรู้จักปล่อยความรู้สึกที่ไม่ดีในชีวิตออกไป

Posted by : คนอยู่อย่างพอเพียง , Date : 2006-04-30 , Time : 23:46:31 , From IP : 172.29.1.249

ความคิดเห็นที่ : 4


   คำว่า "ผู้ใหญ่" นี้มีนิยาม หรือความนัย ความหมายว่าอย่างไร ตรงนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น

คงจะไม่ได้หมายถึง "อายุมาก" แค่นั้น เพราะมีมากมายเป็นได้เพียงแค่ "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" นั่นแลดูเป็นผู้ใหญ่เพียงเพราะอยู่มานานเท่านั้น ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการอยู่นานนั้นเลย

สิ่งหนึ่งที่คนเป็นผู้ใหญ่จะ "รู้สึก" ความแตกต่างจากตอนที่เป็นเด็ก ก็คือ น้ำหนัก หรือ ผลกระทบจากความรับผิดชอบ ผมคิดว่านี่เป็นประเด็น หรือเป็น milestone ที่บอกการก้าวข้ามเขตแดนของเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ จะก้าวข้าม border นี้ ไม่ได้ทำเพียงแค่เดินมาถึงแล้วก็ก้าวข้าม แต่เป็น Toll ที่คนจะข้ามต้อง qualified หลายอย่างก่อน qualification criteria เหล่านี้บางทีคนที่อายุน้อยๆก็อาจจะสามารถ acquired และ attained ได้ เด็กคนนั้นก็จะมี "คุณวุฒิ" เป็นผู้ใหญ่ ถึงแม้จะไม่มี "วัยวุฒิ" ถึงก็ตาม แต่คงจะมีไม่บ่อย เพราะสิ่งที่ทำให้เกิด "ความรับผิดชอบ" นั้น ส่วนนั้นได้มาจาก "ประสบการณ์" และ "หน้าที่" ซึ่งตอนเด็กๆมักจะยังไม่มี first-hand experience แต่อาจจะได้ทางอ้อม เช่น observe บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ฯลฯ

ยกตัวอย่างเรื่อง moral หรือ คุณธรรม เด้กๆอาจจะเรียนในห้องเรียน อ่านหนังสือ แล้วสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อันนี้เป็น traditional morality แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่หมายถึงเราสามารถจะ exercise moral sensitivity ได้ในเหตุการณ์จริง เพราะ moral นั้นไม่ได้นำมาใช้เพียงแค่ฟันธงว่าอะไรถูก อะไรผิด แต่นำมาใช้เพื่อมีสังคมที่เอื้ออาทร มีสังคมที่เห็นอกเห็นใจกัน ตรงนี้ต้องอาศัย "หัวใจแห่งความเป็นมนุษย์" ต้องอาศัย "ความเข้าใจชีวิต" ซึ่งไม่มีทางลัดที่จะเรียน ต้องตั้งใจมองค้นหา ต้องหมั่นฝึกฝน ตัวอย่างเช่น เมื่อมีแม่พาลูกมา รพ. ป่วยหนัก เกิน complication แล้วเด็กเสียชีวิต ถ้าใช้ traditional morality ก็มีการเตรียมหา fact ว่าใครถูก ใครผิด ใครผิดจะรับผิดชอบอะไรบ้าง คิดเป็นเงินเท่าไหร่ ใครจ่าย แต่นี่ไม่ได้ช่วยให้สังคม "ดีขึ้น" แบบ compassion ทางที่ดีก็คือ สังคม รพ. หรือ แพทย์รับทราบว่า ในกรณีเช่นนี้ แม่เด็ก ครอบครัวเด้กจะรู้สึกอย่างไร และน่าจะต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความเห็นใจ และดูแลในสภาวะอันมืดมน ในภาวะวิกฤตินี้อย่างจึงจะฝ่าฟันต่อไปได้

ในตัวอย่างที่เจ้าของกระทู้ยกมานั้น คือ เหตุการณ์ที่ผู้ใหญ่จะ exercise moral sensitivity เพื่อที่แสดงว่าเรา "เข้าใจ" หรือสามารถใจเย็นพยายาม "มอง" จากมุมที่แตกต่าง ทำให้เราสามารถผ่อนคลาย "อารมณ์" ของเราในการ approach ได้ เป็นอีก step หนึ่งที่เด็กกับผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะมองอะไรแบบ traditional morality เยอะ มีแต่สีขาว สีดำ มีแต่น้ำและน้ำมัน มีแตกแตกหักแต่ไม่มีประสาน มีแต่เผชิญหน้าแต่ไม่มีประนีประนอม

ถ้าสังคมใช้อารมณ์ ใช้แบบเด็กๆ มากๆ ก็จะเป็นสังคมแห่ง traditional morality หรือใช้กฏหมาย ตามตัวอัการ ไม่ได้ใช้ moral sensivity เป็นสังคมแห่งสีขาวดำ พวกเขา พวกเรา เป็นสงัคมที่น้ำไม่ได้อยู่ร่วมกันได้กับน้ำมัน เป็นสังคมแห่งการเผชิญหย้า ไม่มีการประนีประนอม ไม่มีการใช้สัมมาวาจา สัมมาทิฎฐิ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-01 , Time : 00:08:04 , From IP : 58.147.27.122

ความคิดเห็นที่ : 5


   บางครั้งการพยายามประณีประนอมของผู้ใหญ่หลายๆคน ก็คือการเลือกที่จะไม่พูดความจริง ไม่พูดสิ่งที่รู้สึกจริงๆ เพื่อเลี่ยงการกระทบกระทั่ง ในภาพรวมอาจป็นผลดีต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่าแบบนี้มันดีแล้วจริงๆหรือ เราไม่ต้องจริงใจกับใคร แค่พูดหรือทำต่อหน้าอย่างในสิ่งที่อีกคนอยากได้ ก็พอแล้วหรือ อีกเรื่องคือการวางตัว เคยเปรียบเทียบคนในที่ทำงานที่ขยันทำงานแต่ไม่เคยเสนอหน้าไปให้หัวหน้างานเห็น กับคนที่ขยันเฉพาะต่อหน้าหัวหน้างานมั้ย ถ้าถามพวกคนทำงานด้วยกันคงรู้ว่าใครเป็นยังไง แต่ถ้าถามหัวหน้างาน ภาพของคนสองคนนี้มันจะต่างกันมั้ยในสายตาของหัวหน้างาน

Posted by : iris , Date : 2006-05-01 , Time : 00:48:18 , From IP : 172.29.7.220

ความคิดเห็นที่ : 6


   มีเรื่องสมมุติอยู่เรื่องนึง...มีเด็กผู้ชายคนนึงคิดอะไร ก็พูดแบบนั้น ไม่ชอบอะไรใคร ก็แสดงชัดเจนและบอกเค้าไปตามตรงเผื่อว่าจะได้แก้ไข ทำงานก็เป็นไปตามธรรมชาติของคน ก็คือมีขยันบ้าง ขี้เกียจบ้างสลับกันไป ทำตามอารมณ์ไม่ได้สนใจว่าคุณครูหรือใครจะมองอยู่หรือเปล่า กลับกัน มีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ไม่ได้พูดทุกอย่างที่คิด พยายามพูดแต่สิ่งที่อีกฝ่ายอยากได้ยินไม่ว่าจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆหรือไม่ก็ตาม ทำงานก็คล้ายๆเด็กผู้ชายคนแรกแต่จะขยันหน่อยต่อหน้าคุณครู ไม่บอกก็คงพอเดาออก ว่าคุณครูจะรักใครมากกว่า คำถามก็คือ การกระทำของเด็กคนไหนกันแน่ที่ถูก และถ้าเด็กผู้ชายอยากให้คุณครูรักเท่าๆกับเด็กผูหญิง เค้าจะต้องเปลี่ยนตัวเองใช่มั้ย แบบนี้เรียกว่าการใส่หน้ากากเพื่อเข้าสังคมหรือเปล่า ถ้าต้องอยู่ในสังคมทุกคนต้องทำแบบนั้นจริงๆหรือ

Posted by : iris , Date : 2006-05-01 , Time : 01:02:42 , From IP : 172.29.7.220

ความคิดเห็นที่ : 7


   คำถามอาจจะเป็นจะเกิดประโยชน์หรือโทษมากกว่ากันในการที่เราจะพูดอะไรที่เรา "รู้สึก" ทุกอย่าง?

"รู้สึก" หรือ feeling เป็น emotional expression ตรงกันข้ามกับ "คิด" หรือ thinking เป็น logical expression เมื่อคนใช้ emotional mode ในการรับรู้หรือแสดงออก บางทีมันไม่ได้มีเหตุผลเสมอไป อาจจะเป็นอารมณ์อย่างเดียว อารมณ์ไปก็จะถูกรับด้วยอารมณ์กลับมา ผล?

วัฒนธรรมของสถานที่ ขององค์กร จะเป็นตัววางกรอบ และกำหนดทิศทางการแสดงออกของคนในองค์กรนั้นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เคยดู programme "The Apprentice" ไหมครับ ที่ Donald Trump จ้างทีมสองทีม มอบหมายงานเป็นชิ้นๆให้ทำ เน้นอย่างเดียวคือ outcome ถ้าใคร "แพ้" ตอนรายงานประเมินผลก็จะถูก "ไล่ออก" หรือ fire เก้บข้างของกลับไปเลย ไม่ดูแม้แต่นิดเดียวว่าใครจะทำงานจนตัวแทบจะขาด มี determination แค่ไหน ทุ่มเทแค่ไหน สุดท้าย "ผลงาน" เท่านั้นที่นับ รายการนี้เป็น model ที่ดีมากของ capitalism และ materialism ชัดเจนที่สุด ใช้ปรัชญา Machavillian ที่ว่า The end justifies the means ซึ่งในโลกอเมริกา business model จะใช้วัฒนธรรมนี้ผลักดัน ส่วนของเราจะเลียนแบบมามากน้อยแค่ไหน ก็ลองพิจารณาดูรอบๆตัวของเรา

ตัวอย่างที่สมมติ แสดงว่าหัวหน้างาน "ประเมิน" ลูกน้องแค่ action ต่อหน้เท่านั้น ไม่ได้ดูผลงาน ไม่ได้ดูมิติอื่นๆของงาน คนใต้บังคับบัญชาหรือคนที่จะได้ดีได้เสียจากการประเมินก็จะปรับตัวเข้ากับ "วิธี" ประเมิน ผลคืออะไร? อาจจะดูดี ประเมินได้ดีในสายตาของนายคนนี้ แต่ "งาน" จริงๆล่ะ? และประโยชน์ต่อองค์กรล่ะ? ทิศทางและคุรค่าขององค์กรนี้ก็อาจจะ fake พอๆกันกับวัฒนธรรมการประเมินที่ว่า คำถามก็คือ เราอยากจะ "ได้ดี" ในองค์กรแบบนี้? และมันจะ "ดี" ต่อตัวเราอย่างไร? และข่อสำคัญก็คือ เรามั่นใจแค่ไหนว่า เรา "รู้" วิธีประเมินว่าอาจารย์ หรือ นาย ใช้วิธีที่ประเมินผักชีโรยหน้าอย่างเดียว หรือเขาดูอย่างอื่นประกอบด้วย?

ความรู้สึกอยากให้คนรักนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในสายอาชีพของเรานั้น (แพทย์) เราเน้นที่ "คนไข้" เรามากกว่า แถมความรักที่เราได้นั้น ไม่ใช่เพราะเราอยากให้เขารักนะครับ แต่เป็นผลสะท้อนจากเราอยากให้เขา "พ้นทุกข์" ก่อนต่างหาก ส่วนที่เหลือเป็นแค่ "ผลพลอยได้" จำเป้นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าใจตรงนี้ เพราะถ้าตั้งเป้าหมายว่าเรามาทำอะไรตรงนี้เพื่อให้คนอื่นรักนั้น บางทีมันจะส่งผลบิดเบี้ยวไปยังการกระทำของเราได้ไกล เช่น ตามใจคนไข้ ตามใจครู ขายตัวให้ครู ฯลฯ เพราะเรา "กระหาย" ความรักที่ไม่ตรงกับเหตุผลหลักการของเราที่มาอยู่ที่นี้แต่แรก

บางที่เราอาจจะต้องมองตัวเองให้ไกลกว่าวันสองวันข้างหน้า มองไปให้เห็นถึงว่าเรากำลังจะเป็น "คนอย่างไร" ในอนาคต ตรงนี้คือความสามารถอีกอย่างของ "ผู้ใหญ่" ก็คือ ความเข้าใจในมิติของเวลาที่เป็น perspective กว้างไกลกว่าเด็ก เด็กเล็กๆนั้นมีความเข้าใจเรื่องเวลาน้อยครับ เพราะเวลานี้เป็นอะไรที่ abstract มาก ยิ่งเด้กมากๆจะ "รอ" ไม่เป็น ทุกอย่างต้องเดี๋ยวนี้เท่านั้น ยิ่งโตเรายิ่งเข้าใจว่าเวลา space & time นั้น มันลึกซึ้งและซับซ้อน เช่นเดียวกับชีวิต ความใจเย็นจึงกลายเป็น asset อีกประการของ maturity และความใจร้อนก็เป็น liability อีกประการของคนที่ยังไม่ mature



Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-01 , Time : 01:32:47 , From IP : 58.147.27.122

ความคิดเห็นที่ : 8


   ขอบคุณ อ.นกไฟ กับแนวความคิด และมุมมอง ที่น่าสนใจ

การประเมินคนที่ผลของงาน ไม่ใช่การแสดงการทำงาน เหมือน เคยมีกระทู้ เดี๋ยวขอแวะไปอ่านก่อน ไม่แน่ในว่าสอดคล้องกันไหม

ทุกวันนี้ที่เวลาล่วงเลยไป ไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเอง "โต" ขึ้นเลยแห๊ะ ยิ่งเวลาอยู่กับรุ่นเดียวกัน ความรู้สึกก็ไม่ต่างกับเมื่อ 10 ปีก่อน

อยากเห็นตัวเอง ในมุมมองของคนอื่นจัง ว่าเราเป็น "ผู้ใหญ่" หรือยัง



Posted by : OmniSci , Date : 2006-05-01 , Time : 05:25:41 , From IP : 172.29.5.191

ความคิดเห็นที่ : 9


   คล้ายๆกับจะบอกว่าไม่ต้องสนหรอกว่าใครจะมองยังไง แค่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ แล้วงานของเราออกมาดีหรือเปล่า ใช่มั้ยครับ ถ้าเราอยู่คนเดียวในโลก และงานของเราก็มีเราทำมันอยู่แค่คนเดียว ก็คงจะคิดอย่างนั้นได้ แต่รู้อะไรมั้ยครับ ความเป็นจริงก็คือ ระหว่างที่เราพยายามตั้งใจทำงานของเราอย่างดี ก็ยังมีคนอื่นอีกที่ต้องร่วมทำงานอย่างเดียวกับเรา กลับไปที่เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงคนเดิม ถ้าเด็กผู้ชายต้องถูกคุณครูมองว่าขี้เกียจ ทั้งที่เค้าทำงานมากกว่าเด็กผู้หญิง แต่คุณครูมีโอกาสเห็นเฉพาะตอนที่เค้างีบหลับเพราะความเหนื่อยจากการทำงาน ตรงกันข้ามกับเด็กผู้หญิง ที่รู้ว่าคุณครูจะมาเมื่อไร จึงไม่เคยแอบงีบตอนนั้นเลย คุณครูก็คงไม่มีทางรู้ว่า ใครทำงานมากหรือน้อยกว่ากันจริงๆ เพราะมันเป็นผลงานรวม คำถามก็คือ เด็กผู้ชายควรไม่ต้องสนใจ และคิดแบบองุ่นเปรี้ยวว่า การประเมินไม่ยุติธรรม ไม่มีใครเห็นความดีของเรา ที่นี่มันห่วย และอยู่ไปวันๆแบบที่ อ.นกไฟว่า หรือ เค้าควรจะเปลี่ยนตัวเอง และทำตัวfakeแบบเดียวกัน .... ถ้าการเป็นผู้ใหญ่ คือการที่ต้องเรียนรู้มารยา เรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดในสังคม และเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแบบนั้น จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรกไปล่ะก็ คงมีผมคนหนึ่งหล่ะที่ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เลย

Posted by : iris , Date : 2006-05-01 , Time : 19:56:06 , From IP : 172.29.7.193

ความคิดเห็นที่ : 10


   ผมเคยเจอแบบที่เด็กหญิงนอนทั้งวันไม่ทำไรเลย แต่สวย....get a ตลอด แบบนี้ทำใจลำบาก.เหลือเกิน....ลำบาก

Posted by : cabin_crew , Date : 2006-05-01 , Time : 20:03:20 , From IP : 172.29.4.229

ความคิดเห็นที่ : 11


   จริงหรือ ที่การพยายามทำหรือพูดในสิ่งที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี ทั้งต่อตัวเค้าเอง และต่อตัวเรา โดยที่เราอาจจะไม่ได้รูสึกอย่างนั้นจริงๆ คือมารยาทในการเข้าสังคมที่ผู้ใหญ่พึงกระทำ และจริงหรือที่การพูดความจริงเสมออาจนำความเดือดร้อนมาให้เรา ต้องคอยเลือกที่จะพูดความจริงให้ถูกกาละเทศะ ความจริงใจไม่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตแบบผู้ใหญ่ในสังคมปัจจุบัน เป็นผู้ใหญ่นี่มันยากจริงๆน่ะ

Posted by : iris , Date : 2006-05-01 , Time : 20:05:56 , From IP : 172.29.7.193

ความคิดเห็นที่ : 12


   สัมมาวาจา "ไม่พูดโกหก ไม่ส่อเสียด ไม่หยาบคาย พูดสร้างสรรค์" ถ้าเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแต่พูดอีกอย่างนั่นคือการพูดไม่จริง ก็คงจะไม่ใช่สัมมาวาจา

การซื่อตรงต่อตนเองและสามารถประเมินได้ตรงตามเป็นจริงนั้นช่วยได้เยอะครับ ในระยะต้น จะมีประโยชน์มากถ้ามีกัลยาณมิตร มีอุปัชฌาย์ช่วยสะท้อนว่าเราคิดรอบแล้วหรือไม่ เพราะแรกเริ่มนั้นเราต้องสะสม wholesome deeds เยอะๆก่อน จนเป็น mental model หรือเป็นบุคลิกภาพ

ผมไม่คิดว่าที่เขียนไปตอนแรกนั้น ต้องการจะสื่อว่าให้ "อยู่ไปวันๆ" นะครับ ตรงกันข้าม ผมคิดว่าเราควรจะ "สะท้อน" ตัวเราทุกวันว่า ณ วันนี้ ตัวเราต่างจากเราเมื่อวานอย่างไร เย็นนี้ต่างจากเมื่อเช้านี้อย่างไร ดีขึ้น เลวลง สะท้อนตนเองอย่างตรงไปตรงมา และยอมรับความจริงให้ได้ ถ้าสะท้อนเสร็จเราได้ก้าวหน้าไปจริงๆ ก็น่าจะดีจริง แต่ถ้าสะท้อนเสร็จเราทำงานอะไรก็ล้าหลัง ไม่เคยเสร็จ แถมยังลงทุนลงแรงเหนือยกว่าคนอื่น อาจจะมีอะไรเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเวลา และประสิทธิภาพในการใช้เวลามาเกี่ยวข้อง

อีกประการที่เรามักจะมอง "เด็กผู้หญิงคนอื่น" แล้วรู้สึกว่า เด็กคนนั้นไม่น่าจะได้ดีอย่างที่เขาได้ไป แน่ใจเพียงไหนว่าเราตัดสินอย่างนั้นโดยไม่มี bias? ขนาดตัวเราเองประเมินตนเองยังไม่ใช่ของง่ายเลยครับ แล้วเรารู้หรือไม่ว่าตอนที่เพื่อนเราคนอื่นเขาไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาเรานั้น เขามุมานะบากบั่นเพียงไร? และที่เราไปตัดสินเขาว่าไม่ควรจะได้ประเมินดีๆนั้น เราได้ "เห็น" เขาเป็นกี่เปอร์เซนต์ของทั้งหมด?

การที่เรา judge คนอื่นยากมาก และมีโอกาสผิดสูงนี้เอง ทำให้ผมเสนอว่าคนที่เรามีโอกาสจะประเมินได้ถูกต้องใกล้เคียงที่สุดก็คือ "ตัวเราเอง" ครับ ดีกว่าการพยายามที่จะไหลตามอารมณ์คนอื่น แถมยังไม่แน่ใจเสียอีกว่าไหลถูกจริงรึเปล่า?

แน่นอนที่สุด สุดท้ายก็คงจะเป็น free choice ครับ ใครจะ fake ใครจะไม่ fake แต่ชีวิตเราทัง้ชีวิต ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเอาคะแนนจากคนๆเดียวแล้วจะมีความสุขได้ดอกนะครับ เราจะปู้ยี่ปู้ยำชีวิตเราเองในความ fake เพื่อเอาชนะใครก็ไม่รู้คนหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราแค่ไม่กี่เดือนกี่วันกระนั้นหรือ? หรือเราควรจะสั่งสมอะไรบางอย่างของตัวเราที่เราจะต้องอยู่ไปกับมันตลอดชีวิตดี? ที่ครอบครัวเรา ที่ลูกหลานเราจะต้องอยู่ด้วย เลียนแบบ ไปตลอดทั้งชีวิตดี?

ศิลปการ "มีชีวิต" นั้น ไม่มีใครบอกว่ามันง่ายเลย แต่เรามี choices ครับ แบบง่าย แบบยาก แบบดี ไม่ดี แบบ ฯลฯ กรรมะเป็นของผู้กระทำ และวิบากนั้นไม่เคยพลาดที่ตามมาสนองในอนาคต ปัจฉิมโอวาทคือทุกๆท่านจงยังชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทเทอญ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-01 , Time : 23:11:28 , From IP : ppp-124.120.218.73.r

ความคิดเห็นที่ : 13


   สัมมาวาจา "ไม่พูดโกหก ไม่ส่อเสียด ไม่หยาบคาย พูดสร้างสรรค์" ถ้าเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแต่พูดอีกอย่างนั่นคือการพูดไม่จริง ก็คงจะไม่ใช่สัมมาวาจา

การซื่อตรงต่อตนเองและสามารถประเมินได้ตรงตามเป็นจริงนั้นช่วยได้เยอะครับ ในระยะต้น จะมีประโยชน์มากถ้ามีกัลยาณมิตร มีอุปัชฌาย์ช่วยสะท้อนว่าเราคิดรอบแล้วหรือไม่ เพราะแรกเริ่มนั้นเราต้องสะสม wholesome deeds เยอะๆก่อน จนเป็น mental model หรือเป็นบุคลิกภาพ

ผมไม่คิดว่าที่เขียนไปตอนแรกนั้น ต้องการจะสื่อว่าให้ "อยู่ไปวันๆ" นะครับ ตรงกันข้าม ผมคิดว่าเราควรจะ "สะท้อน" ตัวเราทุกวันว่า ณ วันนี้ ตัวเราต่างจากเราเมื่อวานอย่างไร เย็นนี้ต่างจากเมื่อเช้านี้อย่างไร ดีขึ้น เลวลง สะท้อนตนเองอย่างตรงไปตรงมา และยอมรับความจริงให้ได้ ถ้าสะท้อนเสร็จเราได้ก้าวหน้าไปจริงๆ ก็น่าจะดีจริง แต่ถ้าสะท้อนเสร็จเราทำงานอะไรก็ล้าหลัง ไม่เคยเสร็จ แถมยังลงทุนลงแรงเหนือยกว่าคนอื่น อาจจะมีอะไรเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเวลา และประสิทธิภาพในการใช้เวลามาเกี่ยวข้อง

อีกประการที่เรามักจะมอง "เด็กผู้หญิงคนอื่น" แล้วรู้สึกว่า เด็กคนนั้นไม่น่าจะได้ดีอย่างที่เขาได้ไป แน่ใจเพียงไหนว่าเราตัดสินอย่างนั้นโดยไม่มี bias? ขนาดตัวเราเองประเมินตนเองยังไม่ใช่ของง่ายเลยครับ แล้วเรารู้หรือไม่ว่าตอนที่เพื่อนเราคนอื่นเขาไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาเรานั้น เขามุมานะบากบั่นเพียงไร? และที่เราไปตัดสินเขาว่าไม่ควรจะได้ประเมินดีๆนั้น เราได้ "เห็น" เขาเป็นกี่เปอร์เซนต์ของทั้งหมด?

การที่เรา judge คนอื่นยากมาก และมีโอกาสผิดสูงนี้เอง ทำให้ผมเสนอว่าคนที่เรามีโอกาสจะประเมินได้ถูกต้องใกล้เคียงที่สุดก็คือ "ตัวเราเอง" ครับ ดีกว่าการพยายามที่จะไหลตามอารมณ์คนอื่น แถมยังไม่แน่ใจเสียอีกว่าไหลถูกจริงรึเปล่า?

แน่นอนที่สุด สุดท้ายก็คงจะเป็น free choice ครับ ใครจะ fake ใครจะไม่ fake แต่ชีวิตเราทัง้ชีวิต ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเอาคะแนนจากคนๆเดียวแล้วจะมีความสุขได้ดอกนะครับ เราจะปู้ยี่ปู้ยำชีวิตเราเองในความ fake เพื่อเอาชนะใครก็ไม่รู้คนหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราแค่ไม่กี่เดือนกี่วันกระนั้นหรือ? หรือเราควรจะสั่งสมอะไรบางอย่างของตัวเราที่เราจะต้องอยู่ไปกับมันตลอดชีวิตดี? ที่ครอบครัวเรา ที่ลูกหลานเราจะต้องอยู่ด้วย เลียนแบบ ไปตลอดทั้งชีวิตดี?

ศิลปการ "มีชีวิต" นั้น ไม่มีใครบอกว่ามันง่ายเลย แต่เรามี choices ครับ แบบง่าย แบบยาก แบบดี ไม่ดี แบบ ฯลฯ กรรมะเป็นของผู้กระทำ และวิบากนั้นไม่เคยพลาดที่ตามมาสนองในอนาคต ปัจฉิมโอวาทคือทุกๆท่านจงยังชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทเทอญ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-01 , Time : 23:18:04 , From IP : ppp-124.120.218.73.r

ความคิดเห็นที่ : 14


   มันคงเป็นศิลปะในการใช้ชีวิตนะคะ เจออยู่เหมือนกัน ทำใจยากมาก และคิดว่าคงไม่อยู่ดีกว่า
แต่ถ้ายังต้องอยู่ก็จะแสดงตัวตนของเราออกไปตามความเหมาะสม เพราะถ้าเราต้องเปลี่ยนตัวเองจนไม่เหลือจุดยืนของเราเองเลย ก็ไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไร

แต่การจะอยู่โดยยืนยันในจุดยืนได้นั้น ยาก ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อาจโดนคนอื่นไม่พอใจ แต่ในที่สุด ถ้าสิ่งที่เราเป็น เป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ในที่สุดทุกอย่างก็จะคลี่คลาย แต่ในที่นี้ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า คนอื่นๆ ต้องเป็นคนที่มีสำนึกที่ดีระดับนึง

อย่างไรก็ตาม เราต้องยึดมั่นในความดี และถ้าเราหมั่นฝึกจิตใจให้มีสติ สมาธิ เราจะมีปัญญาแก้ทุกข์ทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปได้เอง ชีวิตก็เหมือนฝัน ต่างกันตรงที่ฝันนั้นจบแล้วก็จบกัน แต่ชีวิตนั้นไม่จบ สิ่งที่จะติดตามตัวเราตลอดไปคือกรรมดี-ชั่ว และเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตคือนิพพาน เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะพบอะไรในชีวิตมันก็แค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง

จากประสบการณ์การทำงาน เราได้ข้อสรุปว่า ในการจะดำรงชีวิตให้มีความสุข ปรับตัวได้ ไม่ทุกข์จนเกินไป และการจะประสบความสำเร็จในการทำงาน จำเป็นจะต้องมี EQ ที่สูงพอสมควร ซึ่งสำคัญกว่า IQ ด้วย เพราะชีวิตการทำงานจริงนั้น คนเรียนเก่งไม่อาจประสบความสำเร็จได้เท่ากับคนปรับตัวเก่ง การจะทำให้มี EQ สูงขึ้น ก็โดยการฝึกสติ หนังสือของอาจารย์ เทอดศักดิ์ เดชคง ซึ่งเป็นจิตแพทย์ สอนไว้ได้ดีมาก ท่านได้นำแก่นของศาสนาพุทธ มาใช้ในการพัฒนา EQ และรักษาความเจ็บป่วยทางจิตได้อย่างลงตัว

คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการส่งเสริม EQ อย่างจริงจัง ตั้งแต่เด็กเลยยิ่งดี


Posted by : โดรา , Date : 2006-05-02 , Time : 17:27:58 , From IP : 172.29.2.197

ความคิดเห็นที่ : 15


   ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นครับ การดำเนินชีวิตมันยากจริงๆด้วยนะครับ หลายๆทีเราอาจจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เราคิดจะทำ หรือกำลังทำ มันเป็นสิ่งที่ถูก และดีที่สุดสำหรับเราหรือใครคนอื่นหรือเปล่า จนกว่าเราจะได้เห็นผลของมันแล้วจริงๆ แต่สำหรับผม คิดว่าบางทีผลของมันก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่าการที่เราได้พยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และดี ไม่ว่าผลของมันจะออกมาเป็นยังไง เราก็ได้พยายามแล้ว จริงมั้ยครับ และผมว่านะ ถ้าใครอยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขล่ะก็ อย่าเพิ่งทิ้งความเป็นเด็กที่มีอยู่ในตัวไปซะก่อนล่ะ บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณสามารถยิ้มออกต่อไปอีกนานก็ได้น่ะ...

Posted by : iris , Date : 2006-05-02 , Time : 18:40:27 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 16


   ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณ iris ครับ แด่ทุกๆคนที่กำลัง "พยายามทำดีที่สุด" มีศรัทธาไว้เถอะครับว่า อีกหน่อยลผดีมันจะค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างมาจนได้สักวันหนึ่ง



Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-02 , Time : 22:27:37 , From IP : ppp-124.120.223.125.

ความคิดเห็นที่ : 17


   อ่านะ
หน้ากาก
หน้ากาก
หน้ากาก
หน้ากาก
สิ่งที่จำเป็นต้องใช้...เพื่อที่จะโตเป็นผู้ใหญ่


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2006-05-08 , Time : 20:10:30 , From IP : 61.7.157.63

ความคิดเห็นที่ : 18


   ได้แต่หวังว่าทุกคน "รวมทั้งตัวผมเอง" สามารถถอดหน้ากากเหล่านี้ออกไป สะท้อนตนเอง และปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ หวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อ "ถอดหน้ากาก" ออกไปแล้ว ยังพบใบหน้าที่เหมือนหน้ากากนั้นอยู่เบื้องใต้ แปลว่า superego กับ ตัวตน เราได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ยังงั้นก็ขอให้ใส่หน้ากาก superego นี้ไปนานๆ จนมันซึมเข้ามาหาหน้าเราจนได้สักวันหนึ่ง



Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-08 , Time : 22:08:23 , From IP : ppp-124.120.220.151.

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.009 seconds. <<<<<