ความคิดเห็นทั้งหมด : 7

ช่วยรีบๆหยุดระบอบทักษิณโดยด่วน เริ่มรำคาญแล้ว


    ด่วน! ใครมีข้อมูลหลักฐาน พยานวัตถุ พยานบุคคล ให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับศาลสถิตยุติธรรมได้เลย อย่าปล่อยให้คนไม่ดีลอยนวล บ้านเมืองจะได้สงบซะที อย่ามัวแต่กล่าวหาโจมตีกันบนเวที ให้นำข้อมูลที่มีไปฟ้องศาล ต่อสู้กันในศาลเหมาะที่สุด ชาวบ้านจะได้รับประโยชน์จากหลักฐานที่คู่กรณีนำมาหักล้างกัน


Posted by : หนุ่มใจร้อน , Date : 2006-04-29 , Time : 13:00:07 , From IP : 172.29.5.217

ความคิดเห็นที่ : 1


   รำคาญเหมือนกันค่ะ

Posted by : bamboo , Date : 2006-04-29 , Time : 14:38:04 , From IP : 172.29.4.145

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมชอบระบอบทักษิณ ไม่ชอบอภิสิทธิ์ เสนอตัววันนี้ว่าจะเป็นนายกของประเทศไทย แต่เป็นผู้เสนอ มาตรา7 (ที่ในหลวงต้องออกมาชี้แจงให้ฟังว่าผิดหลักการของประชาธิปไตย)และบอยขอตการเลือกตั้งโดยไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขันทำให้เกิดความวุ่นวาย สส ไม่ครบ500 เปิดสภาไม่ได้ ขัดขวางการเลือกตั้ง ไม่เป็นประชาธิปไตย ดูในทีวีเห็นมีคนเอาปีปคลุมหัวล้อเลียนอภิสิทธิ์ว่าเป็นเด็กชาย ม.7 ขายหน้าเขาไปทั้งเมือง

Posted by : ทักษิณ , Date : 2006-04-29 , Time : 23:57:26 , From IP : 172.29.5.107

ความคิดเห็นที่ : 3


    ดิฉันกลับรำคาญกลุ่มคนที่คิดว่าตนเองฉลาด หลับหูหลับตาเชื่อพรรคการเมืองบางพรรค เป็นพวกมากลากไป ฝังใจกับพรรคการเมืองพรรคเดียว โดยไม่คำนึงความถูก ผิด แล้วยังบอกว่าตัวอู่ภาคที่มีจิตสำนึกทางการเมืองสูง ฉลาดกว่าคนภาคอื่นๆ แต่คงแก้ยาก ได้แต่บ่นเฉยๆค่ะ

Posted by : ## , Date : 2006-04-30 , Time : 09:38:12 , From IP : 172.29.5.63

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมหวังว่าที่คุณทักษิณชอบระบอบทักษิณนั้น ไม่ได้เป็นเพราะไม่ชอบอภิสิทธิ์แค่นั้น

จริงๆเวลามีคนเอาปี๊บคลุมหัวหรือทำอะไรล้อเลียนคนอื่นนั้น ใครเป็นคนที่น่าขายหน้าก็ยังบอกยากนะครับ ขึ้นอยู่กับกรอบความคิดของแต่ละคนว่าจะขายหน้าเมื่อไร และได้หน้าเมื่อไร บางคนขายหน้าเมื่อทำตัวไม่สมวัยวุฒิ คุณวุฒิ ชาติวุฒิ ก็มี บางคนขายหน้าเพราะถูกเปิดโปงก็มี หรือบางคนอาจจะไม่เคยขายหน้าเลย เพราะไม่มีต้นทุนอะไรที่จะขายหน้า

คุณอภิสิทธิ์แกนำเสนอความคิดได้ไม่เก่ง ไม่รอบคอบเท่าคุณชวน ที่จริงแกเสนอให้ท่านนายกเปิดทางออกให้มาตรา 7 ใช้การได้ก่อนถ้าอ่านข้อเสนอแนะแกดูดีๆ แกไม่ได้เสนอให้มีการใช้มาตรา 7 ด้วยการหักด้ามพร้าด้วยเข่า หรือลัดช่องทางทางกฏหมายแต่อย่างใด โชคไม่ดีท่านนายกคงไม่เห็นด้วย หรือไม่ทันอ่านให้ละเอียดว่าแกมีบทบาทอยู่ด้วย ช่องทางก็เลยไม่เปิด หรือการที่มีคนมีความเห็นว่สภายังไม่ครบองค์ ก็ยังไม่ควรจะเปิดนั้น เป็นการขัดขวางประชาธิอปไตยอย่างไรก็น่าอภิปรายกัน

ที่มีคนคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันและไม่ลงรอยกันง่ายๆนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ยอมบอกว่าของตนเอง "ดีเพราะอะไร" แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปป้ายสีหรือ criticise ฝ่ายอื่นแทน และการป้ายสีนั้นเป็นแบบ personal attack แทนที่จะเป็นอภิปรายบนที่มาหลักการตัวนโยบายที่แตกต่าง หรือบนบริบทที่ทำให้แตกต่างทางการเมือง ไปอถิปรายที่ outcome ของความคิดและตีความที่มาตามใจตนเอง ก็เลยอภิปรายกันคนละเรื่อง ข้อ conflict ต่างๆก้เลยไม่เคย cross มาพบกันว่าเหตุผลฝ่ายไหนขาดตรงไหน ดีตรงไหน กระบวนการแบบนี้เป็นสิ่งที่ตุลาการศาลเขาใช้กันไงครับ เหมือนตอนที่ กฟผ. ถูกตัดสินนั่นแหละครับ เรื่อง sensationalize ไกลๆไม่จำเป็นต้องยกมาให้ลำบากเลย เพราะตัวกฏหมายวางไว้อยู่แล้วไม่ให้มี conflixt of interest ให้มีประชาพิจารณ์ ให้มีกลุ่มวิเคราะห์การได้การเสีย และกลุ่มต่างๆเหล่านี้หรือคณะฯทำงานต้องมาจากไหนบ้าง คุ้ยไปไม่นานก็เจอตอ เจอ irregularities ก็ตัดสินความได้

ระบอบทักษิณนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผมสามารถทำได้ดีกว่านี้เยอะ หลักการหลายๆประการดีแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ เช่น หลักประกันสุขภาพ อันนี้ดี แต่ต้องลงทุน เพราะถ้าลงทุนไม่พอ ทำให้เกิด dilemma ในการพิจารณารักษาคนไข้โดยแพทย์ ไปขัดแย้งกับหลักจริยศาสตร์ในข้อ principle of social justice แถมยังไปโกรธองค์กรอิสระที่ถูกจ้างมาประเมินตั้งหลายปีแล้ว หาว่าประเมินไม่ถูก (ใจ) หรือหลักการ patronism หรือเน้นอุปถัมป์ค้ำชูนั้น ดีเฉพาะกลุ่มที่ "เริ่ม" จริงๆ ต้องมีกลยุทธิ์สานต่อ ที่จะ empower ให้เขายืนหยัดได้ด้วยตนเอง แต่พอให้กู้ ให้เริ่มต้น กลับมีการแจกเงิน ซื้อหนี้ ตัดความรับผิดชอบในการใช้เงินไป คนที่หวังจะช่วยก็จะไม่เติบโต ไม่มีความรับผิดชอบ กลับการเป็นการสร้างกาฝากให้แก่ประเทศ หรือการขยายทุนโดยต่างประเทศนั้นมีผลดีเยอะ เพียงแต่ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และชี้แจงให้ stakeholder ของประเทศ (ในที่นี้คือประชาชน) เข้าใจว่าได้ทำอะไรไป เพราะอะไร หรือถ้าเรื่องใหญ่ก็ให้สภา ให้สส. สว. ได้รับรู้ คุยกันบ้าง อภิปรายกันบ้าง ช่วยเหลือกันปกครองประเทศ สงายอะไรถามมาก็ชี้แจงได้ ตรวจสอบได้ แทนที่สงสัยมา ถามมาจะตอบ กลับฉุนเฉียว โกรธเกรี้ยว คนก็ไม่เลิกสงสัย ยิ่งสงสัยมากขึ้น ความไว้วางใจก็เข้าภาวะวิกฤตไปเรื่อยๆ

ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราให้ราคาของ "สินค้าตัวอย่าง" หรือคำพูด คำมั่นสัญญาเยอะมาก เพราะตอนเลือกตั้งนั้น เป็นการนำเสนอนโยบายว่าสัญยาว่า "จะทำ" อะไร ยังไม่ได้ลงมือ เพราะฉะนั้น สัจจวาจา หรือ พูดแต่คำสัตย์ นั้นสำคัญที่สุด ถ้าวันหนึ่งพูดอย่างหนึ่งแล้วสามารถกลับคำพูดได้ กลืนน้ำลายตัวเองได้ทุกวัน ทุกอาทิตย์ ประชาชนจะแยกได้อย่างไรว่าอันไหนท่านไม่ได้ตั้งใจพูดจิรง อันไหนเป็นโกหกไปวันๆ อันไหนท่านพูดเล่น ยังนี้ก้ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมีคนรู้สึกว่าไว้ใจท่านได้ยากขึ้นเรื่อยๆ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-30 , Time : 10:07:58 , From IP : 58.147.118.181

ความคิดเห็นที่ : 5


   เห็นด้วยกับความเห็น 2-3

Posted by : eeee , Date : 2006-04-30 , Time : 17:10:40 , From IP : 172.29.5.176

ความคิดเห็นที่ : 6


   ไม่เห็นด้วยกับความเห็น 5

Posted by : ก , Date : 2006-05-01 , Time : 16:36:39 , From IP : 172.29.3.130

ความคิดเห็นที่ : 7


   ไม่

Posted by : 45 , Date : 2006-07-08 , Time : 21:33:00 , From IP : 172.29.7.71

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<