ความคิดเห็นทั้งหมด : 11

complete Jigsaw กระชากหน้ากาก


   complete Jigsaw กระชากหน้ากากผู้อยู่เบื้องหลังความไม่สงบวุ่นวายในประเทศไทย
ขอประกาศไว้ก่อนเลยว่า ข้อความในกระทู้นี้ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลทั้งหมด ... กรุณาใช้วิจารณญานในการอ่านครับ
ผมคิดเอง ... เออเอง ว่า ผู้ร้ายตัวจริงแห่งความวุ่นวายในประเทศไทยทั้งหมดที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เป็นคนไทยและไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ลองคิดตามและพิจารณาดูแล้วกันครับ
1. ปัจจุบันนี้ประเทศต่างๆในโลกนี้ล้วนแต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างรุนแรงจากกระแสโลกาภิวัฒน์ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและในเรื่องของอำนาจในการต่อรองของประเทศตนเองบนเวทีโลก ... ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราก็เช่นกัน
2. ขอให้ท่านนึกภาพต่อว่า ประเทศพอจะมีศักยภาพในการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในภูมิภาค asean นี้ มีใครบ้าง
3. ใครที่เคยคิดว่า อเมริกา หรือ จีน กำลังแทรกแทรงกิจการภายในของเราอยู่ ผมขอบอกว่าให้เลิกคิดเรื่องการแทรกแทรงของ สหรัฐอเมริกา หรือ จีน ไปได้เลย เพราะว่า ประเทศเหล่านั้นอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบเราทุกประการอย่างไม่สามารถจะเทียบชั้นกันได้อยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ประเทศเหล่านั้นจะต้องมาเสียแรงเสียทรัพยากรอะไรมายุ่งกับเรื่องของประเทศที่อยู่ในตลาดคนละ sector กับเขา เพราะคู่แข่งที่เขาต้องจัดการใน sector เดียวกันก็คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน อินเดีย และ ญี่ปุ่น เปรียบเทียบกับเบียร์แล้ว ก็เหมือนกับพวกเบียร์ในกลุ่มตลาด premium กับเบียร์ในกลุ่มตลาด premium ด้วยกันก็จะต้องแข่งกันเอง ส่วน sector ของ economy ก็จะแข่งกับ economy ด้วยกัน เบียร์ hineken จะไม่ต้องมาแข่งหรือคอยมานั่งทำลายชื่อเสียงของเบียร์ leo หรือกรณีมวยก็จะไม่ชกกันข้ามรุ่นอย่าง mike tyson dH0tจะไม่ชกกับ รัตนพล ส. วรพิน แต่นักมวยไทยก็มักจะต้องชกกับนักมวยจาก mexico cuba หรือ phillippines ดังนั้นคู่แข่งที่จ้องทำลายเราก็คือคู่แข่งที่อยู่ใน sector เดียวกันหรือมีน้ำหนักมวยอยู่ในรุ่นเดียวกันนี่เอง
4. ท่านที่คิดว่าสิงคโปร์กำลังจะมาทำลายประเทศไทยนั้น ผมขอบอกว่าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ ขณะนี้ "ยังไม่ถึงเวลา" ขอให้อ่านที่ข้อนี้หนักๆ หากประเมินแล้วในภูมิภาค asean จะมี player ที่มี power จริงๆอยู่ 3 ประเทศ คือ สิงคโปร์ ไทย และ ประเทศ A ซึ่งผมขอเรียกว่า เป็นสถานการณ์ 3 ก๊ก ซึ่งตามตำราพิชัยสงครามแล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์ 3 ก๊กขึ้นมาแล้ว จะตามมาด้วยยุทธศาสตร์การ”จับมือ” หรือ "ฮั้ว" กันระหว่าง 2 ก๊ก เพื่อทำลายอีกหนึ่งก๊กให้หมดไปก่อนแล้วค่อยมาประหารกันเองภายหลังอีกครั้ง ตามที่ผมเคยอ่าน เขาว่าไว้แบบนี้ ลองกลับมามองเรื่องของเราต่อ
ถึงแม้ประเทศสิงคโปร์จะดูโดดเด่นอย่างมากในภูมิภาค แต่ สิงคโปร์มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเป็นความพิการแต่กำเนิด ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ประเทศไทยมีพร้อมทุกอย่าง และถ้าหากมีการจับมือกันระหว่างไทยกับสิงคโปร์กันในรูปแบบของพันธมิตรแล้ว จะเรียกได้ว่าเป็นคู่แต่งงานที่เหมาะสม คือจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละประเทศ หากวิเคราะห์เชิง swot แล้ว เข้ากันได้ราวกับแม่กุญแจและลูกกุญแจตามทฤษฏี lock and key เลยทีเดียวคือ
4.1 ประเทศหนึ่งมีเงินทุนมากแต่ไร้ซึ่งทรัพยากร ประเทศอีกประเทศหนึ่งมีทรัพยากรเหลือเฟือ แต่ขาดแคลนเงินทุน
4.2 ประเทศหนึ่งมีทรัพยากรบุคคลระดับชั้นฝีมือ (skill personel) เกือบทั้งประเทศ แต่ค่าแรงสูงลิบ ไม่มีใครจ้างไหว อีกประเทศหนึ่งมีทรัพยากรบุคคลระดับที่มีฝีมือ ไม่พอเพียง แต่ค่าแรงไม่แพงนัก
4.3 ประเทศหนึ่งคือสิงคโปร์ผลิตน้ำมันเองไม่ได้แต่ก็รู้ตัวเองดีและบังเอิญฉลาดจึงหันไปเอาดีทางการเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายน้ามันล่วงหน้าหรือการค้า future น้ำมัน แทน และยังประกาศอีกว่าจะเป็น energy hub ของภูมิภาค ส่วนอีกประเทศหนึ่งคือไทยมีบริษัทน้ำมันที่ต่างชาติยกย่องให้เป็น rising star และกำลังทะยานอันดับวิสาหกิจที่มีผลประกอบการยอดเยี่ยมแห่งเอเชียได้อย่างรวดเร็วจนน่ากลัวอย่าง ป.ต.ท. และอาจตามมาด้วยไทยออยล์
4.4 ประเทศสิงคโปร์แทบจะผลิตสินค้าด้วยตัวเองไม่ได้ ก็หันไปเอาดีทางการเป็นศูนย์กลางทางการเงินแทน ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ "โคตรฉลาด" กล่าวได้ว่าสิงคโปร์ทุกวันนี้ร่ำรวยได้จากการ "บริหารเงิน" โดยแท้ แต่ประเทศไทยของเรานั้นมีศักยภาพในการผลิตสินค้าได้ด้วยตัวเองแบบชนิดที่เรียกว่า "ไม่มีอะไรที่คนไทยทำไม่ได้" แต่กลับขาดแคลนเงินทุน
4.5 ประเทศสิงคโปร์มีบริษัทโทรคมนาคมที่เรียกได้ใหญ่อาจจะที่สุดในภูมิภาคคือ singtel แต่ไม่มีดาวเทียมเป็นของตัวเอง ส่วนประเทศไทยมีดาวเทียมเป็นของตัวเองและกำลังทำการขยายระบบเคเบิ้ลใยแก้วอีกจำนวนมาก
4.6 ประเทศสิงคโปร์พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะผลักดันตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวโดยเฉพาะโครงการการทำ entertainment complex ขนาดใหญ่ แต่พอนักท่องเที่ยวต่างชาติ request อยากเที่ยวธรรมชาติ อยากมี recreation แบบสบายๆ chillๆ บ้าง อยากเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบ้าง สิงคโปร์กลับไม่มีสินค้าเหล่านี้มาตอบสนอง ในขณะเดียวกัน ผรั่งอยากเที่ยวแบบไหน พี่ไทย "จัดให้" ได้หมด ยกเว้นอยู่อย่างเดียวก็คือ "entertainment complex"
4.7 สิงคโปร์พยายามอย่างที่สุดเหมือนกันที่จะเป็น medical hub of the south east asia แต่อนิจจา ค่าหมอ ค่ารักษาพยาบาลของสิงคโปร์ช่างแพงเหลือเกิน อีกทั้งพอลูกค้าอยากได้ alternative therapy เช่น spa สิงคโปร์ก็ไม่สามารถจัดให้ได้อีก แต่ไทยสิครับ มารักษา ร.พ.บำรุงราษฏร์ โคตรแพงแต่ก็ถูกกว่าไปสิงคโปร์เยอะ รักษาเสร็จ ไป spa ต่อที่ภูเก็ตหรือสมุยอีกสบายๆ หายป่วยทั้งกายและใจ มาทีเดียวเหมือนได้ 2 เด้ง
4.8 ประเทศสิงคโปร์มีความกระหายที่สุดในการเป็นศูนย์กลางทางการบินของภูมิภาค หรือ aviation hub แต่พอประเทศไทยสร้างสนามบินสุวรรณถูมิเสร็จ ... สิงคโปร์ถึงกับ จ๋อย เพราะสนามบินแห่งสิงคโปร์จะใหญ่สักแค่ไหนก็มีได้แค่ 1 แห่งเท่านั้น แต่ ประเทศไทยไม่ได้มีแค่สนามบินสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียว ไทยเรายังมีสนามบินที่ เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ที่สามารถจะขยับขยายต่อให้ยิ่งใหญ่เป็น network เดียวกันได้ เป็น network ของ "AOT-Airport of Thailand" ซึ่งแต่ละแห่งที่ว่ามานี้ก็ล้วนแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ "world class" ทั้งนั้น !!!
4.9 สิงคโปร์พยายามจะ position ตัวเองเป็น hub of education โดยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ แต่ถามหน่อยเถอะว่า ถ้าประเทศไทยทำแบบเดียวกัน ท่านเป็นคนต่างประเทศจะอยากส่งลูกหลานไปใช้ชีวิตที่ประเทศไทยหรือสิงคโปร์มากกว่ากัน ถ้าคุณภาพการศึกษาไม่ต่างกัน สอนแบบ international ด้วยภาษาอังกฤษเหมือนๆกัน แต่การเรียนไทยถูกกว่า บรรยากาศอบอุ่นและน่าอยู่กว่า
4.10 ยกตัวอย่างเพิ่มอีกก็ได้อีกหลายหน้า แต่เด๋วท่านจะขี้เกียจอ่านต่อ แค่นี้ก็สุดๆแล้น
มีต่อในความเห็นที่ 1 .....
5. ดังนั้นเมื่อท่านอ่านข้อ 4 จบ ท่านก็คงนึกภาพออกว่า ตอนนี้สิงคโปร์ก็คงจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเปรียบเสมือนคนที่พิการแต่กำเนิดแต่บังเอิญพระเจ้ายังไม่ใจร้าย มอบ IQ 180 และคุณพ่อที่รวยมาให้ แต่ไทยเหมือนกับคนที่แค่ค่อนข้างจะฉลาดแต่ยังไม่เข้าข่ายอัจฉริยะ ฐานะก็ปานกลาง แต่ดูมีอนาคต หน้าที่การงานเริ่มกำลังจะส่อแววไปได้ดี มีร่างกายที่สมบูรณ์บุคลิกภาพดี หน้าตาหล่อเหลา ถ้าเอาข้อดีของ 2 คนนี้มา merge กันได้ล่ะก็ รับรองได้ว่ากลายเป็น "ยอดมนุษย์" แน่ๆ สิงคโปร์มองเกมส์ออกครับว่าถ้าจะแข่งกันจีบผู้หญิงกับไทยนั้นถึงจะรวยกับอัจฉริยะอย่างไรก็ตามนั้น ในระยะยาวแล้ว มีแต่แพ้กับแพ้
ดังนั้นสิงคโปร์ในปัจจุบันจึงปรับยุทธศาสตร์ของประเทศใหม่ คือ แทนที่จะทำใหญ่เสียเอง ก็เปลี่ยนมาเป็นการใหญ่แบบ "ครอบงำ" หรือ “ชักใย” ดีกว่า เหมือนกับป๋าเหนาะกับคุณทักษิณในสมัยก่อนทำนองนั้นแหละครับ ดังนั้นในปัจจุบันและอนาคตแทนที่สิงคโปร์จะดันทุรังทำอะไรเองหรือตะเกียกตะกายทำตัวเองเป็น "HUB" ก็เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการ "ถือหุ้น" หรืออยู่ในฐานะ “ผู้ลงทุน” หรือ “ผู้ร่วมทุน” แทนเสียมากกว่า อาจเป็นเพราะบังเอิญผู้นำประเทศอาจไปอ่านเจอในหนังสือที่ชื่อ rich dad poor dad ว่าคนที่เหนือชั้นที่สุดไม่ใช่ entrepreneur หรือ ผู้ประกอบการ แต่เป็น investor หรือ ผู้ลงทุน/ผู้ถือหุ้น ต่างหาก ก็เลยเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ไป position ตัวเองเป็น investor และให้ไทยรับบทบาทเป็น entrepreneur หรือ ผู้ประกอบการแทน ซึ่ง investor นั้นมีข้อดีคือมีแต่ได้กับได้ กอบโกยแต่กำไร แต่แทบจะไม่ต้องรับภาระเสี่ยงจากการ "ขาดทุน" หรือรับก็รับไม่มาก เพราะถ้าผลประกอบการเริ่มส่อแวว "ขาดทุน" investor ก็จะ "ชิ่ง" ครับ แต่คนเป็นผู้ประกอบการหรือ entrepreneur นั้น เวลากำไรได้ ก็ได้จริง แต่เวลาขาดทุนหรือ "เจ๊ง" นั้น "รับเองเต็มๆ" อีกทั้ง inverstor สามารถลงทุนในธุรกิจได้หลายกลุ่มหลายประเภท ซึ่งเป็นการกระจายและป้องกันความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ว่า จะขาดทุนจาก spot ของกิจการ ณ เวลาขณะนั้น ก็สามารถทำ contract future ในทิศทางตรงกันข้ามมาค้ำความเสี่ยงได้ อีกทั้งยังสามารถถือครองกิจการที่ทำเองไม่ได้อีกด้วย ผมมองว่าในปัจจุบันสิงคโปร์น่าจะคิดในมุมมองนี้มากกว่า การที่จะต้องการมายึดครองประเทศไทยตามที่หลายคนกลัวกัน แต่ในอนาคตหากเหลือ 2 ก๊กแล้วล่ะก็ "ไม่แน่"
6. ปัจจุบันมีลักษณะเหตุการณ์แบบที่ผมว่านี้เกิดขึ้นมาแล้ว นั่นก็คือ
6.1 กองทุนแห่งรัฐบาลสิงคโปร์ และกองทุนเทมาเส็ก ถือหุ้นในกิจการดีๆในแถบภูมิภาคนี้หมดแล้ว เฉพาะในตลาดหุ้นไทยก็มีกว่า 30 บริษัทที่มีสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ใน 3 อันดับแรก เช่น AIS, Land and House, ร.พ.บำรุงราษฎร์ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มธุรกิจที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่สิงคโปร์ตั้งใจไว้ คือการเป็น hub of telecommunication, medical hub และคาดว่าสิงคโปร์คงจะพยายามที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของ ป.ต.ท. และ บริษัทอากาศยานไทย ให้ได้มากที่สุดเท่าที่กฏหมายจะอนุญาติ
6.2 กิจการธนาคารในประเทศไทยอีกหลายแห่งเป็นของสิงคโปร์ เช่น ธนาคาร UOB, DBS
6.3 มีกิจการจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แต่เป็นการดำเนินกิจการแบบ joint venture ระหว่างผู้ประกอบการคนไทยและผู้ลงทุนชาวสิงคโปร์
6.4 เมื่อเดือน พฤศจิกายนที่ผ่านมาก็ได้มีการประชุมความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์ ทำให้เกิดการเปี่ยนแปลงที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนในหลายประเภทอุตสาหกรรม
จากข้อ 6.1-6.4 นี้ท่านคงจะได้ idea ว่าประเทศก๊กที่สาม หรือ third party นั้นจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันหรือ competitive advantage และสูญเสียการลงทุนจากนานาชาติมากมายขนาดไหน เพราะถ้ามองในรูปการณ์นี้ ประเทศไทยจะมีความน่าลงทุนมากกว่า และจะนำไปสู่ความเหนือกว่าทั้งทางด้าน know how, technology, logistic, finance, information, telecommunication, และ infrastructure อีกทั้งด้วย size ของประเทศและขนาดของตลาด (market size) แล้ว ไทยเหนือกว่าในทุกประตู นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องไกลๆคือโครงการปฏิรูปท่าเรือคลองเตยใหม่ที่เรียกว่าพื้นที่ท้องมังกรให้เป็นศูนย์ logistic ทางน้ำระดับภูมิภาค และมีเมืองใหม่ตามมาที่อาจมี opera house เหมือนมหานคร Sydney และมีการเชื่อมโยง logistic hub ทางน้ำ และ logistic hub ทางอากาศ คือ รถไฟใต้ดินต่อเชื่อมท่าเรือกรุงเทพฯและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไรแล้วล่ะก็ .....
6.5 โครงการ 1 visa 2 ประเทศ และ package การท่องเที่ยวที่กระทำร่วมกันจะทำให้การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาคร่วมกันมีความสำเร็จได้เป็นอย่างดี เนื่องจากทำให้มีรูปแบบการท่องเที่ยวที่ครบวงจรในการท่องเที่ยว คือ ไป shopping และเล่น casino ที่สิงคโปร์ แล้วมาชิมอาหารไทยและพักตากอากาศหรือไป spa ที่ภูเก็ต สมุย ไปขี่ช้าง ขึ้นดอย ชมวัฒนธรรมลานนาที่เชียงใหม่ เป็นต้น ดังนั้น จากกรณีนี้ท่านคงมองออกไม่ยากว่า ประเทศก๊กที่สาม หรือ third party ที่พยายามจะ position ตัวเองมาแข่งเป็นศูนย์กลางการื่องเที่ยวแห่งภูมิภาคนั้น จะสูญเสียผลประโยชน์มากมายมหาศาลขนาดไหน
7.สรุปแล้วประเทศก๊กที่สามหรือ thirdparty ที่ว่าจะเสียผลประโยชน์มหาศาลดังนี้
7.1สูญเสียการลงทุนจากนานาชาติที่จะมาลงที่ไทยแทน
7.2สูญเสียรายได้ก้อนใหญ่จากการท่องเที่ยวทั้งในรูปแบบธรรมชาติวัฒนธรรมและ entertainmentcomples
7.3 สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน (competitive advantage) ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค
7.4 สูญเสีย position การเป็น hub ในด้านต่างๆของภูมิภาค และรายได้ (capital gain) อันเกิดจากการเป็น hub ในแทบทุกๆด้าน
7.5 โดยรวมแล้วก็จะนำไปสู่การ loss ของ GDPและ อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่า อาจจะไม่จริงก็ได้ ผมคิดเล่นๆ คือการสูญเสียรายได้จากการค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่สามเหลี่ยมเศรษฐกิจโดยผ่านทางชายแดนไทยภาคใต้เข้ามา ซึ่งเป็นผลกระทบจากการปราบปรามยาเสพติดของไทย 
8. ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือ เขาว่า นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ไม่ค่อยถูกกับจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้นักธุรกิจชาวสิงคโปร์สูญเสียโอกาสและผลประโยชน์จำนวนมากในการที่จะได้รับสัมปทานการลงทุนในจีน ก็เลยหันมาสนใจประเทศไทยแทน
9. ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งก็คือ (เขาว่าอีก) นักธุรกิจชาวจีนในประเทศ third party ที่ว่านี้ ถูกโฉลกกับจีนแผ่นดินใหญ่เป็นยิ่งนักและได้รับสัมปทานและการอนุญาติให้ไปลงทุนในจีนได้มากเลยทีเดียว และทุกวันนี้ก็มีนักธุรกิจจากประเทศ third party นี้จำนวนมากเป็นผู้ลงทุนทำธุรกิจอยู่ในประเทศจีน
10. หากสมมุติฐาน 2 ข้อนี้เป็นความจริง คือ
10.1 ข้อ 8 และ ข้อ 9 เป็นความจริง
10.2 หาก นายสนธิ เดินทางไปประเทศจีนถึงสองรอบเพื่อไปรับเงินสนับสนุนมาทำม๊อบตามที่กระแสข่าวลือจริง นายสนธิจะไปพบกับใครหรือรับเงินจากใครล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ตัวละครในข้อ 9 และ นายสนธิก็คง ไม่เดินทางไปประเทศจีนเพื่อ “พักผ่อน” ถึงสองรอบในช่วงระยะเวลาที่ใกล้กันมากนี่ผมยังไม่อยากโยงเอาปัญหาทางชายแดนภาคใต้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะเนี่ย เพราะหากโยงมาเป็นเรื่องเดียวกัน ผมอาจโดนด่าว่าเพ้อเจ้อและถูกประชาฑัณท์ได้ ถึงตอนนี้ ท่านก็คงจะมองภาพออกแล้วว่า โฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายต่างๆในประเทศไทยที่ผ่านมานั้น “มัน” คือใคร ??? แต่ผมอยากขอร้องจริงๆครับว่า หากท่านคิดแล้วกรุณาอย่าคิดดัง และไม่ต้องเอ่ยชื่อประเทศ third party นั้นออกมาทั้งทางวาจาและทางตัวอักษร เพราะ ที่ผมคิดอาจผิด หรือท่านอาจเดาผิด หรือ คุณสนธิไม่ได้ไปรับเงินจริง ฯลฯ และที่สำคัญคือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ แค่อ่านแล้ว aware และ just keep in mind ก็พอแล้วครับสำหรับตอนต่อไปของประเทศไทยกับสิงคโปร์ และอนาคตของสองก๊กที่จะต้องสัประยุทธ์กันเองนั้น อยู่ที่พวกเราทุกคนครับ ว่า เราจะร่วมมือร่วมใจกันช่วยกันประคองให้ประเทศไทยของเราก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้อย่างไร และที่พูดมาทั้งหมดจุดประสงค์ของการเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมาก็เพื่อรณรงค์ให้พวกเราคนไทยทุกคนได้ตระหนักถึงภัยความน่ากลัวของกระแสการแข่งขันในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ว่าคู่แข่งใกล้ตัวของเราทั้งสิงคโปร์และประเทศ third party น่ากลัวเพียงใด จะได้ร่วมกันฮึดสู้และมาร่วมกันสร้างชาติของเราอย่างจริงจัง เพื่อประเทศไทยและชนชาวไทยรุ่นหลังของเราครับ เริ่มต้นง่ายที่สุดจากหน่วยงานที่เราทำอยู่ เราจะสามารถที่จะช่วยทำให้หน่วยงานของเราดีขึ้นและมีมาตรฐานการทำงานที่ได้ระดับโลกและสามารถแข่งขันกับโลกได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าถ้าทุก unit ในสังคมไทยแกร่ง สุดท้าย ประเทศไทยของเราก็จะแข็งแกร่ง เพราะสิงคโปร์แกร่งได้ก็เพราะคนสิงคโปร์ทุก unit แกร่ง ไม่ใช่เพราะ นาย ลี กวน ยิว เพียงคนเดียว และที่สำคัญคือ หากพวกเราทุก unit ในสังคมแกร่งแล้ว เราก็จะไม่ต้องคอยหวังลมๆแล้งๆว่าจะพึ่งแต่นักการเมืองน้ำเน่าที่พึ่งไม่ได้ว่าจะมาทำโน่นทำนี่ให้เราอีกต่อไป เพราะเราคนไทยทั้ง 65 ล้านคน สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของพวกเราเองภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะคอยปกป้องคุ้มครองพวกเราด้วยพระเมตตาตลอดไป


Posted by : คนผ่านมา , E-mail : (ฅนพ่านฟ้าฝากวิเคราะห์) ,
Date : 2006-04-27 , Time : 10:03:33 , From IP : ppp-124.120.146.83.r


ความคิดเห็นที่ : 1


   ควรจะมีข้อเสนอแนะด้วยนะ
ถ้าไม่มีคราวหน้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องผ่านมาอีกนะ ขอร้อง

ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเกิดอะไรได้ทั้งสิ้น
แต่ตอนนี้ที่ใกล้ตัวสุดๆคือการลากตั้งและระบอบทากสิน
ช่วยจัดการให้เรียบร้อยก่อน

ในอนาคตถ้าคุณสนธิมีอันเป็นไปเหมือนคุณว่ามา
เราก็จัดการไล่กันอีก ไม่เห็นเป็นไรเลย...




Posted by : คนมอ. , Date : 2006-04-27 , Time : 15:28:55 , From IP : 172.29.6.40

ความคิดเห็นที่ : 2


   คนมอ. เราต้องการการวิเคราะห์จากพวกคุณ เราจะเก็บข้อมูลคนที่บอกว่าตัวเองเป็นระดับมันสมองที่ฉลาด แค่หนึ่งความเห็นของคุณที่แสดงออกมาเราก็ทราบว่าระดับการวิเคราะห์ของคุณเป็นอย่างไร จบแพทย์เมื่อไหร่กรุณาแจ้งด้วยว่าคุณเป็นหนึ่งในนศ.ที่เห็นด้วยกับ การฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อเป็นเกียจ กับคัวคุณ

ใช่คะทุกสิ่งในโลกย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น นั้นเป็นแนวคิดของคนที่เรียนวิทยาศาสตร์ หรือคะ
แล้วระบอกทักษิณที่คุณจำจากขี้ปากคนอื่นมาอีกทอดหนี่งคุณเข้าใจคำว่าระบอบทักษิณยังไง ขอความกรุณา วิเคราะห์ ข้อดีข้อเสียของระบอบทักษิณให้ได้ไหมคิดว่าคงไม่ยากเกินไปที่คุณจะเขียน ออกมาตัวหนังสือว่าระบอบทักษิณเป็นยังไง


Posted by : คนผ่านมา , E-mail : (ระบอบทักษิณเป็นอย่างไร) ,
Date : 2006-04-27 , Time : 16:29:44 , From IP : ppp-124.120.146.83.r


ความคิดเห็นที่ : 3


   ถ้าถามเรื่อง สนธิ ไปจีน สองรอบ
แล้ว ทักษิณ ไปอังกฤษ สองรอบ แปลว่าอะไรครับ


Posted by : สองรอบ เหมือนกัน , Date : 2006-04-27 , Time : 16:54:16 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 4


   นอกประเด็นว่ะ

Posted by : cabin_crew , Date : 2006-04-27 , Time : 17:44:53 , From IP : 172.29.4.229

ความคิดเห็นที่ : 5


    จดหมายเปิดผนึกถึงพวกต้องการ "ล้มระบอบทักษิณ" จากพี่ทวีวุฒิ จุลวัจนะ อดีตนักข่าวผู้จัดการ
ล้มระบอบทักษิณคือล้มชาติ


ก่อนอื่นผมต้องขอเตือนสติพวกเราคนไทยหน่อย จากคำพูดของคนในพันทิพย์ ว่า “อย่าเผาบ้านเพราะโจรเลย” ผมว่าคำกล่าวนั้นแรงไป ทักษิณไม่ถึงกับโจร คือระบอบทักษิณก็มีอะไรดีไอยู่เหมือนกัน แต่ในการที่เราจะ “เผา” ทักษิณทิ้งนั้น ต้องตั้งสติสักหน่อย ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่และ “มันมากไปไหม” และอีกสิ่งหนึ่งที่อยากเตือนสติท่าน คือเวลาเรามองเห็นปัญหาของอะไรสักอย่าง เราจะเน้นแต่การแก้ปัญหานั้น จนลืมกันไปแล้วหรือว่า “ภาวะศูนย์อากาศที่เกิดขึ้น อะไรจะมาแทนที่” คือเราง่วยอยู่แต่การทำลายทักษิณ จนเราลืมไปหรือเปล่าที่จะถามว่า “แล้วสิ่งที่จะมาแทนที่ ดีกว่าสิ่งที่เราจะลบทิ้งไปไหม”


ระบอบทักษิณนั้นที่คนด่ากันมาก คือมันเป็นระบอบ “ควบอำนาจมาที่ส่วนกลางมากไป” มันไม่ตรงกับฉบับปชชที่ต้องการการกระจายอำนาจ แต่ถ้าเราลงลึกในฉบับปชช จะเห็นได้เลยว่ารัฐต้องส่งเงินไปให้ระดับรากหญ้าบริหารเอง ในอัตราส่วนที่สูงมากของงบประมาณรัฐ แต่ทักษิณเลี่ยงกฏหมายนี้โดยการบอกว่า รากหญ้ายังไม่หร้อมบริหารงบนั้น จะจริงหรือไม่ เราคงได้ยินกันมามากเรื่องการโกงระดับรากหญ้า ต่อเงินที่ผันออกไปแล้ว หรือบริหารเงินที่ผันไปแล้ว ได้ไม่ดีขนาดไหน ก็น่าจะสรุปได้ว่า “จริงของทักษิณ” แล้วเรามาดูโครงการทดแทนการ “ทำเอง” ของรากหญ้าดู เช่น สามสิบบาท บ้านเอื้อาทร โรงเรียนในฝัน ทุนการศึกษาทั้งไปนอกและในไทย โครงการ SML ที่ให้การศึกษาควบคู่ไปด้วย หรือสนับสนุน OTOP สิ่งพวกนี้คือเงินที่รัฐ “อาสาผันไปให้รากหญ้า” ฉะนั้นในความเป็นจริงแล้ว ในการเงิน ทักษิณได้กระจายลงไปสู่รากหญ้า มากมายนัก และเมื่อเงินคือโอกาศและอำนาจในการไม่ต้องพึ่งของแบบเงินนอกระบบ ก็น่าจะพอสรุปตรงนี้ได้ว่าทักษิณนั้น “สุดยอดแล้ว” ของการกระจายอำนาจ


แต่สิ่งดีๆพวกนี้ในระบอบทักษิณ จะถูกล้มเลิกไปเลยไหม ถ้าระบอบทักษิณถูกทำลายลง “แน่นอนเลยว่าจะถูกล้มไปหมดทุกโครงการ” ในนามของการล้มระบอบทักษิณ คำถามที่พวกล้มระบอบทักษิณต้องตอบ คือแล้วอะไรจะมาแทนที่สิ่งพวกนี้ คืออะไรจะมาแทนประชานิยม ปัญหาคือฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณไม่มีคำตอบให้ จะเน้นไปที่จุดอ่อนเล็กๆน้อยๆเช่นคุรภาพของสามสิบบาทไม่ดี หรือประชานิยมคือการแจกเงิน ที่ทำให้คนเป็นหนี้มากขึ้น หนี้รากหญ้าจะทำลายประเทศอะไรแบบนั้น


ปัญหาคือคนต่อต้านทักษิณไม่มองถึงสิ่งที่ “ดี” ของประชานิยมเลย คือตัวเลขที่ออกกันมาจริงๆ หนี้เสียระดับรากหญ้ามีน้อยมาก ปัญหาช่องว่างคนรวยจนในประเทศลดน้อยลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย ซึ่งเป็นข่าวระดับโลกทีเดียวเพราะเกิดขึ้นในน้อยประเทศมาก และที่สำคัญคือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหนนี้ มันก็มาจากรากหญ้าฟื้นก่อน แล้วกระจายไปทุกส่วนของสังคม แล้วถ้าไปดูตังวเลขว่าเศรษฐกิจดีขนาดไหน แทบทุกตัวเลขบ่งบอกว่าเศรษฐกิจดีมากช่วงประชานิยมของทักษิณ ยิ่งมองว่าคนจนซื้อระซื้อบ้านซื้อมอร์เตอร์ไซกันตรึมเมือง จนหนี้ภาคปชชมากขึ้น นั่นมองง่ายๆมันก็ไม่ดีมาก แต่ถ้ามองว่านั้นคือการ ”ออมทางอ้อม” หนี้ภาคปชชก็จะลดลงไปมาก และรายได้หละ มันก็เพิ่มมากขึ้นมากเหมือนกัน ซึ่งเป็นจุดใหญ่ ที่ฝ่ายต้องการล้มระบอบทักษิณ ไม่พูดถึงเลย


คือสรุปแล้วอะไรจะมาแทนที่ประชานิยมและเศรษฐกิจที่เน้นรากหญ้าเป็นหลัก คำตอบนี้คนต้องการล้มระบอบทักษิณ ไม่มีให้


แต่ว่าคนต้องการล้มระบอบทักษิณ จะเหมารวม ว่าประชานิยมคือการซื้อเสียงเท่านั้น เป็นการรวบอำนาจ และคนพวกนี้ยังเอาเรื่องนี้ไปผนวกกับการ “ครอบงำองค์กรอิสระต่าง” ออกมาเหมารวมกันว่าทักษิณคือฮิตเลอร์ ในด้านนี้ผมกลับมองว่า “จริง” ทักษิณก้าวก่านคนอื่น” แต่มันก็มีอีกด้าน คือถ้าจำกันได้ เราผ่านช่วงเวลาที่รัฐบาลอ่อนแอมากมาแล้ว และเราได้เห็นผลเสียของมันมามาก เช่นการโกงแบบโบราณ ที่ทำกันเพราะนักการเมืองสองสามคนก็จับมือกันต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีได้แล้ว และรัฐบาลที่อ่อนปวกเปียกล้มแล้วล้มอีก เปลี่ยนรัฐบาลกันอย่างกับผ้าอ้อม รัฐบาลที่ได้มาก็ตามก้นนักวิชาการและข้าราชการจนชาติไปไม่ถึงไหนเสียที หาสภาวะผู้นำไม่ได้เลย การเมทองขาดความต่อเนื่อง


วัฏจักรของการเมืองไทยคือวิ่งมาหารัฐบาลที่ต้องมีความเข้มแข็งและเป็นผู้นำ นี่เห็นได้จากฉบับปชชได้อย่างดี เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าทักษิณไปไกลกว่านั้น คือต้องการมีเสียงในองค์กรอิสระเพื่อโน้มเอียงองค์กรพวกนี้ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือวุฒิสภา แต่ถ้าจะมองจากมุมมองทักษิณแล้ว มันก็คือการทำให้การเมืองมั่นคงและต่อเนื่องนั่นเอง แล้วสิ่งที่ไม่ดีไม่งามจากการเข้าไปมีส่วนร่วมกับองค์กรอิสระนั้นมีมากหรือ เปล่าเลย โจทย์นี้สำคัญมาก เพราะฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณจะพูดอยู่ว่ามันผิด มันไม่ดี มันเลว วกวนอยู่ตรงนี้ แต่ผลเสียหละมีอะไรบ้าง ทักษิณโกงได้มากขึ้นหรือ ทักษิณทำผิดกฏหมายได้มากขึ้นหรือ เท่าที่เห็นคือทักษิณมีอำนาจมากขึ้นก็เท่านั้น เขาเอาอำนาจไปทำอะไรผิดหละ แน่นอนว่าฝ่ายต้องการล้มระบอบทักษิณจะชี้ไปที่สองจุด คือแปรรูป และการขายชิน แปรรูปนั้นเป็นนโยบายมาหลายสมัยแล้ว ฉะนั้นเราควรเอาออกจากประเด็น คือทักาณเขาก็บอกมานานแล้วว่าถ้าไม่เอาแปรรูปอย่าเลือกทรท แล้วไง ก็เลือกทรทกันอยู่ดี ฉะนั้นมันมีเรื่องเดียวคือขายชิน ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณจะบอกว่า ทั้งกลต ทั้งตลาดหลักทรัพย์ ทั้งพวกภาษี ทั้งศาลรัชธรรมณูน ถูกทักษิณซื้อไปหมดแล้ว ถึงออกมาพูดว่า “ขายชิน” ไม่ผิด แล้วกกต ก้อุ้มทักษิณตลอดเวลา แต่ก็มีอีกฝ่ายที่อดด่ากลับไม่ได้ว่ามันจะมากไปแล้วนะพวกต่อต้านระบอบทักษิณ ใครมันจะทำผิดกฏหมายขนาดนั้นเพื่อทักษิณ ก็แล้วแต่มุมมองนะครับ แต่ประเด็นคือ บอกมาสักหน่อยสิว่าขายชินแล้วมันไม่ดีต่อไทยตรงไหน มากมายอะไรขนาดนั้น คือที่ขายไป มันก็แค่สัญญาเข้ามาบริหารเท่านั้นเอง


อีกประเด็นที่น่าสนใจมาก คือการไปประท้วงตามที่ต่างๆของกลุ่มผู้ประท้วง ของคนต้องการล้มระบอบทักษิณ คือคุณทำอะไรอยู่ ด้านหนึ่งคุณบอกว่าทักษิณ Lobby พวกนี้เข้าค่ายตัวเอง แต่อีกด้าน คุณกลับกดดันให้เขาหันมาเข้าค่ายคุณเอง ถ้าเขาทำอะไรถูกใจคุณ คุณแฮ แต่เวลาเขาทำอะไรผิดใจคุณ คุณเดินขบวนกดดัน ถ้าดูตาม “ฟอร์ม” ไม่เลือกข้าง คุณก็เหมือนทักษิณที่ต้องการให้องค์กรอิสระ ทำอะไรต่างๆเข้าตาคุณเท่านั้นเอง


แต่มันมีอีกเรื่องคือปรัชญาเรื่ององค์กรอิสระ เรื่องนี้ถกเถียงกันมานานมากแล้ว ฉบับปชชต้องการให้อิสระจริงๆ ผมไม่เถียง แต่ตามปรัชญาแล้วเรื่องแบบธนาคารชาติและกลตควรมีความอิสระขนาดไหน ก็ถกเถียงกันมานานมากแล้วนะ ก็แบบเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้ผู้ว่าการทั้งสององค์กรนั้น ไม่มาจากการเมือง คืออิสระจริงๆ แต่อีกฝ่ายก็มองว่านี่เป็นประเทศประชาธิปไตย สิทธิและเสียงของปชช ผ่านนักการเมือง ควรจะ “ถูกซึม” เข้าไปในองค์กรสำคัญพวกนี้บ้าง ไม่ใช่หลับหูหลับตาทำอะไรไม่คำนึงถึงปชชเลย ฉะนั้นสรุปประเด็นนี้คือผมมองไม่ออกว่าทักษิณ ที่ควบรวมอำนาจมาก เอาอำนาจนั้นไปทำอะไรผิดบ้าง แน่นอนคงจะผิดเล็กๆน้อยๆ แต่ผิดมากๆตรงไหน ผมมองไม่ออก ในด้านกลับกัน การเข้าไปมีส่วนร่วมกับองค์กรพวกนี้ ก็มีผลดี ตรงที่ทำให้การเมืองมั่นคง และเสียงของปชชเข้าถึง


แล้วถามจริงๆเถอะ คนระดับมานั่งองค์กรอิสระนั้นจะไม่มีปรัชญาเป็นของตัวเองเลยหรือ เช่นถ้าศาลปกครองหรือศาลรัชธรรณูน ออกมาบอกว่าประชานิยมคือซื้อเสียง ผิดกฏหมาย คุณจะว่าไงกับคนอีกยี่สิบล้านคนที่จะเอาประชานิยม คือคนสิบคนจะมามีอำนาจ “หักดิบ” ความต้องการของคนทั้งชาติเชียวหรือ


ก็ต้องวกมาถามพวกต้องการล้มระบอบทักษิณ ว่าต้องการอะไร คือจะมีองค์กรอิสระที่อิสระจริงๆ สิ่งนี้ดีแน่ แต่ผลเสียอาจจะเป็นการเมืองไม่มั่นคง นโยบายรัฐออกมาไม่ได้ ติดขัดไปหมด รัฐบาลจะอ่อนปวกเปียก สิ่งพวกนี้ก็ตีเป็นด้านไม่ดีและมีผลเสียได้เหมือนกันนะ เมื่อเอาผลดีผลเสียมาวัดกันแล้ว หลายคนแบบผม สรุปกันว่า “ผลดีมีมากกว่าผลเสีย” รัฐบาลเปลี่ยกันบ่อยแบบเปลี่ยผ้าอ้อมไร้ผลงานโกงแบบอดีตแพร่สพัดนั้น น่ากลัวกว่าทักษิณจอมฮิตเลอร์มากมาย


สุดท้ายที่เห็นด่าทักษิณกันมาก ก็เรื่องทักษิณนั้น “ทันสมัยมากและเน้นธุรกิจเศรษฐกิจทุนนิยม” ผมก้ไม่รู้จะว่าไงตรงนี้นอกจากสังคมนิยมนะตกขอบโลกไปแล้วเพราะสรุปกันออกมาว่ามันมีการโกงกิน เล่นพรรคเล่นพวก และเศรษฐกิจไม่ดีจนคนไม่มีงานทำติดเหล้ากันทั้งประเทศ ทั้งล้าหลังและเสื่อมอย่างที่สุดในทุกๆด้าน คือบริษัทห้างร้านพ่อค้าแม่ขายในประเทศนี้นะมันมีมากมายนัก พวกนี้เอาทุนนิยมและโตเร็วนิยมและกำไรนิยมและวัตถุนิยมทั้งนั้น คนระดับกลางก็เอากับเขาด้วย พวกต่อต้านระบอบทักษิณจะพูดกันมากว่าทักษิณไม่พอเพียง แต่มันก็เหมือนด่าคนทั้งประเทศนะว่าไม่พอเพียง คือรู้จักพอนะดีอย่างในหลวงตรัส แต่เรื่องนี้มันขึ้นอยู่ที่ตัวใครตัวมัน ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร คุณออกกฏมาไม่ได้หลอกว่าบริษัทต้องโตช้าๆอย่างพอเพียง คือมันเป็นเรื่อง “ส่วนตัวจริงๆ” เรื่องนี้ นี่ทุกวันนี้คนไทยก็มีงานทำกัน ถ้าวัดตามมาตรฐานสากลคือเต็ม 100% แล้ว ก้ไม่ใช่เพราะระบอบทักษิณหรือที่จะโตเร็ว ที่จะทุนนิยม ที่จะมี Mega Project และ FTA แบบ FTA นะ พวกต่อต้านจะบอกว่าดูแบบไทยกับ Australia สิ ตั้งแต่มี FTA กัน ไทยขาดดุลลูกเดียว มันก็แน่นอนเพราะการค้าขาย ที่เคยทำกับประเทศอื่นแบบทองนะ มันวิ่งเข้าหา Thai Australia หมด ลองคุณลบของแบบนั้นออกสิ ไทยนั้นได้เปรียบดุลขึ้นมาทันที แต่พวกต่อต้านไม่มองลึกอย่างนั้น เขามองเพียงว่าชาวบ้านปลูกกระเทียมจะตายกันหมดแล้วเพราะกระเทียมจีนถูกกว่า กลับไม่มองเลยว่าคนไทยได้กินกระเทียมถูกลงและถ้าคนไทยสู้เขาไม่ได้เรื่องกระเทียม ก็น่าจะหันไปปลูกอะไรที่สู้เขาได้แทนดีกว่านะ


บทสรุปใหญคือพวกต่อต้านระบอบทักษิณจะเอาอะไรมาแทนทักษิณ ที่ผลออกมาคือชาติเจริญกว่าการมีทักษิณ คำตอบไม่มี เราพอรู้อยู่เท่านั้น ว่า ไม่ต้องการการเมืองที่มั่นคง และไม่ต้องการทุนนิยม ผมฟังแล้วโคตรกลัวพวกต้องการล้มระบอบทักษิณจริงๆ


ทวีวุฒิ จุลวัจนะ
อดีตนักข่าวอาวุโสบางกอกโพส ผู้จัดการ และ กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------------------
ถ้าอยากทราบจริงๆว่าทักษิณไปนอกเพื่ออะไร ไปดูที่เวป CNN นะคะ
แต่สำหรับสนธิ ..?????????????? ต้องหาข้อมูลเอง และเท่าที่สนธิบอกไปพักผ่อนจะเชื่อหรือไม่แล้วแต่คุณคิดเอง คุณจะผักผ่อน 1 วัน แลกกับการเดินทาง ขนาดนั้นไหมถ้าเป็นคุณ


Posted by : ป4 , E-mail : (นี่คือคำตอบหรือเปล่า) ,
Date : 2006-04-27 , Time : 18:53:57 , From IP : ppp-124.120.146.83.r


ความคิดเห็นที่ : 6


   เขาตามให้ผมมากระทู้นี้

ให้มาช่วยตอบหน่อย

แค่เห็น ก็เหนื่อยแล้วครับ ข้อหาและการวิเคราะห์ ยาวเหยียด

ถ้าผมจะตอบแค่ ว่าอย่าไปเชื่อปัวปักหัวปำ
ก็จะว่า ผมตอบกำปั้นทุบดิน


เอาเป็นว่า ส่วนใหญ่ การวิเคราะห์ของกระทู้ - -กระชากหน้ากาก - -
ส่วนใหญ่มาจาก การจินตนาการ และ คาดเดา
มาจาก การเชื่อมโน่น โยงนี้
จนคนอ่าน
งง
และสับสน

วิธีการคิดและนำเสนอให้งงงัน และ เกิดความทึ่ง แบบนี้
ใช้กันทั่วไป ตามหลักการจิตวิทยาแบบหนึ่ง ที่จะมำให้คนอ่าน รู้สึกว่า ภูมิแน่น มีหลักฐาน


ผมจะตอบข้อความยาวเหยียด ด ด ด ด ดดด ด ด ด ด ด ด ด นั้น
ด้วยคำสั้นๆสองสามคำว่า

- -- 5 ปีที่ผ่านมา ประเทสไทย ก้าวกระโดดไปอย่างไร - - -

- - - ผู้คนในประเทศกลับมามีพลังขับเคลื่อนกิจกาาร และ เศรษฐกิจ ในสัดส่วน อย่างไร - - -

- - คุณภาพ ชีวิต ผู้คน ในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา เป็นอย่างไร ทั้งสุขภาพจิต และ สุขภาพอนมัย การรักษาโรค - -

-- สังคม ปลอดภัย จาก ผู้ทรงอิทธิพลมืด พ่อค้าของเถื่อน ยาบ้า อย่างไร - - -


Posted by : มังกรดำ , Date : 2006-04-27 , Time : 21:08:50 , From IP : ppp-58.8.170.52.revi

ความคิดเห็นที่ : 7


   เขาตามให้ผมมากระทู้นี้

ให้มาช่วยตอบหน่อย

แค่เห็น ก็เหนื่อยแล้วครับ ข้อหาและการวิเคราะห์ ยาวเหยียด

ถ้าผมจะตอบแค่ ว่าอย่าไปเชื่อปัวปักหัวปำ
ก็จะว่า ผมตอบกำปั้นทุบดิน


เอาเป็นว่า ส่วนใหญ่ การวิเคราะห์ของกระทู้ - -กระชากหน้ากาก - -
ส่วนใหญ่มาจาก การจินตนาการ และ คาดเดา
มาจาก การเชื่อมโน่น โยงนี้
จนคนอ่าน
งง
และสับสน

วิธีการคิดและนำเสนอให้งงงัน และ เกิดความทึ่ง แบบนี้
ใช้กันทั่วไป ตามหลักการจิตวิทยาแบบหนึ่ง ที่จะมำให้คนอ่าน รู้สึกว่า ภูมิแน่น มีหลักฐาน


ผมจะตอบข้อความยาวเหยียด ด ด ด ด ดดด ด ด ด ด ด ด ด นั้น
ด้วยคำสั้นๆสองสามคำว่า

- -- 5 ปีที่ผ่านมา ประเทสไทย ก้าวกระโดดไปอย่างไร - - -

- - - ผู้คนในประเทศกลับมามีพลังขับเคลื่อนกิจกาาร และ เศรษฐกิจ ในสัดส่วน อย่างไร - - -

- - คุณภาพ ชีวิต ผู้คน ในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา เป็นอย่างไร ทั้งสุขภาพจิต และ สุขภาพอนมัย การรักษาโรค - -

-- สังคม ปลอดภัย จาก ผู้ทรงอิทธิพลมืด พ่อค้าของเถื่อน ยาบ้า อย่างไร - - -


Posted by : มังกรดำ , Date : 2006-04-27 , Time : 21:08:55 , From IP : ppp-58.8.170.52.revi

ความคิดเห็นที่ : 8


   เขาตามให้ผมมากระทู้นี้

ให้มาช่วยตอบหน่อย

แค่เห็น ก็เหนื่อยแล้วครับ ข้อหาและการวิเคราะห์ ยาวเหยียด

ถ้าผมจะตอบแค่ ว่าอย่าไปเชื่อปัวปักหัวปำ
ก็จะว่า ผมตอบกำปั้นทุบดิน


เอาเป็นว่า ส่วนใหญ่ การวิเคราะห์ของกระทู้ - -กระชากหน้ากาก - -
ส่วนใหญ่มาจาก การจินตนาการ และ คาดเดา
มาจาก การเชื่อมโน่น โยงนี้
จนคนอ่าน
งง
และสับสน

วิธีการคิดและนำเสนอให้งงงัน และ เกิดความทึ่ง แบบนี้
ใช้กันทั่วไป ตามหลักการจิตวิทยาแบบหนึ่ง ที่จะมำให้คนอ่าน รู้สึกว่า ภูมิแน่น มีหลักฐาน


ผมจะตอบข้อความยาวเหยียด ด ด ด ด ดดด ด ด ด ด ด ด ด นั้น
ด้วยคำสั้นๆสองสามคำว่า

- -- 5 ปีที่ผ่านมา ประเทสไทย ก้าวกระโดดไปอย่างไร - - -

- - - ผู้คนในประเทศกลับมามีพลังขับเคลื่อนกิจกาาร และ เศรษฐกิจ ในสัดส่วน อย่างไร - - -

- - คุณภาพ ชีวิต ผู้คน ในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา เป็นอย่างไร ทั้งสุขภาพจิต และ สุขภาพอนมัย การรักษาโรค - -

-- สังคม ปลอดภัย จาก ผู้ทรงอิทธิพลมืด พ่อค้าของเถื่อน ยาบ้า อย่างไร - - -


Posted by : มังกรดำ , Date : 2006-04-27 , Time : 21:09:10 , From IP : ppp-58.8.170.52.revi

ความคิดเห็นที่ : 9


   แป้นพิมพ์ กระโดด
พิมพ์ผิดหลายคำ

ประเทศไทย

สุขภาพอนามัย


Posted by : มังกรดำ , Date : 2006-04-27 , Time : 21:11:40 , From IP : ppp-58.8.170.52.revi

ความคิดเห็นที่ : 10


   ง่ายที่สุดไม่ต้อง "อิงฝ่าย" ให้อิงธรรมาภิบาล คุณธรรม จริยธรรม ผู้พิพากษา หรือศาลสถิตย์ยุติธรรมนั้น ต้อง "ไม่มีฝ่าย" น่ะถูกต้องแล้วครับ สัญญลักษณ์ของอาญา เป็นเทพธิดาปิดตา มือหนึ่งถือคันชั่ง มือหนึ่งถือดาบ ความหมายก็คือความยุติธรรมนั้นต้องยึดจริยศาสตร์ ต้องปิดตาคือไม่มีฝ่าย ถ้าใครไม่สามารถจะ "ไม่มีฝ่าย" ได้ อาชีพศาล ตุลาการ ก็อาจจะไม่เหมาะครับ

คุณธรรม เช่นอะไรบ้าง? สัจธรรม พูดแต่คำสัตย์ คำไหนคำนั้น สัมมาวาจา ไม่โกหก ไม่จาบจ้วง ไม่ส่อเสียด กตัญญู รู้คุณทหารตำรวจที่สละชีวิตในหน้าที่ ไม่ใช่บอกว่าสมควรตาย หรือหัวเราะหัวใคร่ใส่มุขตลก ยุติธรรมแมธรรมาภิบาล ปกครองประเทศโดยธรรม จัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นเร่งด่วน ไม่ใช่หาเสียง เลือกที่รักมักที่ชัง ประหยัดมัธยัสถ์พอเพียง ไม่โลภ ไม่กระตุ้นคนให้โลภ ไม่เชิดชูเงินตราเป็นความดี ไม่ส่งเสริมคนเป็นหนี้ทีไม่สามารถจะจ่ายคนได้ ส่งเสริมการอดออมและใช้สอยเท่าที่จำเป็น

สังคมแบบนี้น่าจะดีเหมือนกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-27 , Time : 22:21:10 , From IP : 58.147.27.25

ความคิดเห็นที่ : 11


   คนผ่านมา(ฅนพ่านฟ้าฝากวิเคราะห์) 2006-04-27 , 10:03:33 , ppp-124.120.146.83.r
ป4(นี่คือคำตอบหรือเปล่า) 2006-04-27 , 18:53:57 , ppp-124.120.146.83.r


คุณสองคนนี้ ip เดียวกันเลยนะครับ ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ เครื่อง คอมพ์จะสุ่มได้ ip เดียวกัน ทำให้ผมปักใจเชื่อยิ่งกว่าเดิมว่า ทีมงานพันธ์ทิพย์ กำลังแบ่งสายงานมาแจมในบอร์ดคณะแพทย์ แล้วแหง่ม ๆ


Posted by : ร่วมด้วยช่วยกัน , Date : 2006-04-28 , Time : 00:10:55 , From IP : 172.29.5.227

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<