ความคิดเห็นทั้งหมด : 3

หมอแบบไหน ถูกใจคนไข้




   



เป็นคำถามที่หมอเองถูกถามบ่อยๆ ถึงจะตอบยาก แต่ก็มีข้อสังเกตมาชวนคุยให้คิดกันครับ


ตั้งแต่ประกอบอาชีพเป็นหมอมาก็ประมาณ 20 ปีแล้ว ผมเคยพูดและเขียนเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องของคนไข้มาไม่น้อยเลยที่เขียนลงในนิตยสารดวงใจพ่อแม่เองก็ไม่น้อย แต่ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของหมอ ผมยังไม่เคยพูดและเขียนถึงในลักษณะสู่สาธารณชนมาก่อนเลย จะพูดกันก็เฉพาะกับเพื่อนฝูงในวงการเดียวกันเท่านั้น


ในระยะหลังๆ นี้ผมรู้สึกว่าผมถูกถามเกี่ยวกับเรื่องของหมอไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับว่า เจ็บป่วยอย่างนี้จะไปหาหมอคนไหนดี หมอคนไหนเก่งคนไหนไม่เก่ง ซึ่งคำถามเหล่านี้ผมค่อนข้างอึดอัดใจที่จะตอบ เพราะตอบยาก เอาเป็นว่าผมอยากชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องของหมอเท่าที่จะพอเล่าได้ก็แล้วกัน เผื่อใครไปหาหมอจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ ต้องบอกตรงนี้ก่อนนะครับว่าทั้งหมดที่เขียนเป็นความคิดของผมนะครับ หมอคนอื่นเขาอาจจะไม่คิดเหมือนผมก็ได้


ในวงการหมอด้วยกัน ส่วนมากเราพอจะบอกกันเองได้ว่าหมอคนไหนเก่ง คนไหนไม่เก่ง วิธีบอกง่ายที่สุด คือดูผลการเรียนว่าดีเด่นกว่าคนอื่นไหม ผมต้องเน้นว่าดีเด่นนะครับ เพราะหมอส่วนมากก็มักจะคิดว่าตัวเองเก่นกันทุกคน จะยอมรับว่าคนอื่นเก่งกว่า คนนั้นต้องมีผลงานดีกว่าจริงๆ นอกจากนี้อาจจะดูที่ฝีมือในการผ่าตัดรักษาโรค หมอบางคนผ่าตัดดีกว่าเพื่อนฝูงอย่างชัดเจน หรือหมอบางคนสอนหนังสือหรืออภิปรายปัญหาทางวิชาการได้ดีกว่าหมอคนอื่น หมอเหล่านี้ก็มักจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูงหรือน้องพี่ในวงการของหมอว่าเก่ง


แต่สำหรับคนไข้แล้วข้อมูลข้างต้นอาจไม่เป็นจริงเสมอไป ผมเคยแนะนำคนไข้ที่สนิทกันหลายคนให้ไปหาหมอบางท่านที่ผมคิดว่าเก่ง แต่ภายหลังคนไข้กลับมาบอกผมว่าไม่เก่งหรือดีอย่างที่บอกเลย


เท่าที่ประมวลดูแล้วผมคิดว่าหมอเก่งหรือไม่เก่ง หมอดีหรือไม่ดีในความคิดเห็นของคนไข้เป็นเรื่องของ ความถูกใจ มากกว่า


แบบนี้เก่ง


หมอเก่งหรือหมอดีที่คนไข้มาเล่าให้ฟัง ผมสรุปได้ดังนี้ครับ

หมอพูดหรืออธิบายเก่ง หมอบางคนพูดให้คนไข้และญาติเข้าใจถึงโรคที่คนไข้กำลังประสบอยู่และวิธีการรักษาได้เป็นอย่างดี ซึ่งบางคนแค่ฟังเสร็จก็คลายทุกข์ไปได้เยอะแล้ว หมอแบบนี้เป็นหมอเก่งประเภทหนึ่ง


หมอพูดถูกใจหรือเอาใจ คนไข้บางคนต้องการคนเอาใจหรือยอมทำตาม ถ้าเจอกับหมอแบบนี้รับรองว่าเข้ากันได้ดีเลย หมอแบบนี้มักยอมตรวจหรือรักษาตามใจคนไข้ ซึ่งการตรวจหรือรักษาบางอย่างตัวเองก็รู้ว่าไม่จำเป็น หรือบางทีรู้ด้วยซ้ำว่างี่เง่าอีกต่างหาก แต่ไม่อยากขัดใจหรือขี้เกียจที่จะเถียงกับคนไข้ให้หมางใจกันเปล่าๆ อยากโง่ก็ให้โง่ไป แถมตรวจเยอะๆ หมอก็ได้ตังค์เยอะด้วย มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย หมอแบบนี้เป็นหมอเก่งอีกประเภทหนึ่ง


หมอท่าทางน่าเลื่อมใส หมอพวกนี้มักมีบุคลิกลักษณะดี ท่าทาง ท่าเดิน หรือการแต่งกายดูดี หมอแบบนี้เหมาะสำหรับคนไข้ที่ชอบคนที่ดูน่าเลื่อมใส หมอบางคนที่ดูดี แต่ในวงการของหมอด้วยกันรู้ว่าไม่มีความรู้หรือความชำนาญในโรคนั้นก็มีเยอะ เพียงแต่ไม่รู้จะบอกคนไข้อย่างไร หรือถึงบอกไปก็ไม่เชื่อ ก็ต้องพิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน


หมอฝีมือดี หมอพวกนี้คือหมอเก่งจริง โดยเฉพาะเก่งในวิชาชีพที่เรียนมา เช่น บางคนผ่าตัดหัวใจเก่งมาก บางคนทำคลอดเก่งมาก หมอพวกนี้บางคนก็พูดไม่เก่ง แถมบางคนปากร้ายเอาใจยากอีกต่างหาก แต่ก็ถูกใจคนไข้ไม่น้อย คนไข้หลายคนมาบอกผมว่าแม้จะต้องรอนานกว่าจะได้ตรวจหรือถูกหมอว่าเวลาขัดใจหมอก็ต้องทนเอา หมอแบบนี้เหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการผลงานการรักษาที่ดี แต่อาจต้องทนต่อความรู้สึกบางอย่าง เช่น รอนาน หรือหมอหงุดหงิดใส่




แบบนี้ไม่เก่ง


ในทางตรงกันข้ามกับหมอเก่งหรือหมอดีดังกล่าวข้างต้น หมอไม่เก่งหรือหมอไม่ดีมักมีลักษณะดังนี้

หมอพูดไม่เข้าใจ หรือจะว่าพูดไม่รู้เรื่องก็ได้ ภาษาของหมอที่ใช้กันเป็นภาษาที่เข้าใจยากสำหรับคนนอกวงการ ส่วนมากแล้วหมอไม่ได้ต้องการจะพูดให้มันดูภูมิฐานหรอกครับ แต่ไม่รู้จะพูดเป็นภาษาชาวบ้านอย่างไรมากกว่า หมอบางคนพยายามจะแปลชื่อโรคจากภาษาอังกฤษ (หรือบางทีก็เป็นภาษาละติน) ให้ฟังง่ายขึ้น แต่ยิ่งทำบางครั้งก็ยิ่งสับสนหรือน่าตกใจ เช่น โรคกระเพาะปัสสาวะเสื่อมสมรรถภาพ โรคหัวใจอ่อน คนไข้บางคนหลังฟังหมอพูดเลยต้องเลิกทำงานหรือเปลี่ยนอาชีพไปเลยก็มี เพราะกลัวหัวใจจะหยุดเต้นแล้วตาย ทั้งที่หมอก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้เข้าใจในทางเลวร้ายเช่นนั้น แต่หมอก็พูดไม่เป็นเหมือนกัน ผมเคยประสบพบเจอหมอบางคนที่มีตำแหน่งวิชาการใหญ่โต แต่ไม่ค่อยมีคนไข้มาหาเพราะพูดแล้วคนไข้ไม่เข้าใจ


หมอไม่พูดหรือไม่บอก หมอบางคนก็ขี้เกียจพูดจริงๆ คนไข้บางคนจนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นโรคอะไร เพราะหมอไม่พูดหรือไม่บอก หรือบอกแต่ไม่เข้าใจ ยิ่งถ้าเจอคนไข้ประเภทขี้เกรงใจ ไม่กล้าถามยิ่งไปกันใหญ่ ผมคิดว่าเป็นสิทธิ์อย่างเต็มที่ของคนไข้เลยนะครับที่จะถามหมอว่า ตัวเป็นโรคอะไร รักษาไปอย่างไรบ้าง ถ้าได้รับการผ่าตัดก็ควรจะถามว่าผ่าตัดอะไรไป จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไป หัดกล้าบ้างนะครับ


อย่างไรก็ตาม บางครั้งที่หมอไม่บอกก็เพราะคนไข้เป็นโรคร้ายแรง หมอเลยไม่กล้าบอกเพราะเกรงว่าถ้าบอกไปคนไข้จะช็อกตายเสียก่อน หรือบางทีก็อยากบอกแต่ยาติขอร้องไม่ให้บอก กรณีนี้หมอก็ต้องยอมเป็นหมอไม่ดีหรือไม่เก่งแล้วละครับ


หมอไม่มีฝีมือหรือไร้ความรู้ หมอประเภทนี้ตรงข้ามกับหมอฝีมือดีที่กล่าวถึงข้างต้น กล่าวคือ รักษาผู้ป่วยแล้วมีปัญหาหรือผิดพลาดบ่อยๆ ผ่าตัดก็ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งที่ไม่ควรจะเกิด ใครที่ไปเจอหมอแบบนี้ก็ถือว่าโชคร้ายละครับ แต่จะให้ชี้ชัดไปเลยว่าหมอคนไหนที่เป็นแบบนี้ คงไม่มีใครกล้าบอกหรอกครับ เดี๋ยวฆ่ากันตาย ก็ต้องลองสืบๆ ดูเอาเองก็แล้วกัน อย่างไรก็ตามหมอประเภทนี้ไม่น่าจะมีมากหรอกครับ




ความจริงยังมีเรื่องเกี่ยวกับหมอที่คนไข้น่าจะรู้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะพิเศษของคนที่เป็นหมอ ประเภทของหมอ เพื่อที่คนไข้จะได้เข้าใจและเลือกหาหมอตรงตามที่ตัวเองต้องการ แต่คิดว่าต้องขอจบแค่นี้ก่อนนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะถูกเพื่อนผองน้องพี่หมอๆ ของผมรุมเหยียบเอาที่เอาเรื่องภายในมาเผยแพร่มากเกินไป ขอให้โชคดีเจอหมอที่ถูกใจนะครับ


(update 28 กรกฎาคม 2005)
[ ที่มา..นิตยสารดวงใจพ่อแม่ ปีที่ 10 ฉบับที่ 112 กุมภาพันธ์ 2548 ]



Posted by : P , Date : 2006-04-17 , Time : 21:39:58 , From IP : 172.29.7.139

ความคิดเห็นที่ : 1


   ความรักช่วยชะลอแก่ได้อย่างไร...


ลองมาดูชีวิตประจำวันของคนเรากันก่อนจะดีไหม... เริ่มต้นในตอนเช้า เมื่อแสงแดดส่องมากระทบกับสายตา สัญญาณของความว่างก็จะส่งต่อไปที่จอรับภาพที่ตา ซึ่งจะส่งถ่ายต่อไปยังต่อมในสมองที่ชื่อว่า ซึ่งถ้ามีสารอาหารวัตถุดิบที่ชื่อ ที่มีมากในธัญพืชทั้งหลาย รวมทั้ง นม ไข่ สมองส่วนดังกล่าวก็จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่ชื่อว่า.. เซโรโทนิน ออกมา ทำให้เกิดการกระปรี้กระเปร่ากระชุ่มกระชวย พร้อมที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและเต็มประสิทธิภาพ


คนเราอาศัยพลังงานมาจากการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไป ด้วยกระบวนการสันดาปกับออกซิเจนที่หายใจเข้าไปผ่านปอด...


รถยนต์ที่วิ่งได้ก็อาศัยพลังงานมาจากการเผาผลาญน้ำมันโดยกระบวนการสันดาปกับออกซิเจนเช่นกัน และจะเห็นได้ว่าผลที่ได้มาด้วยก็คือ... ควันไอเสีย นั่นเอง


คนเราก็เช่นกัน การเผาผลาญอาหารให้เกิดพลังงาน ก็ย่อมจะเกิดควันไอเสียขึ้นมา... และเจ้าควันไอเสียของคนนั้น มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า เจ้าอนุมูลอิสระเป็นประจุที่ไม่ครบไม่เต็ม ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า ...ประจุขาดรัก


เมื่อเจ้าอนุมูลอิสระมันขาดรัก... มันย่อมจะต้องพยายามวิ่งหารัก พยายามจะเติมประจุให้เต็ม เหมือนกับคนที่ขาดรักนั่นแหละ และในขณะที่เจ้าอนุมูลอิสระวิ่งไปทั่วร่างกายเพื่อเติมให้เต็มประจุนั้น มันก็จะไปทำลายเซลล์เนื้อเยื่อให้เสื่อม ไปกระตุ้นให้กลายพันธุ์ เป็นเนื้อร้าย ยิ่งถ้าเจ้าของร่างกายใช้พลังงานมากเท่าไร อนุมูลอิสระย่อมจะเกิดมากขึ้นเท่านั้น และเป็นผลทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเกิดการเสื่อมชราก่อนวัย รวมทั้งมีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น


คนที่ทำงานหนักไม่พักผ่อน คนที่เคร่งเครียดคิดมาก ใช้สมองมาก คนที่สูบบุหรี่ คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ใช้พลังงานมาก และปล่อยอนุมูลอิสระออกมามาก... คนกลุ่มนี้เป็นคนที่ขาดรัก ไม่รักตัวเอง แถมปล่อยประจุขาดรักออกมาทำลายอวัยวะและร่างกายให้เสื่อมก่อนวัย!!!


ที่จริงแล้วธรรมชาติสร้างมนุษย์มาด้วยกระบวนการป้องกันการเสื่อมชราจากอนุมูลอิสระที่เป็นประจุขาดรักอยู่แล้ว ถ้าเข้าใจในการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ในการดำรงชีวิต


เพราะเมื่อแสงอาทิตย์ลาลับจากโลกใบนี้ไป ความมืดก็จะเข้ามาแทนที่ สมองที่สร้างฮอร์โมนเซโรโทนิน จะหยุดสร้างและเปลี่ยนมาสร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน แทน... ทำให้เกิดการง่วงเหงาหาวนอน และอยากจะพักผ่อนนอนหลับ พอนอนหลับสนิท ฮอร์โมนเมลาโทนินก็จะทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระออกไปจากร่างกาย ทำให้ตื่นนอนขึ้นมาด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า


ขณะเดียวกัน เมื่อนอนหลับสนิท ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตจะได้รับการผลิตออกมาช่วยทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ คงความเป็นหนุ่มสาวและไม่แก่ชรา


คนที่มีความรักและมีความสุข... ย่อมจะนอนหลับและฝันดี


คนที่มีคู่ชีวิตและร่วมรักกันอย่างเป็นสุข จะหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า ออกมา ทำให้ผ่อนคลายหายเครียด นอนหลับและฝันดี


คนที่ให้ความรักผู้อื่น โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ด้วยความเมตตากรุณาในใจ ย่อมมีจิตใจสงบสุข...นอนหลับสนิท


คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ด้วยความรักสุขภาพ... จะหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอ็นโดฟิน ออกมาเช่นกัน ทำให้นิทราอย่างเป็นสุข


คนที่รับประทานอาหารอย่างมีความสุข ย่อมได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารย่อยได้ดี จึงนอนหลับอย่างเป็นสุข


แน่นอนว่า คนที่นอนหลับอย่างเป็นสุขได้นี้... นอนหลับสนิทเพราะความรักที่มีอยู่ภายในดวงใจ ขณะเดียวกันคนที่มีความรักจะไม่เครียด มีความสุขสงบ จึงใช้พลังงานจากความเครียดน้อย การผลิตอนุมูลอิสระก็ย่อมจะน้อยตามไปด้วย การทำลายเซลล์เนื้อเยื่อจึงลดลง แต่การเสริมสร้างเซลล์เนื้อเยื่อจะเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมา แน่นอน ย่อมจะเป็นหนุ่ม เป็นสาวทั้งกายและใจ


...รู้แบบนี้แล้ว คุณจะไม่ชะลอแก่ด้วยความรักกันบ้างหรือ


ความรักแท้นั้น ไม่ต้องใช้เงินทองไปแสวงหา

เพราะรักแท้... มีอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว!!

แค่แบ่งความรักที่มีอยู่... ให้คนอื่นไปบ้าง


แล้วคุณก็จะมีความสุข...เป็นหนุ่มเป็นสาว


(update 20 มกราคม 2005)
[ ที่มา...เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 655วันที่ 20 - 26 ธ.ค. 2547 ]



Posted by : P , Date : 2006-04-17 , Time : 21:47:04 , From IP : 172.29.7.139

ความคิดเห็นที่ : 2


   

การจัดการ ความเจ็บปวด




วันนี้ผมมีคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการความเจ็บปวด โดยเฉพาะอาการปวดหลังที่เราคุยกันมานานหลายตอนแล้ว เป็นคำแนะนำ 10 ขั้นตอนในการจัดการกับความปวด โดยสมาคมความปวดเรื้อรังแห่งอเมริกา มีรายละเอียดดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 ยอมรับความเจ็บปวด

เรียนรู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายทั้งหมดของคุณ จงเข้าใจว่าอาจไม่มีทางรักษาหายและยอมรับว่า คุณจำเป็นจะต้องจัดการกับความจริงของความเจ็บปวดในชีวิตของคุณ


ขั้นตอนที่ 2 เข้าไปมีส่วนร่วม

จงมีบทบาทในการทุเลาความเจ็บปวดด้วยตัวคุณเอง ปฏิบัติตามที่แพทย์ให้คำแนะนำและขอให้คุณทำการเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้มีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของคุณ


ขั้นตอนที่ 3 รู้จักจัดลำดับความสำคัญ

มองดูสิ่งต่างๆ ให้ไกลกว่าเรื่องความเจ็บปวด สิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตของคุณเรียงลำดับสิ่งที่คุณอยากจะทำ การเรียงลำดับความสำคัญสามารถช่วยคุณค้นพบจุดเริ่มต้นที่จะกลับไปมีชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงมากขึ้น


ขั้นตอนที่ 4 ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง

เราทุกคนเดินได้ก่อนวิ่งได้ ตั้งเป้าหมายที่อยู่ภายใต้อำนาจของคุณที่จะทำให้สำเร็จได้ หรือแจกแจงเป้าหมายใหญ่ให้เป็นขั้นตอนย่อยที่จัดการได้ และใช้เวลาในการเพลิดเพลินกับความสำเร็จของคุณ


ขั้นตอนที่ 5 รู้จักสิทธิพื้นฐานของคุณ

เราทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐาน ในบรรดานั้นก็คือ สิทธิในการได้รับการดูแลรักษาอย่างนับถือในความเป็นมนุษย์ สิทธิที่จะปฏิเสธโดยไม่รู้สึกผิด สิทธิที่จะทำความผิดได้ และสิทธิที่จะไม่ต้องถูกตัดสินใจด้วยคำพูดหรือความเจ็บปวด


ขั้นตอนที่ 6 รู้จักอารมณ์ของคุณ

ร่างกายและจิตใจของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อารมณ์มีผลกระทบโดยตรงต่อความสุขสบายดีของร่างกาย ด้วยความรู้เช่นนี้และการจัดการกับความรู้สึก คุณสามารถลดความเครียดและความเจ็บปวดที่คุณรู้สึกได้


ขั้นตอนที่ 7 รู้จักการผ่อนคลาย

ความเจ็บปวดจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีความเครียด การฝึกหัดผ่อนคลายร่างกาย เป็นวิธีหนึ่งในการกลับมาควบคุมตัวของคุณได้อีก การหายใจลึกๆ การจินตนาการภาพ และเทคนิคการผ่อนคลายอย่างอื่นสามารถช่วยคุณจัดการกับความเจ็บปวดในชีวิตคุณ


ขั้นตอนที่ 8 ออกกำลังกาย

คนส่วนใหญ่ที่มีอาการปวดเรื้อรังมักกลัวการออกกำลังกาย แต่กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งาน ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากกว่ากล้ามเนื้อที่มีความตึงตัวและยืดหยุ่นดี จงไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพื่อให้คำแนะนำการออกกำลังกายที่คุณสามารถทำได้อย่างปลอดภัย เมื่อคุณมีพละกำลังมากขึ้น ความเจ็บปวดจะลดลง คุณจะรู้สึกดีขึ้นมากด้วย


ขั้นตอนที่ 9 จงมองภาพรวม

เมื่อคุณรู้วิธีการกำหนดความสำคัญก่อนหลัง รู้จักการไปให้ถึงเป้าหมาย รู้จักใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของคุณ รู้จักจัดการกับความรู้สึกของคุณ รู้จักผ่อนคลายและควบคุมตัวเอง คุณจะพบว่าความเจ็บปวดไม่ได้เป็นศูนย์กลางของชีวิตคุณอีก คุณสามารถมองไปที่ความสามารถของคุณไม่ใช่ความบกพร่องของคุณ คุณจะมองเห็นความจริงว่าคุณสามารถจะมีชีวิตอย่างเป็นปกติได้ แม้ว่าจะมีความเจ็บปวด


ขั้นตอนที่ 10 จงช่วยเหลือผู้อื่น

มีผู้ประมาณไว้ว่า มีคนถึง 1 ใน 3 คน ที่ประสบกับความเจ็บปวดเรื้อรังอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อคุณได้พบวิธีในการจัดการควบคุมความเจ็บปวดแล้ว จงเอื้อมมือออกไปยังผู้อื่นและแบ่งปันสิ่งที่คุณรู้ การมีชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดเป็นประสบการณ์ การเรียนรู้ตลอดไป เราทั้งอยู่ได้ด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน



คำแนะนำเหล่านี้มีประโยชน์มากในการฟื้นตัวจากอาการเจ็บปวด เราสามารถเข้าใจ ยอมรับ และอยู่ร่วมกับความเจ็บปวดได้ถ้าจำเป็น และสามารถลดความเจ็บปวดให้น้อยลงเช่นกัน ตัวของเราเองนั้นเป็นคนที่จะดูแลตัวเองได้ดีที่สุด เราจึงมีส่วนในการรักษาอาการปวดของเราอย่างมาก อาจจะมากกว่าที่เราคิดไว้ก็ได้ เราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราต้องเป็นคนสำคัญในการดูแลสุขภาพของเรา ไม่ใช่คนอื่น สุขภาพดีจึงอยู่ที่ตัวเราแต่ละคนจะสร้างมันขึ้นมา อยากมีสุขภาพดีจึงไม่ต้องลงทุนสูง เพียงมีความรู้และกระทำตามความรู้นั้นด้วยตัวเอง สุขภาพดีไม่ไปไหนเสียหรอกครับ


(update 21 พฤษภาคม 2004)
[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 3 เมษายน 2546 ]


Posted by : การจัดการ ความเจ็บปวด , Date : 2006-04-17 , Time : 21:49:39 , From IP : 172.29.7.139

ความคิดเห็นที่ : 3


    เบบี้ ก็กลุ้มใจเป็นนะ



แม้เด็กวัยนี้จะใช้เวลานอนเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า 80% ของเวลาที่มีอยู่ในหนึ่งวันลูกจะเอาแต่นอนหลับปุ๋ย พอตื่นขึ้นมาเขาจะรู้สึกว่าต้องการให้มีคนที่รักเขาอยู่เคียงข้าง ฉะนั้นถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ได้ว่าทุกครั้งที่ลูกตื่น ลูกจะร้องไห้หาเราเพราะลูกต้องการให้มีคนคอยดูแลเอาใจใส่ และตอบสนองความต้องการเขาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส การกอด การอุ้ม การปลอบประโลม หรือน้ำเสียงที่พูดอย่างอ่อนโยน


เรื่องปัญหาพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นฉี่ อึ ปวดท้อง หิว ร้องไห้ ถ้าเราสามารถตอบสนองลูกเป็นอย่างดี ลูกจะรู้สึกสบายใจ ไม่เครียด และพัฒนาความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย มองโลกในแง่ดี มีจิตใจคิดดีต่อผู้อื่น ถึงตอนโตโน่นเลยล่ะค่ะ


เด็กวัย 8-9 เดือนไปจนถึง 1 ปี จะเริ่มกลัวการพรากจากแม่อย่างที่สุด แค่เราเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือเดินไปรินน้ำแล้วกลับมาอีกครั้ง ลูกจะเหลียวมองตามหรือไม่ก็ร้องไห้ เพราะกลัวเราหนีห่างไปไหน ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้คือบอกให้ลูกรู้ว่าเราจะไปไหน และจะกลับมาภายในเวลาไม่นาน หรือส่งเสียงโผล่หน้าให้เห็นว่าแม่อยู่ไม่ไกล


ความรู้สึกกลัวของลูกเกิดขึ้นได้จากการแสดงของแม่ ซึ่งมีบทบาทต่อจิตใจลูกมาก คุณแม่ที่มีลักษณะขี้โวยวาย จู้จี้ เข้มงวด กระตุ้นหรือปกป้องลูกมากเกินไป จะทำให้ลูกรู้สึกกังวล รู้สึกถูกทอดทิ้ง และต้องการความสนใจ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ล้วนผลักดันให้เด็กเกิดความกลัวได้ค่ะ


พ่อแม่บางคนอาจไม่เข้าใจ คิดไปเองว่าลูกวัยเบบี้อาจกังวลใจไม่เป็น แต่ตราบใดที่ความต้องการพื้นฐานของเขาไม่ได้รับการตอบสนอง ความเครียดจะเกิดขึ้นกับลูกได้โดยที่เราเองก็นึกไม่ถึงค่ะ ฉะนั้นเด็กวัยแบเบาะนี่แหละถ้าเราให้ความรักและเวลากับเขาอย่างเพียงพอ เขาจะอารมณ์ดี ไม่เครียด หัวเราะง่ายและรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งเมื่อเด็กอารมณ์ดี ไม่เครียด ต่อไปเขาจะพัฒนาไปสู่การเรียนรู้ที่มีความสุข และเติบโตสมวัยอย่างที่เราต้องการค่ะ


ไม่อยากให้หนูเครียด ต้อง...


ช่วง 3 เดือนแรก ถ้าเราตอบสนองลูก สบตา พูดคุยกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ลูกเริ่มมองตาเรา และมองตามเสียงเรียกของเราเพราะลูกเริ่มรู้จักและคุ้นเคยกับเราแล้ว การตอบสนองลูกอย่างนี้ถือเป็นการให้ของขวัยล้ำค่ากับลูกวัยเบบี้เลยะนะคะ เพราะเขาจะรู้ถึงความรัก และความผูกพันที่เรามีให้อย่างเต็มเปี่ยม


ฉะนั้นช่วงเวลาที่ลูกอายุ 0-1 ปีนี่แหละค่ะ ถือเป็นช่วงเวลาทองที่เราจะสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้ลูก เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว การให้นมลูก กอดลูกไว้ เล่นกับเขา หรือเอานิ้วมือให้เขากุมหรือนวด คุยกับเขาตลอดเวลา ลูกจะค่อยๆ ซึมซับความรักที่เรามีให้เขา และเขาจะเริ่มรู้สึกเป็นสุข และเป็นเด็กไม่เครียดง่าย ซึ่งความทรงจำที่ดีอันนี้จะฝังแน่นในจิตสำนึกของลูกไปจนตลอดชีวิตเลยเชียวค่ะ


พ่อแม่บางคนสามารถหาเกมต่างๆ มาช่วยกระชับความสัมพันธ์กับลูกวัยนี้ได้ โดยเล่นเกมปูไต่กับลูก หรือเล่นจั๊กจี้กับลูกหือเล่นจ๊ะเอ๋ เล่นหน้ากระจก หรือแม้กระทั่งเวลาอาบน้ำเราสามารถหาตุ๊กตายางตัวเล็กๆ มาอาบเป็นเพื่อนลูกก็ได้อีกเหมือนกันค่ะ


อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นค่ะว่า ลูกวัยนี้จะกลัวการพรากจากมาก เพราะเขาคิดว่าเขาคือส่วนหนึ่งของพ่อแม่ ฉะนั้นแค่เราหายไปแม้เพียง 2-3 นาที โลกทั้งโลกสามารถถล่มทลายลงไปต่อหน้าต่อตาได้ ด้วยเหตุนี้ถ้าเราต้องเดินไปไหนอย่างไปห้องน้ำหรือไปทำกับข้าว หรือแม้แต่ไปทำงาน เราควรพูดลากับลูกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนะคะ ยิ่งถ้าเข้ามาโอบกอดลูก และกล่าวลาอย่างอบอุ่นจะช่วยให้ใจของลูกไม่รู้สึกเครียด หรือกลัวกับการจากลาของเราค่ะ


บางบ้านอาจจำเป็นต้องย้ายบ้านในช่วงลูกแบเบาะ หรืออาจต้องไปนอนค้างอ้างแรมกันในต่างจังหวัด ฉะนั้นการจากลาจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ จะทำให้ลูกเครียดได้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราสามารถนำตุ๊กตา หรือหมีตัวโปรด หรือผ้าห่มผืนโปรดติดตัวไปด้วยก็ได้ เพราะสิ่งของเหล่านี้ช่วยให้ลูกรู้สึกเชื่อมโยงกับบ้าน และทำให้เขาไม่รู้สึกเคว้งคว้างเกินไปนัก


โดยรวมแล้วเด็กวัยนี้ต้องการให้เราตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การทำความสะอาดให้ยามที่เขาอึ ฉี่ หรือไม่สบายตัว และถ้าเราตอบสนองลูกด้วยความรักและทนุถนอม สุขภาพใจที่เป็นสุขจะเกิดขึ้นและฝังแน่นไปจนตลอดชีวิตเลยเชียวค่ะ


(update 9 เมษายน 2005)
[ ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 22 ฉบับที่ 255 เมษายน 2547 ]



Posted by : P , Date : 2006-04-17 , Time : 21:51:11 , From IP : 172.29.7.139

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<