Communication skill ของแพทย์นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการ counseling หรือการสื่อสาร การสัมภาษณ์ นั้นคือ การฟัง
ฝึกฟังให้ดี ฟังจับใจความ ฟังอย่างมีเมตตากรุณา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการที่เอาหัวเราไปอยู่ใกล้ที่ที่มีเสียง และจับได้ว่ามี vibration เกิดขึ้น เพราะนั่นคงไม่ค่อยเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพเราเท่าไหร่นัก
เป้าหมายเบื้องต้นของอาชีพแพทย์พยาบาลนั้นคือ "ช่วยคนที่มีทุกข์" จะช่วยเขาได้ ต้อง "เข้าใจ" ก่อนว่าเขาทุกข์เรื่องอะไร จึงมาหาเรา มาขอให้เราช่วย ไม่ใช่เขาเรื่องปวดนิ้ว แตเราชำเลืองไปเห็นอืมธัยรอยด์โตนี่หว่า เลยซักประวัติ ตรวจแต่ธัยรอยด์ นัดผ่าตัดไปโน่น จนลืมดูนิ้ว
เวลาที่คนไข้มาหาหมอนั้น ไม่ใช่เวลาที่เขามีความสุขเท่าไหร่ (ยกเว้นบางกรณี เช่นมาคลอด เป็นต้น) ข้อมูลที่เขาร่วมมือและให้หมอนั้น เขาหวังว่าเราจะใช้อย่างคุ้มค่า เขาจึงยอมบอกอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยบอกเล่าให้คนอื่นฟัง ยอมให้เราตรวจร่างกายหลายๆอย่างที่ปกติไม่ยอมให้ใครมาทำ ที่เขายอมเราไม่ใชเพราะเรามีอภิสิทธิ์มาแต่ไหน แต่เป็นอภิสิทธิ์อยู่บน เงื่อนไข ที่ว่าเราจะเอาข้อมูลที่ซักได้ ที่ตรวจได้ นั้นไปใช่เพื่อประโยชน์ของเขา เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำใจมาเล่าให้คนแปลกหน้าหรือหมอหน้าใสที่ไหนมาฟังง่ายๆ บางทีมันเป็นเรื่องน่าละอาย เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเขาไม่เล่าให้ฟัง ถ้าเรามี privilege ได้ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว พวกเรากรุณาช่วยให้เกียรตินี้แต่ตนเอง แก่วิชาชีพที่ทำให้เราไปอยู่ตรงนั้น และต่อผู้ป่วยที่กำลังเล่าให้เราฟังอยู่ น่าจะเป็นกิริยามารยาท และเจตคติที่เหมือนกับผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี
ความคิดเห็นที่ : 26
Communication skill ของแพทย์นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการ counseling หรือการสื่อสาร การสัมภาษณ์ นั้นคือ การฟัง
ฝึกฟังให้ดี ฟังจับใจความ ฟังอย่างมีเมตตากรุณา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการที่เอาหัวเราไปอยู่ใกล้ที่ที่มีเสียง และจับได้ว่ามี vibration เกิดขึ้น เพราะนั่นคงไม่ค่อยเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพเราเท่าไหร่นัก
เป้าหมายเบื้องต้นของอาชีพแพทย์พยาบาลนั้นคือ "ช่วยคนที่มีทุกข์" จะช่วยเขาได้ ต้อง "เข้าใจ" ก่อนว่าเขาทุกข์เรื่องอะไร จึงมาหาเรา มาขอให้เราช่วย ไม่ใช่เขาเรื่องปวดนิ้ว แตเราชำเลืองไปเห็นอืมธัยรอยด์โตนี่หว่า เลยซักประวัติ ตรวจแต่ธัยรอยด์ นัดผ่าตัดไปโน่น จนลืมดูนิ้ว
เวลาที่คนไข้มาหาหมอนั้น ไม่ใช่เวลาที่เขามีความสุขเท่าไหร่ (ยกเว้นบางกรณี เช่นมาคลอด เป็นต้น) ข้อมูลที่เขาร่วมมือและให้หมอนั้น เขาหวังว่าเราจะใช้อย่างคุ้มค่า เขาจึงยอมบอกอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยบอกเล่าให้คนอื่นฟัง ยอมให้เราตรวจร่างกายหลายๆอย่างที่ปกติไม่ยอมให้ใครมาทำ ที่เขายอมเราไม่ใชเพราะเรามีอภิสิทธิ์มาแต่ไหน แต่เป็นอภิสิทธิ์อยู่บน เงื่อนไข ที่ว่าเราจะเอาข้อมูลที่ซักได้ ที่ตรวจได้ นั้นไปใช่เพื่อประโยชน์ของเขา เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำใจมาเล่าให้คนแปลกหน้าหรือหมอหน้าใสที่ไหนมาฟังง่ายๆ บางทีมันเป็นเรื่องน่าละอาย เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเขาไม่เล่าให้ฟัง ถ้าเรามี privilege ได้ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว พวกเรากรุณาช่วยให้เกียรตินี้แต่ตนเอง แก่วิชาชีพที่ทำให้เราไปอยู่ตรงนั้น และต่อผู้ป่วยที่กำลังเล่าให้เราฟังอยู่ น่าจะเป็นกิริยามารยาท และเจตคติที่เหมือนกับผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-13 , Time : 23:15:20 , From IP : ppp-124.120.218.50.r
ความคิดเห็นที่ : 27
สืบเนื่องจาก "ผมคิดว่าผม stable นะครับ ส่วน predictable นั้น ไม่ได้ขึ้นกับผมคนเดียว แต่ขึ้นกับสติปัญญาความสามารถ ความเข้าใจของคน predict ด้วย"
ถ้าอาจารย์จะ unpredictable อย่าง stable หนูก็จะพยายามเข้าใจนะคะ แต่เราคงจะวางเงื่อนไขเดียวกันนี้กับผู้ป่วยไมได้ คำถามก็คือ ทำให้ผู้ป่วยไว้วางใจเราได้ จนยอมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้ ทำอย่างไรคะ (ไม่ได้สงสัยเรื่องตั้งใจฟังค่ะ แต่สงสัยเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากที่ได้ตั้งใจฟังแล้ว)
Posted by : Lucifer , Date : 2006-04-14 , Time : 00:00:06 , From IP : 172.29.4.152
ความคิดเห็นที่ : 28
คำถามก่อนวงเล็บและในวงเล็บเป็นคนละเรื่องกัน ลองปรับแต่งใหม่อีกทีดีไหมครับ?
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-14 , Time : 10:06:43 , From IP : ppp-124.120.219.18.r
ความคิดเห็นที่ : 29
ถ้าผู้ป่วยนั้นมีท่าทีที่ดูไม่ไว้วางใจเรา แสดงว่าความสัมพันธ์เรากับผู้ป่วยนั้นยังไม่ดีเพียงพอ สาเหตุที่พบบ่อยก็มาจากที่ว่า เรายังฟังผู้ป่วยได้ไม่ดีเพียงพอ ผู้ป่วยเลยไม่คิดที่จะเล่าอะไรให้เราฟังเพราะคิดว่าเล่าไปหมอก็ไม่ฟังแต่ผู้ป่วยรู้ว่าหมอได้ยิน
การตั้งใจฟัง กับการฟัง ไม่ใช่อันเดียวกันหรอกนะ ลองคิดดูดีๆสิ
Posted by : pisces , Date : 2006-04-14 , Time : 10:12:22 , From IP : 172.29.7.247
ความคิดเห็นที่ : 30
หมายความตามนั้นค่ะ
ขยายความเพิ่มเติมว่า ... ปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากที่ฟังแล้วควรเป็นอย่างไรเพื่อให้ผู้ป่วยไว้วางใจที่จะเล่าเรื่องราว ความรู้สึกของเขาให้เราฟังในครั้งต่อไป ในครั้งแรกเลยความตั้งใจฟังอย่างเดียว เพียงพอที่จะทำให้เค้าเล่าค่ะ แต่ครั้งต่อไปจะเกิดความคาดหวังที่เป็นผลจากการตอบสนองในครั้งแรกด้วย อีกอย่างคือ เวลานี้ ขณะนี้หนูไม่ใช่ "คนสำคัญ" จึงไม่มีความจำเป็นที่ใครจะต้องpretend เอาอะไร เนื่องจากอำนาจการตัดสินใจเบ็ดเสร็จไม่ได้อยู่ที่หนู ใครจะแสดงอะไรออกมาก็เลยไม่ต้องระวัง แต่ต่อไป หนูจะเป็น "คนสำคัญ" ก็เลยคิดว่าจะระวังไว้ก่อน(อาจารย์เคยคิดหรือรู้สึกมั้ยคะว่า ผู้ป่วยพูดในสิ่งที่เราอยากฟัง แต่ไม่พูดในสิ่งที่เค้าอยากจะพูด)
Posted by : Lucifer , Date : 2006-04-14 , Time : 10:44:15 , From IP : 172.29.4.152
ความคิดเห็นที่ : 31
ฟังเรื่องของผู้ป่วยให้เข้าใจ เน้นนะว่าเรื่องของผู้ป่วย ไม่ใช่เรื่องของความคิดในหัวเรา เมื่อฟังจนเข้าใจแล้วการตอบสนองจะเป็นไปตามธรรมชาติที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เรารู้สึกปราถนาดี่ต่อผู้ป่วย หรือเราจะตอบสนองไปตามความเข้าใจในเรื่องที่เราได้ยินก็ได้ โดยใช้ความเป็นคนสัมผัสความเป็นคนเนี่ยแหละ มันจะดูจริงใจกว่าไหมและก็ไม่ต้องมาเกร็งหรือมานั่งคิดว่า จะต้องทำตัวอย่างไรให้ผู้ป่วยพอใจ
...........
ที่ผ่านมาทำแบบนี้มาตลอด เลยไม่เคยกังวลว่าผู้ป่วยพูดในสิ่งที่เราอยากฟัง แต่ไม่พูดในสิ่งที่เค้าอยากพูด
Posted by : pisces , Date : 2006-04-14 , Time : 14:23:12 , From IP : 172.29.7.70
ความคิดเห็นที่ : 32
คนสำคัญหรือไม่สำคัญวัดจากอะไรครับ? ผมไม่เคยมองว่าตัวเองไม่สำคัญนะในการดูแลคนไข้ ผมอาจจะยังไม่ใช่หมอที่สามารถสั่งยาและมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ แต่ว่าในแต่ละวันที่ผมทำหน้าที นศพ ไปคอยถามอาการความเปลี่ยนแปลงของคนไข้ กินข้าวได้ไหม ถ่ายออกหรือเปล่า มีปัญหาอะไรสงสัยหรือไม่ คอยฟังเรื่องราวทั้งที่เราอยากฟังและคนไข้อยากเล่า ผมคงไม่ยอมรับว่าหน้าทีนี้ไม่ได้ทำให้ผมเเป็นคนสำคัญ ในขณะเดียวกันการที่หมอที่ถือว่าตัวเองสำคัญกลับทำแค่รักษาสั่งยาผ่านหน้าจอ comp อย่างไหนคือคนสำคัญครับ? จริงๆเราคงไม่ต้องให้ใครมานิยามเราว่าเราสำคัญหรือไม่แต่เราน่าจะสามารถ define ตัวเองได้จากการกระทำจากสิ่งที่เราคิดและรู้สึก กลับมาที่ debate ครับค่าของคนอยู่ที่การทำงานหรือผลงาน? ตราบใดเรายังรอที่จะเป็นคนสำคัญในสักวันแต่วันนี้ยังไม่ใช่ค่าของเราคงอยู่ที่ผลงาน หากแต่การเรียนรู้ที่จะเป็นคนสำคัญและทำหน้าที่อย่างเต็มที่ตามบริบทที่ล้อมรอบโดยไม่ต้องรอสักวันเราก็จะเห็นว่าค่าของตัวเองอยู่ที่การทำงาน
Posted by : doctor2b , Date : 2006-04-14 , Time : 14:31:13 , From IP : 172.29.4.136
ความคิดเห็นที่ : 33
ถ้าจะให้ใครไว้ใจเรา ก่อนอื่นเริ่มจากเลิกระแวงว่าคนอื่นจะไม่จริงใจกับเราก่อนดีไหมครับ
เคยมีหมอสงสัยว่าที่คนไข้บอกปวด ไม่น่าจะปวด ขอลองฉีดน้ำเกลือ ให้ placebo ดูซะหน่อยซิ นั่นแน่ทำไมหายปวด ดีนะนี่ที่ไม่เชื่อไว้ก่อน (หวังว่า practice นี้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว) ถ้าเรามีเจตคติว่าคนไข้อาจจะโกหกเราอยู่ เราเองก็จะ "ไม่ไว้ใจ" คนไข้ คิดว่าตนเองรู้มาก รู้เท่าทัน ใครจะมาหลอกฉัน เอาใจฉัน ฉันระแวงไว้ก่อน
ทำไมจึง "เดาใจ" คนไข้ว่าเขาพูดความทุกข์ให้เราฟังนั้น เขาต้องไตร่ตรองใคร่ครวญว่าเราเป็นคนสำคัญแค่ไหน? ทำไมเราจึงสร้าง attitude ว่า ผป.คงจะตอบนศพ. ตอบพยาบาล ตอบ resident ตอบอาจารย์ ไม่เหมือนกัน? ทำไมคิดว่าผป.กำลัง pretending? ตกลง นศพ. ควร หรือ ไม่ควรเชื่อประวัติที่ผป.ให้มากันแน่ฦ เพราะ ประวัติฉบับ นศพ. อาจจะไม่ตรงกับ version พยาบาล, version แพทย์ใช้ทุน, หรือ version อาจารย์?
เริ่มต้นจากคิดว่าเราเข้าหาผป.อย่างจริงใจ อย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างเมตตากรุณา ไม่หวาดระแวง จิตใจที่อยู่เบื้องหลังใบหน้าเรานั้นสำคัญมากครับ เริ่มต้นจากจิตบริสุทธิ์ ไม่หวาดระแวง เคารพในสิ่งที่ ผป. เลือกมาพูดกับเรา เลือกมาบอกเรา นั่นเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดแล้ว เราไม่มีทาง "รู้" ว่ามันจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องความไว้วางใจนั้น เป็นสิ่งที่เราต้อง "ลงทุน" ไปก่อนโดยอาศัยศรัทธาว่าความบริสุทธิ์ใจจะแลกมาซึ่งความบริสุทธิ์ใจ เพราะความหวาดระแวงว่าคนจะมาโกหกเรา พูดไม่จริงกับเรานั้น ต่อให้ซ่อนไว้แค่ไหน อกุศลจิตมันจะรบกวนสมาธิและภาษาท่าทางเราทั้งหมดจนได้
ถ้าจะเลือกภาษาที่ใช้ ผมคงบอกว่าหมอที่ "สำคัญ" นั้น ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง อายุ เพศ ฐานะ แต่หมอที่สำคัญคือหมอที่จริงใจ เข้าหาคนไข้อย่างมีเมตตากรุณา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นศพ. พยาบาล resident อาจารย์ ก็สามารถสำคัญได้เหมือนกัน และในทำนองกลับกัน ทุกคนก็จะเป็นคนที่ "ไม่สำคัญ" ได้ ถ้าไม่ได้มี positive approach เข้าหาคนไข้แต่แรก
ถ้าเรายังต้อง "ถามบทบาท" ว่าควรจะทำหน้ายังไง อือออ..แค่ไหน เมือ่ไหร่จะจับมือคนไข้ ตอนไหนต้องขยับตัว คนไข้จีงจะไว้ใจ จึงจะเปิดอกกับหมอได้อย่างบริสุทธิ์ใจ เราคงยังไม่เข้าใจคำว่า "ไว้วางใจ" ครับ เพราะความไว้วางใจนั้นไม่ได้ขึ้นกับการท่องบท มันต้องแลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันอยู่นอกเหนือจากบทบาทที่เราต้องท่องว่าทำยังไง ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงเหมือนกันว่าบริสุทธิใจคือยังไง เอาเป็นว่าไม่หวาดระแวง ไม่สงสัย ไม่คลางแคลงใจว่าตนเองทำไปเพราะอะไร แต่เป็น reaction เริ่มแรก ที่ผลักดันมาจากความเมตตากรุณาและหวังดีต่อผป.
รพ. เรามีพยาบาลอย่างพี่ฟ่ง (คุณกานดาวศรี) ซึ่ง approach ผป. ใกล้ตายมา กว่า 20 ปี มีคนถามว่าเด็กต้องพูดว่ายังไง ผู้ใหญ่ต้องพูดว่ายังไง ยังตอบไม่ได้เลยครับ มันเป็นบริบท มันเป็นปัจเจกบุคคล
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-14 , Time : 14:59:12 , From IP : ppp-124.120.219.229.
ความคิดเห็นที่ : 34
ขอบคุณมาก doctor 2b รู้สึกดีที่เราได้รู้จักกันมากขึ้นทุกครั้งที่คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว
Posted by : Lucifer , Date : 2006-04-14 , Time : 15:40:11 , From IP : 172.29.4.152
ความคิดเห็นที่ : 35
ถ้าจะให้ใครไว้ใจเรา ก่อนอื่นเริ่มจากเลิกระแวงว่าคนอื่นจะไม่จริงใจกับเราก่อนดีไหมครับ
ดีค่ะ แต่คำที่ใช้คือ ระวัง ไม่ใช่ ระแวง
ทำไมจึง "เดาใจ" คนไข้ว่าเขาพูดความทุกข์ให้เราฟังนั้น เขาต้องไตร่ตรองใคร่ครวญว่าเราเป็นคนสำคัญแค่ไหน?
ไม่ได้เดาค่ะ ก็อาจารย์สอนเองว่าถ้าสงสัยให้ถาม หนูก็เลยถาม
หนูบอกผู้ป่วยและญาติบ่อยๆว่า ไม่สบายตัวไม่สบายใจเรื่องอะไรให้บอก ถ้าไม่เล่าก็ไม่มีใครรู้หรอกนะ แต่พอเค้าเล่าเสร็จหนูก็ได้แต่....ไม่ทราบค่ะ หรือทราบก็คงเล่าไม่ได้ทั้งหมด อยากรู้อะไรให้ถามคุณหมอเจ้าของไข้นะคะ หรือเล่าให้คุณหมอฟังอย่างที่เล่าให้หนูฟังดีมั้ยคะเพราะการตัดสินใจวางแผนการรักษาจะอยู่ที่คุณหมอเจ้าของไข้ กรณีแย่ที่สุดที่เคยเจอ ญาติคนไข้จับมือหนูแล้วร้องไห้ สัญญานะว่าจะไม่เล่าให้ใครฟัง หนูปวดใจทุกครั้งเวลาถามว่าทำไมไม่พูดแล้วเค้าตอบว่า ไม่กล้าหรือกลัว ทำไมล่ะ ลองแล้วหรือ แล้วคำตอบคือ ใช่ หรือไม่ก็เห็นคาตาหลังจากที่ encourage ให้ลอง และที่บอกว่าจะระวังไว้ก่อนคือระวังจะไม่ทำให้เค้าไม่กล้าหรือรู้สึกกลัวที่จะบอกหรือเล่า (clarify คำถามครั้งที่3 ค่ะ และถ้าหมายความว่าเป็นปัญหาจากการที่หนูสื่อสารไม่clear ก็ประทับตรา invalid ทุกตัวอักษรที่ผ่านมาได้เลยนะคะ)
ทำไมเราจึงสร้าง attitude ว่า ผป.คงจะตอบนศพ. ตอบพยาบาล ตอบ resident ตอบอาจารย์ ไม่เหมือนกัน? ทำไมคิดว่าผป.กำลัง pretending?
ไม่ได้สร้างค่ะ แต่เคยเห็นแล้วก็เลยสงสัย ว่า ทำไม สงสัยต่ออีกหน่อยว่า อาจารย์เคยเห็นอย่างที่หนูเห็นมั้ยคะ?
(ดูท่าจะหลุด theme ของกระทู้)
Posted by : Lucifer , Date : 2006-04-15 , Time : 02:13:21 , From IP : 172.29.4.152
ความคิดเห็นที่ : 36
สงสัยคุณluciferจะสับสนในตัวเองมาก น่าจะลองสงบสติเรียบเรียงความคิดดูหน่อยนะ เพราะเนื้อหามันวกไปวนมา
Posted by : .. , Date : 2006-04-15 , Time : 09:21:09 , From IP : 172.29.7.50
ความคิดเห็นที่ : 37
คุณจะใช้คำว่าระแวง ระวัง ปลอดภัยไว้ก่อน ฯลฯ หรืออะไรก็ตาม ถ้ามันแปลว่า "สงสัยผู้ป่วยพูดไม่จริง หรือไม่จริงใจ" ผมคิดว่าความหมายเหมือนกัน
จริงอยู่ที่ ผป. จะ "เลือก" บอกเรื่องบางเรื่องกับบางคนตามบริบท แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่จริงใจกับคนที่ไม่ได้บอก และเรื่องบางเรื่องกับคนๆเดียวกัน ยังแปรตามสภาพจิตใจของผป.คนนั้นเอง ว่าทำใจ cope กับสภาวะตนเองอย่างไร ได้แค่ไหนตอนสื่อ
ถ้าเราสงสารผป.ตอนเขาบอกว่าไม่กล้าพูด ไม่อยากจะพูด ทำไมจึงจะรู้สึกปวดใจ? ทำไมไม่รู้สึก "เข้าอกเข้าใจ" ว่าเรื่องบางเรื่องผป.จะไม่กล้าพูด ไม่อยากพูด ทำไมจึง reference ว่าเหตุผลคือเพราะกำลังพูดกับเรา ทำไมจึงไม่เป็นเพราะ "เรื่อง" ที่เขากำลังพูด? เวลาญาติร้องไห้จับมือเราทำไมเราจึงรู้สึกแย่ที่มีคนขอความช่วยเหลือและขอกับเรา? แทนที่จะรู้สึกเห็นใจ และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกภาคภูมิใจที่เราอยู่ที่นั้นและผป.หรือญาติเจาะจงมาขอความช่วยเหลือ หรือพูดระบายกับเรา?
คำถามข้างบนจะไม่เกี่ยวกับการ acting ว่าท่าทีเราควรจะเป็นอย่างไร แต่จะเกี่ยวกับ attitude มากกว่าครับว่าเราคิดอย่างไร และรู้สึกอย่างไร ตอนที่เข้าไปสัมภาษณ์ การเตรียมใจที่แตกต่างกัน จะทำให้สามารถเปลี่ยนจาก "ปวดใจ" เป็น "เข้าใจ" เปลี่ยนจากโทษสถานะตนเอง เป็น "เข้าถึงบริบท" ของคนอื่น เปลี่ยนจากรู้สึกแย่ไปเป็น "ภาคภูมิใจ" ในวิชาชีพและหน้าที่ของตนเอง ทั้งหมดนี้ใช่ "ทำอย่างไร" แต่เป็น "รู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร" ที่มาอยู่ตรงนี้
ลดการใช้ reference ที่เป็น self-oriented ลงครับ อย่าเอาเรื่องทุกอย่างมาใช้เราเป็นตัวตั้ง เพราะเราไม่ดี เพราะเราเด็ก เพราะเราไม่เหมือนใคร เพราะเราเหมือนทุกคน ฯลฯ ลองใช้ reference ในบริบทของผป.แทน ลดความสำคัญของตัวเองลง ให้ความสำคัญต่อบริบทของผป.และญาติเพิ่มมากขึ้น อาชีพเราถ้าเราสะเทือนใจง่าย โกรธง่าย น้อยใจง่าย ปวดใจง่าย มันจะห่างออกจากความสามารถในการใช้อุเบกขา มันจะห่างจากการให้การดูแลแบบใช้หัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ออกไปเรื่อยๆ
ที่เรา "เห็น" นั้น จริงแค่ไหน? ใช้ประสบการณ์เก่า ใช้ความเป็น "เรา" มาแปลความมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราไม่รู้ เราก็ "คิด" ว่าที่เราเห็นนั้นคือเรื่องจริง ลืมไปว่าที่ผป.เห็นก็เรื่องจริงของเขาเหมือนกัน คุณใช้ reference มากมายว่าคุณเห็น คุณรู้สึก และสงสัยว่าคนไข้ไม่บอกอะไรทั้งหมด แต่ยังไม่ได้พยายามเข้าใจในความทุกข์ของเขา แต่ติดกับ "อารมณ์ของตัวเอง" ว่าหลังจากเห็นแล้ว คิดแล้ว รู้แล้ว ตนเองรู้สึกอย่างไร ทำไมไม่ลองพยายามมองและพยายามเข้าใจจากผป.หรือญาติก่อนล่ะครับ เพราะถ้าหมอ sympathy เกินไป เกินสภาวะ empathy มันก็จะตันแบบนี้แหละครับ คือกลายสภาพเป็นผป.อีกคน เศร้าไปอีกคน หาทางออกไม่ได้ไปอีกคนนึง ร่วมกันปวดใจ เศร้าใจ อัดอั้นตันใจไปกับผป. แล้วเราจะ "ช่วย" เขาได้อย่างไร?
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-15 , Time : 10:35:16 , From IP : ppp-124.120.221.194.
ความคิดเห็นที่ : 38
ขอกลับไปตั้งต้นที่ Process และ Product นะคะ คือว่าในชีวิตความเป็นจริงเป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่าในอุดมการณ์ ในความเป็นจริงมักจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้บางคนต้องหวังเพียงให้ผลที่ได้ออกมาดีที่สุดโดยไม่สนว่าจะเป็นอย่างไร แต่บางคนที่ทำ process ให้ดีแต่ product ไม่แปรไปตามด้วย
เช่น การอ่านหนังสือสอบ บางคนอ่านเพื่ออยากได้ความรู้ ที่จะสามารถรักษาคนไข้ได้ รู้ประวัติของคนไข้ของตนอย่างละเอียด และหาความรู้เป็นประจำ คนที่ทำเช่นนี้ได้เกรดปานกลาง และอีกคนหนึ่งอ่านแต่โพย เพื่อไปสอบอย่างเดียว ไม่เคยดูคนไข้ที่ ward เลย คนกลุ่มหลังมักจะได้เกรดดีกว่าคนกลุ่มแรกเสมอ นี่คือความจริงที่ทุกๆคนรู้
หากคนกลุ่มแรกได้เกรด สองกว่าๆ คนกลุ่มหลังได้สามกว่าๆ ในการสมัครเรียนต่อ เราคงรู้ว่าจะได้ไคร ทั้งๆที่คนตั้งใจอ่านหนังสือ ความรู้มากกว่า แต่ความเป็นจริงเกรดคือสิ่งเดียวที่อาจารย์ให้พิจารณารับเด็กเรียนต่อ โดยไม่มีการวัดความรู้จริงๆๆๆ เพราะเกรดคือสิ่งเดียวที่เป็นรูปธรรม
หากมีคนบอกว่าไม่หรอก รับเด็กจากความพยายาม ขยัน แล้วมีคำถามต่อว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนใหนขยันหรือพยายาม หากไม่ตามไปดูที่หอแล้วดูว่าใครอ่านหนังสือมากกว่ากัน ตอบ คงต้องดูที่เกรดเพราะเด็กที่ได้เกรดมากมักเป็นเด็กขยัน
นี่เป็นโลกแห่งความจริง
Posted by : นศพ , Date : 2006-04-15 , Time : 11:27:59 , From IP : 172.29.4.235
ความคิดเห็นที่ : 39
อ่านะ
หายไปนานชักจะคันปากยุบยิบ
ยิ่งอ่านกระทู้นี้แล้วยิ่งคัน
ความคิดผมนะ ค่าของคนก็แล้วแต่มุมมองของคน ทั้งตนเองและผู้อื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดจากความรู้สึกของแต่ละคน บางคนเค้าไม่เคยเห็นกระบวนการของคุณ คุณพยายามทำมันอย่างดีแต่ล้มเหลว เหมือนพวกอาจารย์ส่วนใหญ่ที่ประเมินเราด้วยเกรด บางคนตั้งใจแทบตายแต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่ากับคนอื่น(ผลทีทำให้ผู้อื่นได้เห็น) และคนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นด้วย มองผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ ไม่มีใครจะเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องได้เท่ากับพวกท่านทุกคนหรอกครับ ไม่เช่นนั้นประเทศชาติคงไม่ต้องมีปัญหาอยู่แบบนี้ พวกท่านมักคิดแบบพวกมีเหตุและผลรู้ทันใครๆเขาไปหมด แต่ลองคิดแบบคนธรรมดาดูบ้าง คุณค่าที่ท่านดูอาจจะเป็นเรื่องของท่าน ส่วนคนอื่นมองมันก็เป็นเรื่องของเขาเช่นกัน แต่โดยส่วนรวมแล้วความจริงเท่านั้นที่จะเป็นแรงขับผลักดันให้มันเป็นไปตามแนวทางนั้น ไม่ใช่ไปตามแนวคิดของท่าน ผมคิดว่ากระบวนการมีคุณค่ามากกับผู้ที่กระทำและปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่ผลของมันจะมีคุณค่าต่อผู้อื่นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งที่ได้ทำ
ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย...กรุณาอยู่ในโลกเถอะครับ...อย่าอยู่เพียงแต่ตัวท่าน...ท่านไม่ได้หลอกตัวเอง...ผมก็คิดว่าโลกของท่านมันมีอยู่จริง...แต่ถ้าท่านก้าวออกมาเชื่อมต่อไปให้มันหลายระดับกว่านั้น...ให้ซึมซับความเลวความชั่วความหลอกลวงความยอกย้อนของสังคมให้มากกว่านี้...ลองคิดอย่างคนโง่ๆแบบผมบ้างแล้วท่านจะได้รู้เสียทีว่าสันดานอย่างคนอย่างผมที่เกิดมาจากสังคนแบบนี้มันเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว
ด้วยความเคารพ
Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2006-04-15 , Time : 12:16:00 , From IP : 61.7.158.169
ความคิดเห็นที่ : 40
คุณ 2 จุดคะ
ลองทบทวน articles ทั้งหมดอีกสักครั้งจะดีมั้ยคะ เผื่อว่าคนที่สับสนในตัวเองมาก อาจจะไม่ใช่ดิฉันเพียงคนเดียว ถ้าอาจาย์ Phoenix ตอบได้ราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจดิฉันล่ะก็ defect คงไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาความคิดของดิฉันทั้งหมดเสียทีเดียว ผู้รับสารและบริบทมีส่วนอยู่มากในการตีความ
ถ้าเราจะใช้ประโยชน์จากกระดานนี้ร่วมกันในการเรียนรู้ Criticism คงจะมีประโยชน์สำหรับเรามากกว่า personal attack ที่ไม่ประเทืองทั้งปัญญาและอารมณ์
Posted by : Lucifer , Date : 2006-04-15 , Time : 12:48:22 , From IP : 172.29.4.152
ความคิดเห็นที่ : 41
เวลาเราพูดถึงเรื่อง "ความจริง" นี้ ผมมักจะเปรียบเทียบกับภาพยนต์เรื่อง Rachomon นั่นคือคนเราทุกคนรับรู้และแปลผลโดย "บริบท" เสมอ และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ความเชื่อที่แตกต่างกัน ทำให้คนเรา "รับรู้" หรือเลือกที่จะรู้แตกต่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วอะไรคือจริง? คำตอบทุก version นั้น "จริงพอๆกัน" สำหรับแต่ละคนครับ จนกว่าจะเริ่มมีการ share ประสบการณ์ มีความเชื่อร่วม มีคุณค่าร่วมกันมากขึ้น การรับรู้ของเราก็ยังคงมี diversity อยู่ดี
นั่นคือเหตุผลทั้งหมด ที่ทำไมการสื่อสาร การอภิปราย การ share ความคิดเห็นในชุมชนสังคมถึงมีประโยชน๋อย่างยิ่ง และคือเหตุผลว่าทำไมการไม่ share ความเห็น การไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างจนกระทั่งไม่สามารถจะสื่อสารกันได้โดยปราศจากความโกกรธเกรี้ยว ใช้อารมณ์จึงมีโทษอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะ diversity เหล่านี้จะไม่เคย "โน้ม" เข้าหากัน
สิ่งที่ในอดีต พระพุทธเจ้า หรือ prophesy ต่างๆพยายามทำก็คือ "ขาย idea" ที่คนรอบๆข้างในยุคนั้น คิดเห็นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือเป็นตรงหันข้าม แต่ในที่สุดก็มีคนถูกโน้มน้าวและเปลี่ยนพฤติกรรมได้ อย่างสันติบ้าง ไม่สันติบ้าง แต่ก็เปลี่ยน
ดังนั้น "คุณค่า" ของคนเรานั้นมัน dynamic ครับ ตอนเราเป็น teenager ก้แบบนึง ตอนเรียนจบก็แบบนึง ตอนแก่ลงมาก็ค่อยปรับเปลียนตามประสบการณื ตามสิ่งที่เราได้ share กับคนอื่น ตามสิ่งที่เราได้เห็นเพิ่มจากคนอื่น มันก็ไม่เสีบหายอะไรที่เราจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ตราบที่การแลกเปลี่ยนนั้นยังทำกันแบบ civilzied แบบ mature และแบบ positive
ผมคิดว่าพวกเราแต่ละคนสามรถจะคิด positive และ response positive ได้โดยไม่จำเป็นต้อง degrade ตนเอง หรือ upgrade คนอื่นเพียงเพราะมีความแตกต่าง มีความเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเองก็สามารถจะยึดมั่นและเสริมความเชื่อมั่นตนเอง
ได้ โดยไม่จำเป็นต้องโอนเอียงทุกครั้งที่มีอะไรที่ต่างอะไรเข้ามา จนกระทั่งเป็นการคุกคามตัวตนทุกครั้ง
อาจารย์ "ทุกคน" ตัดสินเด็กนักเรียนจาก grade เท่านั้น นั้นเป็น เรา "คิดว่า" หรือว่าเรา "รู้ว่า" ครับ? และเรามีประสบการณ์เพียงไหนที่จะตัดสินเป็น universal แบบนั้น? ถ้าเกิดเราคิดผิด พฤติกรรมเราก็จะไปเน้นแต่เกรด เกรด เกรด อย่างเดียว พอไปเจอคนที่ไม่ได้ใช้เกรดอย่างเดียว มาตัดสิน ก็คงจะสายเกินไปที่จะแก้
เริ่มจากคุณค่าที่ "ตนเอง" ทรารบว่าเรารู้อะไรบ้าง ทำอะไรได้บ้าง อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือจากการตาม "ผลลัพธ์" ที่คนอื่นกำหนดหรือมองตัวเรา แถมสิ่งนี้ยังเปลี่ยนไปตามคนอื่น ตามอารมณ์ ตามเหตุผลของคนอื่นว่าคุรค่าเราจะ fluctuate แบบไหน เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
อย่างที่เรียนให้ทราบแหละครับ มันเป็น "ทางเลือก" และเป็น free choices (free = อิสระ ไม่ใช่ไม่ต้องซื้อนะครับ) ของแต่ละคน ไม่ชอบก็อย่าเลือก ชอบก็เลือก สนใจก็อาจจะลองดู แค่นั้นครับ
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-15 , Time : 13:54:29 , From IP : ppp-124.120.222.246.
ความคิดเห็นที่ : 42
ต่อเรื่องบริบทและความจริง
เมื่อมีคนคิดเห็นแตกต่างกัน จะมีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าหลายครั้งจะมีคนพูดทำนองว่า ให้อีกฝ่ายเผชิญ "โลกแห่งความเป็นจริง" อยู่บ่อยๆ บางครั้งก็พูด "ทั้งสองฝ่าย" ซะด้วยซ้ำ แปลว่าอะไร?
แปลว่าโลกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจริง อีกฝ่ายไม่จริง?
แปลว่าโลกของ "ทั้งสองฝ่าย" จริง เป็นไปได้หรือ?
หรือโลกของทั้งสองฝ่าย "ไม่จริง"?
พวกเราแต่ละคนมองโลกต่างมุมกัน จริงแท้ ไม่เหมือนกัน ในโลกของที่ที่มีระเบิดบูมเมื่อไหร่ก็ได้ ตามถนน ตลาด ในรถประจำทาง มุมมองเมื่อเห็นถุงวางอยู่บนฟุตบาทก็คงจะต่างจากที่อื่นๆอยู่บ้าง ในโลกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง เวลาอ่านข่าว ฟังข่าว คนรับก็อาจจะรับไม่เหมือนกับในที่ที่มีแต่ความไว้วางใจกัน ซื่อตรงต่อกัน ที่น่าสนใจก็คือบางทีสิ่งที่แยกโลกหลายๆแบบนี้ไม่ใช่ geography แต่กลับเป็น past experience บ้าง กลับเป็นความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมที่เติบโตมา ฯลฯ ดังนั้นบางทีทาง geography แล้ว โลกที่แตกต่าง กันอย่างสิ้นเชิงในเรื่องเหล่านี้ อาจจะอยู่ห้องติดกัน ในที่ทำงานเดียวกันก็ยังได้ แต่ก็เหมือนกับอยู่กันคนละโลก
มีทางที่โลกที่แตกต่างกันนี้จะ "ซ้อนกัน" ได้ไหม หรือมีทางที่โลกหนึ่งจะ "รับรู้" ความเป็นไปอีกโลกหนึ่งได้ไหม?
ในอดีตที่ผ่านมา คำตอบก็คือ "ได้" แต่ต้อง มาจาก "ความปราถนา" หรือ "ความต้องการ" ที่จะทำความเข้าใจ อยากรู้ว่าทำไมถึงต่าง และเปิดโอกาสให้ข้อมูลใหม่ๆนี้เข้ามาวิเคราะห์ให้ได้ก่อน
เหมือนการเรียนรู้ทุกอย่างครับ จะได้ผลนั้นมันต้องมาจาก "ฉันทา" ก่อนเป็นดีที่สุด ถ้าเราตั้ง guard ไว้ไม่ปล่อย เห็นอะไรไม่เหมือนที่เคยเห็น reject ไว้ก่อน โลกส่วนตัวของเราก็จะไม่ contaminate จากโลกภายนอกได้เลย ทีนี้ตั้งต้นนั้นโลกของเรามัน "บริสุทธิ์" หรือมัน "ดี" แล้วหรือยัง? นี่เป็นคำถามทางอภิปรัชญาหลายศาสนา หลายโรงเรียนความคิดแต่อดีตกาล ใคร่ครวญหาคำตอบ ได้แก่ universal goodness, ethics, morality ที่เป็นสากล
มันคงจะแปลก (แต่จริง) ที่ถ้า รู้ทั้งรู้ ว่าบ้านที่เราอยู่ รูที่เราอาศัย กลิ่นมันไม่ค่อยสะอาด แต่เราใช้วิธีปรับตัวให้เข้ากันได้กับกลิ่นไม่พึงปราถนานั้นแทน มะนก็กลายเป็นอีหรอบเดียวกับหนังสือน่ารักๆเล่มหนึ่งชื่อ Who stole my cheese? (เอ... หรือ who moves my cheese? อะไรทำนองนี้แหละครับ)
สังคมนี้มัน "แก้" ตัวมันเองตลอดเวลา ไม่งั้นเราคงจะยังเป็น Neandethal หรือมนุษย์ถ้ำกันอยู่ ผมคิดว่ามนุษย์ถูก installed ไว้ด้วยบางจิตสำนึก เช่น struggle for survival และที่ผ่านๆมา the most inactive ก็อาจจะถูก selected หรือ the most compatible ก็อาจจะถูก selected ไปคนละทางสองทาง เรามี "อิสระ" ที่จะเลือกว่าจะ "ถูกคัด" ไปทางไหนได้
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-15 , Time : 22:55:48 , From IP : ppp-124.120.222.251.
ความคิดเห็นที่ : 43
การอภิปราย คือ "การเชื้อเชิญแขกจากอีกโลกหนึ่ง ให้รู้เห็น ทราบและเข้าใจ หรือมาอยู่โลกของเรา"
สมมติว่า "โลกแห่งความจริง" มันมีได้หลายแบบแตกต่างกันเพียงเพราะบริบท เบื้องหลัง เจตคติ ความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา ฯลฯ การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก้คล้ายๆกับที่เราจะโฆษณาในใบท่องเที่ยว แล้วอจกให้ใครก็ได้ที่สนใจ
เพื่ออะไร?
เพื่อเขาจะได้รู้ว่ามีโลกของเราอยู่ (ตระหนัก และ respect) หรือเขาจะได้ทราบ existence ของเรา จะได้ "เข้าใจ" เรา หรือบางที (ถ้าโลกเรามันน่าอยู่ ) เราก็อยากจะเชิญแขกต่างโลกนี้มาอยู่กับเรา
เงื่อนไขหลังนี่น่าจะหมายความว่าเรา "พึงพอใจ" ในโลกของเรา จนกระทั่งรู้สึกว่าคนอื่นน่าจะ "มีความสุขเพิ่มมากขึ้น" ถ้าทิ้งโลกของเขา ย้ายสัมมโนครัวมาอยู่โลกเรา ไม่น่าจะหมายความว่าเราคิดว่าโลกเรานี้มันช่าง stink ที่อยู่นี่เพราะจำใจอยู่ แล้วดันไปเชิญคนที่อยู่ในโลกที่สุขกว่า ดีกว่าย้ายมาด้วยกัน จะได้ทุกข์ร่วมกัน
ถ้าเริ่มต้นแบบนี้ อย่างน้อยที่สุด เรายังจะมีกะใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่สามารถจะทำได้ "สร้าง" โลกของเราให้มันดีเสียก่อน ก่อนที่จะเชิญแขกมาบ้าน อย่างน้อยที่สุดเรายังมีกะใจชะโงกหน้าไปขอดูโลกอื่น ที่ทำไมคนเขาดูจะมีความสุข ความพึงพอใจ ความสงบของจิตใจมากกว่าที่เรา เราจะได้นำมาพัฒนาบ้านเรา โลกของเราบ้าง หรือถ้าเราทำให้คนอื่นเข้าใจในโลกเรามากขึ้น พร้อมๆกับเราทำความเข้าใจโลกคนอื่นมากขึ้น ไอ้ความต่างอย่างยิ่งตอนแรกอาจจะลดน้อยลง หรืออย่างนอ้ยก็เข้าใจเหตุผลที่มาความคิดและหลักการของอีกประเทส อีกโลก อีกจักรวาล เราก็ได้เป็นคนที่กว้างมากขึ้น
เช่น
ในโลกที่ผมเคยผ่านมา ครูอาจารย์ "ไม่ได้" ตัดสินตามเกรด แต่ตัดสินจาก portfolio จากการซักถามความเข้าใจอย่างละเอียด จากการมอบหมายงาน จากการตรวจงาน จากการสะท้อนความคิด และเหตุผล
ในโลกที่เคยผ่านมา และเคยอยู่ในที่ที่สัมภาษณ์ตัดสินรับ ไม่รับคนเข้าทำงาน ไม่มีการถามเรื่องเกรด เรื่องผลงาน แต่ถามเรื่องเจตคติ ถามเรื่องวิธีการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ถามว่าจะได้อะไรจากองค์กร และจะให้อะไรแก่องค์กร ถามว่ามีใครที่รู้จัก candidate พอจะเขียนใบรับรองให้หรือไม่ ถามคนเขียนใบรับรองว่ารู้จัก candidate คนนี้ได้อย่างไร
ในโลกที่เคยผ่านมา ถ้ามีความรู้จริง ก็จะสามารถแสดงออกได้เมื่อถึงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ "ต้องรู้" ตามที่ได้ประกาศไว้ล่วงหน้าเหมือนกันหมด "ขยัน" หมายถึงอย่างอื่นที่ไม่ใช่เกรด หมายถึงทำงานหนัก ซึ่งมีคนที่จะให้คำรับรองหรือพิสูจน์ว่าเราทำงานหนัก และทุ่มเทในประเด็นที่องค์กรต้องการ
ถ้าผมเกิดคิดว่าโลกแบบนี้เป็นจริง และน่าจะอยู่ได้มีอย่างมีความสุข ผมก็เชิญชวนคนมาอยู่ หรือบอกเล่าว่ามียังนี้นะ หรืออธิบายว่าอย่างนี้มันดีอย่างไร ส่วนคนโลกอื่นอาจจะสนใจมาอยู่ อาจจสนใจเอาไปสร้างโลกของเขาแบบนี้ หรือไม่สนใจ หรือไม่เชื่อ ก็จะเป็นสิ่งที่เหนือความควบคุมของผมอย่างสิ้นเชิง
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-16 , Time : 00:19:40 , From IP : ppp-124.120.217.140.
ความคิดเห็นที่ : 44
เรียนอาจารย์ Phoenix
มีแบบทดสอบที่มาถึงเร็วอย่างเหลือเชื่อเชียวค่ะ น่าลองอยู่เหมือนกันว่าหนูจะเข้าใจ เนื้อความใน debate นี้สักเท่าไร อยู่ถัดลงไปเป็นกระทู้ที่ 6 นะคะ ถ้าอาจารย์สนใจ
Posted by : Lucifer , Date : 2006-04-17 , Time : 23:07:01 , From IP : 172.29.4.152
ความคิดเห็นที่ : 45
ประเด็นที่น่าสนใจคือการหลงอยู่ในทะเลแห่งสื่อจนยากจะแยกแยะหาความเป็นจริง เพียงแต่เห็นอักษรและแปลมันบนพื้นฐานของตัวเองก็เท่านั้น
Posted by : check mated!!!!! , Date : 2006-04-23 , Time : 13:55:49 , From IP : 172.29.4.127
ความคิดเห็นที่ : 46
หรือจะใช้ข้อความสาดเทสาดเสียให้ผู้อื่นเป็นไปตามความคิดตัวเองเป็นในแบบที่ตัวเองเห็น อันนี่น่ากลัวจริงๆ
Posted by : check mated!!!!! , Date : 2006-04-23 , Time : 13:57:58 , From IP : 172.29.4.127
ความคิดเห็นที่ : 47
ในปัจจุบันนี้เรา "ทุกคน" อยู่ในทะเลของข้อมูลจริงๆครับ ประเด็นนี้เราจำเป้นต้องรู้ และตระหนักถึงผลกระทบให้ได้
5-star doctor ที่ WHO บอกคุณสมบัติมาคือแพทย์ต้องสามารถมี life-long learning ได้ เพราะความรู้ ข้อมูลใหม่ๆมาอย่างรวดเร็ว หมดสมัยที่ใครจะเรียนอะไรโดยวางเป้าหมายว่า "รู้ให้หมด" ไปแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญคือจะเรียน "อย่างไร" ไปตลอดชีวิตมากกว่า
ทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป และมีผลทำให้ "แปล" อะไรแตกต่างกันไป เราอาจจะ "ยืม" ประสบการณ์ความคิดของคนอื่นมาบ้างก็จริง แต่เรามักจะ "ปรับ" ให้เข้ากันได้กับที่เรามีอยู่ ยกเว้นเป็นบางอย่างเท่านั้นที่ของใหม่มันเปลี่ยนของเดิมเพราะมันลบล้างตรรกะเดิมไปหมดสิ้น ส่วน "พื้นฐานของคนอื่น" นั้น คงต้องให้คนอื่นเผยออกมาก่อน นำมาแลกเปลี่ยนกัน เราจึงจะสามารถ "มองเห็น เข้าใจ" ได้
ผมเพียงหวังว่า "ความจริง" ที่พวกเราแต่ละคน "ยึดว่าจริง " นั้น ได้ผ่านการไตร่ตรอง ใช้วิจารณญาณเป็นอย่างดีก่อนเสมอ มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-23 , Time : 14:02:57 , From IP : ppp-124.120.220.138.
ความคิดเห็นที่ : 48
"งานคือความดีที่หล่อเลี้ยงชีวิต"
อ่านจบแล้วค่ะ...แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะเล่ายังไง ... แล้วก็...คือว่า...ยังไม่ได้คิดค่ะเลยยังไม่รู้สึกอะไรนอกจากเห็นด้วยกับคำที่พาดอยู่บนหน้าปก... "หนังตัวอย่าง"... เพราะเท่าที่เคยก็คือทุกๆคนต่างก็มีเรื่องราว เรื่องเล่าของตัวเอง เพียงแค่อยากจะฟังก็จะได้ฟัง ไม่จำกัดด้วยว่าเฉพาะเมื่อไปดูบ้านดูคนในบ้านเท่านั้น อยู่ที่รพ. round ทุกวันก็มีเรื่องเล่าทำนองนี้ทุกวัน ก็เลยไม่ตื่นเต้นเท่าที่หวังแต่แรก ส่วนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องที่คิดอะไรได้บ้างก็ผลัดไปสักหลายๆเดี๋ยวหน่อยนะคะ มีอีกเล่มคล้ายๆกัน "ความดีที่เยียวยา เรื่องเล่ากับการแพทย์ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์" แหล่งที่มาเดียวกัน
ปล1. คนขายหนังสือเค้าถามหนูว่า...น้องรู้จักอาจารย์...มั๊ยคะ?
ปล2. หนูก็ไม่ทราบว่าจะเล่าให้ฟังทำไม...ว่ามีคนถามถึง...แค่รู้สึก...ว่าอยากเล่าน่ะค่ะ
:O ZZZ
Posted by : Lucifer , Date : 2006-05-01 , Time : 00:58:58 , From IP : 172.29.4.152
ความคิดเห็นที่ : 49
โอ้โห ตั้งนานแล้วนะนี่
อุตสา แอบมาโพสดู เหลือเชื่อว่ายังมีคนแวะมาอ่านอีก
ความคิดผมค่อข้างจะแย้งกับอาจารย์นิดหน่อย
ผมแค่ไม่อยากให้มองคุณค่าของการเป็นมนุษย์แค่นั้น
อีกอย่างผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนพัฒนาได้
การตีคุณค่าของคนเราแค่นั้นผมรู้สึกตะหงิดๆใจยังไงไม่รู้
"ค่าของคนอยู่กับสิ่งที่เขาได้ให้ ไม่ใช่อยู่กับสิ่งที่เขาได้แสวงหา"
ผมพูดไม่ค่อยเก่งครับ ที่อยากพูดก็แค่นี้ละครับ
Posted by : check mated!!!!! คร้าบ!!!!! , Date : 2006-05-06 , Time : 16:07:49 , From IP : 172.29.4.171
ความคิดเห็นที่ : 50
สวัสดีครับ
เพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรก ไม่ได้จบมอ.หรอก แต่เห็นคุยกันสนุกดีขอร่วมวงด้วยนะครับ
ค่าของคนอยู่ที่ผลหรือการทำงาน ??? ผมว่าทั้งสองอย่างนะ ขาดอันใดอันหนึ่งไปคงไม่ได้ ผมคิดว่าทุกคนคงรู้จักคำว่า"ทางสายกลาง" ผลงานดี แต่วิธีการทำงานแย่ มันก็ไม่ค่อยดีใช่ไหมครับ หรือถึงวิธีการทำงานดี แต่ผลการทำงานแย่ อันนี้ก้ไม่ดี เพราะฉะนั้นผมคิดว่าดีได้ทั้งสองอย่าง ถึงจะถือว่ายอดเยี่ยม
ยกตัวอย่าง ใน ward ของ โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง มีการ check direct laryngoscope ทุกครั้งว่าไฟสว่างดี แต่เวลาถึงเวลาใช้ๆจริงๆ ไฟกลับไม่ติด เพราะว่าเวลาง้าง contact ระหว่าง blade กับด้ามมันจะไม่ดี ถามว่าวิธีการดีไหม คือเช็คทุกวันและได้ผลลัพธ์ตามคาดหมใยด้วย แต่ out come ไม่ดี คือ ไฟไม่ติด อย่างนี้ถือว่าวิธีการดีแล้วผลงานจะเป็นอย่างไรก็ได้หรือเปล่า
เชื่อว่าไม่มีใครยอมรับได้หรอกครับ ไฟไม่ติดเวลาฉุกเฉินเนี่ย
หรืออย่างเวลาไป teaching round อ่านหนังสือมานะ แต่ว่าตอบอาจารย์ไม่ได้เลย จะโทษว่าไม่อ่านเลยก็คงไม่ได้ แต่ว่า เพราะว่าอ่านมาได้ไม่มากพอ ไม่ดีพอ out come จึงไม่ดี
ผมคิดว่า ในทุกๆเรื่อง process มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆครับ แต่ไม่ควรจะหยุดแค่นั้น มันไม่ใช่แค่ว่าแค่ฉันอ่านหนังสือก็พอแล้ว แต่อ่านแล้วต้องจับใจความและเอาไปใช้ได้ด้วย นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าของจริง การเรียนรู้ process แรกๆอาจจะไม่ได้ out come ที่ดี แต่การพัฒนา process เป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เพื่อให้ได้end product หรือ out come ที่ดี และนั่นก็คือ goal
ขอบคุณที่อ่านครับ
Posted by : DoctorD , Date : 2006-05-06 , Time : 20:32:33 , From IP : 58.147.15.197
ความคิดเห็นที่ : 51
Goodness is of the act of goodness itself
คัมภีร์ธรรมโยค บทหนึ่งในคัมภีร์ฮินดูที่มหาตมะคานธีถือไว้เกือบตลอดเวลา
การทำกิจอะไรโดยไม่เข้าใจถึง "หลักการและวัตถุประสงค์" ของกิจนั้นๆ เราคงจะยังไม่เรียกว่า "ได้ทำ" กิจกรรมที่ว่าอย่างถูกต้อง และในบางกรณีอาจจะเป็นตรงกันข้าม คือ ฝืนความถูกต้อง และตามมาด้วยผลที่ไม่ถูกต้อง
การตรวจเช็ค laryngoscope คงจะไม่ใช่แค่เอามือไปหมุนก้น scope เห็นว่ามีถ่านแล้วจบขั้นตอน เพราะ "การตรวจเช็ค" ไม่ได้เป็นแค่ action แต่เป็นการหวังเห็น output ที่แปลได้ว่า "อย่างที่ต้องการ" ฉะนั้นถ้า "ตรวจดี" หรือ "วิธีดี" ถึงจะเป็นกิจกรรมที่ครบถ้วนถูกต้อง
ในการเรียน PBL นั้น ถึงแม้ว่าเราไม่ได้กำหนด "กรอบ" ว่าจะสนใจอะไรได้แค่ไหน แต่ก็มีการกำหนด "minimal framework" ไว้ว่าอะไรคือ "อย่างน้อยที่สุด" ที่จะได้ครบตาม learning objective ถ้าเผอิญเราเกิดเผอเรออ่านมันไปหน่อยในเรื่องที่เราเองสนใจแต่อยู่นอกเหนือ LO อาจจะต้องรีบรู้ตัวหวนกลับมาทำตาม priority ที่เราตั้งใจไว้เป็นกรอบใหญ่ (เช่น เรียนจบ พ.บ. เป็นต้น)
เพราะ "กระบวนการ หรือกิจกรรม" สร้างอะไรที่อยู่นาน และเป็นต้นทุนที่ใช้ต่อไปอีกไกล ส่วน output นั้น บางทีมันเป็นอะไรที่อยู่สั้นๆ มีความหมายสั้นๆ (แต่ก็มีบางเรื่องที่ output เป็น once in a lifetime ที่เราต้องงัดผลออกมาให้ได้ก็มี นั่นคือที่มาของ controversial belief)
================================
คุณ Checkmated ครับ
คุณค่าที่ผมอยากจะให้มีการประเมิน คือคุณค่าจากการ ประเมินตนเอง ครับ ไม่ได้เป็นคุณค่าที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนประเมิน เราคงจะทราบดีที่สุดในบรรดาคนทั้งปวงว่าวันนี้เราทำอะไรไป พูดอะไรไป คิดอะไรไป สิ่งต่างๆเหล่านั้นเสริมสร้างให้เราเป็นคนแบบไหน เป็นสัมมาวาจาหรืออวิชชา เป็นมงคลต่อตนเองและคนรอบข้าง หรือเป็นอัปมงคลต่อตนเองและตระกูล เหล่านี้เป็นต้น
แต่ละวันตอนเย็น อาจจะมีประโยชนือยู่บ้างถ้าเรามีเวลาสัก 4-5 นาที สะท้อนตนเองว่าตัวเราตอนเย็นนี้ต่างจากตัวเราเมื่อเช้านี้อย่างไร รู้มากขึ้นไหม ฉลาดเฉลียวมากขึ้นไหม เข้าใจคนไข้ที่ได้รับในการดูแลมากขึ้นไหม มีประโยชน์หลายอย่างครับ จะเรียกหรือไม่เรียกก็ตามที แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ "ประสบการณ์" นั้น ได้มีการเรียนรู้ ไม่สูญเปล่า จะเรียกว่า "คุณค่า" ก็คงไม่ถึงกับเสียหาย
Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-06 , Time : 21:33:40 , From IP : ppp-124.120.223.123.
ความคิดเห็นที่ : 52
ขอบคุณอาจารย์ครับ
เห็นด้วยครับว่าเป็นกลอุบายที่ดีครับ
อาการ "ลืมตัว" มันเกิดกับผมบ่อยมากเหมือนกัน
หากได้ตั้งคำถามว่าแต่ละวันทำอะไรไปบ้าง นับว่าดีทีเดียว ผมว่าไอเดียนี้ดีนะ
ก็อย่างว่าละครับ ผมเป็นพวก "ขี้ลืมตัว" ค่อนข้างเป็นเอาหนักเลย
อาจารย์ลองแนะคำถามที่แพทย์และ/หรือคนทั่วไปควรถามตัวเองในแต่ละวันหน่อยได้ไหมครับ
จะเอาไปแปะหน้าห้องน้ำหน่อยตอนอาบน้ำจะได้คิดทบทวนไปด้วย
วิธีนี้น่าจะworkนะ ดูเหมือนแต่ละวันของชีวิตมี learning objective ดี
เข้าท่า เข้าท่า แฮะๆๆ
Posted by : check mated!!!!! , Date : 2006-05-07 , Time : 15:11:55 , From IP : 172.29.4.171
ความคิดเห็นที่ : 53
การสะท้อนตนเอง เป็นศิลปในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง เพื่อเข้าใจ "ตนเอง" ให้มากขึ้น ใช้ได้กับทั้งทางโลกย์และทางธรรม
สะท้อนอะไรบ้าง? คงแล้วแต่คนครับ เพราะแต่ละคนมีเป้าหมาย คุณค่า ในการดำรงชีวิตไม่เหมือนกัน มิกล้าก้าวก่ายบังอาจให้คำแนะนำใดๆได้ ผมคิดว่าการได้รู้จักตัวเองมากขึ้นวันละเล็กละน้อยไม่ว่าเรื่องอะไร เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น
ข้อสำคัญคือตัวเราเองนั้นได้มี "วัตถุประสงค์" อะไรไว้เป็นเป้าบ้างหรือไม่? หรือว่ามีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ เน้นทำกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น คำว่า Here and Now ไม่ได้หมายถึงใช้ชีวิตแค่ตรงหน้า แต่เป็นชีวิตที่ไตร่ตรองแล้วจนสามารถวางเป้าของสิ่งที่กำลังจะทำว่ามันทำให้เรา "ใกล้" คุณค่าที่เราได้วางไว้ก่อน อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แค่กำลังล้างจานชามในครัว เสร็จแล้วจะได้ไปทำอะไรอย่างอื่น ถ้าใจเราวอกแวก มันจะรู้สึกว่าจานชามมันไม่รู้จักหมดสิ้น เมื่อไหร่จะได้ทำอย่างอื่น กิจกรรมที่ทำมันก็จะไม่ได้ "ใส่ใจ" (จิตตะ วิมังสา)
มีคำพูดประโยคหนึ่งน่าสนใจ "We are learning when you least expect it" โดย anonymous medical student ผมว่าประโยคนี้น่าสนใจ (มากๆ) บางทีอาจจะต้องตั้งกระทู้ใหม่สำหรับเรื่องนี้
Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-07 , Time : 17:31:12 , From IP : ppp-124.120.218.169.
ความคิดเห็นที่ : 54
อ่านะ
ค่าตัวของใครๆมันก็มี 2 ด้าน
ด้านที่เรามองตัวเอง
ด้านที่คนอื่นมองคุณ
คนอื่นก็แบ่งได้เป็นคนที่รักคุณ
คนที่เกลียดคุณ
คนที่เป็นแค่คนรู้จัก
คนที่เพียงได้ยินชื่อคุณ
มันเป็น Subjective และ Individual
Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2006-05-08 , Time : 20:17:56 , From IP : 61.7.157.63
ความคิดเห็นที่ : 55
ที่ผมพยายาม promote ให้เราค้นหานั้น คือ "คุณค่าของตัวเราเอง" ครับ เอาเวลาที่เราว่างๆ เอาเวลาที่เราสามารถ "ซื่อตรง" ต่อตนเอง แล้ว "สะท้อนตนเอง" ของคนอื่นนั้นเขาตีค่าตามบริบท ตามเบื้องหลัง "ของเขา" ฉะนั้นเราน่าจะใช้ของเรา คิดให้ถ่องแท้ว่า นี้คือตัวตนของเรา เราได้ทำดี ได้มีสัมมาวาจา หรือเราได้ทำไม่ดีไป ได้มีวาจาอัปมงคลไปมากน้อยแค่ไหนวันๆ
สิ่งเหล่านี้เราไม่คิด ไม่สะท้อน มันตามกลับมาทันตอนที่เราไม่คาดฝัน เคยมีครูใหญ่ท่านหนึ่ง ทำความดีมาตลอดทั้งชีวิต ตอนใกล้จะเสีย พยายามเชียร์ มีลูกศิษย์ลูกหามาเยี่ยมมากมาย แต่ท่านเกิดสำนึกเสียใจที่เคยดูด่า ผรุสวาทใส่เด็ก เสียใจจนวาระสุดท้าน น่าเสียดายนักแต่ก็ไม่มีใครจะช่วยอะไรได้ ของมันจะทัน มันหลีกหนีไปไหนไม่ได้ ที่ว่าเราว่าฝังไว้ลึกซึ้งหรือลืมสนิทไปแล้วนั้น มันไม่จริงเสมอไป
เป็นที่น่าเสียดาย และน่าสงสารญาติพี่น้องที่เฝ้าเป็นกำลังใจยิ่งนัก
Posted by : Phoenix , Date : 2006-05-08 , Time : 22:05:07 , From IP : ppp-124.120.220.151.
ความเห็นจาก Social Network : Facebook
สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.014 seconds. <<<<<