ความคิดเห็นทั้งหมด : 10

คาราวาน คนจน ชั่ว เหมือน นายของมัน


    ไปล้อม ชาวตึก ชาวบ้าน มีคนเสียหาย แล้วไม่ รับผิดชอบ โง่ แล้ว อวดฉลาด ใครดูถึงลูกถึงคน ก็ รู้ ฟ้องให้ กระจายไป เลย ถ้า ไอ้ พวก นี่ เป็น กลุ่มใน 16 ล้านเสียง ก็ เป็น เสียงที่ไม่มีคุณภาพ ถ้า หาก จะ เอาพวกมากลากไป ขอสนับสนุนให้ ประท้วงต่อ ตอนนี้ ทนดู ไม่ไหว มี แต่ คดี ฟ้องไป ฟ้องมา บ้างก็ ไม่รับฟ้อง หลักฐาน ก็ มี กัน จน ไม่รู้ ว่า จะ ชัดขนาดไหน แล้ว
คนจน ถ้า มันโง่ แล้ว ถูก คนจูงจมูก ก็ ไม่ น่าเห็น ใจ ไม่งั้นประเทศจะไปรอดยังไง คน ชั้น กลาง จะถือว่าไม่ใช่ เรื่องของเราไม่ได้ แล้ว


Posted by : ฟฟฟ , Date : 2006-04-05 , Time : 00:41:42 , From IP : 203.170.228.172

ความคิดเห็นที่ : 1


   คนจนไม่ได้โง่หรอกแค่ขาดการศึกษา ขาดวิชาความรู้ จะทำเพื่อเงินมันก็ไปว่าไม่ได้เพราะเค้าจนไง ไม่มีจะกิน ต้องเห็นใจเค้าให้มากๆ

เพราะคนที่เลวจริงๆ มันใครก็รู้อยู่ เอาคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเป็นเครื่องมือ


"คาราวาน คนจน ชั่ว เหมือน นายของมัน" ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะยังไงก็คิดว่า
"นายของมัน" ชั่วกว่าๆๆๆๆๆๆๆมากกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




Posted by : Bigboss8 , Date : 2006-04-05 , Time : 03:04:21 , From IP : 203.113.71.201

ความคิดเห็นที่ : 2


   ด้วยเหตุผลที่จน จึงได้สิทธิ์ ในการกระทำอย่างนั้นหรือ

เพราะ จน เลยขอ ยกเลิกหนี้หรือ
เพราะ จน จึงต้องใช้การข่มขู่ การกรรโชก แทน วิธีอื่น ที่คนไม่มีความรู้สมควรทำหรือ
เพราะ จน เลยอ้างว่าเป็น ผู้ด้อย โอกาส จึงจะทำอะไรก็ไม่ผิดงั้นหรือ


จนแล้วทำอะไรก็ได้ เขาจ้างให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ว่าจะผิดถูกอย่างไร


ผมว่า จน กับ โง่ มันไม่จำเป็นต้องคู่กัน
จน กับ ชั่วช้า ก็ไม่ต้องคู่กัน

แต่ จน แล้ว โง่ โง่ แล้วจน นี่เป็นไปได้


Posted by : OmniSci , Date : 2006-04-05 , Time : 08:53:04 , From IP : 172.29.1.183

ความคิดเห็นที่ : 3


   จนแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงจน ไม่คิดถึงต้นตอของปัญหา พอยกเลิกหนี้ ก็สร้างหนี้ต่อ
ก็ยังจนอยู่ต่อไป ไม่มีทางรวยได้

ถึงเอาเงินล้านไปแจก อีกไม่กี่วันก็จนอีก ไม่รู้จักสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้มาไว จ่ายไว ไม่คิดถึงอนาคต
คิดถึงแต่ความสะดวกสะบายส่วนตัว

งี้ ท๊าาาาาาาาากกกกกก สิน ก็คงจะหลอกกินประเทศได้อีกนาน


Posted by : @^0^@ , Date : 2006-04-05 , Time : 09:50:27 , From IP : 172.29.1.236

ความคิดเห็นที่ : 4


   จน หรือ รวย ไม่เกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม และไม่เกี่ยวกับโง่หรือฉลาด

พระสงฆ์สละซึ่งการสะสมทรัพย์ศฤงคาร แต่ก็สะสมบุญบารมีและปัญญา ร่ำรวยด้วยธรรมะ ไม่ "เข็ญใจ" ด้วยสมบัติภายนอกกายที่จำกัด

ยากจน หรือ "มีไม่พอ" ด้านคุณธรรมนั้น น่าสงสาร และต้องการความช่วยเหลือ แต่ที่ยากก็คือ เรื่องแบบนี้คนรับต้อง "อยากรับ" เอง อยากปรับปรุงเอง ซึ่งต้องเริ่มจากการ "ยอมรับ" ก่อน สาเหตุหนึ่งที่ยอมรับยากก็คือ คุณธรรม ปัญญา นั้นมัน "สะท้อน" คุณค่าภายในตัวตนค่อนข้างเยอะ จะให้ยอมรับว่าตนเองมี deficit ด้านคุณธรรมปัญญาเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ต่อตนเองมากพอสมควร

คนที่จะช่วยเหลือคงจะต้องหาวิธีช่วยเหลือที่ work ซึ่งการทับถมด่าว่าอาจจะไม่ใช่วิธีแรกๆที่เมื่อสมัยพระสมณโคดมตระเวณสั่งสอนคนจะเลือกใช้ แต่จะเลือกเป็นรายๆในการจะใช้ภาษาแบบไหน สอนอย่างไร มีแม้กระทั่งนิ่งเฉยสำหรับบางคนที่ยังไม่พร้อมจะรับ แต่พระองค์มีความเพียรและเมตตากรุณาต่อคนที่ยังพอมีโอกาส เน้นความสงสารและอยากให้คนอื่นหลุดพ้น หรือสามารถ "ยอมรับ" จะได้เรียนรู้ได้

ตอนเราเด็กๆคงจะจำได้ว่ามีครูแบบดีไม่ดี (ตามประสาเด็กๆ) คนไหนที่สอนไม่เก่ง เราก็แทบจะพลอยเกลียดวิชานั้นไปด้วย ฉะนั้นเราต้องระวังไม่ให้การสอน การถ่ายทอดคุณธรรม จริยธรรม ปัญญา สอนโดยครูที่ไม่เก่ง โดยวิธีที่ไม่ดี โดยหนทางที่ไม่ทำให้คนอยากจะเรียน อยากจะเปลี่ยน ตรงกันข้ามเราควรจะหาอุบายที่ทำให้เรียนคุณธรรม จริยธรรม ปัญญา นั้นสนุก ท้าทาย ตื่นเต้น และที่สุดที่สำคัญคือเรียนแล้วรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น

ผมเองยังคิดว่า สัมมาวาจา การพูดจากันด้วยมธุรสวาจา สื่อสารโดยมีเมตตากรุณา เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่อาจจะชนะใจคน เปลี่ยนใจคน ได้มากกว่าการพยายามหักด้ามพร้าด้วยเข่า หรือเอาปืนจี้หัวให้พูดว่าเปลี่ยนใจแล้ว พวกนั้นน่าจะเปลี่ยนได้แค่คำพูด แต่ไม่เปลี่ยนใจ ไม่เปลี่ยนความคิด



Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-05 , Time : 10:21:00 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 5


   เห็นด้วยกับ Phoenix ว่ายังไงยังไง เราต้องพยายามเข้าใจคนด้วยกันนะ โดยเฉพาะคนที่ขาดโอกาส คนที่ด้อยกว่าเรา ..ใช่..เราต้องอดทน การใช้วาจาไม่สุภาพกับเขา รังแต่จะเพิ่มความแตกแยกในสังคสมากขึ้น เราต้องตีที่หาต้นเหตุ ถ้าเรามีข้อมูลว่าเพราะการบริหารแบบทักสิน เพราะพฤติกรรมแบบทักสิน (ไม่อยากใช้ "ษิณ") ทำให้เกิดเหตุดังกล่าว เราก็ต้องช่วยกันชี้ให้เห็นว่าระบบที่เขาสร้าง ตัวเม้ดีย่างไรมากกว่า ดีมั้ย...
เราต้องเข้าใจทักสินมั้ย ต้องเข้าใจ แต่เมื่อเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอันตรายกับสังคมและชาติ เราจึงต้องช่วยกันไล่เขาออกไป


Posted by : รักมอ. , Date : 2006-04-05 , Time : 14:45:02 , From IP : 172.29.1.204

ความคิดเห็นที่ : 6


   ดูท่าทางมีคุณธรรมทั้งนั้น

Posted by : คนจน , Date : 2006-04-05 , Time : 17:33:42 , From IP : 172.28.3.65

ความคิดเห็นที่ : 7


   ผ่านมาใดอ่านความเห็นของผู้มีการศึกษาและคนไม่จน

รู้สึกเสียดายที่ผลิตอาหารให้ท่านทาน
ม.ที่ท่านเรียนควรพิจรณาตัวเองที่อบรมสั่งสอน
พ่อ แม่ ไม่มีเวลาอบรม
วัด มัสยิด โบศน์ คงไม่รู้จัก

นี่หรือคนไม่จนคนมีการศึกษา (ยกเว้น คห.4-6)




Posted by : คนจนจริง , Date : 2006-04-07 , Time : 08:26:14 , From IP : 172.29.1.149

ความคิดเห็นที่ : 8


   ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมนิดหน่อย

สาเหตุหนึ่งที่มีการ "ทะเลาะกัน" แทนที่จะ "คุยแลกเปลี่ยนกัน" นั้นคือการเพาะอุปนิสัย "ตัดสินคุณค่า" ของคนอื่นอย่างรวดเร็ว คำว่าทะเลาะในที่นี้ ว่าตั้งแต่ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆจนไปถึงการทะเลาะระหว่างเผ่าพันธุ์ ระหว่างประเทศ หรือสงครามนั่นเลยทีเดียว

"ถ้าใครไม่เหมือนฉัน นั่นแปลว่าเลว ไม่มีความรู้ ด้อยการศึกษา ไม่ได้รับการอบรม" เจตคติอย่างนี้แหละที่สามารถเป็นมลภาวะต่อการพัฒนาจิตใจ เพราะมันไม่สร้างสรรค์ แม้แต่คนที่ตั้งใจดี มีเจตนาดี ก็อาจจะติดกับดัก ติดบ่วงได้ เช่น สู้อุตส่าห์บำเพ็ญกิริยาตามศาสนา ตามความเชื่อของตนเป็นอย่างดี แทนที่จะภาคภูมิใจหรือพิจารณาให้ถ่องแท้ต่อไปถึงวิบากบุญของตน กลับเกิดทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นที่ไม่ได้มีความเห็น ความคิดอย่างเดียวกัน ไม่เพียงแค่นั้นกลับไปหาว่าอย่างอื่นนอกเหนือจากของตนนั้นเลวไปหมด โดยยังไม่ทันได้ตั้ง "ความดีสากล" มาเป็นหลักก่อน แต่ใช้ generalize ความดี "ของตน" กลายเป็น "ความดีสากล" มันก็ยุ่งเหยิง อากัปกิริยาวาจา ทั้งวจนภาษาและอวจนภาษามันก็ไม่สามารถที่จะสำรวมเป็นสัมมาวาจาได้ คิดออกแต่ผรุสวาท กักขฬะวาจา ส่อเสียดกระแทกแดกดันให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจ บารมีที่พึงมีมันก็หดหาย บุญที่พึงสะสมมันก็ละลาย

คนจนจริงก็มีคุณธรรม ปัญญาได้ นี้คือที่มาของคนจนนั้นอาจจะจนแต่ทรัพย์สมบัติภายนอก แต่ปัญญาและคุณธรรมนั้นไม่มีอะไรกีดขวางให้เสาะแสวงหาและพัฒนาตนเองได้ การเรียนสูงๆไม่ได้การันตีว่าจะเกิดปัญญา เพียงแค่ทำให้ "รู้มากขึ้น" คือ clever แต่ไม่เกิด wisdom เรียนกฏหมายเยอะๆ รู้แต่ว่าอะไร "ถูกกฏหมาย" ที่เป็นตัวหนังสือ แต่ไม่รู้ที่มา ปรัชญา เหตุผลของกฏหมาย ก็คือรู้กฏหมาย แต่ไม่ได้มีปัญญา คือรู้กฏหมายแต่เป็นแบบอวิชชา

ใช้อารมณ์น้อยลง โดยการมีสติ มีสัมมาทิฎฐิคือคิดชอบ ถึงแม้เราจะมีแนวโน้มใช้อารมณ์ แต่ไมได้แปลว่วเราจะต้องเป็นทาสของอารมณ์ ต้องร้องห่มร้องไห้เสียสติเมื่อเกิดเหตุสะเทือนอารมณ์ทุกครั้ง แต่สามารถนำมาสะท้อนให้เห็นว่าอะไรได้เกิดขึ้น เพราะอะไร ครั้งต่อไปจะทำอะไร อย่างไรดี

อีกประการการ "ทวงบุญคุณ" จากแผ่นดินนั้นเป็นเรืองสมควรแล้วหรือไม่ก็น่าคิด ทุกๆคนในประเทศมีบทบาทที่แตกต่างกัน แต่มารวมกันเท่านั้นเราจึงเป็นประเทศ ถ้าทุกคน "ทวงบุญคุณ" ว่าฉันปลูกข้าว ฉันหุงข้าว ฉันขายข้าว ฉันซื้อกับข้าว ซื้อเครื่องนุ่มห่ม สร้างบ้าน รักษาโรค ฯลฯ แล้วจะลำเลิกกันได้ตลอดเวลานั้น แปลว่าที่เราทำๆกันอยู่นี้มันไม่ได้เป็นเพราะมันดีงามหรือควรทำ แต่เป็นเพราะเรา "หวังค่าตอบแทน" เราทำไปอย่างมีเงื่อนไขที่ต้องได้รับ ข้อสำคัญคือไม่ได้ทำงานเพราะมันเป็น "หน้าที่พลเมือง"

มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "งานคือความดี ที่หล่อเลี้ยงชีวิต" ของพี่หมอโกมาตร์ จึงเสถียรทรัพย์ น่าศึกษาเปรียบเทียบกับปรัชญาอีกแบบหนึ่งคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ลองศึกษาและให้เหตุผล คาดเดาสิ่งที่จะตามมาจากการทำตามแต่ละปรัชญา ก็น่าสนใจว่าเราจะตีความได้อย่างไรบ้าง



Posted by : Phoenix , Date : 2006-04-07 , Time : 09:16:07 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 9


   พวกเราชนชั้นกลางเปิดใจให้กว้างอ่านแล้วคิดตาม
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
16 มีนาคม พ.ศ. 2549


คอลัมน์ มองมุมใหม่
ดร. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
Pichit@econ.tu.ac.th

การต่อสู้ทางชนชั้นในสังคมไทย
ความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคมไทยขณะนี้ นอกจากจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูปสังคมไทยตามแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์ กับกลุ่มแนวร่วมต่อต้านโลกาภิวัตน์แล้ว ยังมีมิติทางชนชั้นอันแหลมคมคือ เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างชนชั้นล่างในเมืองและชนบทที่สนับสนุนผู้นำรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยกับชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมือง ที่ต้องการขับไล่ผู้นำรัฐบาลและฉีกรัฐธรรมนูญ

ชนชั้นล่างในเมืองและชนบทประกอบด้วย ประชาชนระดับรากหญ้าที่ตั้งแต่เกิดจนตายมีชีวิตยากจน ลำบากยากแค้น ไม่แน่นอน ไม่มีการศึกษา ขาดเงินทุน มีแต่หนี้สินและโรคภัยไข้เจ็บ ยาเสพติดในละแวกบ้าน อิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ การข่มเหงรังแกของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากผู้ใด ไม่มีปากมีเสียง ถูกละเลยผ่านพ้นรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย

พวกเขามีข้อได้เปรียบเพียงประการเดียวคือ มีจำนวนคนมากนับสิบล้านคนทั่วประเทศและระบบการเมืองที่พอจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีปากมีเสียงบ้างก็คือ ระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นระบอบที่ทุกคนมี "หนึ่งเสียงเท่ากัน" ไม่ว่ายากดีมีจน การศึกษาสูงหรือต่ำ และยังเป็นระบบเดียวที่ทำให้พวกเขาพอจะส่งอิทธิพลไปยังนักการเมืองได้บ้าง

พวกเขาสนับสนุนผู้นำรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง ก็เพราะนี่เป็นรัฐบาลแรกที่หยิบยื่นผลประโยชน์รูปธรรมเฉพาะหน้าให้กับพวกเขาได้จริงผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พักชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร หมู่บ้านเอสเอ็มแอล ขจัดปัญหายาเสพติด ลดอิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ แปลงหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ ฯลฯ

ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองไม่เคยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดที่ชนชั้นล่างต้องประสบตลอดชีวิต ชนชั้นกลางมีเงิน การศึกษา ตำแหน่งงาน บ้าน รถยนต์ มีช่องทางเข้าถึงเงินทุนและเงินกู้ในระบบ เจ็บป่วยก็มีเงินรักษา ไม่มีปัญหายาเสพติดในละแวกบ้าน ไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐและอำนาจเถื่อนรังแก ไม่ต้องพึ่งรัฐบาลและนักการเมืองท้องถิ่น พวกเขาจึงมองชนชั้นล่างอย่างดูถูกดูแคลน ว่า "ถูกซื้อ" โดยรัฐบาล

พวกเขาต้องการโค่นล้มผู้นำรัฐบาลและเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งก็เพราะในระยะเวลา 5 ปีมานี้ พวกเขาได้สูญเสีย "สวรรค์ของอภิสิทธิ์ชน" ของตนไปเรื่อยๆ

กลุ่มทุนเก่าที่ผูกขาดระบบเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปี กำลังสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนของรัฐบาล พวกเขาจึงต้องโค่นล้มรัฐบาลเพื่อยุตินโยบายดังกล่าว และฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปสู่ระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ดังเดิม

ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจต้องการขับไล่รัฐบาล เพราะสูญเสียประโยชน์และสถานภาพจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทมหาชน องค์กรพัฒนาเอกชนที่ต่อต้านทุนนิยมต้องการโค่นล้มรัฐบาล เพราะปฏิเสธการพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัย ปฏิเสธการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ต้องการฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปเป็นสังคมเกษตรกรรมหมู่บ้านบุพกาลตามลัทธิชุมชนอนาธิปไตยของพวกตน

ข้าราชการเทคโนแครตไม่ต้องการรัฐบาลและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจ เกียรติภูมิและสถานภาพ จากเดิมที่เป็นผู้บริหารประเทศตัวจริงและมีอิทธิพลเหนือรัฐมนตรี นักการเมือง แต่วันนี้ พวกเขาเป็นเพียงคนรับคำสั่งของนักการเมือง

กลุ่มก๊วนการเมืองต้องการฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะทำให้พวกตนไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องผูกติดกับระบบพรรค ไม่สามารถข่มขู่รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีให้แบ่งปันผลประโยชน์แก่พวกตนได้เหมือนในอดีต

นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโสแม้จะเกลียดชังความไม่โปร่งใสในทรัพย์สินของผู้นำรัฐบาล แต่ภูมิหลังคือ พวกเขาเป็นอนุรักษ์นิยม ไม่ต้องการโลกาภิวัฒน์ แล้วยังสูญเสียสถานภาพและความน่าเชื่อถือตลอด 5 ปีมานี้ เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่สนใจนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ให้คุณค่าความสำคัญแก่ราษฎรอาวุโส อีกทั้งยังคอยกล่าวตอบโต้รุนแรงอยู่เสมอ

นักวิชาการและราษฎรอาวุโสเหล่านี้ปากพูดว่า "ต้องการประชาธิปไตย" แต่วันนี้ กำลังเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ เอาระบบจารีตนิยมเข้ามากุมอำนาจรัฐ บางคนเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เอาเผด็จการทหารกลับคืนมา ทั้งหมดนี้เพื่อโค่นล้มผู้นำรัฐาลเพียงคนเดียว ที่น่าสังเวชคือ นักวิชาการเหล่านี้บางคนปากอ้างมาตลอดชีวิตว่า เป็นทายาททางคุณธรรมของนายป๋วย อึ้งภากรณ์

แม้แต่อดีตฝ่ายซ้ายและนักต่อสู้กับเผด็จการทหารในอดีต มาวันนี้กลับขึ้นเวทีร้องเพลงเพื่อชีวิต วิงวอนร้องขอ "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ ฟื้นระบอบจารีตนิยม

แม้เฉพาะหน้าจะเป็นประเด็นความไม่โปร่งใสของผู้นำรัฐบาล แต่พื้นฐานความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้และผู้นำรัฐบาลทำให้ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองสูญเสียประโยชน์และสถานภาพอภิสิทธิ์ ทำให้ชนชั้นล่างทั้งในมืองและชนบทได้มีสิทธิมีเสียงทัดเทียมกัน

แม้คำขวัญเบื้องหน้าคือ "กู้ชาติ" "ปฏิรูปการเมือง" และชื่อกลุ่มลงท้ายด้วยคำว่า "เพื่อประชาธิปไตย" แต่เนื้อแท้คือ ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายระบอบประชาธิปไตยที่แบ่งอำนาจให้กับชนชั้นล่างมากเกินไป และเปิดช่องให้มีการปฏิรูปทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ฉะนั้นวาระของพวกเขาจึงเป็นปฏิกิริยาและถอยหลังเข้าคลอง

สิ่งที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองต้องการไม่ใช่ประชาธิปไตย ที่"หนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากัน" แต่เป็นระบอบคณาธิปไตยที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองมีอำนาจอภิสิทธิ์ และมีเสียงเหนือชนชั้นล่าง เป็นระบอบที่คนส่วนน้อยในเมืองจำนวนหนึ่งมีเสียงเหนือกว่า สามารถ "สั่ง" และขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงข้างมากของประชาชนชั้นล่างนับสิบล้านคนได้

ประชาธิปไตยไทย จึงไม่มีวันเป็น "ประชาธิปไตย" ไปได้ เป็นได้แค่คณาธิปไตยจารีตนิยม



Posted by : ฅนผ่านฟ้า , E-mail : (thaiwoman) ,
Date : 2006-04-08 , Time : 00:58:47 , From IP : ppp-124.120.147.212.


ความคิดเห็นที่ : 10


   เคยดูภาพยนต์เรื่องหนึ่งชื่อ The American President ที่ Michael Douglas เล่นเป็นประธานาธิบดีพ่อม่าย Annett Benning เล่นเป็น Environmentalist lobylist เนท้อหาโดยรวมสนุกมากทีเดียว แต่มีประโยคนึงที่น่าสนใจในบริบทนี้

คู่ต่อสู้ประธานาธิบดีกำลังใช้เทคนิกต่างๆเพื่อ discredit และทำร้าย personal characters แทนที่จะ attack policy ว่าดีไม่ดี มีอยู่ตอนนึงได้ไปเอารูปนางเอกตอนเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยติดในรูปถ่ายหน้าหนังสือพิมพฺกำลังประท้วงเผาธงชาติอเมริกันเป็นการประท้วงต่อต้านการทำลายสิ่งแวดล้อม นัยว่า "เผ่าธงชาติ" นั้นเป็น sin ที่อภัยให้ไม่ได้เพราะธงชาติเป็นทุกสิ่งที่ทุกอย่างที่คนอเมิรกันต่อสู้เพื่อปกป้องรักษา สุกท้ายพระเอกก็ปราศรัยแก่นักข่าวตอนนึงว่า "patriotic หรือรักชาตินั้น ไม่ได้อยู่ที่การป่าวประกาศ ร้องว่ารักชาติ หรือคือการร้องเพลงชาติ มันยากกว่านั้น มันอาจจะยากแบบที่ว่าเมื่อคุณค่าที่แท้จริงของชาติกำลังถูกคุกคามหรือทำลาย ทำให้เราอดรนทนไม่ได้ต้องเผาสัญญลักษณ์ที่กำลังสูญเสียคุณค่านั้นทิ้งไป เพื่อเตือนจิตสำนึกว่าสิ่งที่เราปกป้องนั้นมันยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น มันไม่ได้อยู่ที่สัญญลักษณ์ และสัญญลักษณ์เหล่านี้มันจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าปรัชญาหรือหลักการเบื้องหลังมันถูกมองข้ามคุณค่าไปหมดแล้ว

ผมคิดว่าตรงนี้เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังพูดกันเพราะคำว่า "ประชาธิปไตย" คืออะไรนี้สำคัญ สำคัญว่าอะไรเป็นหลักการปรัชญา สำคัญที่อะไรเป็นสัญญลักษณ์ ประชาธิไตยหมายถึง "เสียงข้างมาก" แค่นั้นจริงหรือ หรือว่าการที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ "เข้าใจ และเข้าถึงข้อมูล" ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเองว่าอยากได้อะไร แบบไหน? กลไกที่จะทำให้เกิด "การเข้าถึงข้อมูล" นั้น สำคัญแค่ไหน ต่อระบอบประชาธิปไตย? การปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยคือการปกครองตามใจเสียงส่วนใหญ่แค่นั้น หรือว่าคือการที่เสียงส่วนใหญ่แสดงความเข้าใจ และช่วยปกป้องดูแลสิทธิของคนส่วนน้อย จึงจะเป็นระบอบประชาธิปไตยที่เติบโตอย่างแท้จริง?

ระบบ meritocratic หรือคนทุกคน earn สิ่งที่ตน "สมควร" ได้ โดยที่ "สิทธิเบื้องต้น" ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง นอกเหนือไปจากนั้นก็แล้วแต่ว่าใครจะสามารถทำได้ดีแค่ไหน ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง หมายถึงคนที่หาได้มากกว่าคนอื่นๆมากๆ พึวงตระหนักว่าตนเองไม่สามารถจะมีความสุขในประทเสอย่างแท้จริงได้ ถ้าหากคนอื่นๆยังไม่สามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเองอีกเป็นจำนวนมาก เพราะด้อยโอกาสกว่า

ความรู้ และข้อมูล เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประชาธิปไตย work เพราะฉะนั้นการกดขี่ควบคุมข่าวสารจะเป็นสิ่งแรกเสมอที่ anti-democracy ต้องทำก่อน ที่ dictator ต้องทำเป็นสิ่งแรก คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของรัฐประชาธิปไตยคือ transparency โปร่งใสตรวจสอบได้ และกลจักรที่เอื้ออำนวยความโปร่งใสตรวจสอบได้นั้นเป็นที่น่าเชื่อถือ และ function การ "ตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ ตรงคำถาม" เป้นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นประจำ

ข้อสำคัญ ประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่นั้น หมายถึงประโยชน์ต่อ "สังคม" ไม่ได้หมายถึงประโยชน์ต่อ "คน" ดังนั้นการ "ซื้อหนี้" คืน ไม่ได้เป็นววิธีที่ทำให้คนรวยขึ้น หรือจนน้อยลง แต่เป็นการปลูกสันดานการใช้จ่ายวางแผนที่ไร้ความรับผิดชอบ ปลูกสันดานการแบมือขอเงินเมื่อใช้หมด

ปรัชญาและหลักการ ที่สำคัญคือคุณธรรม จริยธรรม และการปลูกฝังปัญญา สอนให้คนคิด สอนวิธีคิด ไม่ใช่คอยบอกข้อสรุป แต่เชื้อเชิญให้คิดคล้อยตาม หาข้อสรุปด้วยตนเองได้ กฏหมายไม่ได้อยู่เหนือคุณธรรมและจริยธรรมแต่เป็นตรงกันข้าม รัฐธรรมนูญไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ตัวประชาธิปไตย แต่เป็นแค่ scripture ที่ต้องสังคายนา ที่ต้องชำระปรับปรุงเหมือนๆกับคัมภีร์พระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราไม่ติดแค่ตัวอักษร แต่เน้นการคิดและใช้ปัญญา เพราะคนเรานั้นง่ายต่อการถูกปั่นหวัเมื่อขี้เกียจคิด ไม่อยากวิเคราะห์

แม้เฉพาะหน้าจะเป็นประเด็นความไม่โปร่งใสของผู้นำรัฐบาล แต่พื้นฐานความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้และผู้นำรัฐบาลทำให้ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองสูญเสียประโยชน์และสถานภาพอภิสิทธิ์ ทำให้ชนชั้นล่างทั้งในมืองและชนบทได้มีสิทธิมีเสียงทัดเทียมกัน

เสียงทุกคนจะมีความ "ทัดเทียม" กันอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อก่อนที่ทุกคนออกเสียง ทุกคน "เข้าใจ" เท่าเทียมกัน ข้อมูล ไม่ใช่ "ชนชั้น" ที่ก่อให้เกิดอภิสิทธิ์ในการคิด ในการลงทุน ในการตัดสินใจ ถ้าเมื่อไหร่ที่การ "เข้าถึงข้อมูล" ไม่ทั่วถึง ไม่โปร่งใส คนจะไม่เคยเท่าเทียมกันได้ คนที่กลัวการสูญเสียอภิสิทธิ์ในที่นี้ ก็คือคนที่กลัวสภาพการควบคุม "ข้อมูล" ที่จะกระจาย คนที่ไม่อยากให้ความโปร่งใสตรวจสอบได้เกิดขึ้น

ผู้นำในระบอบประชาธิปไตย ต้อง "เข้าใจ" และ "ใช้" ประชาธิปไตยตามปรัชญา ไม่ได้ใช้แค่สัญญลักษณ์ คนที่เข้าใจประชาธิปไตยจะไม่สัญญาว่าจะนำเอางบประมาณประทเศมาจัดสรรให้จังหวัดที่เลือก "พรรคการเมือง" พรรคใดพรรคหนึ่งก่อนเป็น priority แต่จะจัดสรรตามความเร่งด่วน ตามความจำเป็น ผู้นำประเทศต้องเชิดชูและให้เกียรติผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อชาติ เช่นเสียชีวิตในหน้าที่เมื่อคลังอาวุธถูกปล้น หรือครูฝึกบินเครื่องบินตกเสียชีวิต ไม่ใช่พูดประชดประชันหรือทำเป็นเลือกตลกโสมมรสนิยมต่ำทราม

ระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ประชาชนมีการศึกษา เข้าถึงข้อมูล สามารถสนทนา สามารถมีความคิดที่แตกต่างและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างศิวิไลซ์


Posted by : มองอีกมุม , Date : 2006-04-08 , Time : 01:42:39 , From IP : 58.147.119.92

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<