ความคิดเห็นทั้งหมด : 5

Debate XXXIII: Donor Deficiency, Should dead body belong to State?


   การแพทย์เจริญขึ้น single organ failure is hardly a cause of dead แต่หลายๆ organs failure ก็ตายได้เหมือนกัน ยกเรื่อง organ cloning ไว้ต่างหากก่อนยังไม่พูดถึง วิธีรักษา organ failure of choice ยังคงเป็น transplantation อยู่ดี

ปัญหาก็คือ rejection และ lack of donor ซึ่งเป็นปัญหาทั่วโลก เรื่องแรกเป็นเรื่องของ Immunologist ที่จะหา secret holy grail เรื่องที่สองสถาบันทางการแพทย์กำลังแก้โดยการ promote organ donation ซึ่งก็ยังประสบปัญหา gap ระหว่างผู้ป่วยรออวัยวะและอวัยวะที่ available ยังห่างกันมากเหลือเกิน (ตัวเลขจากสภากาชาดไทยปี 45 ประมาณ 10: 1) สำหรับไตยังพอทนไหว (ถึงแม้ค่าล้างไตกับภาวะ uremia weekly ไม่ค่อยทำให้คุณภาพชีวิตสวยสดงดงามนัก) แต่ถ้า heartกับ Lung หรือ Liver นี่ผู้ป่วยมักจะรอไม่ใคร่ได้

Cadaveric donor ส่วนใหญ่เป็น case อุบัติเหตุ บ้านเราเป็นประเทศ (กำลัง) พัฒนาเลยมีคนตายจากอุบัติเหตุเยอะมาก ที่ผมจะยกปัญหามาให้ถกคือ body ที่ตายแล้ว หรือสมองตาย ควรจะเป็นของรัฐที่สามารถนำเอาไป transplant ได้เลยหรือเป็นของ family พูดว่าเป็นของใครอาจจะดูไม่ใคร่สวย เรียกเป็น Opt in หรือ Opt out ดีกว่า Opt-in คือถ้าจะบริจาคร่างกายต้องแสดงความจำนงค์ Opt-out คือถ้าไม่อยากบริจาคร่างกายต้องยื่นคำร้องไม่บริจาค มิฉะนั้นจะเป็นการถือว่าบริจาคโดยอัตโนมัติ

ปกติ body หนึ่งๆถ้าจะให้มีคุณค่าสูงสุดสามารถบริจาค 2 corneas, 1 heart, 2 lung, 1 liver, 1 pancreas, 2 kidney, 1 small intestine คืออาจครอบคลุมผู้ป่วยได้ถึง 10 คนในทีเดียว

ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง sensitive และเกี่ยวข้องทางศาสนาด้วย ก็เลยอยากขอฟังข้อมูลและความเห็นทุกๆด้านครับ

Standard rules; be mature, be positive, and be civilized



Posted by : Phoenix , Date : 2003-07-28 , Time : 05:43:08 , From IP : 172.29.3.219

ความคิดเห็นที่ : 1


   ถ้าเรามีการชี้แจงเรื่องของความจำเป็นของการบริจาคอวัยวะทั้งตัวอย่างจริงจัง ผมคิดว่าน่าจะมีคนยอมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้นนะฮะ
เรื่องของศาสนาหรือความเชื่อ สำหรับคนใน generation ใหม่ (ที่ไม่ใช่รุ่นอากง อาม่า) พวกเขาคงไม่ค่อยสนใจกับการตายแล้วมีอวัยวะครบหรือไม่
รัฐคงต้องเห้นความจำเป็นในเรื่องๆนี้จริงๆล่ะครับ ถ้าจะทำ และก็น่าจะมีคนยินยอมอยู่มากทีเดียวล่ะครับ (และถ้าเราเน้นไปว่า เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง ก็จะกลายเป็นความเชื่อที่สร้างขึ้นใหม่ให้ยอมรับกัน)


Posted by : ArLim , Date : 2003-07-28 , Time : 17:45:10 , From IP : dial-13.ras-2.ska.s.

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมเห็นด้วยเรื่องของ opt out มากกว่า เพราะว่าน่าจะไ้ด้ประโยชน์กับคนหลายคนทีเดียว

แต่เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าต้องมีปัญหา ความไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นว่าจะีมีใครเข้ามาหาผลประโยชน์ตรงจุดนี้หรือเปล่าเมื่อมีกฏหมายนี้ออกมา

เรื่องนี้ต้องของคุณ phoenix ช่วยแ่บ่งความรู้เรื่องมาตารการในการตรวจสอบหรือวิธีการที่ต่างประเทศใช้กันเค้าทำอย่างไรด้วยนะครับ(คิดว่าน่าจะมีคนพูดถึงกันไปแล้ว) ผมจะรออ่านครับ


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-07-28 , Time : 21:29:04 , From IP : 172.29.2.133

ความคิดเห็นที่ : 3


   ความจริง opt-in or opt-out จะไม่มีความแตกต่างแม้แต่นิดเดียวถ้า public perception หรือ attitude ต่อการบริจาคอวัยวะนั้นตรงกันและถูกต้อง

ผมกำลังเสี่ยงสูงเมื่อใช้คำ "คุณภาพ" เช่น "ถูกต้อง" เพราะเป็นการ "ตีค่า" ในพื้นที่ที่เป็นสีเทาในขณะนี้

ศาสนานั้นมีหลายๆส่วนที่ไม่ได้อิง logic แต่อาศัย Faith และบางศาสนายิ่งไปกว่านั้นคือเกือบเป็นเสมือน Blind faith เลยทีเดียวเพราะ code of conduct จะไม่เปิดพิ้นที่ให้ประพฤตินอก code เลยแม้เพียงเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

ผมไม่เห็นด้วยกับกฏหมายบังคับสิ่งที่มันดีโดยจริยธรรมครับ ผมมีความรู้สึกส่วนตัวว่ามัน degrade the value of goodness เช่นกฏหมายบังคับออกภาษีสูงๆบังคับเฉพาะพวกคนรวย มันทำให่เกิด false sense of goodness by law abiding ซึ่งมัน there is no such a thing like a law to make man a good man แต่คนอเมริกันบางคนยืดอกตอบว่าเขาเสียภาษี และภาษีส่วนหนึ่งไป charity เพราะฉะนั้นเขาบริจาค Charity เช่นกัน เพราะ with the same logic เงินภาษีของเขาก็อาจจะกำลังซื้อขายอาวุธให้ประเทศที่เป็น victim หาเงิน เป็นหนี้ มาถลุงต่อแค่นั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2003-07-29 , Time : 01:31:38 , From IP : 172.29.3.196

ความคิดเห็นที่ : 4


   .....อือออมมม.....ถามผมนะ......ผมมองอะไรแปลกๆนะ......ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะถ้าตายแล้วกลายเป็นสมบัติของรัฐบาล......ผมเคยดูหนังอยู่เรื่องนึง(อีกแล้ว)....ค่อนข้างเก่าแล้วครับ.....Desparate Measure.....ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกหรือเปล่านะครับ...เป็นเรื่องของตำรวจที่ลูกกำลังจะตายถ้าไม่ได้รับ Bone Marrow Transplantation.....เหมือนในโลกปัจจุบัน.....หาไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ....ตำรวจคนนี้เลยแอบเข้าไปค้นข้อมูลประวัติบุคคลและพบว่าอาชญากรคนนึงมี HLA ที่ Match กับลูกชายตนเอง.....จึงได้ตุกติกเอาไอ้อาชญากรคนนี้ออกมาเพื่อจะช่วยลูกตัวเอง.....ปรากฎว่าไอ้อาชญากรนี่หลบหนีระหว่างผ่าตัด.....ระเบิดโรงพยาบาล....ตำรวจไล่ตามครึ่งเมือง....จะฆ่าทิ้งก็ไม่ได้เพราะถ้าตาย...ลูกตำรวจนั่นก็ตายด้วย......อือ....สนุกดี....ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือว่า.....ถ้าในประเทศไทยเรามีข้อมูลอย่างอเมริกาจริงๆ.....จะไม่มีการมาไล่ฆ่ากันหรือเพื่อเอาอวัยวะไปให้พวกทุจริตเหล่านี้.....หรือผู้ที่เก็บข้อมูลบุคคลเหล่านี้เอาไว้....จะแน่ใจได้ไงว่าไม่เอาไปขายในตลาดมืด....เกิดพวกบุคคลที่มีอำนาจเกิด Renal Failure ต้องการ Transplatation....ก็ไปหาข้อมูลมา.....อ้าว....นาย A มี HLA ตรงกัน.....แต่นาย A ไม่ตายซะที.....ช่วยทำให้นาย A ตายดีกว่า.....แล้วกไปเอาไตมา.....ทำไมจะไม่ได้หละ...ก็นาย A ตายแล้วเป็นสมบัติของรัฐไปแล้วนิ.....:D...:D
......ที่พูดมานี่ไม่ไช้ว่าผมคิดว่าการบริจาคไม่ดีนะ....แต่น่าจะเกิดจากความเต็มใจมากกว่า.........ไม่ใช่ว่าตายแล้วจะเอาไปทำอะไรก็ได้......ไม่งั้นต่อไปคงมีกรณีที่ว่าคนบางคนจำเป็นต้องตายเพื่อให้อีกคนต้องอยู่ต่อเพื่อทำงานสำคัญๆอย่างนี้นะหรือ.....ผมว่าการ Cloning Organ อาจจะเริ่มจำเป็นแล้วหละ......ไม่งั้นคนมีตังค์บ้านเราคงต้องบินไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อนไปเปลี่ยนไตนักโทษมาใช้ชั่วคราวเป็นช่วงๆก็ได้....:D....:D
.......ผมว่าเรื่องนี้มัน Grey มากไปครับ.....ขึ้นกับมุมมอง.....ในแง่ของผู้รักษา....คนที่ตาย 1 คนมีค่ามากมายสำหรับคนอีกเกือบ 10 คนจริง....แต่ไอ้การจะไปบังคับกันนี่.....ว่าถ้าไม่คิดจะให้....ต้องไปยื่นเรื่องว่าตายแล้วห้ามมายุ่ง.....ผมว่ามันตลกครับ.....เหมือนกับว่าคอยดักพวกไม่รู้หนังสือเวลาตายแล้วไม่รู้เรื่องรู้ราวจะได้กลายเป็นสมบัติของรัฐ.....จะได้มี Organ มากขึ้น......ผมว่าประเทศเราคนส่วนใหญ่ไม่มีการศึกษาสูงขนาดเท่าเมืองนอกหรอกครับ....บ้านเราอาจจะอีกสัก 10 หรือ 20 ปีโน่นนะครับ......ระบบแบบ Opt Out ถึงจะน่านำมาใช้ได้.....:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-07-29 , Time : 03:19:43 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 5


   การบังคับมันก็ม่ดีจริงๆล่ะครับ ที่เราอยากให้เป็นก็คือการเต็มใจให้ ทั้งคนให้และคนรับก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นเอง
ผมมองทางด้านค่านิยมนะครับ หากเราชี้แจงเรื่องนี้ให้เข้าใจและทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีได้ การบริจากอวัยวะทั้งตัวหลังตาย มันก็คงไม่ต่างจากการบริจาคโลหิตล่ะครับ ในสายตาคนทั่วไป
..แต่ว่า ขนาดการบริจาคโลหิต ในสายตาคนรุ่นใหม่ ก็ยังเป็นที่นิยมแค่ในกลุ่มผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้เท่านั้นเอง


Posted by : ArLim , Date : 2003-07-29 , Time : 17:57:01 , From IP : dial-14.ras-2.ska.s.

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<