Debate XCII: New paradigm of Health Care
ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้รับฟังบรรยายและอภิปรายจากอาจารย์อาวุโสและไม่อาวุโสหลายท่านในประเด็นเรื่อง "กระบวนทัศน์ใหม่" (New Paradigm) ของระบบสาธารณสุข รู้สึกน่าสนใจ อยากจะนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
(ขโมยมาจาก อ.ประเวศ บ้าง อ.โกมาตรบ้าง อ.สิวลี บ้าง แต่ผู้เรียบเรียงขอรับผิดเพียจงผู้เดียว ความดีเป้นของเจ้าของความคิด)
แต่เดิมสาธารณสุขไทยตั้งกระบวนทัศน์คือ Modernized Health Care และการกระจายบริการให้ทั่วถึง เป็นอย่างนี้มาหลายสิบปี คำว่า modernized ไม่ได้หมายความเพียงแต่แพทย์แผนปัจจุบัน แต่หมายถึงการนำเอาหลักฐานเชิงประจักษ์ การตรวจสอบเชิงวิจัย เชิงการศึกษา และการทบทวนองค์ความรู้ ของทั้งเก่าและใหม่ให้ได้มีประสิทธิภาพดีที่สุด การณ์ก็เป็นไปด้วยดี แต่ปรากฏว่า modernized นั้น มันเป็น package ที่จะเลือกแต่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ มันมี "ของพ่วง" ตามมา ในที่นี้ก็คือวิทยาการการแพทย์แผนใหม่นั้น จะต้องใช้วิทยาการเทคโนโลยีด้านอื่นๆประกอบด้วย และเป็นสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป้นด้านวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ ชีววิทยา อณูวิทยา รวมถึงอีกด้านนึงที่เราไม่ได้ anticipate มาก่อนคือ Marketing, Globalization, New Economy ที่กลายเป็นแรงผลักของเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้
วิทยการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้นดีแน่ ช่วยให้อะไรต่อมิอะไรง่ายขึ้น เร็วขึ้น สัดส่วน output:input สูงขึ้น แต่พอมาประสานกับ marketing, globoalization, new economy มันเริ่มมีคำ ugly terms หลายๆคำที่เคยอยู่แต่วงนอกการสาธารณสุขเข้ามา เช่น customer, competition, rivalry คำต่างๆเหล่านี้มันน่าเกลียดอย่างไร? มันเป็น anti-thesis ของปรัชญาที่เป้นจิตวิญญาณของวิชาชีพของเรา มันจึงน่าเกลียด การสาธารณสุขเมื่อถูกทำเป็น profitable หรือ trading มันก็ไม่ใช่ professionalism อีกต่อไป
ดังนั้นจึงเกิดแรงผลักดัน กระบวนทัศน์ใหม่ (New paradigm) ขึ้นมาสวมรอยสานตะเข็บต่อจากกระบวนทัศน์เดิม อ.ประเวศ ตั้งชื่อว่า Humanized Health Care หรือ ระบบบริการสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ ที่เราควรจะรีบช่วยกันสร้างขึ้น เพราะประโยชน์หลายอย่างได้แก่ คุณภาพการบริการจะสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายจะลดลง และการฟ้องร้องแพทย์จะไม่เกิดขึ้น
บอกว่าเป้นของใหม่ แต่จริงๆแล้วเป็นการตั้งสมาธิจุดสนใจให้ลึกซึ้งมากขึ้น ในพระราชดำรัสของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกที่ว่า "I not only want you to be a doctor, but I also want you to be a man" พระราชบิดาแห่งวงการแพทย์เรา ได้ทรงมีพระเมตตาตักเตือนล่วงหน้ามานานแล้วว่าจะเป็นหมอ เป็นพยาบาล อยู่ในวงการวิชาชีพสุขภาพ เราต้องเป็นมนุษย์ที่เข้าใจในชีวิตด้วย จึงจะทำงานนี้ได้
อ.หมอโกมาตร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อ งานคือความดี ที่หล่อเลี้ยงชีวิต เอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เพราะเดิมมีคติพจน์ของคนทั่วๆไปว่า "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" กระบวนทัศน์ การมอง "งาน" ของคนก้ถูกปรับเป็นมองเงิน การมองหาความสุขก็คือการมองหา "เงิน" ไปซะ เกิดในคนทั่วๆไปอาจจะยังไม่เท่าไร แต่เกิดขึ้นในวงการแพทย์ วงการบริการสุขภาพ มันมีผลร้ายอย่างมากมายเกินจินตนาการ
โจทย์ ก็คือ "อะไรที่เรียกว่า ระบบบริการสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์" แล้วจะต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะเกิด จำเป็นแค่ไหน ต้องรับแค่ไหน
จึงเรียนมาเพื่อเรียกร้องให้สมาชิกกระดานข่าว ชุมชนที่นับถือช่วยกรุณาร่วมออกความเห็นครับ
Be Mature, Be Positive, and Be Civilized
Posted by : Phoenix , Date : 2006-03-19 , Time : 18:27:07 , From IP : 58.147.119.161
|