ความคิดเห็นทั้งหมด : 4

แกะปมซุกหุ้น​ ที่ทักษิณพูด​ไม่​หมด​ ปริศนาบริษัทโคตรรวย​ (จบ)


   

ถัดมาคือ​ ปมบริษัท​ แอมเพิล​ ริช​ อินเวสต์​เมนต์​ ลิมิ​เต็ด​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณชี้​แจงว่า​ หลังวันที่​ 1 ธันวาคม​ 2543 ไม่​มีหุ้น​ใน​มือแม้​แต่หุ้นเดียว​ เนื่อง​จาก​ได้​โอนหุ้น​ให้​กับ​ "พานทองแท้​ ชินวัตร" "บรรณพจน์​ ดามาพงศ์​" และ​ "ยิ่งลักษณ์​ ชินวัตร" หมด​แล้ว​

แต่​ใน​ข้อเท็จจริงสิ่งที่​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ไม่​เคยปริปากบอกก็คือ​ การโอนหุ้นชินคอร์ป​ จำ​นวน​ 103 ล้านหุ้น​ให้​กับ​พานทองแท้​ บรรณพจน์​ และ​ยิ่งลักษณ์​ เมื่อวันที่​ 1 กัน​ยายน​ 2543 เป็น​การโอนหุ้น​หรือ​ซื้อขาย​กัน​จริงๆ​ หรือ​ไม่​ หรือ​เป็น​เพียงเจตนาลวง​ (​ใน​ราคาหุ้นละ​ 10 บาท​ มี​ส่วน​ต่าง​จาก​ราคาตลาดที่​ 150 บาท​ กว่า​ 1 หมื่นล้านบาท) เพราะ​ปรากฏว่าการขายครั้ง​นั้น​ไม่​มีการจ่ายเงินแม้​แต่สลึงเดียว​ แต่ทำ​เป็น​สัญญา​เงินกู้​ไว้​กล่าวคือ​ พานทองแท้ซื้อหุ้นไป​ 73 ล้านหุ้น​ ก็คือ​ 730 ล้านบาท​ นายพานทองแท้​จึง​เป็น​หนี้คุณหญิงพจมาน​และ​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​อยู่​ 730 ล้านบาท​ (ดู​ใน​บัญชีทรพย์สิน​และ​หนี้สินที่ครอบครัวชินวัตร​ ยื่นต่อ​ ป​.​ป​.​ช​.) ใน​เฉพาะ​ส่วน​ของหุ้นชินคอร์ป​ เช่นเดียว​กับ​กรณียิ่งลักษณ์​ และ​บรรณพจน์​

นอก​จาก​นี้​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ยัง​ถือหุ้นผ่านแอมเพิล​ ริช​อยู่​ 32.9 ล้านหุ้น​ แต่กลับ​ไม่​ได้​แจ้งสำ​นักงานคณะกรรมการกำ​กับ​หลักทรัพย์​และ​ตลาดหลัก​ ทรัพย์​ (ก​.​ล​.​ต​.) โดย​อ้างว่า​ไม่​มีหุ้นเหลือ​แล้ว​

แต่หลัง​จาก​วันที่​ 1 ธันวาคมก็​ได้​โอนหุ้นแอมเพิล​ ริช​ให้​พานทองแท้​ ดัง​นั้น​สิ่งที่คน​ไม่​เคยรู้ก็คือว่า​ หุ้น​ 32.9 ล้านหุ้นที่​แอมเพิล​ ริชถือ​อยู่​เป็น​ของใคร​ กระทั่ง​ ก​.​ล​.​ต​.​ตรวจพบ​ใน​ปี​ 2544 ถึง​มีการแจ้งย้อนหลังกลับไป​ ถามว่า​เป็น​การเจตนาปกปิด​ด้วย​

หรือ​ไม่​ ?

ขณะ​เดียว​กัน​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณชี้​แจงว่า​ หลัง​จาก​โอนหุ้นไป​แล้ว​ลูกๆ​ ได้​ว่าจ้างที่ปรึกษา​ให้​เป็น​ผู้​ดู​แลเรื่องหุ้น​ แต่​จาก​ข้อมูลที่ตรวจสอบพบอาจ​ไม่​เป็น​อย่างที่​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณกล่าว​ถึง​ เนื่อง​จาก​คนที่​เข้า​

ไปจัดการหุ้น​ทั้ง​หมดล้วนแต่​เป็น​ลูกน้องคนสนิทของคุณหญิงพจมาน​ทั้ง​สิ้นอย่างน้อย​ 2 คน​

คนแรกคือ​ นางกาญจนาภา​ หงษ์​เหิน​ เลขาฯ​ส่วน​ตัวของคุณหญิงพจมาน​ โดย​มีบทบาทตั้งแต่การเอาหุ้นไปฝาก​ไว้​ที่คนรับ​ใช้​ นำ​เอกสารไป​ให้​คนรับ​ใช้​เซ็น​ใน​คดี​ "ซุกหุ้น​ ภาคคนรับ​ใช้​"

เช่นเดียว​กัน​ การนำ​หุ้นชินคอร์ปขายต่อ​ให้​เทมา​เส็ก​ เมื่อ​ 23 มกราคม​ 2549 รวม​ทั้ง​แอมเพิล​ ริชขายหุ้น​ให้​กับ​พานทองแท้​ และ​พินทองทา​ เมื่อ​ 20 มกราคม​ 2549 ซึ่ง​ใน​แบบรายงานที่​ต้อง​แจ้งต่อ​ ก​.​ล​.​ต​.​ใน​การเปลี่ยนแปลงการซื้อขายหุ้น​ (แบบ​ 246-2) เขียนชัดเจนว่าบุคคลที่​ให้​ติดต่อก็คือ​ นาง​ กาญจนาภา​

คนถัดมาคือ​ "นางสาวปราณี​ เวชพฤกษ์พิทักษ์​" มีบทบาท​ใน​การจัดการภาษี​ให้​กับ​คุณหญิงพจมาน​ โดย​เฉพาะกรณีที่คุณหญิงโอนหุ้น​ให้​กับ​คนรับ​ใช้​ ซึ่ง​หลัง​จาก​สรรพากร​เข้า​ไปตรวจสอบ​ คุณหญิงพจมาน​ได้​มอบอำ​นาจ​ให้​นางสาวปราณี​ผู้​นี้​เป็น​ตัวแทนไปติดต่อจัดการ​ใน​เดือนพฤษภาคม​ 2544 ซึ่ง​ข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏ​เป็น​หลักฐาน​ใน​หนังสือของกรมสรรพากรที่ทำ​โต้ตอบ​กับ​นางสาวปราณี​ไว้​อย่างชัดเจน​

ผลงานของ​ "ปราณี​" อีกกรณีก็คือ​ ก่อนที่บริษัทแอมเพิล​ ริช​จะ​ขายหุ้น​ใน​ราคา​ 1 บาท​ให้​กับ​พานทองแท้​และ​พินทองทา​ ปรากฏว่า​ใน​วันที่​ 1 กรกฎาคม​ 2548 น​.​ส​.​ปราณี​ผู้​นี้​ได้​ทำ​หนังสือหารือ​ถึง​สรรพากร​ใน​เรื่องนี้ว่า​ การที่​แอมเพิล​ ริช​จะ​ขายหุ้นชินคอร์ป​ให้​กับ​พานทองแท้​และ​พินทองทาหุ้นละ​ 1 บาท​ ต้อง​เสียภาษีอย่าง​ใด​หรือ​ไม่​ โดย​ น​.​ส​.​ปราณี​ได้​เป็น​ตัวแทนของแอมเพิล​ ริช​ใน​การทำ​หนังสือ​ถึง​สรรพากร​

คำ​ถามก็คือ​ คนที่มีบทบาท​ใน​การจัดการหุ้น​ให้​ทั้ง​หมดคือคนสนิทของคุณหญิงพจมาน​ ซึ่ง​เป็น​การพิสูจน์ว่า​ทั้ง​พานทองแท้​และ​พินทองทา​ไม่​ได้​มีบทบาท​ใน​การซื้อขายหุ้น​ แต่คนจัดการคือคุณหญิงพจมาน​หรือ​ไม่​ ?

ขณะ​เดียว​กัน​ จาก​สภาพ​และ​พฤติกรรม​เป็น​ตัวชี้​ให้​เห็น​ได้​หรือ​ไม่​ว่า​ พานทองแท้​ พินทองทา​ บรรณพจน์​ และ​ยิ่งลักษณ์​ อาจมีสถานะ​เป็น​ตัวแทน​ไม่​แตกต่าง​จาก​กรณี​โอนหุ้น​ให้​คนรับ​ใช้​หรือ​ไม่​ ?

โอน​-​ขายหุ้นโปร่งใสจริง​หรือ​ ?

นอก​จาก​นี้​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ยัง​ไม่​ยอมพูด​ถึง​เรื่องการขายหุ้นชินคอร์ปว่า​ได้​ทำ​ถูก​ต้อง​ตามกฎหมายอีกเลย​ เพราะ​ก่อนมีการขายหุ้นชินคอร์ป​ให้​กองทุนเทมา​เส็ก​ หัวหน้าพรรคไทยรักไทยยืนยันตลอดว่า​ การขาย​และ​โอนหุ้นทำ​ถูก​ต้อง​โปร่งใสมา​โดย​ตลอด​

ทว่า​ เมื่อ​ไม่​นานมานี้​ ก​.​ล​.​ต​.​แถลงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวพบว่า​ พานทองแท้​ได้​ถือครองหุ้น​โดย​ผิด​ พ​.​ร​.​บ​.​หลักทรัพย์​และ​ตลาดหลักทรัพย์​ พ​.​ศ​.2535 มาตลอด​ แต่​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณกลับ​ไม่​เคยพูด​ถึง​เรื่องนี้​ คำ​ยืนยันที่ว่าซื้อขายหุ้นถูก​ต้อง​นั้น​กลับ​ไม่​ได้​ยิน​จาก​ปาก​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณที่สาบานต่อหน้าวัดพระ​แก้ว​

เช่นเดียว​กับ​กรณี​โอนหุ้น​ให้​พานทองแท้​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณอ้างว่า​โอนแบบพ่อ​ให้​ลูก​โดย​ธรรมจรรยา​ แต่​จาก​ข้อเท็จจริง​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ "ขาย" หุ้น​ให้​กับ​พานทองแท้​ หาก​เข้า​ข่ายพ่อ​ให้​ลูก​ต้อง​เป็น​การ​ให้​โดย​ไม่​มีมูลค่า​ ถามว่านี่คือการบิดเบือนอย่างชัดเจน​หรือ​ไม่​

ต่อมา​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณพูดชัดเจนว่า​ การขายหุ้นชินคอร์ปของครอบครัวตนเองผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ​ให้​เทมา​เส็ก​ 7.3 หมื่นล้าน​ไม่​ต้อง​เสียภาษี​

ลักษณะ​เช่นนี้​เป็น​การพูดตัดตอน​หรือ​ไม่​ เพราะ​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณพูดแต่ตอนจบ​ใน​การขายหุ้น​ 7.3 หมื่นล้าน​ให้​กับ​เทมา​เส็ก​เท่า​นั้น​ แต่หลีกเลี่ยงที่​จะ​พูด​ถึง​กระบวนการขายหุ้น​ซึ่ง​ไม่​น่า​จะ​ชอบตั้งแต่ต้น​ โดย​มีกรมสรรพากรสนองรับ​ผู้​มีอำ​นาจ​ ทำ​ให้​ไม่​มีการประ​เมิน​หรือ​เก็บภาษี​

เพราะ​จะ​เห็นว่ามี​ 2 ช่วงที่ขายหุ้น​แล้ว​มีข้อสงสัยถกเถียง​ใน​หมู่นักวิชาการว่าสรรพากร​ใช้​อำ​นาจ​โดย​มิชอบ​หรือ​ไม่​ เป็น​การทำ​ลายระบบภาษี​หรือ​ไม่​

กรณี​แรกคือ​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​และ​คุณหญิงพจมานขายหุ้นชินคอร์ป​ให้​กับ​บุคคล​ 3 คน​ เมื่อ​ 1 กัน​ยายน​ 2543 ใน​ราคา​ 10 บาท​ ขณะที่ราคาตลาด​ 150 บาททำ​ให้​เกิด​ "​ส่วน​ต่าง" กว่าหมื่นล้านบาท​ ถ้า​คิดภาษี​เต็มๆ​ เป็น​มูลค่ามหาศาลก็กว่า​ 7 พันล้านบาท​ หากเก็บจน​ถึง​วันนี้ก็ทะลุ​เป็น​หมื่นล้านบาท​

กรณีที่​ 2 คือ​ กรณี​แอมเพิล​ ริชขายหุ้นชินคอร์ป​ใน​ราคา​ 1 บาท​ให้​กับ​พานทองแท้​และ​พินทองทา​ ขณะที่ราคาตลาดกว่า​ 40 บาท​ "​ส่วน​ต่าง" ก็หมื่นกว่าล้านบาทเช่นเดียว​กัน​ ประ​เด็นเหล่านี้สรรพากร​ได้​เปลี่ยนแนวคำ​วินิจฉัยของตนเองกลับไปกลับมา​ถึง​ 3 ครั้ง​

ครั้งแรกเกิดขึ้นช่วงที่​ ป​.​ป​.​ช​.​ตรวจสอบคดีซุกหุ้นของ​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ ปลายปี​ 2543 ศุภรัตน์​ ควัฒน์กุล​ อธิบดีกรมสรรพากร​ใน​ขณะ​นั้น​ ซึ่ง​ปัจจุบันดำ​รงตำ​แหน่ง​เป็น​ปลัดกระทรวงการคลัง​ ได้​ทำ​หนังสือตอบ​ ป​.​ป​.​ช​.​ชัดเจนว่า​ ส่วน​ต่างของราคาหุ้นหาก​ผู้​ซื้อซื้อหุ้น​ใน​ราคาต่ำ​กว่าตลาด​หรือ​ราคาพึงประ​เมิน​ต้อง​ถือ​เป็น​เงิน​ได้​พึงประ​เมิน​ แต่​เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล​เป็น​พรรคไทยรักไทย​ เรื่องก็​เงียบหายไป​ จนมา​เปลี่ยนแนวคำ​วินิจฉัยว่า​ ผู้​ซื้อ​ไม่​ต้อง​เสียภาษี​เงิน​ได้​หรือ​ยัง​ไม่​มี​เงิน​ได้​พึงประ​เมินจนกว่า​จะ​เอาหุ้นที่ซื้อ​ใน​ราคา​ 10 บาทไปขาย​แล้ว​มี​ "​ส่วน​ต่าง" หรือ​ "กำ​ไร"

กระทั่งเกิดกรณี​ นายเรืองไกร​ ลีกิจวัฒนะ​ ไปซื้อหุ้นบริษัททางด่วน​ใน​ราคาต่ำ​กว่าตลาด​จาก​บิดาตนเอง​ ปรากฏว่า​เมื่อมีการยื่นแบบภาษีสรรพากรก็คิด​เป็น​ภาษี​ส่วน​ต่าง​ เมื่อนายเรืองไกรร้องเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ ได้​อ้างว่า​เป็น​การ​เข้า​ใจผิด​ แล้ว​รีบ​ให้​สรรพากรคืนเงิน​ส่วน​ต่างที่​เก็บภาษีคืนนายเรืองไกร​ และ​ยัง​ยืนยันว่านายเรืองไกร​ไม่​ต้อง​เสียภาษี​เช่นเดียว​กับ​ครอบครัวชินวัตร​ ด้วย​ เหตุว่า​ยัง​ไม่​มี​เงิน​ได้​เกินกว่า​เงินลงทุน​

กระทั่ง​ เมื่อ​ 29 ธันวาคม​ 2548 สรรพากรมีหนังสือ​ถึง​นายเรืองไกร​ฉบับ​หนึ่งอ้างว่า​ เหตุที่นายเรืองไกร​ไม่​ต้อง​เสียภาษี​เนื่อง​จาก​เป็น​การซื้อสินค้าราคาต่ำ​กว่าราคาตลาด​ เป็น​การตกลงราคาที่ซื้อขาย​กัน​ตามประมวลกฎหมายแพ่ง​และ​พาณิชย์​ แล้ว​ถือ​ส่วน​ต่าง​จาก​เหตุผลหลายอย่างเช่น​ การมี​โปรโมชั่น​ ความ​พอใจ​ หรือ​ความ​สัมพันธ์​ส่วน​ตัว​ เป็น​ต้น​ เงิน​ส่วน​ต่างดังกล่าว​จึง​ไม่​ถือ​เป็น​เงิน​ได้​จึง​ไม่​เข้า​ลักษณะ​เงิน​ได้​พึงประ​เมิน​ ดัง​นั้น​นายเรืองไกร​ไม่​ต้อง​เสียภาษี​

น่าสังเกตว่า​ ลักษณะ​เช่นนี้คล้ายกรณี​เรืองไกร​ ลีกิจวัฒนะ​ ซื้อหุ้น​จาก​บิดา​ใน​ราคาต่ำ​กว่าราคาตลาด​ ซึ่ง​ทางกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี​ แต่ต่อมาสรรพากรกลับคืนเงิน​ให้​กับ​เรืองไกร​ และ​ยืนยันว่านายเรืองไกร​ไม่​ต้อง​เสียภาษี​เช่นเดียว​กับ​ครอบครัวชินวัตร​ ด้วย​เหตุว่า​ยัง​ไม่​มี​เงิน​ได้​เกินกว่า​เงินลงทุน​ แต่มา​เปลี่ยนแนวคำ​วินิจฉัยว่าซื้อสินค้าต่ำ​กว่าราคาตลาด​ "​ส่วน​ต่าง" ราคา​ไม่​เข้า​ลักษณะ​เงิน​ได้​พึงประ​เมิน​ ซึ่ง​เห็นชัดว่า​เป็น​การวินิจฉัยเพื่อรองรับการขายหุ้นแอมเพิล​ ริช​

กรณีการตั้งบริษัทบนเกาะบริติชเวอร์จิน​ พ​.​ต​.​ท​. ทักษิณอ้างว่าบริษัทธุรกิจไทยหลายคนก็​ไปเปิดบริษัทที่​เกาะดังกล่าวถือ​เป็น​เรื่องปกติ​

หากย้อนดูคำ​พูด​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ เมื่อ​ 20 พฤษภาคม​ 2545 พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณอ้างว่าดู​ CNN แล้ว​สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายตัวนี้​ ดัง​นั้น​คนที่​ไปเปิดบริษัทที่​เกาะบริติชเวอร์จิน​เป็น​คน​ไม่​รักชาติ​ แสดง​ให้​เห็นว่า​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณพูดกลับไปกลับมา​หรือ​ไม่​ โดย​ไม่​ยอมอ้างคำ​พูดเก่าของตนเอง​

ปิดปากเงียบวิน​ มาร์ก​

นอก​จาก​นี้​ ประ​เด็นที่​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ไม่​ยอมพูด​และ​ดู​เหมือน​จะ​พยายามหลีกเลี่ยงสุดชีวิตก็คือ​ กรณีบริษัทวิน​ มาร์ก​ ลิมิ​เต็ด​ กล่าวคือเมื่อ​ 2 สิงหาคม​ 2543 ได้​ปรากฏหลักฐานว่า​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ได้​โอนหุ้นที่ตนเองถือ​อยู่​ 5 บริษัท​ คือ​ "บริษัทโอเอไอ​ พร็อพเพอร์ตี้​" "บริษัทเอสซี​ ออฟฟิตปาร์ค" "บริษัทเวิร์ธ​ ซัพพลายส์​" "บริษัทเอสซี​เค​ เอส​ เตท" และ​ "บริษัทพีที​ คอร์ปอเรชั่น" มูลค่า​เกือบ​ 1.5 พันล้านบาท​ให้​กับ​วิน​ มาร์ก​

หลังปรากฏ​เป็น​ข่าว​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณอ้างว่าบริษัทวิน​ มาร์ก​เป็น​ของนักลงทุนต่างประ​เทศที่​ต้อง​การ​เข้า​ซื้อหุ้น​ 5 บริษัทดังกล่าวที่มี​แนวโน้ม​เข้า​ตลาดหลักทรัพย์ฯ​ และ​ต้อง​การผลประ​โยชน์​จาก​การซื้อขาย​ใน​ตลาดหุ้น​ คนที่ยืนยันอีกคนก็คือ​ สุรเธียร​ จักรธรานนท์​ กรรมการ​ผู้​อำ​นวยการเอสซี​ แอสเสท​ ใน​ขณะ​นั้น​

นอก​จาก​นี้​ พ​.​ต​.​ท​.​ทักษิณ​ยัง​ทำ​หนังสือชี้​แจง​ ป​.​ป​.​ช​.​ครั้งกรณีซุกหุ้น​ใน​ประ​เด็นเดียว​กัน​โดย​ยืนยัน​ใน​ลักษณะนี้​เช่น​กัน​ ทว่า​ใน​ข้อเท็จจริงกลับมีการ​ค้น​พบว่าบริษัทวิน​ มาร์ก​ ลิมิ​เต็ดที่​ผู้​นำ​บอกว่า​ไม่​ใช่​ของตัวเอง​ กลับมีที่ตั้งที่​เดียว​กัน​กับ​บริษัทแอมเพิล​ ริช​ คือ​ P.O.BOX 3151, Road Town, Tortola บนเกาะบริติชเวอร์จิน​

คำ​ถามคือ​ เข้า​ใจ​ได้​หรือ​ไม่​ว่า​เจ้าของแอมเพิล​ ริช​ และ​วิน​ มาร์ก​ น่า​จะ​เป็น​คนคนเดียว​กัน​ ?

นอก​จาก​นี้​ ยัง​พบว่ากองทุน​ "​แวลู​ แอสเซตฟันด์​" ใน​ประ​เทศมา​เลเซียที่รับโอนหุ้น​จาก​เอสซี​ แอสเสท​ ประมาณ​ 61 ล้านหุ้น​ ได้​สละสิทธิ์การซื้อหุ้นเพิ่มทุน​ทั้ง​หมด​ให้​กับ​พินทองทา​และ​แพทองธาร​ ทำ​ให้​แวลู​ แอสเซตฟันด์ขาดผลประ​โยชน์​จาก​ส่วน​ต่างราคาประมาณ​ 100 ล้านบาท​

ต่อมาก่อน​เข้า​ตลาดหุ้น​ 5 วัน​ กองทุนแวลู​ แอสเซตฟันด์​ได้​โอนหุ้น​ 61 ล้านหุ้นของตนเองไป​ให้​กับ​กองทุน​ 2 กองทุน​ คือ​

"ออฟชอร์​ ฟันด์อิ้ง" กับ​ "​โอเวอร์ซี​ ฟันด์อิ้ง" ซึ่ง​ตั้ง​อยู่​ที่​เดียว​กับ​กองทุนแวลู​ แอสเซตฟันด์​ เช่น​กัน​คือเกาะบาบัว​ใน​มา​เลเซีย​

ประ​เด็นสำ​คัญคือ​ หากกองทุน​ทั้ง​ 2 เป็น​ของครอบครัวชินวัตร​ การยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล​ใน​การเสนอขายหลักทรัพย์​ (ไฟลิ่ง) ของบริษัทเอสซี​ แอสเสทต่อ​ ก​.​ล​.​ต​.​ใน​วันที่​ 5 กัน​ยายน​ มีการแจ้งข้อมูลเท็จ​ใน​ไฟลิ่งอาจ​เข้า​ข่ายกระทำ​ความ​ผิด​ พ​.​ร​.​บ​.​หลักทรัพย์​และ​ตลาดหลักทรัพย์​หรือ​ไม่​ ?

เพราะ​ใน​การยื่นไฟลิ่งครอบครัวชินวัตร​ แจ้งว่าถือหุ้นเพียง​ 60 เปอร์​เซ็นต์​ แต่กลับ​ไม่​มีพูด​ถึง​ 2 กองทุนดังกล่าว​

เพราะ​เอา​เข้า​จริงหากรวมออฟชอร์​ และ​โอเวอร์ซี​ ซึ่ง​ถือหุ้น​อยู่​ประมาณ​ 19 เปอร์​เซ็นต์​ ครอบครัวชินวัตร​ ก็​จะ​มีหุ้นเกือบ​ 80 เปอร์​เซ็นต์​

หากมีการพิสูจน์ว่ากองทุนดังกล่าว​เป็น​ของครอบครัวชินวัตร​ จริง​ เท่า​กับ​ว่ามีการแจ้งเท็จ​ใน​การยื่นไฟลิ่ง​ มี​โทษจำ​คุก​ไม่​เกิน​ 5 ปี​ และ​ปรับ​ไม่​เกิน​ 2 เท่า​ของหุ้นที่นำ​เสนอขายกว่า​ 1,900 ล้านบาท​

นี่คือคำ​ถามที่​ผู้​นำ​ไทยรักไทย​ไม่​มีคำ​ตอบที่ท้องสนามหลวง​

http://www.norsorpor.com/go.php?u=64854%3B557B%7Efi%2B%3E985%3B695qtu75BlfydxDumu3qnfyjidywfmhfmhfwu4ywfmhfmhfwu4my3th3stmhnyfr3%7C%7C%7C44%3Fuyym6


Posted by : บกพร่องโดยสุจริต , Date : 2006-03-16 , Time : 02:30:09 , From IP : 172.29.4.62

ความคิดเห็นที่ : 1


   วกไปวนมา วนเวียนซ้ำ ๆ ซาก ๆ อ่านกันหลายครั้งแล้ว ลองหาข้อมูลใหม่ ๆ มาบ้างซิ จะได้ไม่ซ้ำของเก่า เดี๋ยวคนก็ไม่ศรัธทาหรอก...

Posted by : Jay , Date : 2006-03-16 , Time : 08:55:04 , From IP : 172.29.3.171

ความคิดเห็นที่ : 2


   เข้า WEB ASTV แล้วฟัง/ดู รายการวันที่ 15-16 ที่เป็นช่วงสัมภาษณ์ โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แล้วจะรู้ว่า ทำไมคนที่ออกมาคัดค้านจึงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

Posted by : ตั้งใจมาบอก , Date : 2006-03-17 , Time : 00:10:46 , From IP : 203.188.4.231

ความคิดเห็นที่ : 3


   คุณต้องหาหลักฐานมาก่อนที่จะกล่าวหาผู้อี่น เช่นการที่ว่า 2 กองทุนนั้นเป็นของครอบครัวชินวัตรจริงหรือไม่ ถ้ามีหลักฐานมาแสดงได้ก็ส่งฟ้องศาลได้เลยครับ อย่ามาชุมนุมกันแบบกฎหมู่เหนือกฎหมายเช่นนี้ เศรษฐกิจของประเทศเสียหายไปเท่าไหร่แล้วใครรับผิดชอบครับ

Posted by : ทักษิณสู้ๆ , Date : 2006-03-18 , Time : 10:05:04 , From IP : 172.29.5.107

ความคิดเห็นที่ : 4


   ขอมูลแค่นี้ก็มากพอแล้ว สำหรับพวกคนเชียร์ทักษิณน่ะ ต่อให้หามามากแค่ไหนมันก็เชียร์อยู่นั่นแหล่ะ

Posted by : 555 , Date : 2006-08-22 , Time : 17:12:24 , From IP : ppp-58.10.134.91.rev

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<