แกะปมซุกหุ้น ที่ทักษิณพูดไม่หมด ความจริงเพียงเสี้ยวเดียว (ตอน 1)
คนทั่วไปที่ฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงเรื่องซุกหุ้นจากวิทยุและโทรทัศน์ หากฟังผ่านไปจากหูซ้ายทะลุหูขวาโดยไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งคำถาม เพราะเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดความจริงทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ย่อมอาจเข้าใจไปว่าไม่น่าจะมีอะไรปิดบังซ่อนเร้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาในตลาดหุ้น เมื่อคนไทยส่วนใหญ่รู้ไม่ทันความจริงที่ถูกซ่อนอยู่หลังดีล 73,000 ล้าน จึงเป็นหน้าที่ของ "ประชาชาติธุรกิจ" ที่จะต้องจับประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณชี้แจงต่อหน้าวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา มาตีแผ่ที่ละประเด็นว่า ความจริงคืออะไร ความเท็จอยู่ตรงไหน ?
หากพิจารณาโดยละเอียดสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวน้าพรรคไทยรักไทยชี้แจงและสาบานต่อหน้าวัดพระแก้ว ท่ามกลางชาวบ้านที่หลั่งไหลมาให้กำลังใจเรือนแสนเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่ได้ต่างจากจดหมายเปิดผนึกที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำถึงสมาชิกพรรคแต่อย่างใด
และเอาเข้าจริงกลับมีข้อสงสัยหลายประเด็นที่ผู้นำยังไม่ได้ตอบหรือเลือกพูดความจริงเพียงเสี้ยวเดียว โดยเฉพาะกรณีการขายหุ้นชินคอร์ป
เรื่องแรก พ.ต.ท.ทักษิณชี้แจงว่า ถูกจ้องเล่นงานด้วยเรื่องหุ้น แต่ในที่สุดก็รอดมาได้เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าตนไม่มีเจตนาปกปิดซุกหุ้น
พ.ต.ท.ทักษิณลืมไปหรือไม่ว่า สมัยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่อปี 2537 คนตระกูลชินวัตร นำหุ้นชินคอร์ป เอไอเอส และยูคอม โอนให้คนรับใช้อย่างน้อย 3 คน คือ "บุญชู เหรียญประดับ" "ชัยรัตน์ เชียงพฤกษ์" "ดวงตา วงศ์ภักดี" มูลค่ารวมกันกว่า 11,000 ล้านบาท เป็นสัดส่วนร้อยละ 25 เปอร์เซ็นต์ ในหุ้นที่ถืออยู่ในชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร
แม้ในขณะนั้นรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้รัฐมนตรีต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน แต่ช่วงเวลาดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐมนตรีจากพรรคพลังธรรมที่มี "พลตรีจำลอง ศรีเมือง" เป็นหัวหน้าพรรค
พลตรีจำลองประกาศว่า แม้รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้แสดงบัญชีทรัพย์สิน แต่เพื่อความโปร่งใสรัฐมนตรีของพรรคต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยติดประกาศไว้ที่พรรค
เป็นที่ฮือฮาอย่างมากเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงว่าตนมีเงินสดถึง 6 พันล้านบาท รวมทั้งมูลค่าหุ้นต่างๆ แต่กลับไม่เคยแจ้งว่าตนมีหุ้นที่ฝากไว้กับคนรับใช้กว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่มากกว่าเงินสดที่ พ.ต.ท.ทักษิณติดประกาศไว้ในพรรคพลังธรรมขณะนั้นเสียอีก
คำถามก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยบอกว่าหุ้นที่เอาไปฝากไว้ที่คนรับใช้กว่าหมื่นล้านบาท ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และเพื่อประโยชน์อะไร สะท้อนให้เห็นได้หรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ทำตามกฎเกณฑ์ที่พรรคกำหนดไว้ หรืออย่างน้อยที่สุดคือสะท้อนถึงจริยธรรมที่ไม่พูดความจริง
นอกจากนี้ โดยข้อเท็จจริงทั้งจากคำพิพากษาและวิธีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหรือไม่ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดตามมาตรา 295 โดยรอดหวุดหวิดด้วยเสียง 8 ต่อ 7
ทว่า ในจำนวน 7 เสียงข้างน้อยลงมติชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณจงใจที่จะปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือจงใจซุกหุ้น มีเพียง 4 เสียงเท่านั้นที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่จงใจซุกหุ้น ดังนั้นเสียงจงใจย่อมมากกว่าไม่จงใจ คือ 7 ต่อ 4
เพราะอีก 4 เสียงไม่ได้พิจารณาในข้อเท็จจริงว่า พ.ต.ท.ทักษิณจงใจหรือไม่ เพียงแต่อ้างว่ามาตรา 295 ของรัฐธรรมนูญไม่สามารถบังคับใช้กับ พ.ต.ท. ทักษิณได้
ดังนั้น หากดูจากคำพิพากษาหรือการลงคะแนนจะพบว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า หัวหน้าพรรคไทยรักไทยจงใจซุกหุ้นด้วยเสียง 7 ต่อ 4
http://www.norsorpor.com/go.php?u=315218224%3F%7Bcf%28%3B6525362nqr42%3FicvauArjr0nkcvgfavtcjecjectr1vtcjecjectr1jv0qe0pqjekvco0yyy11%3Crvvj3
Posted by : บกพร่องโดยสุจริต , Date : 2006-03-15 , Time : 22:12:07 , From IP : 172.29.4.62
|