ทักษิณโกงจริงหรือ
นายกรัฐมนตรีโกงชาติโกงแผ่นดินจริงหรือเปล่า?
เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง การปะท้วง และการชี้แจงปัญหาไม่ตรงประเด็น
อธิปไตยของชาติเรามีสถาบันสูงสุด คือพระมหากษัตริย์
มีศาสนา มีสถาบัน มีข้าราชการที่จะเป็นตัวจักรสำคัญ
เรามีทหารเป็นกองทัพที่เรียกว่า 3 เหล่าทัพ
เพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง ทำให้นโยบายของรัฐเป็นรูปธรรม
ตอนนี้ทุนไทยที่ยึดอำนาจทางการเมืองไว้ ได้ร่วมมือกับ
ทุนสิงคโปร์ เข้ามายึดเมืองไทย จึงเกิดประเด็นข้อกล่าวหา
เรื่องการขายชาติขึ้นมา รวมถึงการโกงชาติ โกงแผ่นดิน และ
ขายชาติ
ปัญหาบ้านเมืองเกิดขึ้นแค่คนคนเดียว
ความวุ่นวายทั้งหลายเกิดที่คนคนเดียว
เขาเอาอำนาจอธิปไตยของคนไทยมาทำร้ายคนไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้รัฐสภาที่มี ส.ส.
มาเป็นเครื่องมือในการออกกฎหมาย
ตั้งกระทรวงเฉพาะกิจ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เช่น
กระทรวงไอซีที แทนที่จะพัฒนาการใช้ software free
กลับให้ใช้ Microsoft สูญเงินเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไปตั้งเท่าไหร่
คนไทยแทนที่จะฉลาดขึ้นเพราะต้องเรียนรู้ ทำงานพัฒนาวิจัยยากๆ
ก็ไม่ต้องทำเอาแบบสำเร็จรูปเลยมาใช้เลยไม่เปลืองหมองน้อยๆ
แล้ววันหลังถ้าเขาขึ้นราคาไม่ให้ใช้แล้วไม่ต้องก่อนไปกราบตีนเข า
ขอใช้กันหรอกเหรอ แล้วก็ยังมาพรรณาว่าต้องปราบปรามพวก
ละเมิดลิขสิทธิ์ให้หมด ขำขำจัง นี่ยังไม่รวมระบบสารสนเทศภูมิศาตร์
ที่กินเงียบๆ อีกบานตะไท ผลงานยังอีกเยาะที่กระทรวงนี้ทำไว้
นี่แค่สมัยแรกๆ มีหมอเลียบ นายพินิจ และนายกว้าง คู่ซี้เองนะ
กระทรวงพลังงาน กำหนดราคาแก๊สเองยังไม่ได้เลย ต้องอาศัยราคา
จากเมืองนอก ทั้งๆ ที่เอาขึ้นมาเองจากอ่าวไทยแท้ แล้วยังเอา ปตท.
เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่า ปตท.เป็นหัวใจด้านพลังงาน
ของประเทศ ก็เอาไปเป็นของตัวเองและต่างชาติ จากนั้นก็มีการประกาศ
ลอยตัวน้ำมัน เหมือนกรณีการประกาศเงินบาทลอยตัว
อยากถามว่าหุ้น ปตท.มีกี่ตระกูลที่ถือหุ้น
กทช คอรัปชั่นเชิงนโยบายเกี่ยวกับโทรคมนาคม
ทำให้รัฐเสียประโยชน์ 200,000 ล้านบาท
คมนาคม การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิมูลค่าเป็นแสนล้าน
มี "หัวหน้าโจร" กุมการกินอยู่เพียงผู้เดียว
มหาดไทย ให้สิงคโปร์เช่าสนามบินให้ใช้พื่นที่ซ้อมรบในไทยได้
อะไรมันจะขนาดนั้น ได้ข่าวเพิ่มเติมจากเพื่อนมาค่อนข้างซีเรียส คือการ
ที่ไทยเปิดเสรีน่านฟ้า เปิดเสรีการบินให้อเมิรกา ยกฐานบินที่อุดรให้เขาเช่า
15 ปี ปัญหาที่ตามมา คือ จีนมองว่านี้คือการคุกคามประเทศเขาผ่านนาย
หน้าของสหรัฐคือสิงคโปร์ แล้วการที่เครื่องบินสหรัฐสามารถบินบนน่านฟ้า
ไทยได้จริง ๆ แล้ว คือการอนุญาตให้เครื่องบินทางทหาร ซึ่งมีความ
สามารถในการสอดแนมรุกล้ำน่านฟ้าได้ด้วย ซึ่งเขาวิเคราะห์ออกมาแล้ว
ว่าถ้าสมมุติใช้ฐานบินที่อุดร แล้วสวมรอยมาเป็นเครื่องบินสิงคโปร์บินจาก
อุดร สามารถบินไปโจมตีได้ถึงคุนหมิง เรื่องนี้ค่อนข้างซีเรียส เพราะตอนนี้
จีนเขาตอบโต้ยังไงรู้ไหม? เขาเคลื่อนกำลังทหาร 250,000 นาย ตรึง
กำลังตลอดแนวชายแดนไทย - พม่า และเตั้งพิกัดหัวรบนิวเคลียร์ซึ่งมี
สถานีภาพถ่ายจากชายแดนประเทศไทยไป 270 กิโลเมตร ให้มีพิกัดมาที่
ประเทศไทย 555 ผู้รู้ช่วยตอบทีเถาะ
นอกจากนั้นยังมี การซื้อเครื่องบิน 4 ลำโดยมิชอบเป็นเงินหลายหมื่น
ล้านบาท อีกทั้งครอบครัวของผู้มีอำนาจไปกว้านซื้อที่รอบๆ สนามบิน
สุวรรณภูมิไว้ 600 ไร่ จะมีการใช้งบประมาณของรัฐลงทุนสร้างโครงสร้าง
พื้นฐานและเรียกว่าเป็นนครสุวรรณภูมิ ทำให้ที่ 600 ไร่ ขายได้กำไร
ประมาณไร่ละ 12 ล้านบาท รวมแล้วจะกำไรกว่า 70,000 ล้านบาท ฯลฯ
การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้เทมาเซกของสิงคโปร์ 73,000 ล้านบาท
โดยไม่เสียภาษีสักบาทเดียว เป็นเรื่องช็อกความรู้สึกของคนอย่างขนาน
ใหญ่ ที่แม้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่มันเป็นการได้มาโดยการบีบบังคับรัฐให้ได้
มาซึ่งสัมปทานเพื่อเพื่มมูลค่าให้กับบริษัทฯ แล้วที่ร้ายแรงคือการขาย
ให้แก่ต่างชาติ อันนี้แม้ทีอเมริกาเอง จีนจะไปซื้อบริษัทฯ น้ำมันเข้ายัง
ไม่ยอมขายให้เลย ขายให้คนชาติเดียวกันได้เงินน้อยกว่าแต่ค วามมั่นคง
ยังอยู่
เรื่องสำคัญอีกอย่างคือมหาอำนาจ US ต้องการควบคุมทางออกทางทะเล
ของจีนปิดล้อมให้อดตาย คือทำลายทางออกด้านการพานิชย์นาวี ในเวลา
เดียวกันก็ปิดล้อมเขตยุทธนาวีของจีนไปด้วย พิจารณาแผนที่ย ุทธศาสตร์
จะพบว่าไทย เป็นประเทศเดียวที่อยู่ระหว่าง 2 มหาสมุทรอินเดีย กับ
มหาสมุทรแปซิฟิค ทางออกทะเลของจีนออกได้ทางเดียวคือ มหาสมุทร
แปซฟิค แต่ไม่มีทางออกทางมหาสมุทรอินเดีย จีนจึงได้ทำทางรถไฟเพื่อ
เชื่อมต่อกับไทย ตอนนี้เหลือเพียง 5 กม. ก็จะเชื่อมต่อไทยสำเร็จ แต่
CIA สนับสนุนชนกลุ่มน้อยในพม่า เพื่อให้ทางนี้ทำต่อไม่เสร็จ ซึ่งหาก
เชื่อมต่อได้ ทางรถไฟสายไซบีเรียที่จีนใช้สู่ตะวันตกนั้นก็จะเชื่อมถึงท่า
เรือแหลมฉะบัง และมาบตาพุด ซึ่งจีนได้เปิดคลังสินค้าและสร้างท่าเรือได้
คอยท่าพร้อมแล้ว นี่เป็นผลประโยชน์ที่ไทยควรได้ แต่ผู้นำมองไม่เห็น
สิงคโปร์ ได้ดำเนินแผนยุทธศาสตร์ยึดเศรษฐกิจไทยอย่างเบ็ดเสร็จมา
เกือบ 10 ปีแล้ว โดยเข้า Takeover ธนาคาร บริษัท ธุรกิจ การบิน การ
ท่องเที่ยว สุดท้าย ส่งตัวแทนเข้ามาให้นักการเมืองบีบ ให้บริษัท TPI ถูก
ยึด เพื่อจะได้ซื้อหุ้นไปทั้งหมด รวมทั้งให้ไทยปรับระบบ VISA ใหม่ด้วย
-------------------------------------------------
นายกรัฐมนตรีกับพวก โกงชาติ โกงแผ่นดินจริงหรือเปล่า
-------------------------------------------------
แม้จะกล่าวกันว่าในทางสังคม ความเชื่อคือความจริง
ก็ยังอยากตั้งคำถามเพื่อความเป็นธรรมว่า
คำร่ำลือที่กำลังขยายตัวออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ว่านายกรัฐมนตรีกับพวกโกงชาติโกงแผ่นดินและขายชาตินั้น
จริงหรือเปล่า ควรจะมีการพิสูจน์กันในเรื่องคำเล่าลือ
เกี่ยวกับการคอรัปชั่นของนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และกลุ่มของเขา
ผมไม่ใช่นักการเมือง ไม่เข้าใจตรรกะทางการเมือง
เพราะถ้านายกรัฐมนตรีโกงชาติโกงแผ่นดินและขายชาติจริง
โทษเพียงยุบสภาหรือลาออกแค่นั้น หรือ
ดูไม่สมเหตุสมผลและแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะข้อกล่าวหานั้นยังอยู่
โทษขนาดนี้ ถ้าเป็นครั้งโบราณก็
ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร
เอาละสมัยนี้ อย่างน้อยน่าจะ
ติดคุกและริบทรัพย์!
----------------------------------------------------
อนึ่ง ศีลธรรมต้องอยู่เหนือการเมือง เหนือกฎหมาย
คนไทยถูกครอบงำให้เข้าใจผิดว่า อำนาจทางการเมืองเป็นอำนาจสูงสุด
หรือกฎหมายคืออำนาจสูงสุด เราก็เห็นกันแล้วว่า
การเมืองมากำหนดศีลธรรมไม่ได้
นายกรัฐมนตรีจะมาสอนศีลธรรมให้ประชาชนไม่ได้
แต่ประชาชนจะต้องสอนและกำกับให้นายกรัฐมนตรีมีศีลธรรม
แผ่นดินจะต้องมีศีลธรรมเป็นพลัง ไม่ใช่เงินขนาดใหญ่ที่ไร้ศีลธรรม
ประเทศชาติและประชาชนจึงจะร่มเย็นเป็นสุข
เป็นประเทศไทยที่สง่างาม สันติ มีน้ำใจไมตรีต่อกัน
-------------------------------------------------------
ต่อไปนี้คือคำถามหลักที่รัฐบาลทักษิณ ต้องตอบให้ได้คือ
การวางแผนทางธุรกิจการเมืองครั้งใหญ่ เกี่ยวพัน 4 ส่วนด้วยกันคือ
1. ปตท. ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท
ขณะที่มูลค่าตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่า 5 ล้านล้านบาท
2. ปิโตรเคมี มีมูลค่าตลาด 3 แสนล้านบาท
3. ธุรกิจโทรคมนาคมอีก 5 แสนล้านบาท
แค่รวมสามส่วนนี้ก็มีมูลค่ามหาศาลถึง 2.1 ล้านล้านบาท
4. กฟผ.ซึ่งยังไม่ได้เข้าตลาดจึงยังไม่รู้ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่
แต่คาดว่าใกล้เคียงกับ ปตท.
ทั้ง 4 ส่วนนี้น่าจะเป็นมูลค่า 3.4 ล้านล้านบาท
เกินกว่ามูลค่าครึ่งหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์
แสดงให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของไทย ครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคธุรกิจพลังงาน
แสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนที่เล่นหมากเกมนี้ แหลมคมลุ่มลึกมาก
ขณะเดียวกันการคอรัปชั่นแบบคลาสสิค
อย่างหักหัวคิวสนามบินสุวรรณภูมิก็ยังมีอยู่
นอกจากนี้เทคโนโลยีในอนาคตนั้นจะทำให้ปลั๊กไฟ
สามารถเสียบสายโทรศัพท์ได้
เพราะฉะนั้นสายไฟฟ้านอกจากจะจ่ายไฟฟ้า
ยังสามารถส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ได้
หากรวม การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ)
การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( กฟภ.)
จะยิ่งใหญ่กว่าเครือข่ายของ DTAC และ AIS
เพราะบริษัทเอกชนทั้งสองทำอย่างไรก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้
แล้วก็ที่น่าแปลกใจทำไมต้องการไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวกันเลย
ถ้าเป็นธุรกิจทางด้านการเงิน ยังพอเห็นภาพด้วยสมการแบบง่าย ๆ
Shin Bank = TMB + IFCT + DBS
ส่วนกรณี ShinEnergy = EGAT (กฟผ.) + PTT (ปตท.)
แล้วจะนำไปเชื่อมต่อกับ Shin Telecom เป็นอาณาจักรใหญ่
ซึ่งใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจประเทศ น่ากลัวไหม
การนำ กฟผ.เข้าตลาดหุ้นจึงเป็นการต่อจิ๊กซอว์
เพื่อให้แผนการยึดครองเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างสมบูรณ์
ตามคำสั่งของประเทศสิงคโปร และ USA ที่วางแผนอยู่เบื้องหลังมั้ง
และ 1 ถึง 2 ปีจากนี้เราก็จะได้เห็นค่าไฟ
จากหน่วยละ 10 สลึง กลายเป็น 10 บาท
ซึ่งไม่ต่าง อะไรจากราคาน้ำมันในขณะนี้
หากมีการขึ้นค่าไฟฟ้าหน่วยละ 1 บาท
เงินจะไหลเข้ากระเป๋าต่างชาติที่วางแผนซื้อหุ้น กฝผ.
หนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาทต่อปี
ตรงนี้เฉพาะค่าไฟเท่านั้นยังไม่รวมประโยชน์จากไฟเบอร์ออพติค
ต่อไปนี้คนที่รวยที่สุดในโลกคงไม่ใช่ บิล เกตส์ อีกแล้ว
แต่จะเป็นคนไม่กี่ตระกูลที่ขายสมบัติของชาติ
การแปรรูปการไฟฟ้าจะร้ายแรงกว่า ปตท.มาก
เพราะในบ้านเรากิจการการค้าน้ำมันยังผูกขาดไม่สมบูรณ์
มีหลายเจ้าที่ค้าน้ำมันแข่งกันกัน
แต่สำหรับไฟฟ้านั้นหากเราไม่ซื้อไฟจาก กฝผ.
ก็ต้องไปซื้อถ่านไฟฉายตรากบมาใช้
ไม่มีการปล้นชาติครั้งใดหอมหวานเท่าครั้งนี้
เป็นการทำให้อำนาจทางการเมือง
ควบรวมกับอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์
ที่ผ่านมาเราก็เห็นการกระจายหุ้น ปตท.แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
หนึ่งในสามของหุ้น ปตท.ถือครองโดย หน่วยลงทุน 2 หน่วย
จาก สิงคโปร์ รวมทั้งตัวแทนของไอ้โม่งในไทยที่ไปปลอมชื่อ
ซื้อมาจากนิวยอร์ค และใครก็ตามที่เป็นเจ้าของของหน่วยลงทุน
ทั้ง 2 หน่วยนี้ จะได้ผลประโยชน์ถึง 6 หมื่นล้านบาท
ซึ่งเงินจำนวนนี้ที่ควรเป็นของคนไทย และหมุนเวียนอยู่ในไทยเท่านั้น
และที่สำคัญความสามารถในการทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้แทบทุกวัน
แค่บอกว่า จะขยายโรงกลั่น หรือ สร้างโรงไฟฟ้า หุ้นก็พุ่งแล้ว
พออีกอาทิตย์บอกว่า จะทบทวนมติครม.หุ้นก็ดิ่ง
(แค่นั่งปั่นหุ้นอย่างเดียวก็ทำกำไรกันจนรวยเละ)
และจากผลประโยชน์แอบแฝงมหาศาลด้านโทรคมนาคม
คือแรงจูงใจหลักที่ทำให้รัฐบาลทักษิณ
ต้องการเร่งแปรรูป กฟผ.
เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง
คือธุรกิจด้านโทรคมนาคม
ที่ บมจ. กฟผ. จะต้องรีบดำเนินการทันที
หลังจากการแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน)
ซึ่งธุรกิจด้านนี้จะเป็นประโยชน์กับใคร
และประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างไร
สามาถพิสูจน์ได้โดยหลัก ดังนี้
บมจ. กฟผ. จัดตั้งบริษัทลูกชื่อ
"กฟผ. โทรคมนาคม" หรือ "EGAT Telecom"
เพื่อนำเครือข่ายสื่อสารใยแก้วนำแสง
ที่ดำเนินการติดตั้งไว้ตั้งแต่ก่อนแปรรูป
ไปให้เอกชนเช่าเพื่อการสื่อสารข้อมูล
ปัจจุบันนี้เครือข่ายใยแก้วนำแสงของ บมจ.กฟผ.
มีช่องสัญญาณขนาด 155 Mbps (155 ล้าน bps)
เชื่อมไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และกำลังเร่งขยายช่องสัญญาณขนาดเดียวกัน
ไปยังภาคใต้และภาคตะวัน ออก ให้เสร็จในเวลาอันใกล้
ก่อนการกระจายหุ้น
เครือข่ายใยแก้วนำแสงนี้ ทำอะไร ได้บ้าง
เพื่อที่จะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือปัจจุบัน บมจ. กฟผ.
มีช่องสัญญาณใหญ่พอที่จะแพร่ภาพโทรทัศน์
แบบเดียวกับที่ UBC ใช้แพร่ภาพในเขตกรุงเทพฯ
และปริมณฑลไปทั่วประเทศไทย
โดยมีความคมชัดระดับ VCD ได้ประมาณ 100 ช่อง
หรือ ประมาณ 30 ช่อง ที่ความคมชัดระดับ DVD
และสามารถลงทุนขยายช่องสัญญาณเพิ่มขึ้น 64 เท่า
ให้มีช่องสัญญาณสูงถึง 9.6 Gbps (9,600 ล้าน bps)
ซึ่งเท่ากับการแพร่ภาพ VCD 6,400 ช่อง หรือ DVD 1,920ช่อง)
ได้ทันทีด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟผ. นั้น
วางคู่ไปบนระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ.เอง
ทำให้ต้นทุนด้านการวางเครือข่ายต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่น
และเมื่อเชื่อมกับเครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟภ. และ กฟน.
ซึ่งอยู่บนระบบส่งไฟฟ้าของ กฟภ. และ กฟน.
ในลักษณะเดียวกันจะทำให้เกิดเครือข่ายใยแก้วนำแสง
ต้นทุนต่ำขนาดใหญ่ที่สุด
สามารถให้บริการได้ถึงทุกครัวเรือนในประเทศไทย
แม้ว่าการวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงถึงทุกบ้านโดยตรง
อาจยังไม่คุ้มค่าการลงทุนในปัจจุบัน
แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้
โดยการวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงถึงสถานีไฟฟ้าย่อย
จากนั้นสามารถส่งข้อมูลผ่านสายไฟฟ้าแรงดันต่ำไปยังบ้านเรือนได้
ด้วยเทคโนโลยี Broadbandover power lines (BPL)
ซึ่งมีช่องสัญญาณ ประมาณ 3Mbps
หรืออาจวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงไปถึงจุดบริการย่อย
และต่อเข้าบ้ านเรือนด้วยเทคโนโลยี WiFi (เครือข่ายไร้สาย)
ซึ่งมีช่องสัญญาณไม่น้อยกว่า 11 Mbps
จากที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่า ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารภาคพื้นดิน
ผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่มีความรวดเร็วและมีความมั่นคงสูง
บวกกับความพร้อมของเครือข่ายระบบส่งไฟฟ้า
ของ กฟผ. กฟภ. และ กฟน.
ทำให้มีข้อได้เปรียบกว่าระบบโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมหลายด้าน เช่น
1. ใช้เงินลงทุนที่ต่ำกว่าการสื่อสารผ่านดาวเทียม
2. ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสภาพอากาศเหมือนการสื่อสารผ่าน
ดาวเทียมซึ่งจะขาดช่วงเมื่อฝนฟ้าคะนองหนัก ข้อนี้คนที่ดู
UBC ผ่าน จานดาวเทียมคงจะทราบปัญหาดี
3. การสื่อสารผ่านดาวเทียมไปถึงผู้รับบริการรายย่อยเป็นการ
สื่อส ารแบบทางเดียว ในขณะที่การสื่อสารผ่านเครือข่ายใยแก้ว
นำแสงเป็นการสื่อสารแบบสองทาง คือ ผู้รับบริการรายย่อย
สามารถ ส่งข้อมูลกลับไปยังผู้ให้บริการได้ จึงรองรับการให้บริการ
ประเภท Interactive TV และ Hi-speed Internet ได้ดีกว่า
ข้อสังเกต ขอพูดถึงเรื่องการไฟฟ้าก่อนละกัน
1. เมื่อเครือข่ายใยแก้วนำแสงบนระบบส่งไฟฟ้า
เข้ามามีบทบาทสำคัญในการการสื่อสารโทรคมนาคมในอนาคต
อันใกล้ บทบาทของการสื่อสารผ่านดาวเทียมย่อมลดลง ดังนั้นผู้เสีย
ประโยชน์คือตระกูลชินวัตร ผู้ถือหุ้น Shin จึงทำให้ต้องใช้อำนาจที่มี
อยู่ยึด กฟผ.ซึ่งเป็นสมบัติของประชาชนและชาติมาเป็นของตน เพื่อ
ขยายอาณาจักรให้ครอบคลุมเครือข่ายการสื่อสาร โทรคมนาคมทุก
ระบบ
2. ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมถึงนักวิชาการอิสระทั้งหลาย
เห็นตรงกันมาตลอดว่า ควรแปรรูป กฟผ.เฉพาะส่วนการผลิต
(โรงไฟฟ้า) เพราะทำให้เกิดการแข่งขันได้ง่าย แต่ให้คงส่วนระบบสาย
ส่งไฟฟ้าและเขื่อนไว้เป็นของรัฐเพราะทั้งสองส่วนเป็นสิ่งที่ได้ มาด้วย
อำนาจทางกฎหมายและการเสียสละของประชาชนจำนวนมาก โดย
ผ่านการเวนคืนที่ดินที่ใช้ในการก่อสร้าง อีกทั้งทำให้เกิดการแข่งขันได้
ยาก แต่รัฐบาลทักษิณกลับต้องการให้แปรรูป กฟผ. ทั้งหมด เพื่อให้
เครึอญาติของตน และชาติอื่นที่หนุนหลังเข้ามาถือสิทธิความเป็นเจ้า
ของทั้งในระบบส่งไฟฟ้าและเขื่อน
3. ระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟผ.
ได้เร่งดำเนินการขยายช่องสัญญาณไปยังภาคต่างๆ จาก 8 Mbps
เป็น 155 Mbps ในช่วงไม่เกิน 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นการลงทุนที่
เกินความต้องการสำหรับการสื่อสารภายในองค์กร และเงินลงทุนนี้ยัง
ถือเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งของค่าไฟฟ้าด้วย กล่าวคือประชาชนผู้ใช้
ไฟฟ้าทุกคนช่วยกันจ่ายเงินค่าไฟฟ้าเพิ่ม เพื่อขยายช่องสัญญาณ
เครือข่ายใยแก้วนำแสงให้แล้วเสร็จทันกับการ แปรรูป กฟผ. และการ
ตั้งบริษัท กฟผ.โทรคมนาคมเพื่อที่จะนำช่องสัญญาณไปให้เอกชน
เช่าได้อย่างพอดิบพอดี เกินกว่าจะกล่าวว่าเป็นความบังเอิญ
4. ในการแปรรูป กฟผ. เป็น บมจ. กฟผ. นั้น
คิดราคาสุทธิทางบัญชีของระบบสื่อสารขอ ง กฟผ.ไว้เพียง
2,318 ล้านบาท จากราคาทุน 6,356 ล้านบาท
เมื่ออ่านแล้วคงจะแยกแยะ และตัดสินใจได้ระหว่าง
ผลประโยชน์ของเพื่อน
กับผลประโยชน์ของชาติ
คุณจะเลือกป้องกันส่วนไหน ?
Posted by : ขอแจม , Date : 2006-03-03 , Time : 10:29:19 , From IP : 172.29.3.74
|