ความคิดเห็นทั้งหมด : 4

ข้อคิดจาก อ.นพ.ประเวศ วะสี


   แก้ปัญหาไม่ตรงประเด็น

ประเด็นคือการพิสูจน์ว่านายกรัฐมนตรีโกงชาติโกงแผ่นดินจริงหรือเปล่า ?


ประเวศ วะสี
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙


๑. นายกรัฐมนตรีกับพวกโกงชาติแผ่นดินจริงหรือเปล่า
เดี๋ยวนี้ไปทางไหนทุกซอกทุกมุมทุกหนทุกแห่งคุยกันอยู่แต่เรื่องเดียว คือ เรื่องคำเล่าลือเกี่ยวกับการคอร์รัปชันของนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และกลุ่มของเขา มีผู้เพิ่มเติมเรื่องนั้นเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น คอร์รัปชันเชิงนโยบายเกี่ยวกับโทรคมนาคม ทำให้รัฐเสียประโยชน์ ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท การซื้อเครื่องบิน ๔ ลำโดยมิชอบเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท ข้าราชการผู้ใหญ่เล่าว่าญาติของผู้มีอำนาจไปรีดไถจากงบประมาณของกระทรวงต่างๆ และใช้คำว่าเมื่อก่อนมันโคตรโกง เดี๋ยวนี้มันโกงทั้งโคตร

บางคนเล่าว่า ในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิมูลค่าเป็นแสนล้าน มี “หัวหน้าโจร” กุมการกินอยู่เพียงผู้เดียว มีข่าวลือว่าครอบครัวของผู้มีอำนาจไปกว้านซื้อที่รอบ ๆ สนามบินสุวรรณภูมิไว้ ๖๐๐ ไร่ จะมีการใช้งบประมาณของรัฐลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเรียกว่าเป็นนครสุวรรณภูมิ ทำให้ที่ ๖๐๐ ไร่ นั้นขายได้กำไรประมาณไร่ละ ๑๒ ล้านบาท รวมแล้วจะกำไรกว่า ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ฯลฯ

เรื่องการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้เทมาเส็กของสิงคโปร์ ๗๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีสักบาทเดียว เป็นเรื่องช็อกความรู้สึกของคนอย่างขนานใหญ่ ประดุจเครื่องบินจัมโบ้เจ็ตตกแล้วมีคนตาย ๔๐๐ คน มีการตื่นเต้นตกใจกันไปทั้งแผ่นดิน แต่จริงๆ มีคนตายเพราะความไม่ถูกต้องในแต่ละวันมากกว่านั้นมาก

ถ้าการคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่างๆ ที่ขณะนี้กำลังเล่าลือกันขยายวงออกไปทุกที่เป็นความจริง มูลค่ารวมของการคอรัปชันมากกว่า ๗๓,๐๐๐ ล้านบาทมาก คงจะหลายแสนล้านบาททีเดียว
บางคนว่า คำว่า “เทมาเส็ก” นั้นมาจากคำว่า “ธรรมสิข” ซึ่งเป็นชื่อรัฐโบราณบนเกาะสิงคโปร์ ซึ่งเคยรบชนะ “เสียน” หรือ สยาม เขาเอาชื่อธรรมสิขหรือเทมาเส็กไปตั้งชื่อกองทุนเพื่อตัดไม้ข่มนามว่าเพื่อมายึดสยามใช่หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ก็คือ สิงคโปร์มีทุนขนาดมหึมา ทั้งทุนของตัวเองและที่เป็นเอเยนต์ของอเมริกา และกำลังเข้ามายึดกิจการธนาคาร โรงแรม และกิจการอื่นๆ ของไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดโดยการซื้อชินคอร์ปก็ยึดการสื่อสาร ดาวเทียม สายการบินไปด้วย แน่นอนที่เดียวว่าสิงคโปร์เกาะเล็กๆ นี้กำลังใช้ทุนขนาดใหญ่เข้ายึดกิจการต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อใช้ให้คนไทยและกลไกของรัฐไทยทำงานหนักส่งผลประโยชน์ไปเลี้ยงสิงคโปร์

ผู้คนสงสัยว่า ทุนไทยที่ยึดอำนาจทางการเมืองอยู่นี้จะร่วมมือกับทุนสิงคโปร์ จึงเกิดประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการขายชาติขึ้นมา รวมเป็นโกงชาติโกงแผ่นดินและขายชาติ
แม้จะกล่าวกันว่าในทางสังคม ความเชื่อคือความจริง ก็ยังอยากตั้งคำถามเพื่อความเป็นธรรมว่า คำร่ำลือที่กำลังขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ที่ว่านายกรัฐมนตรีกับพวกโกงชาติโกงแผ่นดินและขายชาตินั้น จริงหรือเปล่า ควรจะมีการพิสูจน์กัน

๒. ถ้าจริง โทษเพียงยุบสภาหรือลาออกแค่นั้นหรือ

ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่ไม่เข้าใจตรรกะทางการเมือง เพราะถ้านายกรัฐมนตรีโกงชาติโกงแผ่นดินและขายชาติจริง ทำไมทางออกจะเป็นยุบสภาหรือลาออกแค่นั้นละหรือ ดูไม่สมเหตุสมผลและแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะข้อกล่าวหานั้นยังอยู่

โทษขนาดนี้ ถ้าเป็นครั้งโบราณก็ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร
เอาละสมัยนี้ อย่างน้อยน่าจะติดคุกและริบทรัพย์ !
ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ว่า การพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นจริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องอื่น

๓. นายกรัฐมนตรีคือผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าจริงหรือไม่จริง
นายกรัฐมนตรีคือคนที่รู้ดีที่สุดว่าข้อกล่าวหานั้นจริงหรือไม่จริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรทำจึงมีดังนี้
(๑) ถ้าจริง ยอมรับสารภาพ ขอโทษ ยอมรับการลงโทษ กลับเนื้อกลับตัวทำความดี
(๒) ถ้าไม่จริง ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสอบสวนนายกรัฐมนตรี ในเมื่อมันไม่จริง สอบสวนอย่างไรๆ ก็จะพบว่ามันไม่จริง และถ้าคณะกรรมการอิสระประกอบด้วยคนที่ผู้คนเคารพนับถือว่ามีความยุติธรรมและมีอิสระจริง ๆ รายงานของคณะกรรมการอิสระก็จะยุติข่าวลืออันไม่เป็นมงคลต่อนายกรัฐมนตรีลงได้ ถ้าใช้กลไกเท่าที่มี เขาไม่เชื่อถือกันแล้ว เขาเชื่อว่าถูกแทรกแซงและครอบงำหมดแล้ว ไม่สามารถยุติคำร่ำลือได้แล้ว

๔. เป็นหน้าที่ของการเมืองภาคประชาชน
นายกรัฐมนตรีคงจะไม่ยอมทำอย่างหนึ่งอย่างใดในสองข้อข้างต้น จึงเป็นหน้าที่ของการเมืองภาคประชาชน ลำพังการเมืองของนักการเมืองมีข้อจำกัดมาก คงจะพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยได้ยาก รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงบัญญัติการเมืองภาคประชาชนไว้เป็นอันมาก
มาตรา ๗๖ ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๔๐ บัญญัติว่า “รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายการ การตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ”
ผมยกมาให้ดูเพียงมาตราเดียวเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าการเมืองภาคประชาชนนั้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมหรือเดินขบวนเรียกร้องด้วยสันติวิธีสามารถทำได้ภายในกรอบของรัฐธรรมนูญ
มักจะมีการบิดเบือนความจริงว่าการชุมนุมเรียกร้องเป็นกระบวนการนอกกฎหมาย
เพราะรัฐบาลไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ จึงมีการชุมนุม การชุมนุมเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

๕. ศีลธรรมอยู่เหนือการเมืองอยู่เหนือกฎหมาย
คนไทยถูกครอบงำให้เข้าใจผิดว่า อำนาจทางการเมืองเป็นอำนาจสูงสุดหรือกฎหมายคืออำนาจสูงสุด เราก็เห็นกันแล้วว่า การเมืองมากำหนดศีลธรรมไม่ได้ กลับมาทำปู้ยี่ปู้ยำให้ศีลธรรมตกต่ำจนปั่นป่วนไปทั้งประเทศ ผู้มีอำนาจจะเรียกร้องให้ทำตามกฎหมาย แต่ถามว่าใครเขียนกฎหมาย

เขาแก้กฎหมายหรือเขียนกฎหมายใหม่ให้เอื้อประโยชน์ต่อพวกเขาได้ เมื่อเร็วๆ นี้เขาก็แก้กฎหมายจากให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน ๒๕% เป็น ๔๙% แล้วขายพรวดทันทีทันใดเลยได้กำไรก้อนโต

เพราะฉะนั้นจะถือว่ากฎหมายคือความถูกต้องสูงสุดไม่ได้ เพราะเกได้โกงได้ โบราณก็บอกว่าธรรมศาสตร์อยู่เหนือนิติศาสตร์ หรือธรรมอยู่เหนือกฎหมาย
ศีลธรรมจะอยู่ใต้การเมืองและใต้กฎหมายไม่ได้ การเมืองของพลเมืองจะต้องเคลื่อนไหวให้ศีลธรรมอยู่เหนือการเมืองและเหนือกฎหมาย ประชาชนจะต้องเป็นเจ้าของศีลธรรม และเป็นผู้กำหนดให้การเมืองทำตามศีลธรรม ต้องปรับและกำกับให้ความถูกต้องกับความถูกกฎหมายอยู่ที่เดียวกัน

นายกรัฐมนตรีจะมาสอนศีลธรรมให้ประชาชนไม่ได้
แต่ประชาชนจะต้องสอนและกำกับให้นายกรัฐมนตรี มีศีลธรรม

๖. ปิดยุคการเมืองธนกิจ เปิดยุคการเมืองของพลเมือง
ตราบใดที่ธนกิจเข้ามาครอบงำการเมือง ความปั่นป่วนวุ่นวายเสื่อมเสียศีลธรรมจะมีมากขึ้น กระทบการพัฒนาทุกๆ ด้าน คนไทยทั้งหมดจะต้องตื่นตัวและมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ศีลธรรมเป็นพลังของแผ่นดิน ต้องรำลึกถึงพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”
แผ่นดินจะต้องมีศีลธรรมเป็นพลัง ไม่ใช่เงินขนาดใหญ่ที่ไร้ศีลธรรม ประชาชนจึงจะร่มเย็นเป็นสุข

ธงชัยของการเมืองภาคประชาชน คือ การขับเคลื่อนทางศีลธรรม
ให้ศีลธรรมอยู่เหนือการเมืองและเหนือกฎหมาย

พลังทางศีลธรรมโดยการเมืองภาคประชาชนจะต้องเข้าไปขจัดปราบปรามคอร์รัปชัน สร้างระบบการเมืองที่มีศีลธรรมกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศที่มีศีลธรรมเป็นฐาน ต้องเข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือเศรษฐกิจศีลธรรม

พวกเราคนไทยจะต้องช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศไทยที่สง่างาม สันติ พอกินพอใช้ มีน้ำใจไมตรีต่อกัน ด้วยพลังทางศีลธรรม
การเมืองของนักการเมืองอย่างเดียว ต่อให้ดีอย่างไรก็ไม่เป็นพลังทางศีลธรรมพอเพียง
การเมืองภาคประชาชน จะต้องเป็นพลังทางศีลธรรมของแผ่นดิน



Posted by : รักประเทศไทย , Date : 2006-02-27 , Time : 09:14:38 , From IP : 172.29.3.132

ความคิดเห็นที่ : 1


   - จะให้บอกกี่ครั้งว่า คนแก้จาก 25 เป็น 49 %
แก้มาตั้งแต่ยุคชวนแล้ว อิอิ


Posted by : ดกหฟ , Date : 2006-02-27 , Time : 15:36:20 , From IP : 172.29.3.149

ความคิดเห็นที่ : 2


   แต่เห็นหนังสือถึงสมาชิก ของ ฯพญฯ บอกว่า ค่าย AIS ไม่ได้เรียกร้อง แต่ค่ายอื่นเขาเรียกร้อง(DTAC , Orange) และอนุมัติในครม.ชุดนี้นี่ครับ แถมบอกอีกว่า ไม่เห็นผ่ายค้านยื่นมติคัดต้านเลย
...
ตกลงให้เชื่อใคร?


Posted by : Botsumu , Date : 2006-02-27 , Time : 17:04:32 , From IP : 61.7.137.78

ความคิดเห็นที่ : 3


   ดูข่าวคนชุมนุมที่เชียงใหม่ไหม คนระหองระหงแต่ข่าวบอกตั้งหมื่นคน ปัดธ่อ ทีแสนคนบอกว่าไม่กี่ร้อยไม่กี่พัน
เรียนจบอะไรมาเนี่ย


Posted by : -_- , Date : 2006-02-27 , Time : 22:34:10 , From IP : 172.29.4.69

ความคิดเห็นที่ : 4


   จบจากยอดดอยแม้วไง แข่งนับเลขกันเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
มันจะนับผิดตอนคะแนนเลือกตั้งด้วยรึปล่าวนะ


Posted by : เหอะๆ , Date : 2006-02-28 , Time : 20:35:12 , From IP : 203.157.29.229

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<