ความคิดเห็นทั้งหมด : 19

การเรียนในภาควิชา med


   เป็นนศพที่กำลังจะขึ้นปี 5 ในกอง med ในตอนปี 4 เราเองก็ขึ้นภาค med ก่อนเป็นกองแรก(เช่นเดียวกับปีนี้) เมื่อครั้งอยู่ ปี 4 med กองแรกได้พบกับปัญหา
เรื่องเอกสารประกอบการเรียน ซึ่งไม่มีแจกให้เลยแม้แต่ชุดเดียว ในการเรียน lecture เกือบทุกครั้ง เราจะต้องนั่งจดLecture กันเยอะมาก ทำให้เสียเวลาและได้ประสิทธิภาพการฟังในห้องลดลง ตอนเรียนเราไม่เคยได้เอกสารประกอบ powerpoint ใดๆจากภาคmedเลย นักเรียนต้องไปขอfile ppt. อาจารย์ไปพิมพ์แจกกันเอง ทำให้เสียทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย และเสียสมาธิในการฟังเป็นอย่างมาก หลังจากลงกอง med แล้วไปขึ้น ศัลย์ และambu ทุกๆภาค มีการจัดการดีกว่ามากๆ มีเอกสารประกอบการเรียนมากมาย ทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพขึ้นมาก การเรียนดีขึ้น เข้าใจบทเรียนดีกว่ามาก
อยากขอร้องทางภาค med ในผู้ที่เกี่ยวข้องกรุณาทำเอกสารประกอบการเรียนให้นศพด้วย เพราะมันมีประโยชน์อันมหาศาลมากจริงๆ




Posted by : นศพ , Date : 2006-02-25 , Time : 15:01:36 , From IP : 158.108.211.193

ความคิดเห็นที่ : 1


   คงยาก ภาคอายุรกรรมเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ตั้งแต่ตอนเรียนจนถึงตอนสอบ ปีก่อนข้อสอบยังไม่พร้อม ทำออกมาก่อน 42 ข้อ แล้วที่เหลือค่อยตามมาทีหลัง แต่ก็น่าเห็นใจพี่เจริญพรนะ ทางภาคน่าจะหาผู้ช่วยมาเพิ่ม

Posted by : เห็นด้วย , Date : 2006-02-25 , Time : 18:25:21 , From IP : 172.29.5.223

ความคิดเห็นที่ : 2


   หาคนรับผิดชอบสักคนผมว่าไม่น่าจะเหลือกำลังนะครับ

Posted by : -_- , Date : 2006-02-25 , Time : 19:10:38 , From IP : 172.29.4.69

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมเองโดยส่วนตัวแล้วก็เห็นใจคุณเจริญพรมาก เนื่องจากงานของพี่แกค่อนข้าง Load เยอะมาก เท่าที่สังเกตมาตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ Med ทั้งตอนปี 4 และ 5 ผมเห็นพี่แกก็ทำงานหลายอย่างมากทั้งจัดตารางเรียน block, ติดต่ออาจารย์ ทำ powerpoint ให้อาจารย์ จัดอาจารย์ bedside, จัดเอกสารประกอบการเรียน จัดเอกสารสอบลงกอง ตรวจข้อสอบ ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่าทางภาคน่าจะหาคนมาช่วยพี่เจริญพรบ้างน่ะ การทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานแต่ละอย่างลดด้อยลงไปน่ะ
ผมก็ลองฝากทางภาคเนผู้พิจารณาแล้วกัน และขอให้กำลังใจพี่เจริญพรทำงานต่อน่ะครับ


Posted by : Eset , Date : 2006-02-25 , Time : 19:20:34 , From IP : 172.29.4.224

ความคิดเห็นที่ : 4


   มาแสดงความเห็นใจพี่เจริญพรด้วยคนครับ

Posted by : แดจังกึม , Date : 2006-02-25 , Time : 19:28:01 , From IP : 172.29.4.195

ความคิดเห็นที่ : 5


   อ่าน Harrison สิน้อง รึว่าอยากเป็นนศพ.ลูกทุ่ง อ่านแต่ lecture ตามเขาไม่ทันหรอก ค่อยๆหัดอ่านเดี๋ยวก็ชินเอง แรกๆพี่ก็ไม่ชินก็ค่อยๆฝึกอ่านไป ฝึกตั้งแต่ปี 4 เดี๋ยวก็ได้เอง ไม่งั้นตามเขาไม่ทัน ความรู้มันไปเร็วนะน้อง

Posted by : mabus , Date : 2006-02-25 , Time : 19:47:44 , From IP : 172.29.5.139

ความคิดเห็นที่ : 6


   เห็นใจ และเห็นด้วยที่ต้องแก้ไขปัญหานี้ใหญ่กว่าที่คิดนะครับ

นอกจากนี้อยากให้ มีการกำหนดหน้าที่ให้พี่ saff ทั้งพี่ใช้ทุนและ พี่ recident ในการสอนน้องๆด้วยยิ่งดีเลยครับ เนื่องจากความรู้จากการราวจะได้หรือไม่ได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับพี่ staff เลยครับ (อาจไม่จำเป็นต้องสอนก็ได้ครับแต่ช่วยจี้หรือกระตุ้นให้ไปหาความรู้หรือประเด็นต่างๆจะดีมากครับ)



Posted by : นศพ เหมือนกัน , Date : 2006-02-25 , Time : 19:52:30 , From IP : 203.157.29.221

ความคิดเห็นที่ : 7


   อยากรู้จังเลย ว่าที่เค้าพูดกันว่าคนนัน คนนี้อ่าน harrison จบตั้งแต่ปี 4 มันจะจริงไหม เพราะว่าตอนเรียนปี 4 แค่อ่าน lecture ตามอาจารย์ ทำรายงาน เตรียม bedside รวมทั้งหาคำตอบที่พี่ถาม อ่านเกี่ยวกับคนไข้ที่รับ ก้แทบจะไม่มีเวลาไปอ่านอย่างอื่นแล้ว อยากรู้ว่าเค้าอ่าน harrison จบกันยังไง หรือว่าต้องเก่ง ENG มากๆ จนอ่าน text เหมือนหนังสือภาษาไทย เราดูๆแล้ว ต่อให้เรียนจบแล้วก็คงจะอ่านไม่หมดเล่มแน่นอน

Posted by : vv , Date : 2006-02-26 , Time : 08:08:02 , From IP : 172.29.4.155

ความคิดเห็นที่ : 8


   ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะอ่าน Harrison เป็นส่วนใหญ่แล้วจะสอบได้ดี เพราะเนื้อหามันมากเกินไป พี่ resident อ่านกันตอน training 3 ปี ก็ไม่รู้จะอ่านจบไหม แล้วของนศพผ่านไม่กี่เดือน ไม่น่ามีทางอ่านจบได้ จริงๆแล้วมันขึ้นกับ lecture และความรู้ที่ได้ระหว่างการปฎิบัติงานมากกว่า Harrison นะ สนับสนุนให้อ่าน แต่ใช้อ่านประกอบเวลาไม่เข้าใจที่อาจารย์สอนหรือต้องการค้นคว้าเพิ่มเติม
ไม่น่าเชื่อว่าการเรียนการสอนของ med จะเป็นแบบนี้ เพราะแต่ละภาคย่อมมี style ของตัวเอง แล้วได้มีการ feed back ให้อาจารย์ผู้รับผิดชอบทราบไหม หรือวิธีการสอนของเขาเป็นแบบนี้ คือให้มี SDL เป็นส่วนใหญ่


Posted by : ขอแจมด้วยคน , Date : 2006-02-26 , Time : 09:17:09 , From IP : 172.29.7.72

ความคิดเห็นที่ : 9


   ไม่ค่อยเห็นด้วยนะ ที่กระทู้แบบนี้มาโพส บนกระดานอภิปราย น่าจะfeed back ในภาควิชากันเองมากกว่า

Posted by : ขอแจมด้วยคน , Date : 2006-02-26 , Time : 09:20:58 , From IP : 172.29.7.72

ความคิดเห็นที่ : 10


   อ่านวันละแค่50หน้าทุกวัน สองเดือนก็จบครับ

Posted by : Kronous , Date : 2006-02-26 , Time : 10:07:11 , From IP : 172.29.4.171

ความคิดเห็นที่ : 11


   นอกเรื่องครับ แต่ชอบ block Ambu มากๆ เพราะมีการเตรียมสื่อการเรียนการสอนไว้ดีมาก เอกสารประกอบก็มีทั้งชีทเนื้อหา สไลด์ ppt และ cai ดีๆให้ดู เป็น block ที่ประทับใจจริงๆ อยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดครับ

Posted by : Euphoria , Date : 2006-02-26 , Time : 12:32:29 , From IP : 172.29.4.226

ความคิดเห็นที่ : 12


   ไม่มีอะไรจะพูด


Posted by : ขี้แพ้ ชวนตี , Date : 2006-02-26 , Time : 14:18:50 , From IP : 192.168.26.86

ความคิดเห็นที่ : 13


   การเรียนก็จะต้องมีการจด lecture กันอยู่แล้วนะ ตั้งแต่เรียนอนุบาลมาก็มีการจด ขีดเขียนกันอยู่แล้ว ไม่เห้นว่าจะมีการแจก ppt กันสักหน่อย

พอมาเรียนระดับมหาลัยจะมาขอโน่น ขอนี่ ยิ่งเรียนมาก ชอบมากเรื่องจริงๆ เลยพวกนี้

จดนะดีแล้วจะได้เข้าใจไปในตัว จะได้ผ่าน
ตา= ดู
หู = ฟัง
มือ = เขียน
สมอง = คิด
จะได้เข้าใจมากขึ้น
ไม่หลับไงน้อง...


Posted by : Good man , Date : 2006-02-26 , Time : 16:39:28 , From IP : 172.29.2.118

ความคิดเห็นที่ : 14


   - เอออ... พี่ๆ resident ไม่มี job descrision สอน นศพ. นะครับ น้องเข้าใจผิดแล้ว ( คือไม่ใช้เรียกน้องมานั่งเรียงกันแล้วพูดผ่านหูซ้าย -> หูขวานะคับ ) ผิดระบบ PBL เป็นอย่างยิ่ง
- หน้าที่ของพวกพี่ๆ คือการดูแลผู้ป่วยโดยมี staff ควบคุมชี้แนะ comment ให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการ โดยพวกพี่ต้องจำหลักการดูแลผู้ป่วยนี้เอาไว้
ถ้าการดูแลผู้ป่วย ต้องมีการทำหัตถการ พี่ก็มีหน้าที่
- ทำไปเลยเช่น LP
- ไม่ทำถ้าเสี่ยง หรือ หัตถการนั้นๆต้องเป็น special certified person ( sub board / fellow in training )
- ไม่ทำถ้ามีข้อบ่งห้าม ( staff จะมาcomment ตอนราวด์ว่าเราตัดสินใจเหมาะสมหรือไม่ ถ้าไม่ก็จะโดนตำหนิ เราก็มีหน้าที่ discussไปว่าเหตุผลเราคืออะไร แต่ถ้าเป็นเรื่งทำไม่เป็นก็ต้องไปเรียนวิธีการทำจาก staff โดยตรง )
- ให้ junior resident ทำภายใต้การควบคุมถ้าอยู่ในข้อกำหนดเช่น .ให้ dent 1 เจาะ ascites ให้ extern เจาะ ABG
จนครบระยะที่กำหนด ( training year 3 for resident , 4 for พชท. ) ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ก็จะทดสอบพวกพี่ๆว่า เหมาะสมจะออกไปทำงานดูแลผู้ป่วยแบบมาตรฐานวิชาการหรือไม่ ( สอบบอร์ด ) ถ้าเหมาะสม ( สอบบอร์ดผ่าน ) ก็จะออกไปดูแลผู้ป่วยตามความสามารถของหลักสูตรที่ได้ train มา ( เช่น train เป็นผู้เชี่ยวชาญอายุกรรมทั่วไป ไม่ควรรับปรึกษา case เป็นต้น แต่ช่วยรพ. ตรวจเด็กแบบแพทย์ที่จบ พบ.ได้ )
- แล้ว resident กับ นศพ. ในระบบ PBL ควรเป็นอย่างไร ? ... คิดไม่ออก คิดออกจะมาบอก


Posted by : พี่ med , Date : 2006-02-26 , Time : 16:49:01 , From IP : 203.188.4.253

ความคิดเห็นที่ : 15


   เรื่องพี่แพทย์ควรสอนน้องนักศึกษารึเปล่านี่ สงสัยต้องใช้สามัญสำนึกมากกว่า job description กระมังครับ

ประเทศไทยใช้ระบบพี่สอนน้องมาตั้งแต่โรงเรียนแพทย์แห่งแรกคือมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ศิริราช จุฬา และเรื่อยๆมา ตั้งแต่ยังไม่มีคำ job description มันเหมือนกับมันเป็นอะไรที่อีกหน่อยน้องที่กำลังเรียนตามหลังเรามา กำลังจะออกมาช่วยเราทำงาน เผลอๆอาจจะได้ช่วยดูแลญาติพี่น้องของเราเองซะด้วยซ้ำในอนาคต ของพันนี้มันบอกล่วงหน้าไม่ได้ แต่เรา "ควร" จะทำอะไร ปฏิบัติอย่างไรกับน้องๆเหล่านี้ หรือผู้ร่วมงานในอนาคตเหล่านี้ดี?

ระบบ PBL ไม่ได้มีอะไร "ห้าม" ว่าจะ "หาข้อมูล" โดยวิธีใดวิธีหนึ่งไม่ได้ ในขณะเดียวกันการเรียนรู้จาก case ผู้ป่วยจริงๆไปพร้อมๆกันนั้น จะเป็น contextual learning ซึ่งตรงตาม concept ของ problem-based learning มากที่สุด ถามว่าทำกันมากน้อยแค่ไหน ไอ้ระบบพี่สอนน้องที่ว่านี้? เอาเป็นว่ามีมากมายหลายคู่ที่จากพี่-น้อง resident-student กลายเป็นสามีภรรยาไปก็เห็นอยู่

ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูงจึงได้บรรจุวิชาการสอนลงไปด้วย จากคำแนะนำของอาจารย์ทองจันทร์ ตอนที่ท่านยัง active มีชีวิตเมตตาสอนเราอยู่ จากประสบการณ์แพทยศาสตร์ศึกษาของท่านที่ยาวนาน เราน่าจะรับฟังคำแนะนำของครูแพทยืผู้อำนวยคุณูปการแห่งประโยชน์แก่นักเรียน นักศึกษา ประชาชนและประเทศมาช้านานอย่างท่าน

ก็เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆ ประกอบการคิด ตัดสินใจครับว่า ตกลงแล้วแพทย์ประจำบ้าน แพทย์ใช้ทุน ควรจะทำอย่างไรกับน้อง นศพ.



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-26 , Time : 18:28:09 , From IP : 58.147.119.43

ความคิดเห็นที่ : 16


   พี่ๆ med น่ารักทุกคนเลย พี่หยงน่ารัก ใจดี และสอนดีมากๆเลยค่ะ ขอบคุณพี่ทุกๆคนมากนะคะที่ช่วยสอนพวกเราบน ward

Posted by : นศพ ปี 4 , Date : 2006-02-26 , Time : 21:09:00 , From IP : 172.29.4.177

ความคิดเห็นที่ : 17


   ขอแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นนศพ.คนหนึ่งที่เคยผ่าน ward มาพอสมควร
เรื่องพี่สอนน้อง ไม่เคยทราบมาก่อนเหมือนกันว่าเคยมีการบรรจุไว้ใน job description ของแพทย์ใช้ทุนหรือไม่ แต่ตามความคิดของตน และที่เคยคุยกับเพื่อนๆ เชื่อแน่ค่ะว่า นศพ.ทุกคนอยากให้มีคนสอน มีคนคอยชี้แนะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากอ่านเอง แต่บางครั้งการอ่านเองในสิ่งที่ไม่เคยศึกษามาก่อน จะต้องใช้เวลานานในการทำความเข้าใจ ถ้ามีพี่ๆ มาช่วยพูดเป็น concept ให้ฟัง เวลาไปอ่านจะอ๋อขึ้นเยอะเลยนะคะ
และถ้าลองมาคิดๆ ดู ถ้าแพทย์ใช้ทุนไม่สอนน้องเลยและเพียงแต่ทำหน้าที่ตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็ไม่ผิดอะไรกับการเป็นนักศึกษาแพทย์อีกครั้ง หากพี่ๆ สอนน้อง เชื่อแน่ว่าสิ่งนั้นย่อมเอื้ออำนวยประโยชน์แก่ความรู้ของพี่ เหมือนที่เคยมีคนบอกว่า ยิ่งสอนคนอื่น คนสอนนั่นแหละจะยิ่งเก่งขึ้นและอาจจะได้ประโยชน์มากกว่าผู้ฟังเสียอีก เพราะการจะสอนผู้อื่นได้ ผู้สอนย่อมต้องแม่นยำพอควร และเมื่อสอนแล้วติดขัด หรือมีน้องถาม แล้วอาจดอบได้ไม่กระจ่าง จะได้กลับไปอ่านเพื่อเติมเต็มความรู้ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เหมือนที่แพทย์ใช้ทุน med ท่านหนึ่งเคยตอบคำถามน้องๆ ว่า "พี่เก่งจังค่ะ จำได้หมดเนี่ยได้ไงคะ" พี่คนนั้นก็ตอบมาว่า "ก็ตอนเรียน คำถามพวกนี้มีคนมาถาม มีคนมาสอนตั้งไม่รู้กี่เที่ยว แล้วพอพี่มาทำงาน ก็สอนน้องไปไม่รู้กี่เที่ยวแล้ว ขึ้นมากี่กองพี่ก็สอนเกือบทุกกอง จะจำไม่ได้ได้ยังไง" หลังจากนั้น หนูก็เลยรู้ซึ้งถึงประโยชน์ของการสอนผู้อื่นค่ะ
ไม่อยากให้พี่ๆ คิดว่าหน้าที่ของพี่คือแค่ดูแลคนไข้ แล้วอ่านหนังสือเพื่อสอบบอร์ดแล้วจบออกไปทำงานแค่นั้นนะคะ เพราะการที่พี่สอนน้องเนี่ย นอกจากพี่เองจะได้ประโยชน์(ตามความคิดของหนู) อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ยังจะทำให้พี่ๆ คนนั้นเป็นที่รักของน้อง ๆ แล้วคำชื่นชมจะบอกเล่ากันปากต่อปากนะคะ หนูอยากให้พี่ๆ ทุกคน เป็นที่รักของนศพ. นะคะ
ปล.ไม่ได้คิดว่าพี่ๆ ที่ไม่ได้สอนน้องเป็นพี่ที่ไม่ดีนะคะ เข้าใจค่ะว่างานของพี่ๆ โดยเฉพาะ med ยุ่งมากๆ แต่อย่างน้อยถ้ามีเวลาสักเล็กน้อย แค่วันละ 15-20 นาที อาจจะคุยกันถึง case ที่พี่และน้องๆ กำลังดูร่วมกันอยู่ในสาย เป็นแนวซักถาม แล้วพี่เพิ่มเติมในสิ่งที่น้องติดขัดก็ได้ค่ะ ทำอย่างนี้ทุกวันหรืออย่างน้อยวันเว้นวัน ผลัดเปลี่ยน นศพ.เจ้าของให้เป็นแกนหลักในการเล่าและ discuss case หรือ ถ้าพี่ๆ เกรงว่าอาจเสียเวลานาน จะลองเล่า concept ของ case เช่นหลักการ approach คร่าวๆ การ differential diagnosis และหลักการรักษาเบื้องต้นก็ได้ค่ะ แล้วอาจแนะนำหนังสือหรือแหล่งค้นคว้าที่ดีสำหรับเรื่องนั้นๆ ลองเสนอดูนะคะ
ว้า ว่าจะพูดเล็กน้อยเหมือนที่เกริ่นไว้ข้างต้น แต่ทำไปทำมา ยาวเหยียดเชียว ต้องขอโทษนะคะ หากทำให้พี่ๆ ท่านใดไม่พอใจ และขอบคุณมากๆ สำหรับพี่ๆ ที่เคยสอนหนูและเพื่อนๆ ทุกคน ขอให้พี่ๆ รับรู้ไว้นะคะ ว่าพวกเราดีใจเสมอ แม้ว่าอาจทำให้พี่ๆ ผิดหวังบ้าง เวลาที่สอนแล้วพวกเราจำไม่ได้ แหะๆ (แต่ยังจดอยู่นะคะ ไว้มีเวลาว่างจะเอาขึ้นมาทบทวนค่ะ)




Posted by : นศพ.ปี 5 , Date : 2006-02-26 , Time : 23:03:45 , From IP : 203.118.99.122

ความคิดเห็นที่ : 18


   เห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างต้นนะคะ รู้สึกเหมือนกันว่าอาจารย์และพี่ๆไม่ค่อยจะสอนอะไรสักเท่าไหร่ ชอบบอกให้พวกเราไปอ่านเองมากกว่า การที่เราเรียกร้องให้สอนก็ไม่ได้หมายความว่าเราขี้เกียจไม่อยากอ่านหนังสือเอง แต่การที่เราได้ฟัง ได้เห็น ได้ดู ได้หยิบจับ (ใช้ประสาทสัมผัส) หลายๆด้านนั้นทำให้เรารู้แจ้งดีกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว ได้มีโอกาสไป elective ที่ม.ช.ระหว่างที่เข้าช่วยในการผ่าตัด case หนึ่ง อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอนข้าพเจ้าตั้งแต่วิธีการดูเวผู้ป่วย การฉีดยาชา anatomy เทคนิคการหยิบจับเครื่องมือ และอื่นๆ ท้ายสุดท่านหันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า ถ้าให้หนังสือเล่มหนึ่งกับมีดผ่าตัดให้ข้าพเจ้า แล้วให้มาทำเองข้าพเจ้าจะทำได้ไหม อืม....เป็นคำถามที่ดีมากเลย

Posted by : อ่า... , Date : 2006-02-28 , Time : 14:27:26 , From IP : 210.246.150.30

ความคิดเห็นที่ : 19


    แล้ว ถ้าไม่มี resident หรือ แพทย์ใช้ทุน ให้มีแต่ นักศึกษาแพทย์ กับ staff เท่านั้น ดีมั๊ย

Posted by : จจ , Date : 2006-03-03 , Time : 17:26:38 , From IP : 203.188.53.31

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<