ความคิดเห็นทั้งหมด : 13

ชีวิตจริงเมื่อเรียนจบ


   จะตั้งกระทู้ใหม่ แต่เลือกกลุ่มไม่ถูก เอามาลงกลุ่มนักศึกษาละกัน

หลายๆวันมานี้ อ่านกระทู้เรื่องน้องปี 4 สอบตก health pro. block บ้าง กระทู้เรื่อง history of med block บ้าง

ก็เข้าใจนะครับว่านะครับว่าน้องกลัวว่าจะไม่มีความรู้กันเพียงพอ (ซึ่งมันก็จริง แต่ทางแก้มันไม่ใช่แค่เพิ่ม cardio block ให้อีก 3 อาทิตย์ดอก) อ้ะ เรื่องนั้น เดี๋ยวค่อยมาว่ากันละกัน พอดีมีเรื่องอยากให้อ่าน

เอามาจากไดอารีของพี่หมอคนนึง ซึ่งทำงานอยู่ทางเหนือ (ไม่ได้จบม.อ.นะ) เขียนเรื่องราวการทำงาน ที่ช่วงแรกๆนั้นพี่เขาบอกว่า เป็นคนที่ทุ่มเท อดทน ใจดี มีอุดมการณ์
แต่ปีกว่าๆผ่านไป ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยิ่งลดลงๆ

ลองอ่านกันดูแล้วกันนะครับ (ขออนุญาตเจ้าตัวเอามาลงที่นี่แล้วล่ะ)

I
I
I
V
V
V


Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 00:31:03 , From IP : 172.29.4.38

ความคิดเห็นที่ : 1


   วันนี้เป็นวันแรกที่ผมอยู่เวร หลังจากไม่ได้อยู่มาเป็นเวลาร่วมเดือน (สามารถที่จะไปเถลไถลที่นั่นที่นีได้มากมาย) วันนี้กะว่าจะ round (ดูคนไข้ในตอนเช้า) ซัก 30 นาทีก่อนไปออก PCU (สถานีอนามัย) แต่ปรากฏว่าเรื่องราวต่างๆค่อนข้างซับซ้อนจึงใช้เวลามากไปนิด

ออก PCU สายเลย คงโดนบ่นบ้าง แต่ช่างเถอะ ผมเองก็ไม่ได้อยากมาเท่าไหร่ (ยักไหล่ทำเป็นไม่สนซะงั้น)

รู้ไหมครับ ความใจดี 100 คะแนนเต็มเมื่อต้นปีนั้น ตอนนี้ลดลงเหลือไม่ถึง 10 ผมสอบตกแล้วล่ะครับ โดยเฉพาะวิชาที่ว่าด้วยความอดทน

ไว้จะเล่าให้ฟังวันหลัง

--------------------

ตอนบ่ายกลับไปดูเด็กน้อยแรกเกิดที่ ward ท่าทางจะ sepsis โทรศัพท์ไป consult staff ที่รพ.จังหวัด ได้ management มา จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย คุยกับแม่เด็กและญาติเสร็จสรรพ ตรวจคนไข้นิดหน่อยแล้วกลับบ้าน

เมื่อสักพักกลับไปดูเด็กใหม่อีกรอบ (คนไข้เด็กต้องหมั่นไปดูครับเพราะมีการเปลี่ยนแปลที่รวดเร็ว) ปรากฏว่าญาติและแม่เด็กวิตกกังวลมาก พยาบาลเข้าไป approach เขาก็บอกพยาบาลให้มาเล่าให้ผมฟังว่าหมอไม่เห็นพูดอะไรเลย

ให้มันได้ยังงี้ ตอนนี้ผมเฝ้ารองว่า เมื่อไหร่คนไข้จะขอไปรักษาที่รพ.จังหวัดเสียที ผมเบื่อคนไข้แบบนี้เต็มทีแล้ว

แต่เอาเถอะครับ ผมผิดเอง ที่อดทนไม่มากพอ ผมจะปรับปรุงตัวให้พฤติกรรมการของของผมดีขึ้น ทุกคนจะได้มีมีความสุข

พอใจแล้วใช่ไหมครับ ???

---------------------



Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 00:32:14 , From IP : 172.29.4.38

ความคิดเห็นที่ : 2


   เรื่องดีๆ

วันนี้ผมตื่นสาย เพราะว่าเมื่อคืนใส่ท่อช่วยหายใจให้คนไข้ไปสองอัน (สอง case นะไม่ใช่สองอันคนเดียว) ได้นอนตอนตีสี่กว่าๆ

ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากหรอก แต่ก็เป็นการพิสูจน์ว่า ความเฮี้ยนนั้นยังไม่หมดไปจากชีวิตผม ก็คือ tube หรือท่อช่วยหายใจเนี่ย เขาใส่กันสองสามเดือนครั้ง แต่ของผมสองสามวันครั้ง(ถ้าอยู่เวรนะ) ซึ่งถือว่า uncommon สำหรับโรงพยาบาลชุมชน

ก็โอเค ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากหรอก เพราะว่ามันเพิ่งต้นเวรเอง ต้องอยู่ไปเรื่อยๆจนถึงวันอังคารหน้าแน่ะ แต่ถ้าเหนื่อยมากกว่านี้ก็อาจจะมีหงุดหงิดบ้างนิดหน่อย

เมื่อเช้าผมไป round เด็กน้อยอายุ 4 วันที่สงสัยเป็น neonatal sepsis (การติดเชื้อในกระแสเลือดของเด็กแรกคลอด) ดีขึ้นแล้ว เพราะเมื่อวานอัดยา + ทำโน่นทำนี่เยอะมาก (ไข้ลง active ดีกว่าเดิม ไม่โยเย Jx ลดลง MB จาก 20 เหลือ 15 และอื่นๆ) คนไข้ COPD ของผมก็ดีขึ้น

case ที่ refer ไปเมื่อวานถึงจะแย่ที่ ER แต่ก็ resusitate จนขึ้น ไม่ไปตายระหว่างทาง ตอนนี้ก็รอที่รพ.จังหวัดรักษา แล้วก็รอคนไข้กลับมา

รู้สึกดีจัง

หลายๆครั้งที่ผมท้อ เหนื่อย หมดกำลังใจกับอาชีพนี้ ไม่รู้ทำไปทำไม แต่พอเราได้ช่วยใครสักคนนึงจนหายจากความเจ็บป่วยหรือรอดตายได้ก็เป็นกำลังใจให้สามารถทำงานได้ต่อไป

เป็นความสุขเล็กๆที่แอบเก็บไว้ภูมิใจเงียบๆ

ETT

วันนี้หลังจาก Up Di เสร็จก็ถูกอันเชิญ(ไม่ได้จุดธูปเรียกนะ ใช้ตามทางโทรศัพท์) ให้ไปดูคนข้ COPD ที่เหนื่อยมาก อีกแล้วครับท่าน

มันจะเหลือเหรอ tube อันที่สามก็ถูกยัดลงไป แล้วก็ส่งตัวไป

มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย เครื่องมือไม่พร้อม แต่นั้นยังพอยอมรับได้ เพราแก้ปัญหาไม่ยาก ที่แย่คือไม่สามารถส่งคนไปรพ.ศูนย์อย่างรวดเร็วได้เนื่องจากไม่มีคนขับรถ !!!

สุดท้ายก็แก้ปัญหาโดยขอรถจากรพ.ข้างๆมา โชคดีที่คนไข้ไม่แย่ขนาดรอแทบไม่ได้แบบเมื่อคืน แต่ผมหวังว่าทุกฝ่ายคงเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหา

ไปออก OPD ออีกเล็กน้อย แอบงีบตอนไม่มีคนไข้ พอเลิกแลวก็กลับบ้านว่าจะหลับซะหน่อยแต่คนงานเปิดวิทยุดังมาก

ลงไปว้าก 1 ที หรี่เสียงวิทยุลงไปได้ ตอนแรกบอกดีๆไม่ได้ยิน ต้องให้ตะโกน แต่ก็นะ คนมันง่วง+เหนื่อยจะไม่ให้หงุดหงิดเลยมันก็แปลก

เฮ้อ ผมง่วงจะตายอยู่แล้ว ขอผมได้พักผ่อนบ้าง ความอดทนของผมคงไม่น้อยเกินไปหรอกนะ ก็ขอโทษด้วยก็แล้วกัน

อีก 7 วัน ถึงจะหมดช่วงอยู่เวรของผม เหนื่อยหน่อย แต่เอาเถอะครับ เพื่อเงิน ผมจะอยู่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ



Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 00:33:23 , From IP : 172.29.4.38

ความคิดเห็นที่ : 3


   Anxiety neurosis : AN หมายถึง ความเจ็บป่วยทางจิตใจที่เกิดจากความวิตกกังวล คือไม่ได้มีโรคทางกายจริงๆแต่ผู้ป่วยจะบ่นเกี่ยวกับอาการทางกายเยอะมาก ปัจจุบันเชื่อว่าเป็นอาการเริ่มต้นของ mood disorder

สรุปว่าไม่ด้ป่วยแต่คิดว่าตัวเองป่วย สารพัดจะหา chief complaint มาให้ตัวเอง มักเจอในคนไข้ที่อยู่คนเดียว ไม่มีใครดูแล หรือมีบุคลิกภาพที่ต้องการการพึ่งพิง ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย

หลังจากที่เมื่อวานใส่ tube ไปสามอัน ตอนกลางคืนถูกตามสามครั้งด้วยเรื่องคุณป้าอายุ 36 ปีจุกแน่นในลำคอ อ่อนเพลียไม่มีแรง (ประวัติสะเปะสะปะมากๆ) ตรวจร่างกายปกติดี กดเจ็บเล็กน้อยบริเวณลิ้นปี่

อาการแบบนี้เข้าได้กับ GERD หรือ Gastroesophageal reflux คือ ภาวะกรดในกระเพาะอาหารท้นออกมาปริเวณลำคอ ว่าง่ายๆคือเป็นโรคกระเพาะจำพวกหนึ่ง

ดูหน้าแล้วท่าทงวิตกกังวลมากๆ แต่ก็ได้รักษาโรคทางกายก่อน โดยได้อธิบายว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ต้องรับประทานยาประมาน 3-4 วันจะดีขึ้นและให้ผู้ป่วยกลับบ้าน

แล้วผมก้กลับบ้าน เนื่องจากเมื่อวานไม่ได้นอนดีๆเลย ผมต้องการต้องการพักผ่อนบ้าง

หลับไปได้ซักครึ่งชั่วโมง ก็โดนตามอีกตอนตีสาม เพราะคนไข้ไม่ยอมกลับบ้าน จะขอนอนโรงพยาบาล

กลับไปอีกครั้ง บอกคนไข้ว่า ไม่ต้องนอนหรอก เพราะหมอดูแล้วไม่มีความจำเป็น และก็ได้นัดมาตรวจซ้ำในสองสามวันถัดไปแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นการรักษาที่เหมาะสมที่สุดแล้วภายใต้สถานการณ์นี้

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องมาอดนอนเพราะคนไข้แบบนี้ด้วย จะไม่ให้ผมหงุดหงิดได้ยังไง หรือความอดทนของผมน้อยเกินไป ???

ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคนไข้องผมเหนื่อยมากต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือผป่วยหนักมากขนาดผมต้องนอนเฝ้าทั้งคืน แต่ขอร้อง อย่ากวนใจผมด้วยเรื่องบ้าๆอย่างงี้ได้มั้ย ผมไม่ว่าอะไรถ้าคุณจะไม่รู้ เพราะผมเองยังต้องเรียนตั้ง 6 ปี แต่เมื่อพูดแล้วก็ควรจะฟังกันบ้าง ไม่งั้นก้ไม่ต้องมาหาหมอ โรงพยาบาลนะครับไม่ใช่โรงแรม จะได้มาขอนอนกันง่ายๆ

ถ้าเอกชนก็ว่าไปอย่าง เขามีหมอ มีพยาบาลมากมาย แต่นี่มันไม่ใช่ คนไข้มากขึ้น ภาระงานมากขึ้น คนที่ควรจะไรบการดูแลก็ได้รับการดูแลลดลงตามส่วน ถ้าไม่จำเป็นก้อย่านอนเลยครับ สงสารคนไข้คนอื่นบ้าง นอนบ่อยๆ ติดเชื้อในโรงพยาบาลขึ้นมาก็จะแย่ ติดเชื้อดุๆดื้อยารักาไม่หาย เป็นปอดบวมตาย ไม่กลัวกันบ้างหรือ ???

ผมเกลียดที่สุดเลย คนที่พูดไม่รู้เรื่องเนี่ย ช่วยทำให้ผมเป็นคนที่พอใจกับความไร้เหตุผลและไม่ตรงไปตรงมาทีเถอะครับ ผมเบื่อความงี่เง่าของมนุษย์บางคนเต็มทน

วันนี้ออก OPD และ round ward ด้วยความหงุดหงิด เพราะต้องมาเหนื่อยกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง บ่ายๆโดนตามอีกด้วยเรื่องไม่สามารถแทง IV (เด็กอายุ 5 วัน)ได้ แต่ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ส่งตัวไปละกัน (เพื่อแทง IV เนี่ยนะ แต่ก็เอาเถอะ หมอยังแทงไม่ได้เลย)

เอากับเขาสิ

ผมว่าผมไปของานที่ NICU (หน่วยเวชบำบัดวิกฤติทารกแรกคลอด) ดีกว่า ผมจะได้แทง IV เก่งๆบ้าง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหน้าที่ของพยาบาลและเป็น professional skill ที่เขาจะต้องทำได้และเก่งกว่าหมออย่างผม แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็คงต้องเป็นคนรับผิดชอบ เพราะถ้าเขาทำไม่ได้ ผมนั่นแหละ จะต้องเป็นคนจัดการ

ไม่โทษใครเลย โทษตัวเองที่อดทนไม่มากพอ เป็นคนดีไม่พอ ใจไม่เย็นพอ แทงน้ำเกลือไม่เก่งพอ รักษาคนไข้ไม่เก่งพอ ความสามารถในการบริหารจัดการไม่มากพอ

ต่อไปผมจะพยายามให้มากกว่านี้

ผมผิดเองครับ

ด้วยรักและหวัง

ผมเลือกเป็นหมอเพราะผมหวังว่าผมจะได้ช่วยเหลือคนไข้ ผมจบมาด้วยปณิธานอันเต็มเปี่ยม ในวันที่เลือกสถานที่ใช้ทุน ผมได้อ่านหนังสือด้วยรักและหวัง เขาพูดถึงความสวยงามของชีวิตชนบทและน้ำจิตน้ำใจอันดีงามที่หาไม่ได้ในเมืองหลวง ความสุขที่เกิดจากการอุทิศให้และความซาบซึ้งใจที่มีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทุ่มเท

แต่หนังสือนั้นคงจะเก่าไปสักหน่อย และคนเขียนบัดนี้ก็ย้ายเข้าเมืองกันไปหมดแล้ว "รักและหวัง" ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ภาพชนบทที่บิดเบือน ความต้องการที่มากมายภายให้ข้อจำกัด จะหารักและหวังได้จากที่ไหน

อุดมการณ์นั้นสวยงาม แต่เป็นสิ่งที่ยากจะรักษาไว้ได้

หลายๆครั้งที่ผมมานึกน้อนดูแลพบว่า ความดีงามของผมกำลังสั่นคลอน ผมมองว่าการที่กระทรวงบังคับให้หมออกใทนที่ชนบทเพื่อเพิ่มประสบการณ์เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อจะกักคนไว้ทำงาน

ใช้ทุนหมดแล้ว ก็ต้องหาทุนอีก เพื่อจะได้ไปเรียนต่อ ไม่ทีทุน โอกาสที่อาจารย์จะรับก็น้อย ที่เรียนดีๆก็มีโอกาสได้น้อยดอกาสในการทำงานต่อไปก็น้อยลงอีก ถ้าไม่ได้จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงหรือมี connection อย่างที่ควรจะมี (ถ้าใครไม่เห็นด้วยขอให้ลองมาทำงานดูครับ แล้วจะรู้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงน่ะคืออะไร)

ก็กดขี่ข่มเหงกันไป ยิ่งไม่มีเส้นสาย ความก้าวหน้ายิ่งยากขึ้นไปอีก เรียบจบแล้ว ก้กลับมาจับเจ้าอยู่ในรพ.รัฐ ถ้าลาออกก้กลายเป็นว่าชื่อเสียงไม่ดี ไม่อดทน ไม่ทำเพื่อชาติ ฯลฯ ไม่มีใครอยากรับเข้าทำงาน

ผมเองไม่อยากตามหารักและหวังในชนบทอีกต่อไปแล้ว เลือด เนื้อและจิตวิญญาณของผมค่อยๆถูกใช้ไปจนแห้งเหือด ผมต้องรับผิดชอบอะไรมากมายในพื้นที่อันกันดารแห่งนี้โดยที่ไม่มีความพร้อม เป็นหนังหน้าไฟให้กับระบบสาธารณสุขทุกวันนี้ บัดซบจริงๆ

ผมเหนื่อยเหลือเกิน

แต่ผมจะทำอะไรได้ ยังไงก็ต้องทน เพื่อวันพรุ่งนี้ที่จะเป็นวันของผมบ้าง

เพื่อนขผงผมแก่กว่าผมสองสามปี ตอนนี้เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนแล้ว เขาก็มีความสุขดี ได้ทำอะไรที่อยากทำ ผมว่าจะศึกษาดูบ้าง ว่าทำอย่างไรเขาถึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้

เพื่อนของผมทำงานมาด้วยกัน แป๊บเดียวมีคนฝากให้ ได้ทุน ได้ไปเรียนต่ออย่างง่ายดาย ส่วนตัวผมต้องไปวิ่งเต้นอะไรอีกเยอะแยะ

ฟ้าสร้างคนเรามาไม่เท่ากัน อย่างไรก้ตาม ผมก็มีเส้นทางของผมที่ต้องฝ่าฟันต่อไป

ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ผมก้เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าจะได้อะไรซักอย่าง มันต้องมาจากความพยายามของตัวผมเอง

แต่ผมก็ใฝ่ฝันนะ ว่าวันนึง ผมจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนมาก และได้ทำอะไรที่อยากจะทำทุกๆวัน

เก็บซ่อน "รักและหวัง" ของผมเอาไว้ในใจเงียบๆ



Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 00:34:08 , From IP : 172.29.4.38

ความคิดเห็นที่ : 4


   เมื่อคืนหลับสบายตลอดคืน โดนตามเพียงเล็กน้อย คุณป้า AN กลับมาแล้ว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามี organic cause จริงๆ แต่สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วก็คือตัดสินใจไปแล้ว รอดุวันที่นัดมา ว่าจะมีอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

เช้านี้ตื่นแต่เข้า เพราะคนไข้ COPD ที่ผมใส่ tube refer ไป นอน 1 วัน off tubeว่งกลับมา ผมเห็นคนไข้ดีฟังปอดแล้วปกติ ก้เลยให้กลับบ้านไป

เช้านี้คนไข้กลับมาอีกด้วยเรื่องหายใจเหนื่อย พร้องกับเสียงซุบซิบๆว่าทำไมไม่ให้คนไข้นอนโรงพยาบาลเมื่อวาน

คำถามคือ ถ้าให้นอนแล้วจะป้องกัน exacerbation (หมายถึง อาการหอบเหนื่อยที่กำเริบในผู้ป่วยถงลมโป่งพองหรือ COPD) ได้หรือไม่

คำตอบคือไม่ได้หรอกครับ

เพราะธรรมชาติของโรคนี้ เมื่อมี exacerbation แล้ว ปอดจะ recover ในเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หมายความว่าภายใน 6 สัปดาห์นี้ คนไข้ยังจะเหนื่อยมาอีกได้

การป้องกัน exacerbation ของผู้ป่วย COPD นี้ ที่ได้ผล จะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน

1.ในเรื่องของยาคือต้องใช้ LABA อาจจะร่วมกับ inhale corticostearoid ซึ่งวิจัยออกมาแล้วว่าได้ผลในการลด exacerbation

แต่ยาตัวนี้ไม่มีในโรงพยาบาล เคยเอาเข้าที่ประชุมแล้ว เขาบอกว่าต้องทำเรื่องเสนอปีหน้า และถ้ารพ.จังหวัดไม่เล่นด้วยหรือยาแพงเกินไปประมูลไม่ผ่าน ก็ไม่สามารถนำยามาใช้ได้

โรงพยาบาลมีแต่ theophyline, aminophyline ซึ่ง therapeutic range แคบมาก หมายความว่าใช้ยากแล้วไม่ค่อยได้ผล

แล้วจะให้ผมทำยังไง

2.สาเหตุหลักของ COPD exacerbation คือ การติดเชื้อในทางเดินหายใจ ซึ่งส่วนหนึ่งป้องกันได้จากการฉีด vaccine

เพราะฉะนั้น vacination และ eary infectious control จึงเป็นสิ่งจำเป็น แล้วมันจะเป็นไปได้มั้ย vaccine ในรพ.รัฐ ฝันไปเถอะ

3.อีกอันที่ช่วยได้คือ cardiopulmonary rehabiliation program(หมายถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดและหัวใจในผุ้ป่วยที่มีอาการเหนื่อยจากโรคเรื้อรังของปอดหรือหัวใจ) รวมไปถึง breathing excercise ต่างๆ

เป็นไปได้มั้ย ไม่ได้ เพราะมันต้องใช้อุปกรณ์และบุคลากรหลากหลาย แค่ spirometer ยังหาไม่ได้ นักกายภาพไม่มี เอาคนอื่นไปทำได้มั้ย ได้ แต่ว่า แค่นี้คนก็ขาดมากอยุ่แล้ว

ที่ทำได้ดีอยู่แล้วคือ heath education เรื่องการสอนพ่นยา ผมว่าเขาสอนดีมากเลยนะ แต่คนไข้มี attensional deficit เนื่องจากความชรา หรือระดับการศึกษาแบบนี้ หวังผลเลิศคงไม่ได้

อีกอย่าง สอนพ่นดีแค่ไหน แต่ยาพ่นมันห่วย ก็แค่นั้น

มองแล้ว hopeless ไปทุกๆทาง

แล้วก้มาบอกว่า ต้องป้องกัน excacerbation นะ ยังงั้นยังงี้ แล้วก็ไปทำอะไรกันก็ไม่รู้ ไม่ได้ดูข้อมูลทางวิชาการ มันก็ไม่ได้ผล

เรื่องแบบนี้ หมอตัวเล็กๆอย่างผม ไม่สามารถทำอะไรได้หรอกครับ ไอ้หน้าที่อำนวยสิ่งต่างๆทั้งคน เงิน ของน่ะ มันเป็นหน้าที่ของใครกัน


Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 00:35:53 , From IP : 172.29.4.38

ความคิดเห็นที่ : 5


   เมื่อวานนี้มีคนไข้ Chronic Pancreatitis มาโรงพยาบาล

มันคืออะไรเหรอ ???

Chronic Pancreatitis แปลว่า โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง

เรามาพื้นฐานกันก่อนดีกว่าไหมครับ ตับอ่อนเป็นอวัยวะอย่างหนึ่งในช่องท้อง ทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อยอาหารต่างๆที่เกินเข้าไป โดยเฉพาะอาหารประเภทไขมันกับแป้ง (basic มากๆจนผมเองก็เกือบๆจะลืมไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ)

มันก็ทำหน้าที่ของมันไป กินอะไรเข้าไปก้ผลิตน้ำย่อยออกมา จนวันนึงมีอะไรบางอย่างที่ไปทำร้ายตับอ่อน ที่พบได้บ่อยก็คือการดื่มสุราเป็นปริมาณมากเป็นประจำ (อีกสาเหตุคือนิ่วในทางเดินน้ำดีแต่ว่าพบได้น้อยกว่า)

ตับอ่อนน้อยๆที่น่าสงสารก็จะบาดเจ็บ ตามที่หมอเรียกว่าตับอ่อนอักเสบ น้ำย่อยอะไรต่างๆที่เคยอยู่ในตัวอ่อนก็จะรั่วออกมา ย่อยทุกสิ่งทุกอย่างในช่องท้อง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องมาก

ถ้าเป็นครั้งแรกก็เรียกว่า ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (acute pancreatitis) เมื่อวินิจฉัยได้แล้ว ก็จับคนไข้อดข้าว เพื่อให้ตับอ่อนทำงานน้อยลง จะได้ไม่ผลอตน้ำย่อยออกมาย่อยอวัยวะข้างเคียงจนวินาศสันตโรไปหมด

บางคนก็โชคดี คือหายขาด (แต่ต้องเลิกดื่มเหล้านะครับ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นอีก)

แต่ถ้าโชคร้าย โรคจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งมีหลายแบบและมีความรุนแรงต่างๆกัน สำหรับคนไข้ของผมคนนี้ ได้กลายเป็น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังหรือ chronic pancreatitis ไปเป็นที่เรียบร้อย

มันเป็นยังไงน่ะเหรอ ??? ก็คือตับอ่อนมันจะอักเสบตลอดเวลา (คืออักเสบเรื้อรัง แปลได้กำปั้นทุบดินมากๆ) ก็จะปวดท้องตลอดเวลา

ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากให้ยาแก้ปวด ตอนนี้คนไข้ของผมติด pethidine ไปเป็นที่เรียบร้อย และไม่สามารถให้คนไข้กลับบ้านได้ เพราะว่าถ้าไม่ได้ยาแก้ปวดแรงๆ (คือ pethidine) คนไข้ก็จะปวดท้องอยุ่เรื่อยๆ ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา



คนไข้เองก็ไม่ได้ดูแลตัวเองอะไรดีมากมาย งานการไม่มี ญาติก็ไม่มี ตอนนี้ผมยังคิดไม่ตกเลย ว่าจะทำอย่างไร

ถึงแม้จะไม่ค่อยพบ แต่ถ้าเป็นแล้ว morbid มาก ยิ่ง low socioeconomic class แบบนี้ จะ require treatment หรูหราไฮโซยิ่งเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นข้อจำกัดทั้งจากตัวโรคเองและสถานภาพของรพช.และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆที่ทำให้คนไข้กลุ่มนี้ hopeless และทำให้เกิดความอึดอัดในการดูแลเป็นอย่างมาก (ปัญหาเดิมๆของรพช.คือถูกบีบบังคับให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรณือย่างจำกัดแต่เล็งผลเลิศมาตรฐานอเมริกา บัดซบอีกแล้วครับท่าน ฮ่าๆๆๆๆๆ)

case นี้เคยส่งไปรพ.ที่ใหญ่กว่าแล้ว ก็วินิจฉัยมา แล้วบอกให้มารักษาตามอาการในโรงพยาบาลชุมชน ดดยไม่มี long term management ใดๆทั้งสิ้น ปล่อยให้ GP ความรู้น้อยอย่างผมต้องพยายาม manage case เพื่อให้คนไข้สามารถกลับบ้านได้

ก็ค่อยพยายามดูอีกที ผมว่าผมจะไปเป็น specialist บ้าง แค่ refer กลับมาก็จบแล้ว ผมคิดว่จะให้คนไข้นอนรพ.ฉีดยาไปเรื่อยๆจนกว่าคนไข้จะเบื่อ เพราะตัวผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน แต่บางทีถ้าเรามียาแก้ปวดแบบกินดีๆ หรือมีหมอ ดมยาให้ consult เรื่อง pain management น่าจะดีไม่น้อย

อย่ามาอยู่เลยครับ บ้านนอก อะไรก็ทำกันไปตามมีตามเกิด สงสารทั้งตัวเอง สงสารทั้งคนไข้

ก็เก็บมาเตือนใจว่า ไม่เป็น chronic pancreatitis ดีที่สุด เหล้าก็เพลาๆลงบ้าง ผมไม่อยากติด pethidine หรือต้องกินยาอะไรก็ตามไปตลอดชีวิต

เลิกพูดดีกว่า



Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 00:36:28 , From IP : 172.29.4.38

ความคิดเห็นที่ : 6


   ของอาทิตย์นี้ก็มีเท่านี้ล่ะครับ

ขอเชิญร่วม discuss กันตามสบายเลยครับ


Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 00:39:24 , From IP : 172.29.4.38

ความคิดเห็นที่ : 7


   ชีวิตจริง เศร้ากว่าในมหาวิทยาลัยเยอะครับ บางอย่างมันอยู่เหนือการควบคุม มีกฏหมายและมีสังคม เข้ามาร่วมตัดสินใจมากมาย สู้ต่อไปน่ะครับ นศพ.

Posted by : สมพร , E-mail : (sompon@hotmail.com) ,
Date : 2006-02-25 , Time : 10:10:30 , From IP : 61.7.156.105


ความคิดเห็นที่ : 8


   รับทราบ!!!

Posted by : DogTor , Date : 2006-02-25 , Time : 11:08:03 , From IP : 172.29.4.83

ความคิดเห็นที่ : 9


   ขอให้รัฐบาลชุดหน้า จัดงบมาด้านสาธารณสุขเยอะๆหน่อยเถ้อ
พออ่านๆดูแล้ว ใจหนึ่งมันก็เหมือนกับว่ายิ่งถูก"ดึงดูด"ให้อยากไปขายอุดมการณ์อยู่ชนบทมากขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็เริ่มหวาดๆเหมือนกัน เกิดไปแล้ว มันมีอุปสรรคมากมายเกินกว่าที่คิดไว้ทำให้หมดไฟเสียก่อนนี่สิ เฮ่อ เศร้า
คิดไปๆแล้ว การเร่งผลิตแพทย์มันไม่ช่ทางออกเลยนะ น่าจะเอาตังที่ไปปั๊มแพทย์เพิ่มมาลงทุนปรับปรุงอะไรๆดีกว่า การที่จะให้แพทย์มากจนล้นในเมืองออกไปชนบทมันไม่น่าจะเหมาะสมนะ น่าจะหาทางทำให้แพทย์ในเมืองออกไปเองมากกว่า


Posted by : -_- , Date : 2006-02-25 , Time : 19:43:29 , From IP : 172.29.4.69

ความคิดเห็นที่ : 10


   สถานการณ์แพทย์แผนปัจจุบันที่มีอยู่น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรนั้นเป็นมาตลอด (เรียกได้ว่าตั้งแต่สมัยหมอบรัดเลย์ซะล่ะมั้ง)
ชาวบ้านเขาก็อยู่กันมาได้ด้วยวัฒนธรรมความรู้แพทย์ประจำชุมชน ซึ่งอาจจะเป็นหมอบ้าน หมอนวด หมอกระดูก หรือตำรับตำรา ความเชื่อที่สืบต่อกันมา และเมื่อยุคโลกาภิวัฒน์เข้ามาถึง ทั้งวัฒนธรรมเดิมที่เป็นอยู่ ก็ผสมปนเปกับสิ่งใหม่ๆ ค่านิยมใหม่ๆ และความเชื่อว่าแพทย์แผนตะวันตก มีความทันสมัยกว่า สิ่งเหล่านี้หลอมรวมกันกลายเป็นวัฒนธรรมชุมชนแบบใหม่ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

เป้าหมายจึงไม่น่าใช่การผลิตแพทย์เพิ่มมากๆ เพื่อให้อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรนั้นลดลงเพียงอย่างเดียว ซึ่งภายใน 10 ปีนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ตามเป้าหรือไม่ (อาจจะได้ก็ได้ ถ้ามีโรงเรียนแพทย์กันทุกจังหวัด)

แต่นั่นรวมถึงการให้แพทย์ที่จบทำงานออกไปนั้น มีความสามารถที่ทำงานร่วมกับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิผล มีความยืดหยุ่น และทำงานได้อย่างมีความสุขและมีความหวัง โดยไม่รู้สึกขัดแย้งว่าทำไม เมื่ออยู่ในรพ.ม.อ. เป็นอย่างนึง แต่พอออกมาอยู่ข้างนอก จึงกลายเป็นอีกโลกหนึ่งไปได้ (ไฟก็เลยมอด...เพราะสายไฟยาวไม่ถึง)

มีอะไรบ้างในช่วงชีวิตปี 1-6 ที่ได้เสริมสร้างตรงจุดนี้แก่พวกเรา (นศพ.)

health pro. and history med block (commed & fammed ก็ด้วย) นั้น ที่ทางคณะให้มา เป็นเพียงแค่เพียงชิมลางๆ เอาลิ้นแตะๆ เท่านั้น มันก็เหมือนที่พวกเราว่าเรียน med เรียนศัลย์กันแค่ required basil skill และ knowledge เท่านั้น

ผมอาจจะเรียบเรียงความคิดยังไม่ถูกนัก เพราะมันยังไม่ตกตะกอนดีทีเดียว
เอาเป็นว่าในกระทู้นี้ อย่าเพิ่งโทษรัฐบาลหรือนโยบายของชาติแล้วกัน มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาถกกัน เพราะผมอยากให้พวกเรามองดูศักยภาพของตัวเองก่อน

(ไปล่ะ มีธุระด่วน)


Posted by : ArLim , Date : 2006-02-25 , Time : 20:24:38 , From IP : 210-86-223-221.stati

ความคิดเห็นที่ : 11


   เห็นใจน่ะ ขอให้เข้มแข็ง และมั่นคงแน่วแน่ในการดำเนินชีวิตในทางที่ถูก เป็นกำลังใจให้ คนเราท้อกันได้ทั้งนั้นแหล่ะ แต่พยายามอย่าถอยห่างที่จะทำสิ่งดีๆ และอย่ากดดันตัวเองมากไป หากเข้าใจทางสายกลาง หวังไว้ว่าอีกไม่นานคงจะปรับตัวปรับใจได้น่ะจ๊ะ

Posted by : เพื่อนร่วมโลก , Date : 2006-02-26 , Time : 04:33:54 , From IP : 172.29.1.124

ความคิดเห็นที่ : 12


    ถึงแม้เราจะไม่ได้เรียนแพทย์ แต่เราก็อยากเป็นกำลังใจให้แพทย์ทุกคนนะ และเราก็เข้าใจความรู้สึกของพวกคุณดีในฐานะที่เราก็ต้องใช้วิชาชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชนเหมือนๆกันกับพวกคุณ
แต่เราอยากให้คุณคิดใหม่ว่า...คนไข้ของคุณอ่ะ เค้าทุกข์ เค้าเจ็บปวด เค้าไม่สบายทั้งทางกายและทางใจมากกว่าความรู้สึกที่คุณกำลังเป็นอยู่อีกหลายเท่านะ พวกเค้ากำลังรอคุณอยู่ บางครั้งปัจจัยภายนอกมันอาจจะทำให้คุณเหนื่อย.......แต่สิ่งที่สำคัญคือใจคุณต้องสู้ เราจะเป็นกำลังใจให้พวกคุณในฐานะที่เรามีพระบิดาคนเดียวกันไง
เราก็เพิ่งจบจาก ม.อ.เมื่อปีนี้เอง และมันก็ทำให้เราได้รู้ว่า โลกภายนอกอ่ะมันไม่ได้อบอุ่นเหมือนกับตอนที่อยู่ ม.อ.เลยจริงๆ.....


Posted by : หมอความ , E-mail : (love_laws@hotmail.com) ,
Date : 2006-07-12 , Time : 17:42:55 , From IP : 61-90-192-134.static


ความคิดเห็นที่ : 13


   COPD คือ>>>
IV คือ>>>
CXR คือ>>>
SJS คือ>>>
SLE คือ>>>>
งงจังเลยค่ะว่าวันเป็นอารัยกันบ้าง


Posted by : yui , E-mail : (-) ,
Date : 2006-12-16 , Time : 08:09:43 , From IP : 203.113.76.11


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.012 seconds. <<<<<