ความคิดเห็นทั้งหมด : 12

Debate XCI: ทำตามกฏ หรือทำตามหลักการ


   อยู่ในสังคมในปัจจุบัน ดูจะไม่เป็นเรื่องธรรมดาๆหรือเรื่องง่ายๆอีกต่อไป มองโลกในแง่ดีการศึกษาของไทยถ้าวัดจากระดับของประเด็นที่สภากาแฟหัวมุมถนนต่างๆถกกัน ถ้า general topic คือการซุกหุ้น ผลประโยชน์ทับซ้อน การเปิด nominee ข้ามชาติ ผมว่าก็ไม่เลวทีเดียว ขอเพียงที่ถกกันนั้นใช้ข้อมูล เหตุผล และวิเคราะห์

ที่เป็นกังวล และอยากจะเปิดอภิปรายขอการแสดงความเห็น ตามหัวข้อ "ทำตามกฏ หรือทำตามหลักการ" นั้น ส่วนหนึ่งเพราะผลกระทบต่องานที่ทำอยู่คือครูและแพทย์ กับอีกส่วนเพราะผลต่อสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่คือสังคม

Hierarchy ของกฏนั้น น่าจะเรียงกันมาอย่างนี้

ปรัชญา (Philosophy)
-------จริยธรรม (Ethics/Morality)
-------------กฏหมาย (Laws)
-----------------กฎข้อบังคับองค์กร (Rules)
-----------------------แนวทางปฏิบัติ (Guidelines)

เมื่อไหร่ก็ตามที่ order ต่ำๆเขียนไว้ไม่ชัดเจน ต้องการตีความ ก็ให้ย้อนกลับไปตรวจสอบว่ามันยัง align กับ order ที่สูงกว่าอยู่รึเปล่า การย้อนกลับไปตรวจทานนี้(ควรจะ)เกิดขึ้นบ่อย เพราะตั้งแต่ระดับกฏหมายลงมา มันเป็นการใช้ "ภาษาเขียน" ซึ่งมีข้อจำกัดในการสื่อ ในการตีความ ในการนำไปใช้อยู่เสมอ ถ้าเราหมกมุ่นมากๆกับ lower orders เขียนอะไรต่อมิอะไรออกมามากมาย บางทีมันสามารถย้อนไปตีหรือแม้กระทั่ง "สวนกระแส" (anti-spirit) ของ higher orders ได้

เช่น "ถ้า" เกิดเขียน guideline ว่า เพื่อความมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ป่วย "ต้อง" ได้รับการตรวจและดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชียวชาญเฉพาะสาขา มันเกิดช่องโหว่ ช่องตีความได้ เช่น หมอศัลย์ที่ ER อาจจะไม่ต้องไปดูคนไข้ pneumonia มา หมออายุรกรรมอาจจะไปต้องไปดูผป.ขาหักนอนร้องโอดโอยอยู่ หมอสูติก็เมินคนไข้ผู้ชายได้ 100% เพื่อที่จะ "รอ" ให้แพทยฺผู้เชี่ยวชาญมารักษา พอมีปัญหาเกิด บางคนก็จะบอกว่าให้เขียนกฏใหม่ เขียน guideline ใหม่ แต่เราสามารถตรวจสอบสิ่งที่เราตีความง่ายนิดเดียวโดยการมองย้อนไปที่ higher order ของเรา เอาระดับจริยธรรม ปรัชญามา match ดูซิว่ามันยังครอบคลุมอยู่หรือไม่ ปรัชญาการแพทย์มีบอกตรงไหนไหมว่าแพทย์พึงไม่ดูคนไข้ ไม่ช่วยผู้ที่กำลังทุกข์ทรมาน ฉะนั้นการเพิกเฉยไม่ดูแลก็ไม่ตรงกับปรัชญา จริงๆตรงนี้ย้อนไปถึงแค่กฏหมายก็พอ กฏหมายบอกให้แพทย์พึงให้การรักษา "ตามบริบท" ถ้าไม่ทำ ก็ผิดไปตั้งแต่ระดับนี้

ปัจจุบันมันเริ่มสับสนมากขึ้น เพราะการหมกมุ่นอยู่ใน lower levels ของกฏ ของระเบียบ กฏหมายนี่แหละตัวดี ตัวอย่างผลกระทบที่ชัดเจนต้องไปดูสังคมอย่างอเมริกา มี Jokes มากมาย (ส่วนใหญ่จะ black humour) ที่เกี่ยวกับ lawyers และ how evils they can be พวก Mobsters ที่เคยใช้ปืนกลถล่มกันนั้นล้าสมัยไปหมดแล้ว พวกนี้จ้างนักกฏหมายมาควบคุมดูแลทำให้ธุรกิจของเขาถูกกฏหมายซะก่อนก็หมดเรื่อง มีหนังสองสามเรื่อง เช่น The Firm ที่ Tom Cruise แสดง หรือ Devil Advocate ที่ อัล ปาชิโน กับคีนู รีฟแสดง แสดงออกถึง "ราก" ลึกที่นักกฏหมายที่เป็นผู้เชี่ยวชาญนั้น สามารถจะ manipulate อะไรในสังคมได้มากเพียงไร

เมือไหร่ก็ตามที่นักกฏหมายระดับแนวหน้าออกมาพูดว่าวันนี้เราจะมาพูดเรื่องถูกหรือผิดกฏหมาย ไม่ได้มาพูดเรื่องจริยธรรม ก็จะคล้ายๆกับที่หมอจะออกมาพูดเรื่องวันนี้เราจะมาพูดเรื่อง Doctor"s benefit ไม่ขอพูดเรื่องประโยชน์ของผู้ป่วยนั้นเลย คือขอ detach backbone หรือ "จิตวิญญาณ" ของวิชาชีพ ของสิ่งที่เราเชื่อมาแต่บรรพบุรุษออกไป

มันถึงเริ่มมีนายบ่อนฟ้องตำรวจ คณบดีเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์เป็นทุกข์ว่าต้องสอนการเลี่ยงภาษีระดับสูงให้นักศึกษากันซะแล้วรึเปล่านี่

Be Mature
Be Positive
Be Civilized
and Be Patriotic!! (ยอดฮิต ในขณะนี้)



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-18 , Time : 12:18:07 , From IP : 203-118-113-235.stat

ความคิดเห็นที่ : 1


   แล้วตกลงสมัยนี้
จริยธรรมอยู่ส่วนไหนของจิตใจมนุษย์
หรือว่าอยู่ในหัว......
อืมๆๆๆๆๆ
ที่เห็นอยู่ทุกวันคนไข้ผ่าหัว ผ่าท้อง ขาหัก หัวดูหัว ท้องดูท้อง ขาดูขา แยกส่วนกันสรุปที่เป็นนะคนเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้ สาธุ คงจะหายไปจากโลกเป้นส่วนๆๆ


Posted by : จิ๊บ , Date : 2006-02-18 , Time : 16:12:39 , From IP : 172.29.4.123

ความคิดเห็นที่ : 2


   "Holistic" หรือ "องค์รวม" คือการที่ผลรวมของอะไรก็ตามนั้น มากกว่า ผลบวกขององค์ประกอบทั้งหมด

กับดักทางด้านการแพทย์คือการรู้เฉพาะทางมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะทำให้เราเห็นได้เฉพาะแค่นั้น วิธีป้องกันคือ awareness ในกับดักนี้

ตอนราวน์ ward เคยมีนักเรียน present ว่า case thyroid ไปเข้าห้องน้ำ hernia อยู่ที่เตียง วันนี้ญาติ ca breast ขอพบอาจารย์ครับ/คะ ฟังดูแล้วนักเรียนคนนี้มองเห็นแต่อวัยวะต่างๆกองอยู่เต็มหอผู้ป่วยไปหมด ก็ไม่แปลกอะไรที่ถ้าไม่มีใครแก้ไข แนะนำ ก็จะเติบโตไปเป็นแค่ "ช่างซ่อม" อวัยวะเหล่านี้เท่านั้น เพราะไม่เข้าใจถึงองค์รวมที่เหลือของอวัยวะที่เจ็บป่วย พิกลพิการ รอการรักษา

จะเป็นกฏหมายก็ดี กฏระเบียบก็ดี มันมีที่มาทั้งสิ้น ภาษาที่ใช้เขียนมันมีโอกาสที่จะไม่ครอบคลุม ต้องเปลี่ยนต้องแก้ไข มันไม่ใช้ sacred letters ที่จารึกแล้วเปลี่ยนไม่ได้ แต่ในยุคปัจจุบันใครสามารถหา loophole ในกฏหมาย ในกฏระเบียบกลายเป็น hero กลายเป็นคนประสบความสำเร็จ สามารถเขียน "สอนอย่างไร ให้ลูกรวย" เป็น best seller



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-18 , Time : 16:27:18 , From IP : 203-118-113-73.stati

ความคิดเห็นที่ : 3


   แค่เพียง"กฎ"หรือ"หลักการ"คงทำให้สังคมน่าอยู่ไม่ได้
ยกตัวอย่างกีฬาฟุตบอลแล้วกัน
เห็น ๆ กันเวลามีผู้เล่นคนใดนอนเจ็บอยู่ มีกฎหรือหลักการข้อไหนบอกไว้รึเปล่าว่าให้เตะบอลออกนอกสนามเพื่อให้เกมหยุดแล้วเจ้าหน้าที่พยาบาลจะได้มารักษา
แล้วมีกฎหรือหลักการข้อไหนบอกไหมว่าให้ส่งบอลคืนอีกฝ่ายที่เตะบอลออกนอกสนามไป
มันเป็นการแสดงความมีน้ำใจในเกมกีฬา คนดูก็จะรู้สึกดี ตบมือให้ เป็นอะไรที่มีความสุข
เท่าที่ผมทราบรู้สึกว่าจะไม่มีกฎหรือหลักการใด ๆ เขียนไว้นะให้ทำตามนี้
แต่ที่ต้องใช้คือ"ใจ" ไม่ใช่เนื้อใจ แต่เป็น "น้ำใจ"
สิ่งดี ๆแบบนี้อาจจะหาดูในสังคมปัจจุบันได้ยากสักหน่อย
ก็แต่ละคนใช้แต่ "หัว"ไม่ยอมใช้คู่กับ"ใจ"
ยิ่งพูดไปยิ่งนามธรรม จบแค่นี้ดีกว่า


Posted by : DogTor , Date : 2006-02-19 , Time : 00:02:22 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 4


   ใช่ครับ งานใช้หัว คนใช้ใจ ทำงานกับผู้คนต้องใช้ทั้งหัวและหัวใจ
แต่สภาพปัจจุบันไม่ค่อยเหลือที่ให้หัวใจซะแล้ว กด(ฎ)ยิ่งเยอะ ใจยิ่งแคบ กฎหมายยิ่งซับซ้อน กลโกงยิ่งลึกล้ำ เฮอ เศร้า



Posted by : หัวใจสลาย , Date : 2006-02-19 , Time : 04:41:32 , From IP : 172.29.4.153

ความคิดเห็นที่ : 5


   ....มันเป็นไปได้ยาก....หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ในสังคมปัจจุบัน....ดูง่ายๆในโรงพยาบาลนี้ก็ได้.....คุณทำตามหลักการอย่างเดียวคุณอยู่ไม่ได้หรอก....เพราะมักจะมีคนจำพวกนึง..ที่ยึดกฎ..ถือกฎเป็นชีวิตจิตใจ....ใครจะทำอย่างไรไม่สน....ถ้าไม่ถูกตามกฎเป็นผิด....และจ้องจะเอาผิดโดยที่วันๆไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรือไร?.....ผมเคยชอบที่จะทำอะไรตามหลักการ....แต่หลังๆชักไม่ได้...เพราะมีคนจ้องจะเสียบอยู่เรื่อยๆ....ดังนั้นต้องศึกษากฎ....รู้กฎเป็นอย่างดี....มันก็ดีครับ....ชีวิตสบายดี....มั่นใจว่าอยู่ได้....แต่อยู่แบบหวาดระแวง....วันนี้จะโดนเล่นไหมหว่า...วันพรุ่งนี้จะโดนเล่นไหมหว่า แบบนี้อยู่เรื่อยๆ.....หลังๆผมชักไม่มีความสุข....บางทีผมก็ช่างมัน....ช่างชีวิตนี้แล้ว...จะเกิดอะไรก็ช่าง....จะทำอะไรก็เชิญ...มีกฎอยู่ในมือแล้วนี่....ขยี้ผมให้เละคามือเมื่อไหรก็ได้....เฮ้ออออ.....

....คุณ Phoenix เองก็น่าจะเข้าใจไอ้หลักการหรือกฎอะไรพวกนี้ดีอยู่แล้วนะครับ.....ยกตัวอย่างตัวคุณเองเป็นกรณีศึกษาก็ได้....ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณทำ....แต่ก็มีคนบางส่วนไม่เข้าใจ....ผมเคยได้ยินคำถามว่า....คุณ Phoenix เรียนจบอะไรมา....ทำงานอะไรตอนนี้...งานที่ทำตอนนี่มันเกี่ยวกับสาขาที่จบมาหรือเปล่า....????.....ถ้ามองตามหลักการ..คุณก็รักษาคนไข้เหมือนกัน....คุณก็เป็นหมอเหมือนผม....ก็ดีแล้วในสิ่งที่คุณทำ.....แต่ถ้ามองตามกฎ...ผมว่าคุณเองคงรู้ถ้ามีใครกล้า Feedback คุณดังๆให้คุณได้ยิน.....ว่าคุณทำงานอะไร?....ภาควิชาจ้างคุณมาทำแบบนี้หรือ?....ส่งไปเรียนมาแล้วทำได้เท่านี้หรือ?....ไหนดูสิ....ว่า"กฎ"ภาควิชาว่าไว้อย่างไงบ้างนะ?.....คงไม่ต้องให้ผมยกตัวอย่างคำพูดเหล่านี้.....เพราะผมเองฟังมาจนชิน....ผมเชื่อว่าคุณก็คงชินเหมือนกัน.....ไม่ต้องตอบคำถามข้างบนนั่นนะครับ.....เพราะผมไม่ใส่ใจในรายละเอียดของชีวิตคุณหรอกครับ......

.....ผมแค่จะยกตัวอย่าง....นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่คุณคิดว่าตามหลักการแล้วมันดี....มันดีแน่เพราะมีคนเห็นด้วย....ผมก็คนหนึ่ง....แต่คุณก็รู้ว่า....คนบางส่วนที่เขาหมั่นใส้คุณ.....เขาไม่ชอบคุณ..เขาก็อ้างไอ้กฎบ้าๆนี่ขึ้นมาเมื่อไหรก็ได้.....เช่นทำไมคุณไม่ทำตามแบบคนอื่นๆในภาควิชา.....เชื่อได้เลยว่าถ้าคนที่ถือกฎเหล่านี้ใหญ่พอ.....เขาคงบีบให้คุณถูกใช้งานคุ้มแบบคนอื่นๆในภาควิชา...คุณอาจจะต้องมาหารเวรนอกเวลา....มาวิ่งเข้า case trauma.....อะไรทำนองนั้น......คุณว่าไงหละครับ?.....:D

http://www.pantheon.org/areas/gallery/folklore/folklore/grim_reaper.jpg


Posted by : Death , Date : 2006-02-19 , Time : 11:39:44 , From IP : 172.29.7.46

ความคิดเห็นที่ : 6


   "มนุษย์ หาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองได้เสมอ"ครับ และด้วยเหตุนี้ กฏที่ยอมรับร่วมกัน และวางไว้กลางสนามเพื่อเป็นแนวปฏิบัติ มันจึงเป็นเครื่องมือซึ่งรักษาสภาพความอยู่ร่วมกันได้ของสังคม

"มนุษย์ หาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองได้เสมอ"ครับ ล้กเจ้กลักส้มไปให้แม่เนื่องจากตนข้นแค้น คุณนักศึกษารุ่น gen-y ไม่อยากเรียนวิชาส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ในการประกอบวิชาชีพในอนาคตของท่าน อาจารย์รุ่น gen-x ไม่อยากทำวิจัยเนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนและเห็นว่าทำไปก็เกรงจะไม่พบอะไรใหม่ คุณหมอผู้เี่ชี่ยวชาญจากต่างประเทศขอย้ายครอบครัวไปอยู่เมืองหลวง เนื่องด้วยเห็นแก่อนาคตของบุตรธิดา ฯลฯ ...

ทุกคนต่างมีเหตุผลครับ

"คนทุกคนดี ติดที่เขาเอาใจใคร"


Posted by : Shonigega , Date : 2006-02-19 , Time : 11:52:52 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 7


   ทุกคนต่างมีเหตุผลค่ะ

"มีคนชอบ ก็มีคนชัง"


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-19 , Time : 12:43:36 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 8


   "คนที่อยู่ต่ำกว่าฉันเท่านั้น ที่จะริษยาหรือชิงชังฉันได้"

จำที่มาไม่ได้อีกเช่นเคยค่ะ น่าจะเป็น Khalil Gibran คนโปรดก็เป็นได้

ถ้า "ไม่อยาก" จะอยู่ต่ำกว่าใคร ก็อย่าริษยาหรือชิงชังเขา
ถ้า "รู้สึก" ว่ามีใคร ริษยาหรือชิงชังเรา ก็อย่ารังแกแต่ให้เมตตา
(อย่างหลังนี่พยายามอยู่ค่ะ ... ไม่ค่อยสำเร็จ)



Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-19 , Time : 13:07:30 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 9


   ไม่ลงรายละเอียดของชีวิตผมหรอกครับ แต่ขอตอบบางส่วน (โดยสิทธิพาดพิง ถึงแม้ว่า "ไม่สนใจ" ก็ดันเลือกมายกเป็นตัวอย่างซะหนึ่ง paragraph)

ในอาชีพการงานของเรานั้น ยิ่งแก่ลงไปเรื่อยๆมันก็จะมีภาระมากขึ้นเป็นธรรมดา จากประสบการณ์ จากความรู้ ความสามารถ ที่ใครๆก็คงคาดหวังว่าสักวันหนึ่งเราคงจะเลือกสิ่งที่เรารู้ ชำนาญ หรืออยากทำมากที่สุดได้ในที่สุด เอาไปขาย idea ให้คนที่บริหารองค์กรว่าเรามียังงี้ๆ เขาจะซื้อไหม ถ้า OK ก็แปลว่าเราจะได้ทำสิ่งที่เราอยาก ทำได้ และทำได้ดี ที่ตรงกับทิศทางขององค์กร

"ข้าราชการ" นั้น ไม่ได้ถูกจ้างโดยภาควิชาโดย "หลักการ" เพราะเหตุนี้เอง คณะแพทย์เท่าที่เรารู้จัก จึงบริหารโดยแพทย์ ซึ่งก็จะมีดีกรีของการถูก "ดึง" ออกจากงานคลินิก งาน OPD ไปมากน้อยต่างกัน งานสำคัญๆอาจจะดึงมาเกือบหรือ 100% ยกตัวอย่างเช่น หัวหน้าหน่วย R-to-R ของศิริราช คณบดีให้ 100% ออกจากภาควิชาอย่างสิ้นเชิง มีผู้ช่วย 2 คนที่ออกมาจากภาค 30% บ้าง 20% บ้าง แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่งาน collectively มันอยู่ใน course of policy statement

คงจะบอกยากแหละครับว่าหลังจากเราเรียนวิชาอะไรแล้ว เรา "ควร" จะคาดหวังอะไรออกมาบ้างจาก "การเรียนรู้" สมัยก่อนรุ่นพ่อผม ได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษ เขาให้เรียนแค่สามวิชาคือ math, English, History คือ เรียนให้เฉลียวฉลาด จบออกมาแล้วทำอะไรก็ได้ ผมว่าปรัชญาการเรียนยุคนี้อาจจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งเรียน ยิ่งคิดอะไรได้แคบลง ต้องทำอะไรได้น้อยลง ขุดรูลึกลงไปเรื่อยๆจนท่วมตัวเองในที่สุด

Professor Norman ที่ Mc Master แกได้ดีกรี Astrophysicics มาอันแรก ต่อมาคงไม่ใคร่ชอบเลยเปลี่ยนเป็น neuro-psychology ได้ Ph.D. มาอีกหนึ่งก็ยังไม่แล้วใจ เปลี่ยนใจมาทำงานเป็น educator ออกแบบและศึกษาตั้งทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์ ตอนนี้ดูแกมีความสุขดี มีประโยชน์ต่อสังคม นี่คือประโยชน์ของคนที่เข้าใจและทำตาม "หลักการ" ของการศึกษาครับ คือคิดเป็น รู้ว่าตนเองชอบอะไร อยากทำอะไร ขาย idea ให้องค์กรว่าผมทำไอ้นี่เป็น ดีด้วย จะเอาไหม ถ้าเอาองค์กรจะเป็นอย่างไร ก็วาดภาพออกมาให้ดู บรรยายออกมาให้ฟัง

"ปรัชญา" หรือ "หลักการ" เป็นแพทย์นั้นดีครับ และกว้างขวาง มีที่ที่จะเลือกทำเยอะแยะ เพียงแต่เรามาคิดดูให้ดีว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันสอดคล้องกับบรรยากาศมากน้อยแค่ไหน เป็นที่ต้องการหรือไม่ ส่วนที่เหลือคือการถูกนินทาลับหลัง หรือมีคนไม่เข้าใจนั้น เป็นของแถมของสังคมทุกที่ แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะทำอะไรตามหลักการหรือปรัชญาไม่ได้ ตรงกันข้าม เราอาจจะต้องเห็นใจและพยายามให้การศึกษาเพิ่มมากขึ้น จะได้มีคนสามารถไต่ออกมานอกกรอบ คิดออกไปในจักรวาล เพราะมีรากฐานที่แน่นหนาวางอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า "หลักการ"





Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-26 , Time : 00:08:01 , From IP : 172.29.7.24

ความคิดเห็นที่ : 10


   คุณ Dogtor สับสน "กฏ" กับ "หลักการ" ว่ามันเป็นอย่างเดียวกัน หรือ "ต้องเขียน" เอาไว้

หลักการหรือปรัชญาเป็นนามธรรมถูกต้องแล้วครับ เป็นฐานที่เราจะลงไป "อิง" ได้หลายตอน เช่น ตอนจะเขียน "กฏ" เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นกฏหมาย กฏระเบียบ ฯลฯ ถ้ารู้สึก blurๆ เมือไร ก็ตั้งสติหาหลักการ หาปรัชญามาตรวจสอบ

ตัวอย่างที่ยกมาเห็นชัดครับ

หลักการหรือปรัชญาที่ใช้คือ "น้ำใจนักกีฬา" อะไรเป็นจิตวิญญาณของการเล่นกีฬา อะไรเป็นปรัชญาของ team play เสร็จแล้วเราจะพบได้ทันทีว่า ไอ้บรรดา "กฏ" ที่ถูกเขียนไว้นั้นน่ะ บางทีมันไม่ได้ช่วยเราเลยว่าเรา "ควร" จะทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้ แบบนั้น แต่พอเราหวนนึกว่า อะไรเรียกว่าน้ำใจนักกีฬา หรือว่าอะไรที่คนว่าคือ spirit of sportmanship คุณก็จะนึกออกว่า อ้อ นี่เราควรจะเตะบอลออกนอกสนามเพื่อให้แพทย์สนามมาดูอาการผู้เล่น ทั้งๆที่มันไม่ได้อยู่ใน "หนังสือคู่มือกฏระเบียบ" แต่อย่างใด

ดังนั้นที่คุณว่าไว้ถูกอีกอย่างหนึ่งครับ ปรัชญาและหลักการ นั้นไม่ใช่ "หัว" แต่เป็น "จิตวิญญาณ" หรือ "หัวใจ" ของสิ่งนั้นๆ กิจกรรมนั้นๆ ขอให้คุณ Dogtor เข้าใจในสิ่งเหล่านี้ เอาเป็นหลัก บางทีเราอาจจะไม่ต้องอาศัยหนังสือคู่มือเลยก็เป็นได้



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-26 , Time : 00:28:39 , From IP : 172.29.7.24

ความคิดเห็นที่ : 11


   สรุปว่ายังไงก็ต้องใช้หลักการ.......รับทราบครับ
หลักการจึงน่าจะดูดีกว่ากฏ แต่ว่าไม่มีลายลักษณ์อักษร
น่ากลัวว่าคนจะไม่สนหลักการกันนะสิครับ


Posted by : DogTor , Date : 2006-02-26 , Time : 12:57:47 , From IP : 172.29.4.125

ความคิดเห็นที่ : 12


   หลักการที่มีเป็นลายลักษณ์อักษรก็มีเยอะ เช่น หนังสือจริยศาสตร์ คัมภีร์ศาสนาต่างๆตรงส่วนพระสูตรบ้าง พระอภิธรรมบ้าง แต่มันจะค่อนเป็นนามธรรม

ตรงส่วน protocol เช่น พระวินัย หรือว่าขนบธรรมเนียม แบบแผนนั้น ต้องอ่านเองให้ทะลุถึงหลักการและปรัชญาเบื้องหลัง หรือแม้แต่กระทั้งกฏหมายเองก็ตาม ถ้าจะใช้กฏหมายอย่างดีอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มองหาจุดโหว่ ช่องว่าง แต่ต้องใช้วินิจพิจารณญาณว่าเขาเขียนข้อนี้มานั้น มันมีที่มาอะไร มันมีวัตถุประสงค์อะไร

หลักการที่เป็นลายลักษณ์อักษรมีมากมาย สำหรับคนที่ strict ตามกฏ ตามตัวหนังสือแง้ว ไม่ใช่ข้ออ้างว่าไม่มีหลักการให้อ่าน เพียงแต่ตนเอง "เลือก" ที่จะไม่อ่าน ไม่ตีความ หรืออ่านและตีความแบบจงใจหาช่องโหว่ที่เขียนไม่ครอบคลุม ใช้ความเฉลียวฉลาดในทางที่ผิด กลายเป็นเจ้าเล่ห์เพทุบายแทน

การใช้กฏเล่นงานใครก็ได้นั้น เป็นเพราะกฏไม่ได้ถูกตีความตามหลักการหรือปรัชญา มิฉะนั้นแล้วใครจะเอามา exploit ได้ อ.แสวงมาบรรยายที่ มอ. นี่ก็นับเป็นสิบๆครั้งแล้ว ท่านสอนกฏหมายมาไปรู้จะกี่สิบปี สอนพวกแพทย์เรามาไม่รู้จะกี่สิบหน บอกว่ายึดคุณธรรม จริยธรรมไว้เถอะ เพราะมันสูงกว่ากฏหมาย ยังไงๆก็สืบสาวราวเรื่องกฏหมายก็ต้องอิงจริยธรรมอยู่ดีในที่สุด ผมคิดว่า "ศรัทธาและความเชื่อ" เรื่องนี้สำคัญต่อทิศทางของสังคมในปัจจุบันและในอนาคตของลูกหลานเราอย่างยิ่ง

ถ้าเราเชื่อว่าเราอาศัยอยู่ในยุคที่ไร้หลักการ ไร้ปรัชญา ไร้คุณธรรมจริยธรรม อีกหน่อยเราก็จะถูกนำโดยนักกฏหมายที่ใช้กฏเพื่อควบคุม ไม่ใช่เพื่อพัฒนา อีกหน่อยเราก็จะอ่านกฏเพื่อหาช่องว่างช่องโหว่ แทนที่จะไตร่ตรองว่ามันมีที่มาอย่างไร อีกหน่อยเราก็จะทำงานตามบันทึกตัวอักษร ไม่มีจินตนาการ ไม่มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีแต่ pessimistic มองโลกเหมือนอาศัยในโลกันตร์ ตัวกู ของกู ความดีงามเป็นอุดมคติ ไม่มีทางเป็นจริง

มองอย่างไร โลก "ของเรา" ก็เป็นไปตามที่เรามองครับ สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งเห็นแต่โคลนตม อีกคนหนึ่งเห็นดวงดาวอยู่พร่าวพราย ทั้ง "โคลน" ทั้ง "ดวงดาว" จริงอย่างที่สุดสำหรับสองคนนี้ และเป็น free will ด้วยที่เราจะ "เลือก" มองเห็น คล้ายๆกับบารมีเก่าที่สั่งสมมา มีคนอุทิศให้มาบ้าง ทำเองบ้าง มาจน ณ ปัจจุบัน

ผมเห็นคนไข้ระยะสุดท้ายมาก็พอสมควร บางครั้งเราก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ หลายๆอย่างมันจะมา "ทัน" กันตอนนี้ ผมเคยพูดว่าถ้าใครเป็นครูมา มักจะมีกำลังใจดีมาก มีเครื่องยึดเหนี่ยว ก็ยังอุตส่าห์เจอครูที่ย้อนหลังจำได้แต่ที่เคยโกรธ กราดเกรี้ยวเด็ก ไม่เห็นใจเอาแต่ดุด่า จำไม่ได้ว่าตนเองเคยช่วยเด็กไว้แค่ไหนก็มี ก็เศร้าหมองไป ช่วยอย่างไรก็ไม่ขึ้น ฉะนั้นคิดอะไรที่เป็นแง่บวกไว้บ้างตอนนี้ มันเป็นการสะสมทรัพย์ทางปัญญาระยะยาว เพราะบางทีการแพทย์ปัจจุบันนี้มันทำให้ dying period ยาวนานได้มากๆ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ dying เป็นนาที เป็นชั่วโมงเป็นวัน เดี๋ยวนี้ dying อาจจะเป็นเดือน เป็นปี

เมื่อคนเราไร้ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจะเป็นสรณะ ก็จะเจอความจริงแห่งอนิจจังล้วนๆตอนนี้ ที่เคยยึดได้มั่น ไมหนีไปไหน มันก็มีแต่จะหลุดลอยไป จับต้องไม่ได้ ความรู้ท่วมหัว ก็อาจจะไม่สามารถช่วยญาติ ช่วยบุพการีให้สงบได้ในวาระสำคัญที่สุดที่เหลืออยู่นี้

ก็จะเป็นที่น่าเสียดายที่เรามีโอกาสเรียนรู้ "ชีวิต" มากมายเหลือเกิน แต่ละโอกาสนั้นไปเสีย



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-26 , Time : 14:55:01 , From IP : 172.29.3.112

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<