ไม่ลงรายละเอียดของชีวิตผมหรอกครับ แต่ขอตอบบางส่วน (โดยสิทธิพาดพิง ถึงแม้ว่า "ไม่สนใจ" ก็ดันเลือกมายกเป็นตัวอย่างซะหนึ่ง paragraph)
ในอาชีพการงานของเรานั้น ยิ่งแก่ลงไปเรื่อยๆมันก็จะมีภาระมากขึ้นเป็นธรรมดา จากประสบการณ์ จากความรู้ ความสามารถ ที่ใครๆก็คงคาดหวังว่าสักวันหนึ่งเราคงจะเลือกสิ่งที่เรารู้ ชำนาญ หรืออยากทำมากที่สุดได้ในที่สุด เอาไปขาย idea ให้คนที่บริหารองค์กรว่าเรามียังงี้ๆ เขาจะซื้อไหม ถ้า OK ก็แปลว่าเราจะได้ทำสิ่งที่เราอยาก ทำได้ และทำได้ดี ที่ตรงกับทิศทางขององค์กร
"ข้าราชการ" นั้น ไม่ได้ถูกจ้างโดยภาควิชาโดย "หลักการ" เพราะเหตุนี้เอง คณะแพทย์เท่าที่เรารู้จัก จึงบริหารโดยแพทย์ ซึ่งก็จะมีดีกรีของการถูก "ดึง" ออกจากงานคลินิก งาน OPD ไปมากน้อยต่างกัน งานสำคัญๆอาจจะดึงมาเกือบหรือ 100% ยกตัวอย่างเช่น หัวหน้าหน่วย R-to-R ของศิริราช คณบดีให้ 100% ออกจากภาควิชาอย่างสิ้นเชิง มีผู้ช่วย 2 คนที่ออกมาจากภาค 30% บ้าง 20% บ้าง แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่งาน collectively มันอยู่ใน course of policy statement
คงจะบอกยากแหละครับว่าหลังจากเราเรียนวิชาอะไรแล้ว เรา "ควร" จะคาดหวังอะไรออกมาบ้างจาก "การเรียนรู้" สมัยก่อนรุ่นพ่อผม ได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษ เขาให้เรียนแค่สามวิชาคือ math, English, History คือ เรียนให้เฉลียวฉลาด จบออกมาแล้วทำอะไรก็ได้ ผมว่าปรัชญาการเรียนยุคนี้อาจจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งเรียน ยิ่งคิดอะไรได้แคบลง ต้องทำอะไรได้น้อยลง ขุดรูลึกลงไปเรื่อยๆจนท่วมตัวเองในที่สุด
Professor Norman ที่ Mc Master แกได้ดีกรี Astrophysicics มาอันแรก ต่อมาคงไม่ใคร่ชอบเลยเปลี่ยนเป็น neuro-psychology ได้ Ph.D. มาอีกหนึ่งก็ยังไม่แล้วใจ เปลี่ยนใจมาทำงานเป็น educator ออกแบบและศึกษาตั้งทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์ ตอนนี้ดูแกมีความสุขดี มีประโยชน์ต่อสังคม นี่คือประโยชน์ของคนที่เข้าใจและทำตาม "หลักการ" ของการศึกษาครับ คือคิดเป็น รู้ว่าตนเองชอบอะไร อยากทำอะไร ขาย idea ให้องค์กรว่าผมทำไอ้นี่เป็น ดีด้วย จะเอาไหม ถ้าเอาองค์กรจะเป็นอย่างไร ก็วาดภาพออกมาให้ดู บรรยายออกมาให้ฟัง
"ปรัชญา" หรือ "หลักการ" เป็นแพทย์นั้นดีครับ และกว้างขวาง มีที่ที่จะเลือกทำเยอะแยะ เพียงแต่เรามาคิดดูให้ดีว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันสอดคล้องกับบรรยากาศมากน้อยแค่ไหน เป็นที่ต้องการหรือไม่ ส่วนที่เหลือคือการถูกนินทาลับหลัง หรือมีคนไม่เข้าใจนั้น เป็นของแถมของสังคมทุกที่ แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะทำอะไรตามหลักการหรือปรัชญาไม่ได้ ตรงกันข้าม เราอาจจะต้องเห็นใจและพยายามให้การศึกษาเพิ่มมากขึ้น จะได้มีคนสามารถไต่ออกมานอกกรอบ คิดออกไปในจักรวาล เพราะมีรากฐานที่แน่นหนาวางอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า "หลักการ"
Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-26 , Time : 00:08:01 , From IP : 172.29.7.24
|