ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

ทักษิณ&สนธิ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด!!!


   จากเพื่อนกลายมาเป็นศัตรู มันเกิดอะไรขึ้น!!!

คบกันมาก็หลายปี ทำธุรกิจร่วมกันก็หลายครั้ง เคยสนับสนุนช่วยเหลือกัน มีปัญหาอะไรหรือ ถึงกับต้องตัดขาดความเป็นเพื่อน ชนิดไม่เผาผี เอากันให้ตายไปข้างนึง

จุดเริ่มมันอยู่ที่ตรงไหน ลึกๆใครจะรู้ นอกจากเขาทั้งสอง...

ย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น สนธิทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางช่อง9 เนื้อหาในรายการเชียร์นายกฯจนคนดูหมั่นไส้ บางครั้งเนื้อหาเหมือนจะเตือนทักษิณในยามที่สนธิเห็นว่าทักษิณทำไม่ถูก จึงเป็นที่มาของคำที่เซี่ยงเส้าหลงเรียกว่า "กัลยาณมิตร" แต่ก็ไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงในด้านของทักษิณ

"กัลยาณมิตร" นั่นคือหนึ่ง ในมุมมองของเซี่ยงเส้าหลง

แต่ในมุมมองของทักษิณ อาจจะแค่ลมโชยผ่านหู ทำให้เกิดความรำคาญต่อทักษิณยิ่งนัก

เมืองไทยรายสัปดาห์ เนื้อหาเริ่มเข้นข้นขึ้นเป็นลำดับ จากกัลยาณมิตร กลายเป็น"พิจารณมิตร" คอยตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบของทักษิณและเครือญาติ จนทำให้เกิดเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร

"พิจารณมิตร" นั่นคือหนึ่ง

ขณะที่เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรดำเนินไปเรื่อยๆอย่างเข้มข้น กระทบถึงสถานะของทักษิณมากขึ้นๆเป็นลำดับ การตอบโต้ทุกดอกของทักษิณที่มีต่อสนธิ ทั้งรุนแรงและหนักหน่วงไม่แพ้กัน เพียงเพื่อต้องการหยุดสนธิ จะด้วยวิธีหรือวิถีใดก็แล้วแต่ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ทักษิณจะใช้วิถีแห่ง"ธรรม" จนเรื่องราวบานปลายอย่างที่ทักษิณเองก็คิดไม่ถึง

ลองมองย้อนกลับไปอีกครั้ง คนที่ทั้งประเทศยกย่องว่าเป็นคนเก่ง ฉลาดหลักแหลมในการบริหารธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเร็วที่สุดในประเทศ ไยจึงมองข้าม ไม่ใส่ใจกับ"กัลยาณมิตร" และ "พิจารณมิตร"

หากทักษิณเปลี่ยนจากการตอบโต้ เป็นตอบรับ ไม่ว่าจะช่วง"กัลยาณมิตร"หรือ"พิจารณมิตร" ก็คงจะไม่มีวันนี้

วันที่สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ รุกฆาตด้วยคำว่า"พิฆาตมิตร"

จุดจบจะเป็นอย่างไร ลึกๆใครจะรู้ นอกจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"


Posted by : Soft Heart True Love! , Date : 2006-02-12 , Time : 14:22:04 , From IP : 125.25.6.53

ความคิดเห็นที่ : 1


   อยากรู้จัง

Posted by : mimi , Date : 2006-02-12 , Time : 19:58:07 , From IP : 172.29.4.104

ความคิดเห็นที่ : 2


   น่าเบื่อทั้งคู่

Posted by : Benzhexol , Date : 2006-02-13 , Time : 00:12:52 , From IP : 172.29.4.135

ความคิดเห็นที่ : 3


   หลังวันมหามงคล 4 ธันวาคม 2548 สื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมาก พากันวิเคราะห์วิจารณ์และคาดเดาว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สนธิ ลิ้มทองกุล นักธุรกิจสื่อสารมวลชน คู่กรณีที่โด่งดังที่สุดแห่งปี จะหาทางออกให้กับตัวเองอย่างไร เพื่อเป็นการสนองพระราชดำรัสที่เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้ ที่ทรงพระราชทานพระราชดำรัสอันก่อให้เกิดสติแก่คนไทยทุกคน ให้ทุกฝ่ายเลิกทะเลาะกัน

คาดเดาไม่ยากสำหรับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่ตัดสินใจถอนแจ้งความและการฟ้องร้อง สนธิ ลิ้มทองกุล ทุกคดี ทั้งๆ ที่เป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิ และได้รับความเสียหายด้วยข้อความที่ส่อไปในทางหมิ่นประมาท และทำให้ถูกเกลียดชังหลายต่อหลายครั้ง ดังเช่นกรณีทำบุญประเทศไทย จนกระทั่งทั้งสังคมได้รับฟังพระราชดำรัส จึงเข้าใจ

คาดเดาได้ยากสำหรับ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่เก็บอาการนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าทีใดๆ อยู่นานถึง 4 วัน กระทั่งวันที่ 8 ธันวาคม 2548 จึงเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า การถอนแจ้งความ การถอนฟ้องของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ไม่เกี่ยวข้องและไม่ได้มีผลใดๆ กับตนเอง ทั้งสิ้น การดำเนินการรายการเมืองไทยสัปดาห์ สัญจร จะเดินหน้าต่อไป อย่างเข้มข้น อะไรหรือใครก็มาหยุดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ไม่ได้

การแถลงข่าวในวันนั้น สนธิ ลิ้มทองกุล ยังได้พาดพิงไปถึงเพื่อนสื่อมวลชนด้วยอาการเกรี้ยวกราด เป็นอย่างยิ่ง ด้วยว่าไม่ต้องมาวิเคราะห์ว่าเขากำลังหาทางลง เพราะเขาไม่เคยคิดจะลง มีแต่คิดจะลุยต่อไปข้างหน้า แล้วก็ไม่ต้องมาแนะนำด้วยว่าทางลงที่สวยงามเป็นอย่างไร เพราะ สนธิ ลิ้มทองกุล จะจุดเทียนแห่งปัญญาต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉะนั้นแล้ว เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ที่ยึดสวนลุมพินี สวนสาธารณะสำหรับคนทุกคน เป็นเสมือนหนึ่งสตูดิโอถ่ายทำรายการของตนเอง จึงเดิน หน้าต่อไป ท่ามกลางความข้องใจของสื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมาก ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

สื่อมวลชนกว่าครึ่งที่รู้จัก สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นอย่างดี วิเคราะห์ผิดพลาดกันเกือบทั้งหมด ส่วนใหญ่เชื่อว่าสนธิ จะหยุดพูด เพื่อคงความนิยมสูงสุด และศรัทธาสูงสุดที่ประชาชนทีให้ เอาไว้เพียงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งเขาระดมประชาชนมาฟังได้ปริ่มๆ 100,000 คน

ไม่มีใครคาดคิดว่าคนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ที่อาสาเป็นผู้นำความคิดประชาชน ผู้จุดเทียนทางปัญญาให้แก่ประชาชน เลี้ยงตัวเองอยู่บนยอดคลื่นศรัทธาของประชาชน จะกล้าเดินสวนกระแสสังคม กล้าเดินท้าทายความคิด ความรู้สึกของประชาชน เช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิด ความรู้สึกของประชาชน ที่มีความสำนึก ความตระหนัก และความมีสติ อันเกิดจากกระแสพระราชดำรัส เป็นพื้นฐานความคิดและการตัดสินใจ

กระแสพระราชดำรัส อันเปรียบประดุจเทียนแห่งปัญญา ที่ส่องทางได้แจ่มชัดกว่าเทียนทุกเล่มที่มีอยู่ในแผ่นดินนี้ และเป็นเทียนที่ส่องสว่างแสงพิสุทธิ์เพื่อประชาชนคนไทยทุกคน มิใช่ เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เสมอมา

หลังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร วันที่ 9 ธันวาคม 2548 จบลง ท่ามกลางประชาชนที่บางตาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับจำนวนประชาชน ที่มาชม มาเชียร์ก่อนหน้านี้ สื่อมวลชนและประชาชน ยิ่งงุนงงและมีคำถามหนาหูมากขึ้นว่า สนธิ ลิ้มทองกุล จะจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ต่อไปเพื่ออะไร และจะเดินสวนกระแสความคิด ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ ไปอีกนานเท่าไร

อะไรคือเป้าหมายของ สนธิ ลิ้มทองกุล ?

อะไรคือความต้องการของ สนธิ ลิ้มทองกุล ?

สนธิ ลิ้มทองกุล แถลงว่า เขาไม่มีเจตนาที่จะล้มรัฐบาล แต่ต้องการให้ข้อมูลกับประชาชนเท่านั้นเอง

ทำให้เกิดคำถามขึ้นอีกว่า ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดรายการวัน ผู้จัดการรายสัปดาห์ ผู้จัดการรายเดือน และเวปไซต์ผู้จัดการอันเลื่องชื่อ ยังไม่เพียงพออีกหรือต่อการทำหน้าที่ให้ข้อมูลแก่ประชาชน

ทำไม สนธิ ลิ้มทองกุล จึงต้องเปิดเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่สวนลุมพินี ทั้งๆ ที่รู้ว่าเวทีแห่งนี้ คือปฐมเหตุประการหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกเป็นสองฝ่าย และเผชิญหน้ากัน จากข้อมูลที่เป็นข้อกล่าวหา มากกว่าข้อเท็จจริง

แน่นอนว่า ไม่มีตอบคำถามนี้ได้ดีเท่า สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าทำไมเขาจึงต้องเดินสวนกระแส ท้าทายความรู้สึก ความคิดของประชาชนส่วนใหญ่บนแผ่นดินนี้ ที่ต้องการเห็นบรรยากาศความสมานฉันท์ มากกว่า “การทะเลาะกัน” เพื่อสนองพระราชดำรัส

คำตอบที่ทุกคนค้นหานั้น ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ ตีความ คาดเดา หรือทำนาย อีกต่อไป เนื่องเพราะ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตอบคำถามนี้แล้ว ในหนังสือ POSITIONING สื่ออีกเล่มในเครือผู้จัดการ ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2548 ว่า.....

“ถ้ามองในแง่โอกาส หากเรื่องนี้จบลงและรายการฯสามารถออกอากาศได้ หมาย ความว่าคนจะหันมาดูช่องของเราหมด ที่เป็นเคเบิลทีวี ขณะเดียวกัน มีการโฆษณาและประชา สัมพันธ์สินค้าไหนบ้างที่จะได้ผลเท่า ASTV ครั้งนี้ โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ทุกวันนี้ทุกคนรู้จัก ASTV”

เมื่อผนวกเข้ากับสาระตอนหนึ่งในหนังสือ POSITIONING เล่มเดียวกัน ที่อธิบายถึงผลประ โยชน์ทางธุรกิจ ที่เกิดจาก EVENT MARKETTING ของเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ก็ทำให้ยิ่งแจ่มชัดขึ้นว่า แท้จริงแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องเดินหน้าท้าทายกระแส ต่อไป ก็เพราะ...

“....ซีดี เมืองไทยรายสัปดาห์ ที่เผยแพร่ไปแล้วกว่า 5 แสนแผ่น เสื้อสีเหลือง และขาว ภายใต้ข้อความที่ว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง” มีคนเข้ามาสั่งจองกว่าแสนตัวต่อสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งพ็อกเกตบุ๊ก เมืองไทยรายสัปดาห์เล่ม 1-4 ซึ่งเคยจัดพิมพ์ ยอดขายแต่ละเล่มอยู่หลัก 2 หมื่นเล่ม ยังไม่รวมหนังสือเล่มอื่นที่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับตัว “สนธิ ลิ้มทองกุล” มียอดขายกว่าแสนเล่ม.....”

ซีดีเมืองไทยรายสัปดาห์ 500,000 แผ่น ราคาแผ่นละ 79 บาท

เสื้อสีเหลือง เสือสีขาว “เราจะสู้เพื่อในหลวง” 100,000 ตัว ราคาตัวละ 200 บาท

พ๊อกเก็ตบุ๊ก เมืองไทยรายสัปดาห์ 100,000 เล่ม ราคาเล่มละ 190 บาท

ยังไม่นับรวม จานดาวเทียม อีกเดือนละ 5,000 จาน ราคาจานละ 10,900 บาท

สินค้าเหล่านี้คือแหล่งรายได้ที่หอมหวานยิ่งนัก สำหรับธุรกิจที่อยู่ในภาวะฟื้นฟูกิจการอย่างแมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ไทยเดย์ดอทคอม และอีกหลายกิจการ ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่อยู่ในสภาพที่แห้งแล้ง ขาดแคลนทั้งเงินทุน และเพื่อนฝูง

รายได้เหล่านี้นี่เอง ที่เป็นตัวเร่งให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องปั่นและปลุกกระแสการเกลียดชังพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และสร้างกระแสรัฐบาลปิดกั้นสื่อมวลชน อย่างหนักหน่วง รุนแรง เข้มข้น เพื่อให้ประชา ชนเชื่อ และต้องการข้อมูลผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ในรูปแบบต่างๆ

เมื่อสร้างความต้องการ สร้างกระแสให้ประชาชนตื่นตัวต้องการข้อมูลได้แล้ว สนธิ ลิ้มทองกุล ก็เร่งผลิตสินค้ายี่ห้อเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกมาขายครบถ้วนทุกสื่อ ทั้ง โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV VCD เมืองไทยรายสัปดาห์ หนังสือพิมพ์เมืองไทยรายสัปดาห์ พ๊อกเก็ตบุ๊กเมืองไทยรายสัปดาห์ รวมไปถึงเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ที่ถูกสร้างให้เป็นสัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมายการค้าของ เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร

ยังมีสินค้าอีกมากมายหลายตัวที่ผลิตออกมาขาย แล้วนำมาเปิดตัวบนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ทุกเย็นวันศุกร์ ที่สวนลุมพินี เช่น หนังสือเล่มใหม่ของเซี่ยงเส้าหลง คอลัมนิสต์ชื่อดังของหนังสือ พิมพ์ผู้จัดการรายวัน ก็เลือกที่จะมาเปิดตัวครั้งแรกที่สวนลุมพินี เช่นกัน

รายได้จากสินค้าเหล่านี้เองที่เป็นคำตอบ เป็นกุญแจไขสู่เบื้องหลังว่าทำไม สนธิ ลิ้มทองกุล จึงเมินเฉยต่อกระแสเรียกร้องความสมานฉันท์ ที่เกิดขึ้นในสังคม หลังจากรับพระราชทานพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 และสั่งบริวาร เดินหน้ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ต่อไป

ผลประโยชน์ทางธุรกิจจากการขายสินค้า ที่มีศรัทธาและความเชื่อของประชาชน เป็นปัจจัยส่งเสริมการขาย นี่ต่างหาก ที่ทำให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ต้อง “กล่าวหา” พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และรัฐมนตรีบางคน ตลอดจนคนใกล้ชิดตระกูลชินวัตร โดยไม่ใส่ที่จะพิสูจน์ความจริง และกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของข้อกล่าวหาเหล่านั้น หาใช่เจตนารมณ์ อุดมการณ์ และจรรยาบรรณของสื่อมวลชนที่ดี ที่ต้องการจุดเทียนแห่งปัญญา ให้กับประชาชน และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนและประชาชน ตามที่กล่าวอ้าง แต่ประการใด

สนธิ ลิ้มทองกุล ทำทุกอย่างขึ้นมาเพื่อเป็นยี่ห้อหรือเครื่องหมายทางการค้า ให้กับสินค้าที่กำเนิดจากรายการเมืองไทยสัปดาห์ เท่านั้น เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองเท่านั้น

แม้แต่เสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ที่มียอดผู้สั่งจองมากกว่าสัปดาห์ละ 100,000 ตัว ได้เงิน

ประมาณ 15-20 ล้านบาทต่อสัปดาห์นั้น สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ยอมรับอย่างเปิดเผย และภาคภูมิใจว่า...

“ใช่ เสื้อเหลือง เราจะสู้เพื่อในหลวง คือ ยี่ห้อ คือ การถวายพระราชอำนาจคืนให้ในหลวง”

เป็นเสื้อเหลืองที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อเป็นยี่ห้อให้แก่ตัวเอง และนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางทำธุรกิจ สร้างรายได้ให้แก่ตนเอง ด้วยการนำ “ในหลวง” และ “พระราชอำนาจ” มาแอบอ้าง อย่างพลการ ด้วยการตัดสินใจของตนเอง ไม่เคยสอบถาม หรือ ไตร่ตรองว่าสมควรหรือไม่ แม้จะถูกท้วงติงจากสื่อมวลชน และประชาชนจำนวนมาก ก็ไม่อาจหยุดยั้งกระบวนการทางธุรกิจของเขาได้

นี่คือความชัดเจนของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ อีกแล้ว ว่าทุกวันนี้ เขาทำเพื่ออะไร ระหว่าง....

อุดมการณ์เพื่อ “แผ่นดิน” กับ อุดมกินเพื่อ “ผู้จัดการ"

สนธิ ทำเพื่อชาติหรือตัวเองกันแน


Posted by : copy มาให้อ่านดู , Date : 2006-02-13 , Time : 16:25:58 , From IP : 172.29.4.112

ความคิดเห็นที่ : 4


   เราคิดว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะไปหาคำตอบว่า สนธิทำเพื่อใคร แต่ข้อมูลที่เขาเสนอมาต่างหากที่เราต้องค้นหาต่อไปว่าจริงหรือไม่
ถ้าจริง นายกฯคนนี้ยังควรเป็นนายกอยู่อีกหรือ เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศนะ ไม่ใช่เจ้าของบริษัท
เราคิดว่า การหาข้อมูลวันนี้ไม่ได้ยากนัก 40 คำถามที่ค้างคาใจคนที่ไปชุมนุม และเรา+อีกหลายคนที่แม้ไม่ได้ไป ถ้านายกฯไม่ได้ทำ ตอบได้ง่ายนิดเดียว ถึงวันนี้ ท่านคงยังหาหลักฐานมาตอบไม่ได้กระมัง ว่าซุกหุ้นมั้ย ว่าท่านใช้อำนาจในการช่วยให้ไม่ต้องเสียภาษีมั้ย ฯลฯ
คุณๆคิดหรือว่านักวิชาการที่ออกมาเกือบทุกสถาบันแล้วในวันนี้ มาบอกว่านายกฯคนนี้หมดความชอบธรรม สอบตกเรื่องจริยธรรม ความโปร่งใส ขายประเทศชาติมากกว่าดูแล ฯลฯ ท่านเหล่านนั้นออกมาเพราะเชื่อ"สนธิ" ลองใช้ความคิดแบบมีเหตุผลตรองดู


Posted by : คนมอ. , Date : 2006-02-13 , Time : 18:03:14 , From IP : 172.29.7.48

ความคิดเห็นที่ : 5


   ถึงระยะนี้แล้วผมว่าไม่ต้องเสียเวลาอภิปรายเรื่องสนธิหรอกครับ กลุ่มที่มาแสดงความเห็น และร่วมประชุมเริ่มหลากหลายมากเกินกลุ่มแฟนเมืองไทยรายสัปดาห์ (ข้อมูลจาก นสพ. Bangkokpost, Nation และ website) กลุ่มนักวิชาการธรรมศาสตร์ จุฬา และนักศึกษาเริ่มมีการอภิปราย แลกเปลียนข้อมูลกันกับกลุ่ม NGO ต่างๆ

ถ้าฝ่ายที่เห็นด้วยกับทักษิณจะ focus กลยุทธ์ตรง discredit สนธิโดยไม่ได้สนใจ contents ของกลุ่มต่างๆที่ไม่เห็นด้วยแล้ว อืม...



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-13 , Time : 18:44:49 , From IP : 58.147.112.215

ความคิดเห็นที่ : 6


   คู่นี้ถ้าเป็นมวย ก็ประเภทกองเชียร์มากทั้งคู่ และที่สำคัญคือ " ถูกคู่ " อีกฝ่ายกร้าวแกร่ง ด้วยวาทะ เช็คบิล ปิดบัญชีทักษิณ อีกฝ่ายดุดัน ไม่ออกไม่ยุบ ต้องการเผชิญหน้าด้วยกัน

Posted by : superman , Date : 2006-02-14 , Time : 13:08:13 , From IP : 172.29.3.171

ความคิดเห็นที่ : 7


   ผมไม่เคยสนใจเรื่องของคุณสนธิเลยว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ แต่สนใจเรื่องผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตรมากกว่า ทักษิณเข้ามาเป็นนายกมีหน้าที่ดูแลประชาชนและบริหารประเทศชาติ แต่สิ่งที่นายกทำอยู่มันช่างตรงกันข้าม ซึ่งทุกวันนี้เราก็ได้เห็นอย่างแจ่มแจ้งกันแล้วว่าใครเป็นยังไง สงสารก็แต่พ่อแม่ของนายก ควรจะได้รับความภาคภูมิใจ แต่กลับตกเป็นจำเลยร่วมของสังคม วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า มีเงินแต่ไร้เกียรติก็ไม่มีความสุข ช่างน่าสมเพชจริงๆ

Posted by : คนภูเก็ต , Date : 2006-02-22 , Time : 14:12:38 , From IP : tot-102-133.pacific.

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมไม่เคยสนใจเรื่องของคุณสนธิเลยว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ แต่สนใจเรื่องผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตรมากกว่า ทักษิณเข้ามาเป็นนายกมีหน้าที่ดูแลประชาชนและบริหารประเทศชาติ แต่สิ่งที่นายกทำอยู่มันช่างตรงกันข้าม ซึ่งทุกวันนี้เราก็ได้เห็นอย่างแจ่มแจ้งกันแล้วว่าใครเป็นยังไง สงสารก็แต่พ่อแม่ของนายก ควรจะได้รับความภาคภูมิใจ แต่กลับตกเป็นจำเลยร่วมของสังคม วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า มีเงินแต่ไร้เกียรติก็ไม่มีความสุข ช่างน่าสมเพชจริงๆ

Posted by : คนภูเก็ต , Date : 2006-02-22 , Time : 14:13:08 , From IP : tot-102-133.pacific.

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<