ที่มาของระบบคิดว่าเกียรตินิยม "ขาด" อะไรไป
นั้นมาจาก old school system ที่เชื่อว่า cognitive knowledge is everything ซึ่งจะเห็นได้จาก classical IQ measurement ที่วัดแต่ linguistic, mathematic & logistic สอง domains เท่านั้นก็เชื่อว่าสามารถพยากรณ์ความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์ได้แล้ว
ปัจจุบันนี้ความเชื่อใน old-school IQ system ก็ยังมีอยู่เพราะมันฝังรากมาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว ฝ่ายการศึกษาต้องการหา "อะไรบางอย่าง" มากำหนดช่วยพยากรณ์ หรือวางแผนการสอนการเรียนที่เป็น outcome predicting paramater เอ้า นี่เด็กห้อง King ห้อง Queen เอ้านี่เด็กห้องบ๊วย การจัดระบบนี้ใน รร.ยุคผมเองก็มีทั่วไป เด็กกว่า 800 คนเข้า รร.ปุ๊บก็ถูก ranked ทันทีเป็นที่หนึ่งถึงที่แปดร้อย จนต่อมาวิชาศึกษาศาสตร์มีการผนวกกับจิตวิทยา ผนวกกับ neuro-psychology เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานมากขึ้น ความเข้าใจใน "ศักยภาพ" ที่แท้จริงของมนุษย์เริ่มดีมากขึ้น คนก็เริ่มสนใจในพิสัยอื่นๆของความสามารถมนุษย์ เกิด terms ทางการศึกษา เช่น multiple intelligence theory ของ Howard Gardner และอื่นๆอีกมากมาย
แต่รากของ narrow-spectrum IQ นั้นมีอยู่นานและยังใช้อยู่ในทางปฏิบัติ ที่มีการพูดว่าจะได้เกรดสูงๆก็ไปซุ่มอ่านหนังสือ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับกิจกรรม อ่านๆเอาความรู้คนเดียวก็จะทำข้อสอบได้ สมัยก่อนเป็นอย่างนี้จริงๆ กิจกรรมเสริมภายนอกนั้นเป็นแค่ทางผ่านและ "นับ" น้อยมาก สอบ final เท่านั้นที่บอกค่านิยมถึงนิยามความสำเร็จ ดูอย่างระบบการสอบ entrance ก็ยังได้ พวก aptitude tests อะไรเนี่ยเพิ่ใจมีทีหลังเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง สมัยผมนั้นสอบห้าวิชาก็บอกเลยว่าคนๆนี้ เด็กคนนี้สมควร ไม่สมควรเรียนอะไรได้หรือไม่ คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข และภาษาอังกฤษ เป็น pure cognitive-oriented examination
ก็ไม่แปลกอะไรที่มีนักศึกษา นักเรียน ที่พอรู้ว่า รร.จะประเมินยังไง ก็เลยมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการประเมิน (เหมือนๆกับที่เด็กปัจจุบันใช้โพยนั่นแหละครับ รู้ว่าอ่านโพยมันไม่ได้เพิ่มความเข้าใจอะไรมาก แต่ก็มีโอกาส "ได้คะแนน" สูงในเวลาสั้นๆ พฤติกรรมมันจะสอดคล้องกับเงื่อนไขเสมอ) ก็จะมีส่วนหนึ่ง จริงๆที่ถือปรัชญาเรียนแบบนี้เป็นสรณะ ละเลย life skill, team skill, communication skill, social responsibility ไป จบออกมาเป็นตู้หนังสือเคลื่อนที่ achievement ทางด้านการเรียน การศึกษาเด่นกว่าเพื่อน แม้แต่เพื่อนที่ bright พอๆกัน แต่ทุ่มเทกับตำราน้อยกว่า ทำกิจกรรมมากกว่า ก็ดู relative under-achievement ไป ยิ่งเมื่อสังคมเทอดทูนเชิดชูเกรด (ปลอมๆ) แบบนี้ด้วย ในระยะต้นก็ดูเหมือนทำอย่างนี้มัน "ประสบความสำเร็จในชีวิต" จริงๆ เลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน ฯลฯ แต่ defect of life skill, team skill, communication skill นั้น มันจะส่งผลตอนเวลาต่อมาที่พวกนี้ไปเป็นผู้นำ คุมงาน เพราะขาด skill ที่เป็นนามธรรมเหล่านี้ ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ที่ไม่ได้มีอยู่ในหมวดการประเมิน ผลกระทบมันแสดงออกมาช้า ยิ่งถ้าโชคร้ายคนเหล่านี้เผอิญหลุดไปมีอำนาจ ยิ่งจะพยายามกดการประเมินพิสัยที่ตนเองไม่ถนัด ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ ให้เหลือน้อยที่สุด (พยายามจะล้มเลิกนิทานอีสปนั่นก็เป็นตัวอย่างที่ดี)
ผมคิดว่าเรายังพอช่วยกันทำอะไรได้บ้างครับ ยิ่งถ้าเรา "รุ้" กันอยู่ว่า cognitive alone มันไม่ดีสมบูรณ์แบบ เราคงจะไม่ทำแค่นั่ง moaning เฉยๆ หรือขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน bitter อยู่ข้างๆ แต่ถ้าจะเอา model ที่เราคิดว่าน่าจะดี น่าจะทำ ออกมาใช้ในทางปฏิบัติให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุดอย่างไรมากกว่าหรือไม่?
ความคิดเห็นที่ : 15
ที่มาของระบบคิดว่าเกียรตินิยม "ขาด" อะไรไป
นั้นมาจาก old school system ที่เชื่อว่า cognitive knowledge is everything ซึ่งจะเห็นได้จาก classical IQ measurement ที่วัดแต่ linguistic, mathematic & logistic สอง domains เท่านั้นก็เชื่อว่าสามารถพยากรณ์ความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์ได้แล้ว
ปัจจุบันนี้ความเชื่อใน old-school IQ system ก็ยังมีอยู่เพราะมันฝังรากมาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว ฝ่ายการศึกษาต้องการหา "อะไรบางอย่าง" มากำหนดช่วยพยากรณ์ หรือวางแผนการสอนการเรียนที่เป็น outcome predicting paramater เอ้า นี่เด็กห้อง King ห้อง Queen เอ้านี่เด็กห้องบ๊วย การจัดระบบนี้ใน รร.ยุคผมเองก็มีทั่วไป เด็กกว่า 800 คนเข้า รร.ปุ๊บก็ถูก ranked ทันทีเป็นที่หนึ่งถึงที่แปดร้อย จนต่อมาวิชาศึกษาศาสตร์มีการผนวกกับจิตวิทยา ผนวกกับ neuro-psychology เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานมากขึ้น ความเข้าใจใน "ศักยภาพ" ที่แท้จริงของมนุษย์เริ่มดีมากขึ้น คนก็เริ่มสนใจในพิสัยอื่นๆของความสามารถมนุษย์ เกิด terms ทางการศึกษา เช่น multiple intelligence theory ของ Howard Gardner และอื่นๆอีกมากมาย
แต่รากของ narrow-spectrum IQ นั้นมีอยู่นานและยังใช้อยู่ในทางปฏิบัติ ที่มีการพูดว่าจะได้เกรดสูงๆก็ไปซุ่มอ่านหนังสือ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับกิจกรรม อ่านๆเอาความรู้คนเดียวก็จะทำข้อสอบได้ สมัยก่อนเป็นอย่างนี้จริงๆ กิจกรรมเสริมภายนอกนั้นเป็นแค่ทางผ่านและ "นับ" น้อยมาก สอบ final เท่านั้นที่บอกค่านิยมถึงนิยามความสำเร็จ ดูอย่างระบบการสอบ entrance ก็ยังได้ พวก aptitude tests อะไรเนี่ยเพิ่ใจมีทีหลังเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง สมัยผมนั้นสอบห้าวิชาก็บอกเลยว่าคนๆนี้ เด็กคนนี้สมควร ไม่สมควรเรียนอะไรได้หรือไม่ คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข และภาษาอังกฤษ เป็น pure cognitive-oriented examination
ก็ไม่แปลกอะไรที่มีนักศึกษา นักเรียน ที่พอรู้ว่า รร.จะประเมินยังไง ก็เลยมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการประเมิน (เหมือนๆกับที่เด็กปัจจุบันใช้โพยนั่นแหละครับ รู้ว่าอ่านโพยมันไม่ได้เพิ่มความเข้าใจอะไรมาก แต่ก็มีโอกาส "ได้คะแนน" สูงในเวลาสั้นๆ พฤติกรรมมันจะสอดคล้องกับเงื่อนไขเสมอ) ก็จะมีส่วนหนึ่ง จริงๆที่ถือปรัชญาเรียนแบบนี้เป็นสรณะ ละเลย life skill, team skill, communication skill, social responsibility ไป จบออกมาเป็นตู้หนังสือเคลื่อนที่ achievement ทางด้านการเรียน การศึกษาเด่นกว่าเพื่อน แม้แต่เพื่อนที่ bright พอๆกัน แต่ทุ่มเทกับตำราน้อยกว่า ทำกิจกรรมมากกว่า ก็ดู relative under-achievement ไป ยิ่งเมื่อสังคมเทอดทูนเชิดชูเกรด (ปลอมๆ) แบบนี้ด้วย ในระยะต้นก็ดูเหมือนทำอย่างนี้มัน "ประสบความสำเร็จในชีวิต" จริงๆ เลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน ฯลฯ แต่ defect of life skill, team skill, communication skill นั้น มันจะส่งผลตอนเวลาต่อมาที่พวกนี้ไปเป็นผู้นำ คุมงาน เพราะขาด skill ที่เป็นนามธรรมเหล่านี้ ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ที่ไม่ได้มีอยู่ในหมวดการประเมิน ผลกระทบมันแสดงออกมาช้า ยิ่งถ้าโชคร้ายคนเหล่านี้เผอิญหลุดไปมีอำนาจ ยิ่งจะพยายามกดการประเมินพิสัยที่ตนเองไม่ถนัด ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ ให้เหลือน้อยที่สุด (พยายามจะล้มเลิกนิทานอีสปนั่นก็เป็นตัวอย่างที่ดี)
ผมคิดว่าเรายังพอช่วยกันทำอะไรได้บ้างครับ ยิ่งถ้าเรา "รุ้" กันอยู่ว่า cognitive alone มันไม่ดีสมบูรณ์แบบ เราคงจะไม่ทำแค่นั่ง moaning เฉยๆ หรือขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน bitter อยู่ข้างๆ แต่ถ้าจะเอา model ที่เราคิดว่าน่าจะดี น่าจะทำ ออกมาใช้ในทางปฏิบัติให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุดอย่างไรมากกว่าหรือไม่?
Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-15 , Time : 08:49:37 , From IP : 172.29.7.125
ความคิดเห็นที่ : 16
ให้เกียตินิยม ทั้งชั้น ถ้าเด็กเก่งจริง หรือ ตกทั้งชั้น ถ้า ไม่ฉลาดจริง
สงสัย ต้องสอบรวมทั้งประเทศ ใช้ ข้อสอบเดียวกัน และ ต้องไม่มีการแอบ ติวข้อสอบ ให้ลูกศิษย์ ตัวเอง ถึงจะมีข้อสอบที่มีมาตราฐาน
Posted by : จจ , Date : 2006-02-15 , Time : 09:07:49 , From IP : 61.19.24.122
ความคิดเห็นที่ : 17
ผมคิดว่าไม่จำเป็นครับ และผมคิดว่าไม่ควรซะด้วยซ้ำ
สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาจะ better off ถ้าคงความ unique ของตนเองไว้ "เกณฑ์มาตรฐานเบื้องต้น" ต้องเป็นของส่วนรวมก็จริง แต่ excellency ควรจะเปิดกว้างให้จินตนาการและความทะเยอทะยานเป็นอิสระ ใครจะ set เกียรตินิยมไว้สูงมากจน 10 ปีมีคนนึงก็ยังได้ หรือปีละ 100 คนก็ยังได้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของสถาบันนั้นๆ อย่าง Oxford, Cambridge ก็อาจจะตั้ง aim ไว้ว่าจะผลิต Nobel Prize laureate ทุกๆ 5 ปีก็ยังได้
อย่างที่ Einstein ว่าไว้ Imagination is even more important than intelligence
Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-15 , Time : 09:41:26 , From IP : 172.29.7.125
ความคิดเห็นที่ : 18
ขอถามว่า ถ้าข้อสอบไม่มาตราฐาน การตัดสิน จะเป็นธรรมได้อย่างใร คนที่ควรได้คะแนนดี แต่เจอ ข้อสอบแย่ กับ คนไม่เก่ง ได้ข้อสอบง่าย ต่อไปใครเขาจะเชื่อในปริญญา
แล้ว ที่ อ่านมานะ ผมรู้แค่ว่าก็ยังมีพวกที่ได้เกียรตินิยม ครึ่ง ต่อ ครึ่ง
ที่ fake ต่อหน้าอาจารย์
ลองไปถามเพื่อนคนอื่นเขาก็รู้ไส้กันหมด
ก็เป็นเพราะ คะแนน มันไปอยู่ในกิจกรรม เล่นละคร ซ้อมบท ก้อปปี้ คำพูดสวย อาจารย์ ก็ชอบ
Posted by : จจ , Date : 2006-02-15 , Time : 18:55:10 , From IP : 203.114.112.180
ความคิดเห็นที่ : 19
ผมชักสับสนในประเด็น
ในเบื้องต้น โดยไม่ต้องพูดถึงเกียรตินิยมอะไรนั่นเลย ข้อสอบ "ต้อง" ได้มาตรฐานก่อนอยู่แล้วครับ ข้อสอบที่ไม่ได้มาตรฐานกระทบหมดทั้งคนได้และไม่ได้เกียรตินิยม แปลว่า "ทุกคน" ที่สอบผ่านอาจจะไม่สมควรจะผ่านเลยแม้แต่คนเดียว ข้อสอบแบบไหนที่คุณ จจ บอกว่าคนที่ "ควร" ได้คะแนนดีแล้วได้คะแนนไม่ดี คนที่ไม่ควรคะแนนดีกลับทำได้? ถ้าข้อสอบไม่ได้มาตรฐานล่ะก็ บัณฑิต "ทุกคน" ที่จะหมดความเชื่อถือลงทันที ไม่เพียงแต่เฉพาะคนที่ได้เกียรตินิยม
ผมขอแหล่งข้อมูลที่คุณ จจ อ่านมาได้ไหมครับว่างานวิจัยแบบไหนที่ได้ข้อสรุปว่าพวกที่เกียรตินิยมครึ่งหนึ่ง "ได้เพราะ" fake ต่อหน้าอาจารย์? และผลงานวิจัยนี้กล่าวถึงพวกที่ไมได้เกียรตินิยมหรือไม่ว่า fake ในกลุ่มนี้มีกี่เปอร์เซนต์ ขนาดพยายาม fake แล้วก็ยังซ่อม ยังตกกี่เปอร์เซนต์ ที่ถามเพราะว่าเราจะได้มี reference เดียวกันเวลาอ้างอิงข้อสรุป
คะแนนกิจกรรมนั้นมันประมาณ 50% และบนหอผู้ป่วยมันไม่ได้เป็น PBL อีกต่อไป คุณ จจ ฃ่วย ขยายความนิดนึงว่า "กิจกรรมอะไร" ที่ทำให้ระบบการประเมินในชั้นคลินิกบิดเบี้ยวขนาด reverse หรือกลับขั้วเกรดได้ ผมเริ่มสงสัยว่า reference frame ของระบบตัดเกรดในชั้นคลินิกที่เรากำลังพูดถึงนี่มันเป็นของระดับชั้นไหนกันแน่ เพราะแต่ละ block (ถ้าเป็นนักศึกษาคลินิก) มันค่อนข้าง unique ยากแก่การตัดสินแบบ universal ว่าระบบให้คะแนนทั้งสามปีเป็นอย่างเดียวกันตลอดทั้งปี
แต่ถ้าพูดถึงแค่ชั้นปรีคลินิก คะแนนของปรีคลินิกกับคลินิกไม่จำเป็นต้องสัมพันธิเป็นแบบ _linear ตรงกันข้ามหลายๆคนที่สนใจปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยเยอะๆ จะเรียนอย่างมีความสุขขึ้น และเกรดก็ดีขึ้นด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับตอนปรีคลินิก
คำพูดหรือ presentation แบบที่อาจารย์ทุกคนจะชอบ (ไม่ว่า fake หรือไม่) คือคำพูดที่เคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย คนที่ไม่ทำ (ไม่ว่าโดยจงใจ หรือโดยกมลสันดานไม่เคารพผู้ป่วยอยู่แล้ว) ก็จะไม่ถูกนิยมชมชอบแน่นอน ฉะนั้นคนที่จะได้คะแนนดีจะมีกลุ่มเดียวแน่ๆ คือ คนที่ "แสดงออก" อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วย คนที่ไม่ได้เกียรนิยมหรือคะแนนไม่ดีเพราะปฏิบัติต่อผป.ไม่ดี ยังไงๆก็ไม่สมควรจะเป็นแพทย์อยู่แล้ว อย่าว่าถึงจะได้เกียรตินิยมเลยครับ
Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-15 , Time : 22:26:01 , From IP : 58.147.112.215
ความคิดเห็นที่ : 20
ขอแหล่งข้อมูลที่คุณ จจ อ่านมาได้ไหมครับว่างานวิจัยแบบไหนที่ได้ข้อสรุปว่าพวกที่เกียรตินิยมครึ่งหนึ่ง "ได้เพราะ" fake ต่อหน้าอาจารย์? และผลงานวิจัยนี้กล่าวถึงพวกที่ไมได้เกียรตินิยมหรือไม่ว่า fake ในกลุ่มนี้มีกี่เปอร์เซนต์ ขนาดพยายาม fake แล้วก็ยังซ่อม ยังตกกี่เปอร์เซนต์ ที่ถามเพราะว่าเราจะได้มี reference เดียวกันเวลาอ้างอิงข้อสรุป
ผมอ่าน จาก ความเห็น ของ คุณไม้บรรทัดเหล็กไหล ต่างหาก ครับ ไม่ใช่ ผมรู้มาเอง เขาเองก็ได้เกียตินิยม แต่ไม่ภูมิใจ ใน ความที่ได้เกียตินิยม
อ้อ ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เด็ก ไม่เก่ง อยากได้เกียตินิยม มากจริงๆ
Posted by : จจ , Date : 2006-02-17 , Time : 19:25:26 , From IP : 203.114.118.225
ความคิดเห็นที่ : 21
เราคงจะ "เข้าใจและรู้" ความรู้สึกแน่ๆ ก็ของเราเองเท่านั้นกระมังครับ ใช่หรือไม่?
ปีที่แล้ว ผมเข้าใจว่าบัณฑิตคณะแพทย์ได้เกียรตินิยม 1-2 รวมหลายสิบคน reference ว่าเป็นว่าได้จาก "fake" ซะ 50% นี่ คงต้องถามวิธี หรือเวลาเรารับฟังคงจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าผลสรุปมัน valid หรือไม่
"ถ้า" เกียรตินิยมเป็นสิ่งที่ดี ผมคิดว่า "ใครๆ" ก็มีสิทธิอยากได้ รวมทั้งคนที่อาจจะไม่มีโอกาสเข้าเรียนหนังสือเลยก็ยังได้ ทำไมถึงจะ "สงวนสิทธิ์" ไว้สำหรับคนเก่งเท่านั้น จึงจะอยากได้?
Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-18 , Time : 00:08:12 , From IP : 203-118-123-152.stat
ความคิดเห็นที่ : 22
ความอยากได้ เกียตินิยมเป็นสิ่งไม่ผิด คล้าย กับ อยากได้เงิน ไม่ผิด แต่ อย่า งก และ ขยัน หาความรู้ ดีกว่า มาเรียนแบบ เล่นๆ
อ้อ ผมขอเสริม เรื่องที่มี คนเขียน ข้างบน ว่า ก้าเกรดมี 4 ค่า A B C D เริ่มเกยตินิยม ที่ 3.00แต่ถ้ามีเกรดย่อย A+ B+ เกยตินิยม เริ่มที่ 3.25 ผมว่า มันน่า จะกลับกันนะ เพราะเมื่อ ตัดเกรด ย่อยมากขึ้น พวกที่ได้เกรด B หรือ 3.00 ขึ้นไป ยิ่งมีมากขึ้นอีก จริงหรือไม่ครับ
หวังว่า ความเห็นผม คงทำให้ คนบางคนที่เคยได้เกียตินิยม จะภูมิใจใน การเรียนรู้ที่ได้มาจริงๆ ของตนเองมากขึ้น
ยังไง การแก้ความเห็นคนที่สอนคนอื่นๆมายาวนาน คงไม่ใช่จะปรับได้ในคืนเดียว
Posted by : จจ , Date : 2006-02-18 , Time : 12:20:32 , From IP : 203.114.117.133
ความคิดเห็นที่ : 23
ถ้าผมเข้าใจถูกว่าคุณ จจ อยากจะแก้ความเห็นอะไรของผม ผมยินดีที่จะรับฟังครับ แต่ไม่แน่ใจว่าประเด็นไหนที่คุณ จจ ไม่เห็นด้วยจนกระทั่งอยากให้แก้
ปกติเวลามีความขัดแย้งทางความคิด ก็จะมีทางออกหลายรูปแบบ
agree to disagree
you must change and agree with me
I will change and agree with you
ฟังดูคุณ จจ อยากจะพยายาม category 2 ซึ่งผมว่าน่าสนใจว่ามันคือประเด็นไหน
ผมรู้จักเด็กเกียรตินิยมมาก็ไม่น้อย มีทุกแบบเหมือนๆคนธรรมดาๆทั่วๆไป จนเราไม่สามารถ judge ได้ว่าถ้าเป็นเกียรตินิยมปุ๊บ แปลว่า..... ถ้าไม่ได้เกียรตินิยมแปลว่า.....
Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-18 , Time : 12:40:20 , From IP : 203-118-113-235.stat
ความคิดเห็นที่ : 24
ผมไม่ได้อยากแก้ความคิดใคร แต่ เมื่อความคิดเห็นไม่ตรงกัน ย่อมมีการแสดงความรู้ หรือ แสดงข้อโต้แย้งกัน บ้าง
ผมเคยได้ยิน อาจารย์ บางคนพูดว่า เกียตินิยม โหล ฟัง แล้วมันเกินจริง ไปหน่อย
Posted by : จจ , Date : 2006-02-18 , Time : 13:31:01 , From IP : 125.25.2.114
ความคิดเห็นที่ : 25
อ่านะ
ทุกคนก็ต่างมีโลกส่วนตัวครับ
คิดยังไงก็ได้
แต่ความจริงนั้นมีแค่หนึ่งเดียว
ผู้ที่เข้าใจโลกและสามารถปรับตัวให้เข้ากับมันได้
ยอมรับไม่ปฏิเสธว่ามันไม่มีจริง
เท่านี้ท่านก็ดำรงชีวิตได้อย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งสังคมของตนเองสังคมบ้านสังคมโลก
บางคนอาจพอใจอยู่แค่คนเดียวก็ช่างเขาปะไร ปล่อยเขาไป
ถ้าเช่นนั้นเขามีสุขแล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญของเขา
ตัวผมเองมันพวกมีกรรม ยังต้องไขว่คว้า ค้นหาสิ่งสนองความอยาก คนต้องเวียนว่ายดิ้นรนกันต่อไป
คติประจำตัวของผม
ความเพียงพอ เป็นเส้นทางนำไปสู่ ความไม่พอเพียง
คนรวย อาจไม่ได้เป็นคนที่มีความสุข แต่บางคนก็มีความสุขได้
คนจน อาจจะมีสุขได้ไม่มีทุกข์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน
ถ้าเลือกได้ผมขอเป็นคนรวยที่มีความสุข
แต่อย่างเลวสุดผมขอเป็นคนรวยที่ทุกข์
ไม่ขอนำหน้าด้วยคำว่าจนเป็นพอ
เพราะสุขทุกข์/controlได้
แต่ จนมันง่าย รวยมันยาก
ผมมันเลวครับ
Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2006-02-21 , Time : 02:40:51 , From IP : 210-86-223-221.stati
ความคิดเห็นที่ : 26
คุณไม้บรรทัดเหล็กไหลจะรวยด้วย...เงิน...ที่ได้มาจากไหนคะ?
ถ้าจากภาษีประชาชนโดยรัฐบาลจ้าง...หนูไม่ค้านอะไร
ถ้าจากเงินออมของประชาชน...หนูก็ลังเลอยู่
หนูเคยเห็น...
คนป่วย ไปหาหมอ เอาเงินออมจากรายได้ไปจ่ายค่าซ่อมร่างกายที่เจ็บป่วย บางคนออมจากเงินเดือน บางคนเก็บจากค่าแรงงานรายวัน บางคนไม่มีออม ก็ต้องไปกู้ ไปยืมมา เอาเงินมาให้ "หมอ" ที่ไหนว่าเก่ง ว่าดี ขอให้หมอ "ช่วย" รักษา บางคนขอเพื่อตัวเอง บางคนขอเพื่อ พ่อ แม่ ลูก ผู้ซึ่งเป็น "ที่รัก" ของเขา
ครั้งที่เคยเห็น....หนูไม่แน่ใจ
จนวันหนึ่ง "เรา" เป็น
แม่ป่วย น้องป่วย พ่อป่วย ตัวเองป่วยเอง
ไม่มีรายได้เข้าบ้าน เพราะไม่ได้ทำงาน ต้องเอาเงินออมมาใช้ "ค่ารักษา ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ฯลฯ" ของคนป่วย และคนเฝ้าคนป่วย
ครั้งที่เคยเป็น...หนูจึงแน่ใจ
ว่าไม่อยาก...เลว...ค่ะ
แต่ก็ด้วยหนูยังไม่เห็น และไม่รู้จัก "ความเป็นจริงของชีวิต" มากนัก
ก็เลยได้แต่หวังว่า เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเติบโตขึ้น เมื่อได้เห็นและได้รู้จัก "ความเป็นจริงของชีวิต" ที่ใครๆเล่า แล้ว ...หนูจะไม่เปลี่ยนไป...
Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-21 , Time : 11:18:38 , From IP : 172.29.4.127
ความคิดเห็นที่ : 27
ถ้า พอใจในที่เรามี และไม่หวังในสิ่งที่ไม่สมควรได้ ก็รวยแล้ว
แต่ถ้า ไม่รู้จัก พอ มีเท่าใหร ก็ไม่รวย
ดูคนมีเงิน เจ็ดหมื่นล้านซิ อีกกี่ชาติ ถึงจะรวยเท่าเขา
อ้อ เคยมีเพื่อนสองคน คนนึงได้เกรด 3.24เคยเสียใจมาก ที่ไม่ได้เกียตินิยม แต่ก็เห็นได้เป็น อาจารย์ในมหาวิทยาลัย แต่คนที่ได้เกรด 3.6 กว่า เป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะ อย่างนั้น อย่างก คะแนน แต่ก็อย่าขี้เกียจ จนเกินไป
Posted by : จจ , Date : 2006-02-21 , Time : 21:13:04 , From IP : 210-86-223-221.stati
ความคิดเห็นที่ : 28
อ่านะ
ผมต้องการรวยครับ
และคนที่รวยในความคิดผมเป็นดังนี้ครับ
1.มีเงินใช้ไม่ขาดมืออยากได้อะไรก็สามารถซื้อได้เลยไม่ต้องคิดมาก
2.มีเวลาอยากทำอะไรก็ทำได้ตามความพอใจไม่ต้องไปทำงานก็มีเงินใช้
3.ไม่ต้องคิดถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะต้องไปหาเงินจากไหนดี
4.ไม่ต้องคิดว่าแก่ไปแล้วใครจะมาจ่ายเงินเลี้ยงดูตัวเรา
แล้วคุณคิดว่าผมจะรวยจากการเป็นหมอได้จริงหรือ
อาชีพที่ต้องทำงาน งกๆ เพื่อจะได้ค่าจ้างมาจากผู้อื่นที่จ่ายให้ ชาตินี้ไม่มีวันรวย
คนที่คิดว่าเรียนเก่งๆจะได้เป็นหมอมีเกียรติ มั่นคงและ รวย มันก็พวกโง่ดีๆนี่เอง
ตราบใดที่ยังเป็นลูกจ้างเขามันก็จนตลอดไป
ผมคิดว่านะ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้ว่านะ
ต่อไปคนที่เรียนหมอก็จะมีแค่สองประเภท
1.คนดี
2.คนโง่
ผมเป็นพวกคนโง่ครับ(ตอนเริ่มมาเรียน)
ตอนนี้กำลังคิดวิธีที่จะทำให้หายโง่หน่อย
คนเลวอย่างผมมันต้องทำเพื่อตนเองก่อนครับไม่ใช่เพื่อผู้อื่น
Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2006-02-22 , Time : 23:31:24 , From IP : 210-86-223-221.stati
ความคิดเห็นที่ : 29
ความคิดแบบ ขอให้รวย อย่าง อื่นเอาไว้ก่อน รวยก่อน ย่อมได้เปรียบ
น่านับถือจริงๆๆๆ
Posted by : จจ , Date : 2006-02-23 , Time : 11:42:26 , From IP : 61.19.24.122
ความคิดเห็นที่ : 30
WHO เสนอความเห็นว่า "คุณภาพชีวิต" นั้นเป็นองค์รวม ประกอบด้วยหลาย "มิติ" ได้แก่ กาย จิต สังคม จิตวิญญาณ
แต่ละขณะ ของแต่ละคน ก็จะอยู่ที่ "สมดุล" ของทั้งสี่มิติที่เปลี่ยนแปลงได้
จะเห็น "จุดร่วม" ก็ตอนที่เริ่มมีการแสวงหา "จิตวิญญาณ" เพื่อความสงบทางใจ ตรงนี้อาจจะลำบากหน่อยสำหรับบางท่าน อาจจะง่ายหน่อยสำหรับบางคน เพราะคำว่า "จิตวิญญาณ" นี้คืออะไร นิยามก็ดูจะเลื่อนลอย และจับต้องยาก เป็นนามธรรม รศ.สิวลี ศิริไล อาจารย์ด้านปรัชญาเคยว่าไว้ว่ามันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งของแต่ละบุคคลที่บ่งบอกถึงความหมายสูงสุด เป้าหมายแห่งชีวิต การคงอยู่ของเขา เป็นเครื่อง "ยึดเหนี่ยว" จิตใจ จิตวิญญาณ
ของบางอย่างเราคิดว่ามันมั่นคง ยึดไว้ก่อนไม่เสียหาย แต่สิ่งที่เราแลกไปโดยไม่รู้ตัวคือความยึดติด ความต้องการที่มากขึ้น จนกระทั่งละเลยของบางอย่างไป พระบรมปราชญ์แห่งประเทศไทยทรงมีเมตตาให้พระบรมราโชวาท "เพียงพอ" นั่นลึกซึ้งยิ่งนัก มีคุณค่าพอที่จะใคร่ครวญอย่างจริงจัง ไม่เข้าข้างตนเอง ว่า "เพียงพอ" อย่างไร ที่พระองค์ทรางมีพระราชดำรัสถึง พสกนิกรทุกคนจึง "สามารถทำได้"
ผมคิดว่าถ้าใครต้องประกาศย้ำเสมอๆว่า "ผมเลวๆ" ดังนั้น ผมถึงมีสิทธิ์ทำยังงี้ๆ อันนี้ยังไม่เป็นวิธีที่ชัดเจนครับ เพราะการประกาศแบบ anonymous นั้น มันไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าจะสะท้อน "ตนเอง" เป็นการส่วนตัวจริงๆแล้ว ไม่ต้องประกาศให้คนอื่น แต่กระซิบในใจตนเองดีกว่าว่า "เราเลวๆ" ไปเรื่อยๆ พิจารณาว่าสุขหรือไม่ อย่างไร ที่จะทดสอบให้แน่กว่านั้นก็คือ หาคนที่เรารัก ห่วงใยอย่างแท้จริง เช่น พ่อ แม่ ลูก ไปกราบเท้าท่าน หรืออุ้มเข้าที่ตัก บอกว่า "ลูกเลวๆ" หรือ "พ่อเป็นคนเลวๆ" ขอเห็นแก่ตัวก่อนคนอื่น ขอรวยๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทดสอบจิตวิญญาณหรือคุณภาพชีวิตที่เราแสวงหาอย่างแท้จริง
Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-25 , Time : 22:50:06 , From IP : 172.29.7.24
ความเห็นจาก Social Network : Facebook
สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<