ความคิดเห็นทั้งหมด : 47

คิว่าไง เรื่องคณะอื่นว่าเด็กแพทย์ หยิ่ง


   ได้ยินมาเยะ โดนกับตัวเองก้เคย ก็เลยถามว่า เด็กแพทย์ เองคิดอย่างไรครับ

Posted by : พีระ , E-mail : (ilikeitkk@hotmail.com) ,
Date : 2006-02-02 , Time : 09:19:44 , From IP : 125.24.19.1


ความคิดเห็นที่ : 1


   ม่ายจิง หมวยๆ น่ารักทั้งนั้น

Posted by : @^0^@ , Date : 2006-02-02 , Time : 09:40:21 , From IP : 172.29.1.236

ความคิดเห็นที่ : 2


   พูดกันทุกปีประเด็นนี้ พูดเองป่าวนิ

Posted by : Dr.K , Date : 2006-02-02 , Time : 09:41:09 , From IP : 172.29.9.241

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมว่าว่างๆ ก็ลองหากระทู้เก่าๆ อ่านนะครับ Postมาไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้งแน่ๆที่เห็น
ผมคิดว่าการPost คงเพื่อระบายอะไรบางอย่าง จริงไหม?


Posted by : คนผ่านมา , Date : 2006-02-02 , Time : 09:48:57 , From IP : 172.29.1.134

ความคิดเห็นที่ : 4


   คุณพีระคิดว่าไงเรื่องคณะอื่นว่า
เด็ก วจก. ...สวย... คะ?


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-02 , Time : 13:22:28 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 5


   มันก็มีคนทุกรูปแบบแหละ คณะอื่นก้อมีเยอะนี่
จำกันได้ไหม ตอนปี1ที่ได้ยินมากันว่า
ปี1 หยิ่ง ปี2 หยวน ปี3 ยอม ปี4 ???


Posted by : คนไร้หน้ากาก , Date : 2006-02-02 , Time : 14:13:37 , From IP : 172.29.4.195

ความคิดเห็นที่ : 6


   ถ้ามีคนตั้งกระทู้ทุกปีก็แสดงว่า มันมีความจริงอยู่บ้างล่ะดิ ถึงได้มีคนตั้ง
เรื่อง คณะ วจก. สวยนี้เห็นด้วยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


Posted by : คนไร้หน้าตา , Date : 2006-02-02 , Time : 14:21:35 , From IP : rx178.pharmacy.psu.a

ความคิดเห็นที่ : 7


   ถามความเห็นคุณ"คนไร้หน้าตา"ค่ะว่า...

คิดอย่างไรกับการที่

สมมติว่า....

ดิฉันจะแนะนำผู้ป่วยว่า "ป่วยไข้ไม่สบายให้มาหาหมอนะคะ อย่าไปซื้อยากินเองที่ร้านหมอตี๋ "


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-02 , Time : 15:35:02 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 8


   ตอบคุณ Lucifer ว่า "เห็นด้วยครับ เพราะว่าการมาหาแพทย์เพื่อรักษาเปป็นทางออกที่ถูกต้อง เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และไม่ควรไปหาหมอตี๋ เพราะว่าการหาที่ร้านหมดตี๋คุณจะไปเจอใครก็ไม่รู้มาจ่ายยาให้คุณ ที่สำคัญไปกว่านั้น เวลาไปหาแพทย์ก็อย่าลืมบอกเขาด้วยน่ะว่าแพ้ยาอะไรเดี๋ยว หมอ บางคนจะทำคุณตาบอดแบบคุณ ดอกรัก ได้ครับ"

Posted by : คนไร้หน้าตา , Date : 2006-02-02 , Time : 17:00:33 , From IP : rx192.pharmacy.psu.a

ความคิดเห็นที่ : 9


   "เดี๋ยว หมอ บางคนจะทำคุณตาบอดแบบคุณ ดอกรัก ได้ครับ"

หมอ...บางคน
เด็กแพทย์...บางคนหรือทุกคน?

แล้ว คณะวจก. ทุกคนมั้ยคะ?


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-02 , Time : 17:21:58 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 10


   ตกลงคุณดอกรัก "ถูกหมอทำตาบอด" หรือครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-02 , Time : 17:25:40 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 11


   ผมว่าเราไม่ควรเอาคณะอื่นมาเกี่ยวข้องน่ะครับ คุณ Lucifer() 2006-02-02 , 17:21:58 , 172.29.4.127
มันจะกลายเป็นบานปลายได้น่ะ คุณเอาคณะอื่นมาเกี่ยวข้อง หลายประโยคแล้ว


Posted by : สมพร , E-mail : (sompon@hotmail.com) ,
Date : 2006-02-02 , Time : 19:47:10 , From IP : 192.168.57.238


ความคิดเห็นที่ : 12


   ผมคิดว่าเราไม่ถึงกับมี "หัวข้อต้องห้าม" ที่จะพูด แต่น่าจะเป็น "บางประเด็น" ที่ sensitive ที่ถ้าจะเตือน ก็อาจจะต้องมีการ specify ว่าตรงไหน อย่างไร

กระดานข่าวเป็นที่ที่ฝึกหัดการแสดงออก และผมคิดว่า various issues ที่สามารถจะแสดงออกได้ รวมทั้ง ethical หรือ controversial issues เป็นเวทีที่ดีครับ ถ้ามีการล้ำเส้นตรงไหน อย่างไรก็ช่วยๆกันชี้แนะก็ดีครับ เจตนาของทั้งคนพูดและคนฟังก็เป็นอีกประเด็นที่น่าจะมีการตรวจสอบถามกันอย่างศิวิไลซ์ได้ ว่าที่พูดไปหมายความว่าอย่างไร บางทีเราคิดว่าไม่ควร เพราะว่าเราได้ "ตีความ" ไปอย่างหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะสื่อก็ได้





Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-02 , Time : 20:07:30 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 13


   เพราะเหตุใดเราจึงไม่ควรเอ่ยอ้างถึง "คณะ" อื่นล่ะคะ

ถ้าเราอ้างถึง "คณะ" อื่น แล้วมันจะกลายเป็นบานปลายไปได้อย่างไร


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-02 , Time : 20:07:59 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 14


   คุณ Phoenix ช่วยบอกเด้กคนนี้หน่อยว่าทำไม คุณเป็นอาจารย์คุณน่าจะพูดได้ดีกว่าผม ผมขี้เกียจแล้ว

Posted by : สมพร , E-mail : (sompon@hotmail.com) ,
Date : 2006-02-02 , Time : 21:40:59 , From IP : 125.24.19.1


ความคิดเห็นที่ : 15


   เห็นด้วยกับคุณสมพรค่ะ

หนูเป็น "แค่" นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกซึ่งประมาณตนว่ายังเป็น "แค่นักศึกษา" ยังไม่ถึงพร้อมด้วยปัญญาพอที่จะสอนใคร ก็เลยตั้งคำถามชวนคิดเล่นๆ ไปเรื่อยๆ เผื่อใครสนใจ จะได้คำตอบด้วยการ "คิดเอง" ได้บ้าง

ครั้นจะ copy คำสอนอาจารย์มา paste ก็จะกระไรอยู่ไหนๆ เจ้าสำนักก็มาเองแล้ว
เรียนเชิญอาจารย์ตอบคำถามเปิดโลกทัศน์แก่เด็กๆ เสียหน่อยนะคะ
1. เพราะเหตุใดเราจึงไม่ควรเอ่ยอ้างถึง "คณะ" อื่นล่ะคะ

2. ถ้าเราอ้างถึง "คณะ" อื่น แล้วมันจะกลายเป็นบานปลายไปได้อย่างไร


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-02 , Time : 22:36:45 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 16


   หนู ..."เชิญ"... อาจารย์ Phoenix นะคะ
จะตอบหรือไม่ก็แล้วแต่...กรุณา...

ไม่ได้ขี้เกียจคิด ขี้เกียจตอบแต่อย่างใด
อาจารย์จะตอบ ดี หรือไม่ดี อย่างไร ก็ยังไม่ได้คาดหวัง ณ ขณะนี้ค่ะ






Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-02 , Time : 23:01:43 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 17


   ดิฉันว่า บางครั้งที่เจตนาดีของเราเพื่อตั้งคำถาม "ชวนคิดเล่นๆ" มันอาจเป็นคำถามกวนประสาทได้น่ะค่ะ อย่างคำถามชวนคิดเล่นๆ ของในกระทู้นี้

บางที ดิฉัน ว่าตอบไปตรงๆ แบบที่เราคิดดีกว่ามั้ยค่ะ ไม่ต้องถามย้อนไปย้อนมา


Posted by : ดิฉัน , Date : 2006-02-02 , Time : 23:14:25 , From IP : 125.24.19.1

ความคิดเห็นที่ : 18


   อืม... ตั้งแต่ประมาณ 3 ปีก่อน ตอนที่ผมเข้ากระดานนี้ใหม่ๆ ผมเคยแสดงความเห็นเรื่องการ ban การแสดงความเห็นไปแล้วรอบหนึ่ง ปกติแล้วนอกเหนือจากกฏมาตรฐานของ message board ทั่วๆไป ที่ ban การก่นด่ากัน การทำ personal attack บุคคลที่สองที่สามโดยไม่ได้มีอะไรประเทืองคนอ่าน นอกเหนือจากนั้น everything goes

ผมยังเคยแสดงความเห็นด้วยว่า identity ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคในการแสดงความเห็น (โดยนัยหมายความว่าเราจะ treat คนอื่นอย่างศิวิไลซ์เท่าเทียมกันนะครับ ไม่ใช่ treat อย่าง uncivilized เท่าเทียมกัน!!) และในทำนองกลับกัน เราควรจะหลีกเลี่ยงการใช้คำพูด การแสดงออกที่เราเองจะละอายไม่กล้าใช้หากมีคนรู้ identity ของเรา

ดังนั้นประเด็นที่ว่าทำไมดังกล่าว ผมว่ารอคุณสมพรหมดความขี้เกียจมาเฉลยให้ฟังน่าจะตรงโจทย์ตรงจำเลยมากกว่า

"วิธี" การตอบหรือถามหรือการแสดงออกมีหลากหลายวิธี และเราเองก็จะไม่ได้ชอบทุกวิธี รวมทั้งคนอื่นทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องชอบของเราเสมอไป แต่ตราบใดที่มันเป็นการสื่อสารในขอบเขตที่เข้าใจกันได้ เป็น constructive ผมว่ามันก็น่าจะ OK ที่จะใช้ หรือพยายามรับฟัง ถ้ารับไม่ได้จริงๆก็ถามความหมายกันเสียก่อนว่าที่พูดไปหมายความว่าอะไร จะได้อภิปรายต่อได้ว่า ณ ที่นั้นๆ ที่นี้ๆ มันถูกกาละเทศะที่จะถกกันหรือไม่

communication skill มีความสำคัญต่ออาชีพแพทย์อย่างมาก เราต้องเจอคนมากมายหลากหลาย และส่วนใหญ่ยังไม่ได้อยู่ในภาวะปกติที่จะปรับตัวง่ายดาย หรือมองอะไรในแง่ดีซะด้วย ถ้าเราวางเงื่อนไขมากมายเกินไปก็อาจจะไม่คล่องเท่าที่ควร ผมยังคิดว่าหลายๆกระทู้ที่เคยถูกลบไป มีประเด็นน่าสนใจ มีความเห็นที่น่าสนใจ พอที่จะกลับมาอ่านใหม่เมื่ออารมณ์ทุกอย่าง calm down ลงแล้ว ตรรกะมันจะมาแทนที่ และเราจะได้เห็นอีกมุมของบทสนทนาได้

ทั่วๆไป เทคนิก Socrates ก็ยังเป็นวิธียอดนิยมในการสนทนาบนกระดานข่าว (อย่างน้อยก็แถวๆที่เคยใช้มาที่อื่น) ได้แก่การ clarify และ reasoning มุมของทุกฝ่ายออกมาวางบนโต๊ะ ให้เหลืออะไรที่ "สรุปเอาเอง" น้อยที่สุด เหมือนกับวิธีที่เราซักคนไข้โดยให้เขาเล่าเรื่อง หมอไม่ต้องเดาหรือตีความเอาเองมากเกินไป เราจะได้เข้าใจผป.ได้ดีขึ้น ทราบถึงมิติที่ลึดขึ้นของความทุกข์ของคนไข้

น่าจะดี



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-03 , Time : 00:13:35 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 19


   แปลกดีน่ะ

[[[[[[[[[[หนูเป็น "แค่" นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกซึ่งประมาณตนว่ายังเป็น "แค่นักศึกษา" ]]]]]]]]]]]

มีเวลานั่งอ่านกระทู้ ตอบทั้งวันเลยน่ะค่ะ

Lucifer() 2006-02-02 , 13:22:28 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 15:35:02 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 17:21:58 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 20:07:59 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 22:36:45 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 23:01:43 , 172.29.4.127

เหมือนว่างงาน หรือว่าอ่านหนังสือเตรียมสอบเสร็จแล้ว จึงว่าง











Posted by : จุฑาภรณ์ , E-mail : (kjutapon@yahoo.com) ,
Date : 2006-02-03 , Time : 20:47:49 , From IP : 125.24.67.1


ความคิดเห็นที่ : 20


   ก็ไม่มีเรียนตั้งแต่ 12.30 น. ก็เลยอ่านไปด้วยตอบไปด้วย พอดีวิชาที่สอบต้องหาข้อมูลจาก Internet ด้วยน่ะค่ะ แล้ว notebook มันก็ตั้งห่างจากมือแค่ช่วงแขนเองนี่คะ อีกอย่างตามปกติถ้าเป็นไปได้ก็จะต่อ net ด้วย อ่านหนังสือด้วยเพราะสะดวกดีเวลาต้องการค้นข้อมูลก็จะเร็วกว่าเปิดหนังสือค่ะ ยิ่งเป็นการอธิบายด้วยภาพแล้วจะสวยกว่า เข้าใจง่ายกว่า มีจำนวนมากกว่า ไปหาดูในหนังสือเยอะเลย แล้วก็ข้อมูลที่ search ได้ก็ update มากกว่าในหนังสือนะคะ อย่างพวกรายงานการศึกษา รายงานวิจัย ยิ่งสะดวกกว่าไปค้นในห้องสมุด ก็เลยชอบวาง Notebook ไว้ใกล้มือ แล้วก็เลยไม่รู้สึกลำบากอะไรกับการสลับหน้าต่างไปๆมาๆ น่ะค่ะ

Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-03 , Time : 22:06:26 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 21


   เรียนอาจารย์ Phoenix ค่ะ

คือว่าหนูไม่สะดวกใจจะ copy then paste จริงๆนะคะ เนื่องจากเกรงใจ
เพราะว่าเรื่อง generalize & streotype อาจารย์เป็นคนแรกแล้วก็คนเดียวที่สอนหนู แล้วหนูก็ยังไม่มีส่วนเสริมเพิ่มเติมอะไรจากเดิม เว้นเสียแต่ว่าอาจารย์จะไม่กรุณาจริงๆ ตอนนี้หนูก็ว่างพอที่จะ "ไม่รอ" แล้วล่ะค่ะ


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-03 , Time : 22:40:08 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 22


   เนื่องจากเห็นว่าออกจะไร้สาระและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร(แก่ตัวเอง) กับการเข้ามาพิมพ์ประโยคเช่น
“เห็นด้วยค่ะ แล้วก็เห็นมาตั้งนานแล้วด้วย” หรือ
“ไม่จริงค่ะ ตอนก่อนเป็นนักศึกษาแพทย์ถูกกล่าวหาบ่อยๆว่า หยิ่ง แต่พอเป็นนักศึกษาแพทย์แล้วไม่ค่อยจะถูก ว่า บางคนที่สนิทๆด้วยทำท่าไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าดิฉันเคยถูกกล่าวหาว่า ...หยิ่ง...”
นอกเสียจากว่า degree ความร้อนแรงจะทำให้ไฟขึ้น จากนั้นก็จะมีคนมาสาดอารมณ์ประสบการณ์ ก่นด่า กล่าวหาคนอื่น หรือปกป้องตนเอง ปกป้องคณะ และพวกพ้อง ซึ่งอาจจะไปลงเอยด้วยกระทู้ถูกลบ หรือทำให้ board ซึ่งดิฉัน “เคารพ” มากเสียยิ่งกว่าห้องเรียนบางห้องคล้ายจะกลายเป็น “ถังขยะ” ไป

การเริ่มต้นอภิปรายกระทู้นี้คงจะพลาดไปหน่อยที่ไม่ได้เริ่มคำถามเพื่อ clarify คำว่า “หยิ่ง” ให้เข้าใจเป็นที่ตรงกัน แต่ไปคิดเองว่า หยิ่ง = negative aspect of interpersonal interaction

Generalization หรือ stereotyping โดยปกติเมื่อกล่าวถึง “คณะ” ใด มักจะไปลงเอยที่ลักษณะ overconclusion ซึ่ง “ตัวอย่างผลของการ stereotype หรือ over-conclusion ในสังคมมีมากมาย บางอย่างรุนแรงน่ากลัว” เช่น คนใต้ใจดำ คนจีนขี้โกง หรือ ลาวเอ๊ย เสร่อจริง อะไรทำนองนี้ หรือ แม้แต่เมื่อ มีหนังสือบางเล่มเขียนโดยชาวต่างชาติว่า “the city of Bangkok, where sex is sold openly on the street and the police are corrupt.” เรา...รู้สึก...อย่างไร แล้ว คนใต้ คนจีน คนลาวจะรู้สึกอย่างไร เราคิดว่า เราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับประโยคนี้อย่างไร แล้วคนใต้ คนจีน คนลาว หรือคนคณะแพทย์จะตอบสนองกับคำเหล่านั้นอย่างไร

อย่างไรก็ดี

“สิ่งที่คนอื่น "สะท้อน" ตัวเราก็คงจะสำคัญ ไม่ถึงกับที่เรามั่นใจว่าเราถูกต้องแล้วจะไม่ concern อะไรเลย”

“ สฬายตนะของเรานั้นมีขีดจำกัด ลำพัง concrete actions ต่างๆอย่างเดียว เมื่อมารวมกับพื้นฐาน คติ อคติ ของความคิดของเรา ลักษณะพฤติกรมการใช้เหตุผลของเรา ความเชื่อ ศรัทธาของเรา ในที่สุดก็จะออกมาเป็นระบบความคิดและบุคลิกตัวตนของเราเอง (ใส่หรือไม่ใส่หน้ากากก็เถอะ)”

“ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวจะเห็นว่า feedback หรือ reflection ก็ตาม น่าสนใจจากมุมมองและข้อจำกัดที่ว่านี้เสมอ นั่นคือสิ่งที่เราคิด รู้สึก หรือเชื่อนั้น ไม่จำเป็นที่ "ผู้อื่น" จะรับรู้ได้ถูกต้องแม่นยำ แต่นั่นคือสิ่งที่คนเขารับรู้กัน ในขณะเดียวกันเรื่องที่เรารับรู้ หรือเชื่อว่าคนอื่นเขาเชื่อ เขาทำอย่างนั้นเพราะอย่างนั้น เพราะคิดอย่างนี้ บ่อยครั้งที่เรากำลัง "เลย" ขีดจำกัดของเราไปในการเดา”

“สิ่งที่คนอื่นเขาคิดและคาดหวังจากเรา ถึงมันไม่ได้ถูกต้องตรงตามที่เราคิด เราศรัทธา เรากระทำจริงๆ แต่มันมีผลต่อ "outcomes" ที่ตัวเราเองคิดว่าสำคัญหรือไม่? ถ้ามี ไม่ว่ามันถูกหรือผิดก็น่าจะเป็นเรื่องที่ concern เช่น มันมีผลต่อความไว้วางใจในอาชีพการงานเราหรือไม่ หรือมีผลต่อภาพพจน์ ภาพลักษณ์โดยรวมของวิชาชีพทั้งหมดรึเปล่า?”

ดังนั้นเรื่องที่จะอภิปรายต่อไปก็จะเป็นเรื่องของ “interpersonal interaction”


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 00:28:26 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 23


   “สัมพันธภาพเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กันแล้ว ลักษณะประจำตัวของแต่ละคนจะส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของอีกฝ่ายทันที(interpersonal influence) การรับรู้อิทธิพลของคู่ปฏิสัมพันธ์นั้นจะเป็นไปใน 3 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกเป็นการรับรู้ผลกระทบหรืออิทธิพลที่ส่งมาทั้งหมด(Unilateral effect) ขั้นที่สองเป็นการแปลความสิ่งที่ได้รับรู้ทั้งหมดและเกิดปฏิกิริยากับทุกมิติของข้อมูลที่ได้รับ(Reciprocal effect) ปฏิกิริยานี้ยังเป็นเพียงความคิดและท่าที ที่ยังมิได้โต้ตอบไปจริง จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นขั้นตอนการแสดงออกที่ผ่านกระบวนการคิดและเลือกสรรรูปแบบของพฤติกรรมที่ได้ปรับแก้หรือคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว(Mutual adaptation), สุรพล พยอมแย้ม(2548)

เมื่อเราต้องติดต่อ เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับผู้อื่น เราก็คาดหวังว่า จะประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธภาพ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างสัมพันธภาพต่อไป ทีนี้ เมื่อ พลาดไปจากที่หวังแต่ละคนก็จะมีการตอบสนองต่อความผิดหวังไปต่างๆ กัน เช่น บางคนอยากรู้ว่าดิฉัน จะคิดเห็นอย่างไร กลายเป็นว่าไม่ตอบเสียที ตั้งคำถามอยู่ได้เรื่อยๆ ก็อาจจะแปรเป็นความรู้สึกว่า “ประสาทถูกรบกวน” ก็เลยบอกให้ “ดิฉัน ตอบไปตรงๆ แบบที่เราคิดดีกว่า ไม่ต้องถามย้อนไปย้อนมา” เข้าใจว่าน่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อ ลดความไร้เสถียรภาพของ “ประสาท” เป็นต้น

แต่การที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า

“แปลกดีน่ะ”
[[[[[[[[[[หนูเป็น "แค่" นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกซึ่งประมาณตนว่ายังเป็น "แค่นักศึกษา" ]]]]]]]]]]]
มีเวลานั่งอ่านกระทู้ ตอบทั้งวันเลยน่ะค่ะ

Lucifer() 2006-02-02 , 13:22:28 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 15:35:02 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 17:21:58 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 20:07:59 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 22:36:45 , 172.29.4.127
Lucifer() 2006-02-02 , 23:01:43 , 172.29.4.127

เหมือนว่างงาน หรือว่าอ่านหนังสือเตรียมสอบเสร็จแล้ว จึงว่าง

ดิฉันยังสงสัยในเจตนาของเจตนา การสร้างสัมพันธภาพ และยังสงสัยว่าผู้ที่ตั้งข้อสังเกตจะอธิบายหรือมีสมมติฐานเกี่ยวกับ unilateral effect และ reciprocal effect อย่างไร จึงะท้อนขั้นตอนการแสดงออกที่ผ่านกระบวนการคิดและเลือกสรรรูปแบบของพฤติกรรมที่ได้ปรับแก้หรือคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว ออกมาเป็นข้อสังเกตดังที่กล่าวมา




Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 00:29:57 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 24


   อ้อ...ลืมอีกคำ

เด็กแพทย์ = นักศึกษา(ระดับก่อนปริญญา) คณะแพทยศาสตร์

หรือเปล่าคะ เดี๋ยวจะอภิปรายผิดวัตถุประสงค์ไปอีก


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 00:58:01 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 25


   ถ้าอาจารย์จะไม่กรุณาตอบคำถามก็กรุณาพักผ่อนให้เพียงพอเสียหน่อยนะคะ
หนูได้ยินเขาเล่าว่า...ต้องใช้ mask มาเกือบสัปดาห์กับ
ได้ยินเสียง "ไอ" มา 2 วันแล้ว


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 01:04:08 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 26


   "คนจะโดนทิ้งเธอรู้บ้างไหม หัวใจของฉันเจ็บๆสักเท่าไร"

Posted by : คนไร้หน้ากาก , Date : 2006-02-04 , Time : 01:48:02 , From IP : 172.29.4.195

ความคิดเห็นที่ : 27


   ไหนๆ ก้ไหนน่ะครับ ขอวิจารณ์ตรงๆ แบบไม่ยียวน ไม่โยกโย้ แบบเข้าใจง่ายน่ะครับ

ข้อแรก เวลาคนอื่นมาพูดถึงคณะเราไนทางที่ไม่ค่อยดี มันก็จะทำให้เราไม่พอใจ อย่างเช่น "เรื่องคณะอื่นว่า เด็ก วจก. ...สวย... คะ?" เด้ก วจก มาได้ยิน ผมว่าเขาคงไม่พอใจเช่นกัน แล้วก็จะมีเข้ามาด่ากัน แบบที่ คุณ Phoenix ว่ามัน sensitive ไงครับ

ข้อสอง จากข้อสังเกต ของผม ผมมองในแง่ของผมว่า ลักษณะการพูดของคุณLucifer() 2006-02-04 , 01:04:08 , 172.29.4.127 ไม่ค่อยมีความเคารพต่อคนอื่นน่ะครับ ออกจะยียวน เหมือนบางประโยคทำไมไม่ตอบไปตรงๆ แต่มาตั้งคำถามย้อนไปย้อนมา การตอบแบบนี้มันมองได้สองอย่างน่ะ คือ จะมองว่าคุณเก่งจังเลยครับช่างพูดช่างเจรจา แต่อีกมุมนึงคือคุณกวนประสาทคนอื่นอยู่

ที่ออกมาพูดนี่ก็ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวน่ะครับ แต่ผมเองอายุ 35 แล้ว และหากคุณเองเป็นนักศึกษาชั้นคลินิกจริง คงอ่อนกว่าผมหลายปี คงเป็นการพี่สอนน้องน่ะครับ



Posted by : สมพร , E-mail : (sompon@hotmail.com) ,
Date : 2006-02-04 , Time : 10:45:32 , From IP : 125.24.67.1


ความคิดเห็นที่ : 28


   ขอบคุณ พี่สมพรค่ะ
บางเรื่องรู้แล้วก็ยังอยากให้สอน บางเรื่องไม่รู้ก็อยากให้พี่แนะนำ
ถ้าบังเอิญมีเหตุจะทำให้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ "เอ็นดู" น้องหน่อยนะคะ


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 13:09:36 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 29


   บริบทพัฒนาการและการเจริญเติบโตของดิฉันมีส่วนอยู่มากที่ทำให้ “บางครั้ง” การแสดงออก "ดูเหมือน" ไม่เคารพ โดยเฉพาะผู้ที่อาวุโสกว่า ด้วยความที่คุณย่ามีลูก 9 คน รุ่นหลานคือ 3 rd generation จึงมีอายุห่างกันมาก พี่เขยคนหนึ่งอายุน้อยกว่าคุณพ่อดิฉันเพียงแค่ 5-6 ปี ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องบางคนอายุมากกว่าคุณแม่ดิฉันเสียอีก ดิฉันเป็นลำดับเกือบบ๊วยของ 3rd generation ดังนั้นจึงอายุน้อยกว่าพวกพี่ๆ คราวลูก เรามีธรรมเนียมของตระกูลข้างพ่อคือลำดับญาติที่ค่อนข้างเคร่งครัด 4th generation คนแรกอ่อนกว่าดิฉันเพียง 1 ปี และอายุมากกว่าน้องของดิฉัน 1 ปี เธอก็ต้องเรียกเราทั้งคู่ว่า "อา" สัมพันธภาพรวมถึงความเคารพระหว่างเราก็เป็น อากับหลาน ไม่ใช่ พี่กับน้อง อย่างที่น่าจะเป็น(ตามอายุ)
ดิฉันกับน้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ "อายุ" ไม่ได้เป็น barrier ในการสื่อสาร การพูดคุยกับผู้ใหญ่อายุ 30-50 ปี ก็เป็นการพูดคุยสั่งสอนอย่างพี่กับน้องบอกกล่าวกัน บ่อยครั้งจึงมีคนตั้งข้อสังเกตว่าครอบครัวเราเลี้ยงลูกกันอย่างไร "มันถึงโตมาเป็นแบบนี้"

มีนิทานลาวเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้ฟัง
(เพิ่งจะได้มาจากเทศกาลหนังสือใต้ตึกแดงของเรานี่เอง)
เรื่องนกพูดได้
นานมาแล้ว มนุษย์เราได้จับนกชนิดหนึ่งมาเลี้ยงไว้ เพราะนกชนิดนี้สามารถเรียนภาษามนุษย์ ได้ดีกว่านกแก้วหรือนกขุนทอง และนกที่กล่าวถึงนี้ก็ใช่ว่าจะเรียนพูดเฉพาะที่คนสอนเท่านั้น แต่มันสามารถพูดตามที่มันคิดได้ด้วยจึงนับว่า เป็นนกที่พิเศษกว่านกทั้งหลายในครั้งนั้น
ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งได้เลี้ยงนกชนิดนี้ไว้ตัวหนึ่ง ชายผู้นี้ได้ไปขโมยควายของเพื่อนบ้านมาฆ่ากิน ส่วนที่เหลือเอาไปซ่อนไว้ในยุ้งข้าว วันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้านก็ออกตามหาควาย และถามชายผู้นี้ว่า เห็นควายของเขาบ้างไหม ชายคนนี้ตอบว่า “ไม่เห็น” ขณะนั้น นกที่เลี้ยงไว้ก็ร้องออกมาว่า
“เขาฆ่ามันแล้วล่ะ เขาแบ่งไว้ตามยุ้งข้าว และที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง” แต่ชายผู้นั้นปฏิเสธ
ต่อมาเรื่องราวก็ไปถึงขั้นตอนการพิสูจน์ในชั้นศาล ลงเอยที่ว่า เจ้าของนกที่เป็นขโมยถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เพราะเชื่อว่านกกล่าวโทษโดยไม่เป็นความจริง และนกถูกปล่อยเข้าป่าไป
คราวหนึ่ง นกตัวนี้ได้พบกับนกแก้วและนกขุนทองเข้าก็รู้ว่าเป็นนกแปลกถิ่นมา มันจึงถามอีกา และนกฮูกดูว่า นกทั้งสองนี้เป็นอย่างไร
“ก็สวยงามดีอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ และนอกจากสวยแล้วยังพูดภาษามนุษย์ได้ด้วย”
“พูดภาษามนุษย์ได้......ฉันอยากจะเตือนให้เขารู้ตัวไว้ ขอให้ได้พูดคุยกับเขาสักหน่อยเถิด”
แล้วนกทั้งสามก็บินไปหานกแก้วและนกขุนทอง เมื่อพบกัน นกที่ถูกกล่าวหาว่าโกหกก็พูดขึ้นว่า
“เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้พวกท่านได้ทราบ ถึงความประหลาดในดินแดนแถบนี้
เราได้ทราบว่า พวกท่านพูดภาษามนุษย์ได้ ซึ่งก็เช่นเดียวกับเรานี่แหละ
เราได้ถูกพวกมนุษย์ จับไปเลี้ยงดูอยู่หลายปีทีเดียว เราได้เห็นด้วยตา และได้ยินกับหูของเรามาเอง เราถูกห้ามพูดในสิ่งที่เรารู้ เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นที่พอใจของคนที่เลี้ยงไว้
เมื่อก่อนนี้ พวกมนุษย์เคยพูดดีกับเรา เราจึงอยากเตือนพวกท่านว่า ถ้ามนุษย์รู้ว่าท่านพูดได้ เขาก็จะจับท่านไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน แต่ถ้าหากท่านพูดได้เกินที่เขาสอน เขาก็จะทำโทษ ขับไล่ท่านออกจากบ้าน เพราะพวกมนุษย์ไม่ชอบนกที่ฉลาดกว่า หรือซื่อสัตย์กว่าพวกเขา”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นกแก้วและนกขุนทอง ก็ไม่พยายามพูดตามที่มันคิด แต่ทว่า พูดเฉพาะที่มีคนสอนให้มันเท่านั้น เพราะมันเกรงว่าจะถูกทำโทษเหมือนนกตัวนั้น....

ดิฉันบอกน้องๆเสมอว่า "พี่ไม่เคยขอให้เธอเคารพ ความอาวุโสของพี่ แต่พี่ขอให้เธอเคารพ autonomy ของพี่เช่นที่พี่เคารพพวกเธอ"


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 14:29:57 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 30


   รู้สึกจะอ่านยาก ตาลายไปหมด ลองใม่นะคะ เผื่อว่าจะง่ายขึ้นบ้าง

บริบทพัฒนาการและการเจริญเติบโตของดิฉันมีส่วนอยู่มากที่ทำให้ “บางครั้ง” การแสดงออก "ดูเหมือน" ไม่เคารพ โดยเฉพาะผู้ที่อาวุโสกว่า ด้วยความที่คุณย่ามีลูก 9 คน รุ่นหลานคือ 3 rd generation จึงมีอายุห่างกันมาก พี่เขยคนหนึ่งอายุน้อยกว่าคุณพ่อดิฉันเพียงแค่ 5-6 ปี ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องบางคนอายุมากกว่าคุณแม่ดิฉันเสียอีก ดิฉันเป็นลำดับเกือบบ๊วยของ 3rd generation ดังนั้นจึงอายุน้อยกว่าพวกพี่ๆ คราวลูก เรามีธรรมเนียมของตระกูลข้างพ่อคือลำดับญาติที่ค่อนข้างเคร่งครัด 4th generation คนแรกอ่อนกว่าดิฉันเพียง 1 ปี และอายุมากกว่าน้องของดิฉัน 1 ปี เธอก็ต้องเรียกเราทั้งคู่ว่า "อา" สัมพันธภาพรวมถึงความเคารพระหว่างเราก็เป็น อากับหลาน ไม่ใช่ พี่กับน้อง อย่างที่น่าจะเป็น(ตามอายุ)

ดิฉันกับน้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ "อายุ" ไม่ได้เป็น barrier ในการสื่อสาร การพูดคุยกับผู้ใหญ่อายุ 30-50 ปี ก็เป็นการพูดคุยสั่งสอนอย่างพี่กับน้องบอกกล่าวกัน บ่อยครั้งจึงมีคนตั้งข้อสังเกตว่าครอบครัวเราเลี้ยงลูกกันอย่างไร "มันถึงโตมาเป็นแบบนี้"

มีนิทานลาวเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้ฟัง
(เพิ่งจะได้มาจากเทศกาลหนังสือใต้ตึกแดงของเรานี่เอง)

เรื่องนกพูดได้

นานมาแล้ว มนุษย์เราได้จับนกชนิดหนึ่งมาเลี้ยงไว้ เพราะนกชนิดนี้สามารถเรียนภาษามนุษย์ ได้ดีกว่านกแก้วหรือนกขุนทอง และนกที่กล่าวถึงนี้ก็ใช่ว่าจะเรียนพูดเฉพาะที่คนสอนเท่านั้น แต่มันสามารถพูดตามที่มันคิดได้ด้วยจึงนับว่า เป็นนกที่พิเศษกว่านกทั้งหลายในครั้งนั้น

ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งได้เลี้ยงนกชนิดนี้ไว้ตัวหนึ่ง ชายผู้นี้ได้ไปขโมยควายของเพื่อนบ้านมาฆ่ากิน ส่วนที่เหลือเอาไปซ่อนไว้ในยุ้งข้าว วันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้านก็ออกตามหาควาย และถามชายผู้นี้ว่า เห็นควายของเขาบ้างไหม ชายคนนี้ตอบว่า “ไม่เห็น” ขณะนั้น นกที่เลี้ยงไว้ก็ร้องออกมาว่า
“เขาฆ่ามันแล้วล่ะ เขาแบ่งไว้ตามยุ้งข้าว และที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง” แต่ชายผู้นั้นปฏิเสธ

ต่อมาเรื่องราวก็ไปถึงขั้นตอนการพิสูจน์ในชั้นศาล ลงเอยที่ว่า เจ้าของนกที่เป็นขโมยถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เพราะเชื่อว่านกกล่าวโทษโดยไม่เป็นความจริง และนกถูกปล่อยเข้าป่าไป

คราวหนึ่ง นกตัวนี้ได้พบกับนกแก้วและนกขุนทองเข้าก็รู้ว่าเป็นนกแปลกถิ่นมา มันจึงถามอีกา และนกฮูกดูว่า นกทั้งสองนี้เป็นอย่างไร

“ก็สวยงามดีอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ และนอกจากสวยแล้วยังพูดภาษามนุษย์ได้ด้วย”

“พูดภาษามนุษย์ได้......ฉันอยากจะเตือนให้เขารู้ตัวไว้ ขอให้ได้พูดคุยกับเขาสักหน่อยเถิด”

แล้วนกทั้งสามก็บินไปหานกแก้วและนกขุนทอง เมื่อพบกัน นกที่ถูกกล่าวหาว่าโกหกก็พูดขึ้นว่า

“เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้พวกท่านได้ทราบ ถึงความประหลาดในดินแดนแถบนี้
เราได้ทราบว่า พวกท่านพูดภาษามนุษย์ได้ ซึ่งก็เช่นเดียวกับเรานี่แหละ
เราได้ถูกพวกมนุษย์ จับไปเลี้ยงดูอยู่หลายปีทีเดียว เราได้เห็นด้วยตา และได้ยินกับหูของเรามาเอง เราถูกห้ามพูดในสิ่งที่เรารู้ เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นที่พอใจของคนที่เลี้ยงไว้

เมื่อก่อนนี้ พวกมนุษย์เคยพูดดีกับเรา เราจึงอยากเตือนพวกท่านว่า ถ้ามนุษย์รู้ว่าท่านพูดได้ เขาก็จะจับท่านไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน แต่ถ้าหากท่านพูดได้เกินที่เขาสอน เขาก็จะทำโทษ ขับไล่ท่านออกจากบ้าน เพราะพวกมนุษย์ไม่ชอบนกที่ฉลาดกว่า หรือซื่อสัตย์กว่าพวกเขา”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นกแก้วและนกขุนทอง ก็ไม่พยายามพูดตามที่มันคิด แต่ทว่า พูดเฉพาะที่มีคนสอนให้มันเท่านั้น เพราะมันเกรงว่าจะถูกทำโทษเหมือนนกตัวนั้น....

ดิฉันบอกน้องๆเสมอว่า "พี่ไม่เคยขอให้เธอเคารพ ความอาวุโสของพี่ แต่พี่ขอให้เธอเคารพ autonomy ของพี่เช่นที่พี่เคารพพวกเธอ"


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 14:57:46 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 31


   นิทานเรื่องนี้สอนให้ "เรา" รู้ว่า...?



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-04 , Time : 17:19:47 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 32


   หนูก็กลัวการ "ผจญภัย" ในป่ากว้างอยู่เหมือนกันค่ะ
ส่วนการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในกรงทอง....หนูไม่แน่ใจว่ามันจะควรค่าแก่การ"มีชีวิต"อยู่หรือไม่

อาจารย์จะ...ว่า...อย่างไรล่ะคะ


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 17:37:49 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 33


   ไม่เข้าใจในคำตอบครับ ขออีกที



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-04 , Time : 18:22:27 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 34


   ก็แปลว่าถ้าต้อง "ไม่พยายามพูดตามที่คิด แต่ พูดเฉพาะที่มีคนสอนให้เท่านั้น" ให้หนูตายแล้วไปเกิดใหม่เป็น recorder คงจะดีค่ะ อย่างน้อย recorder ก็ไม่มีความรู้สึก

หายป่วยแล้วหรือคะ ... วันนี้หนูไม่ได้ยินเสียงอาจารย์ "ไอ"


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-04 , Time : 18:43:35 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 35


   บางครั้ง "ข้อกำหนด" ว่า "ถ้า..." ยังงี้ๆ ล่ะก็ ตายซะดีกว่า ไม่ทำดีกว่า ทำดีกว่า ฯลฯ นั้นเป็น "กรอบ" ทีเราตั้งขึ้นมาเอง และเมือ่เรามองย้อนกลับไปใหม่ ว่าทำไมหนอเราจึงตั้งมาหาวิมานอะไร บางทีก้พบ แต่บ่อยครั้งก็ไม่พบ

"ตัวตน" ของเรา ณ ปัจจุบันนั้นเป็นผลรวมมาจากอดีตทั้งสิ้น อันนี้รวมไปถึงระบบความคิด ความจำ ความอ่าน ความไตร่ตรอง บุคลิกภาพ ฯลฯ ที่ที่เราพูด เราแสดงออก จริงหรือที่ว่าเราไม่ได้จดจำ ลักจำ อ่านเจอ ประทับใจ .... มาจากที่ใดที่หนึ่ง? ถ้าคิดดูดีๆ การตั้งปฏิภาณว่าเราจะพูดอะไรก็ต่อเมื่อไม่เคยมีคนสอน เคยพูดให้ฟัง เคยได้ยิน เราก็คงจะไม่สามารถจะพูดอะไรได้เลย

ความคิด ของเรานั้นเป็น original หมดทุกอย่าง จริงหรือ?

Isaac Newton เขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปหา colleague กล่าว verbatim อันนึงที่มีคนมากมาย quote ตาม ณ ที่ที่เรายืน เราเห็น เรามอง ณ ขณะนี้ ก็เป็นจากที่เรายืนอยู่บนบ่าของยักษ์เท่านั้น ยักษ์ในที่นี้ก็คือปูขนียบุคคล บรรพบุรุษ ภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนๆ ความหมายโดยนัยก็ก็ ไม่มีอะไรที่เราจะละอายที่จะ quote จะเรียนรู้ จากครูบาอาจารย์ จากพ่อแม่ จากบรรพบุรุษ แต่ตรงกันข้าม หากเรา "สำนึก" อยู่ตลอดเวลา มันอาจจะเกิดเป็นความกตัญญู และเกิดเป็น กตเวที เกิดเป็นเจตคติที่จะสร้างรอยอะไรบางอย่างไว้ให้ลูกหลาน เกิดเป็นสำนึกในหน้าที่ว่าเราก็มีส่วนร่วมสร้างสังคม สรังวิถีชีวิตให้คนรุ่นต่อๆไป จะดีกว่าหรือไม่ที่จะคอย "ไม่เอาอย่าง"?

คำพูดบางคำ บางประโยคที่เราได้ "record" มานั้น นำมาพูดซ้ำในอีกที่หนึ่ง อีกเวลาหนึ่ง มันสามารถเกิดประโยชน์ได้มากมายมหาศาล เราไม่ละอายที่จะ "คิดตาม" แต่เราภาคภูมิใจที่เรา "ได้คิดตาม" ก็น่าจะเป็น option ที่ดีอีกทางหนึ่ง

อย่างน้อยก็มีปราชญ์ราชครูมากมายให้เราได้ศึกษาลออกเลียนแบบ เช่น พระศากกยมุนี พระเยซู พระโมฮัมหมัด คานธี แม่ชีเทเรซา หรือพระบรมปราชญ์องค์ปัจจุบันแห่งประเทศไทย เราก็สามารถนำเอาคำพูด คำสอนของท่านมาขบเคี้ยว มาพูดตาม มาทำตาม มาสอนชักชวนให้คนอื่นพูดตาม ทำตาม สอนต่อๆกันไป

เป็นสิริมงคลต่อตนเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-04 , Time : 18:58:02 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 36


   ถ้าเป็นอย่างที่อาจารย์ ว่า...

การที่ "นกแก้วและนกขุนทอง ก็ไม่พยายามพูดตามที่มันคิด แต่ทว่า พูดเฉพาะที่มีคนสอนให้มันเท่านั้น เพราะมันเกรงว่าจะถูกทำโทษเหมือนนกตัวนั้น.... " ล่ะคะ

อาจารย์เห็นว่าอย่างไร


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-05 , Time : 09:29:18 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 37


   น่าสงสารครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-05 , Time : 10:08:35 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 38


   หนูก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ นอกจากสงารแล้วก็ยังรู้สึกเสียดายด้วย

Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-05 , Time : 10:17:25 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 39


   ไม่ได้น่าสงสารเพราะ outcome นะครับ น่าสงสารตรง "เหตุผล" ที่ใช้

เพราะถ้า outcome ที่จะไม่พูดตามที่คิด หรือพูดเฉพาะที่ถูกสอนเป็นจาก "เหตุผล" อื่น ก็อาจจะกลายเป็น "นกที่เฉลียว" ได้



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-05 , Time : 10:27:02 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 40


   เช่น...มีเหตุผล อย่างไรคะ
อาจารย์ยกตัวอย่างได้มั้ยคะ
หนูไม่เข้าใจค่ะ....ขออีกทีนะคะ


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-05 , Time : 10:31:16 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 41


   เช่น ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะถูกลงโทษแต่กลัวว่าคนอื่นจะถูกลงโทษไปด้วย
อาจารย์ว่าจะเป็น "เฉลียว" ได้มั้ยคะ

ส่วนตัวหนูก็ยังคิดว่าน่าสงสารและน่าเสียดายพอกันค่ะ


Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-05 , Time : 10:44:30 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 42


   พูดเฉพาะที่มีคนสอนให้มันเท่านั้น เพราะมันเกรงว่าจะถูกทำโทษเหมือนนกตัวนั้น.

เป็นเหตุผลจาก assumption ว่า "ถ้า" ไม่พูดเฉพาะที่มีคนสอนก็จะถูกทำโทษ และจาก assumptin ว่า "การทำโทษ" ที่จะมีนั้น "จริง" และ "ไม่คุ้ม" ที่จะทำ และจาก assumption ของกฏ All or None คือ choice มีแค่ ถ้าไม่ทำตามทุกอย่าง ก็คือไม่ทำเลย

Mindset แบบนี้เราเห็นบ่อยหรือไม่? มากน้อยแค่ไหน? ที่เราเคยได้ยิน ทำแล้วชาวบ้านจะว่า ทำแล้วดูเชย ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ทำแล้วจะถูกไล่ออก ทำแล้วนายไม่ชอบจะรังแก จะ ฯลฯ บางทีเราอาจจะชมภาพยนต์ Hollywood กันมากเกินไป หรือที conviction ในการดำเนินชีวิตจของเราน้อยเกินไป หรือกิจกรรมของเรานั้นมัน "ขึ้นอยู่กับ" การ approve ของ ??? มากเกินไป

ในความคิดของ "นก" ที่ใช้กฏ All or None ก็อาจจะได้แค่นั้น แต่มนุษย์ประเสริฐ ที่ทราบว่า ณ บริบทต่างๆกัน ความเหมาะสมก็ต่างกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้กฏ All or None เรากำลัง degrade evoluation of adjustable traits ของสัตว์ประเสริฐลงไปอย่างน่าเสียดาย

ถ้า "ฉลาด" คือรู้มาก รู้เยอะ เข้าใจเยอะ "เฉลียว" ก็เป็นตอนนำเอาไปใช้ ฉลาดที่ไม่เฉลียวก็คือความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ไม่เหลียวมองบริบทใช้แต่กฏ All or None เพราะมันง่ายดี ใช้แต่สาธกแต่ไม่ใช้พรรณนา สุดท้ายก็เข้าใจว่าสาธกนั้นเป็นตัวกฏเอง ไม่รู้จัดใช้ "นิยาม" แต่ติดอยู่แค่ "ตัวอย่าง" มันก็ไม่สามรรถดัดแปลงแก้ไขในสถานการณ์ใหม่ๆได้

ชีวิตนกจึงน่าสงสารที่ตรรกะมันตันอยู่แค่นั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-05 , Time : 12:44:37 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 43


   "สุดท้ายก็เข้าใจว่าสาธกนั้นเป็นตัวกฏเอง ไม่รู้จัดใช้ "นิยาม" แต่ติดอยู่แค่ "ตัวอย่าง" มันก็ไม่สามารถดัดแปลงแก้ไขในสถานการณ์ใหม่ๆได้ "

เกี่ยวกับประเด็นที่เมื่อไม่ถึงปีที่ผ่านมา รุ่นน้องของหนูต้องการจะให้มี "ตัวอย่างการทำ PBLและต้องการให้มีเกณฑ์การให้คะแนน PBL ที่ชัดเจน" อาจารย์มีทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรคะ

หนูไม่รีบร้อนและไม่ต้องการจะได้คำตอบเร็วๆ นะคะ
หนูยังรักและเคารพอาจารย์เช่นที่เคยรู้สึกมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
และยังมีความหวังอยู่มากว่า ...ไม่อยากมีความรู้สึกว่า "หลง" อีก...



Posted by : Lucifer , Date : 2006-02-05 , Time : 13:28:24 , From IP : 172.29.4.127

ความคิดเห็นที่ : 44


   ความเห็นและบทวิเคราะห์อยู่ในกระทู้นั้นอย่างละเอียดแล้วครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-05 , Time : 15:52:15 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 45


   อยากทำอะไรก็ทำสิชีวิตใครกันละก็ดูแลตัวเองสิ
กรงเกิงอะไรใครล่ามใครขังไว้ถ้าไม่ใช่ล่ามตัวเอาเอง
ขนาดนกมันยังรู้จักหนีออกจากกรงมันเลยทำไมคนโง่จัง








http://www.clanconnelly.com/logos/chess_logo.gif



Posted by : ว่างๆ แก้เซ็ง , Date : 2006-02-10 , Time : 18:55:01 , From IP : 172.29.4.195

ความคิดเห็นที่ : 46


   อ่านะ

Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2006-02-12 , Time : 16:00:21 , From IP : 210-86-223-221.stati

ความคิดเห็นที่ : 47


   เด็กแพทย์ไม่หยิ่งเลยอ่ะ เชื่อดิ่ ถึงเราไม่ได้เปงแพทย์แต่เราก็รู้น่ะจาบอกให้แบบว่าเราก็อยากเปงแพทย์เหมือนกันแหละ เด็กแพทย์แบบว่าจาดูเรียบร้อยเลยดูเหมือนเขาหยิ่งละมั้ง คิดมากไปป่าวที่ว่าเขาหยิ่งน่ะจ๊ะ แพทย์เท่ห็จาตายไปน่ะจาบอกให้ค่ะ บายน่ะค่ะ เดี๋ยวมาแสดงความคิกเห็นอีกค่ะ

Posted by : น้องปอป้อค่ะ , E-mail : (เบื่อออ่ะ) ,
Date : 2007-02-08 , Time : 19:58:40 , From IP : 125-25-21-169.adsl.t


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.016 seconds. <<<<<