ความคิดเห็นทั้งหมด : 7

คุณเชื่อ ว่านายก ไม่ผิดเรื่องขายหุ้น หรือไม่ ในฐานะ คน ชั้น กลาง ไม่น่าจะอยู่ เฉย กันได้ อีก แล้ว


   ผมฟังดูการ แถลง ข่าว ของ ดร สุวรรณ ซึ่งพยายาม อ้างหลักฐาน บอกว่า ถูกกฎหมาย แต่ ไม่ยอมตอบตรงประเด็น เรื่องความชอบธรรม กำไร 70,000 ล้านบาท แต่ ไม่ต้องเสียภาษี ผม เองรายได้ ต่อไป ยังไม่ถึงล้าน ต่อปี ยังต้องเสียภาษี เลย แล้ว นายก ได้ ตั้ง 70,000 ล้าน ไม่ต้องเสียภาษี คงถูกกฏหมายครับ คนระดับนี้ คงไม่มีช่องโหว่
คนๆ นี้ ผมว่า ยิ่งนานวัน ยิ่งมีปัญหา ตั้งแต่ผม เกิดมา จำความได้ ยังไม่เคย มีใคร สร้าง กระแสได้ ขนาดนี้ ที่ผ่านนายกคนก่อนๆๆ ถ้าจะโจมตี ก็ มักจะเป็นคนในรัฐบาล รัฐมนตรี แต่ นายกมีบ้าง แต่ คงไม่ ขนาดนี้
ลองคิดดูเล่นๆ นะครับ องค์กรที่เรา ก่อสร้างมา กับมือ แล้ว เอาออกมาขาย คุณคิดว่า เขาคิดจะทำอะไร ครับ ผมว่า มันแปลกๆ ๆ ถ้าผม มีอะไรที่ผมสร้างมากับมือ หลาย ๆๆ ปี ผม คงไม่อยากขาย แม้ว่า มันจะไม่ได้ทำกำไรอะไรมากมาย เพราะผูกพัน แต่ ถ้า ต้อง แลกกับสิ่งที่ผูกพัน ขนาดนั้น คุณคิดว่า เขาจะเอาเงิน ไปทำอะไร ผมว่า เงินมากมายขนาดนั้น คงไม่เก็บไว้ในประเทศแน่ ไม่อย่างนั้น จะขายทำไม ธุรกิจ ก็ ออกจะมั่นคง แล้วถ้าเงิน ไม่อยู่ในประเทศ คนใช้ เงินมัน จะอยู่เหรอครับ ถ้าคนมันรักประเทศชาติบ้าง ถ้าจะตายก็คงขอให้ ตายในไทย เพราะสำนึกบุญคุณ แต่ ถ้า มันไม่แคร์ กับสิ่งเหล่านี้ ก็ ไม่ แปลกที่จะไป อยู่ที่อื่น ๆ ๆ
ผม ก็ ไม่รู้จักทักษิณ ดี พอ หรอกครับ แต่ ถ้าเห็นตาตี๋ ๆ ของเขา ก็ คงจะแน่ใจว่า มัน เป็นพวกชาวจีน เข้ามาในไทย มาทำมาหากิน พอเจริญรุ่งเรือง ก็ จะไป เอา เงิน ไปด้วย ผมไม่เถียง ครับว่า คุณทำมาหากินสุจริต แต่เงินที่คุณได้มาจากคนไทย ก็ ควร หมุนเวียนในไทย กิจการ ก็ควรเป็น ของคนไทย ไม่ใช่ ขายให้ ต่างชาติ ทั้งหมดนี้ เกิดจาก ผู้นำประเทศไทย ผมว่า มัน แปลกๆ ๆ ๆ อย่างอื่น ไม่เท่าไร ผมปวดใจที่ ชื่อ ดาวไทยคม ที่ พระเจ้าอยู่ หัวประทานชื่อ เป็นของต่างชาติ


Posted by : ปวดใจ , Date : 2006-02-02 , Time : 01:08:00 , From IP : 203.170.228.172

ความคิดเห็นที่ : 1


   สวรรค์ต้องอยู่ข้างความดี ยังเชื่ออยู่ ทุกอย่างจะต้องมีที่ทางของมันเองในวันที่เหมาะสม

Posted by : ชินจัง , Date : 2006-02-02 , Time : 04:42:45 , From IP : 172.29.1.156

ความคิดเห็นที่ : 2


   ที่จริงนายทักษิณ (คนที่เป็นนายกประเทศไทย) เป็นคนเลวมานานแล้ว แต่ทำอย่างไรได้ละ เพราะคนไทยชอบทางลัด ผลก็เลยออกมาอย่างนี้ คราวนี้จะแก้กันอย่างไรครับ นอกจากไล่มันออกไป แต่ทำยากเชื่อผม ตราบใดที่ประเทศไทยยังถือเอาเอกสารเป็นหลักฐาน มากกว่าเจตนา อย่างไรก็ตามถ้าไล่ออกไปได้ เช่อว่าทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น คงต้องใช้เวลาอีกนาน

Posted by : คนทำงาน , Date : 2006-02-02 , Time : 09:11:24 , From IP : 172.28.91.10

ความคิดเห็นที่ : 3


   คำพูดที่ทำให้คนไทยเทคะแนนเสียงให้ก็คำนี้ครับ "บกพร่องโดยสุจริต"

Posted by : @ , Date : 2006-02-02 , Time : 09:28:52 , From IP : 172.29.1.185

ความคิดเห็นที่ : 4


   ดาวเทียมเป็นของประเทศไทยใช่ไหม แล้วบริษัททักษิณมาเช่าต่อใชไหม
แล้วทักษิณไม่ใช่เจ้าของ แต่เอาดาวเทียมที่คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของไปขายถามว่าคนไทยยังโง่อยู่อีกหรือ ที่จะให้เอาอะไรต่ออะไรอีกที่จะขายต่อไป


Posted by : คนไทย , Date : 2006-02-02 , Time : 09:37:49 , From IP : 172.29.3.244

ความคิดเห็นที่ : 5


   อ่านเจอในเวป เลยเอามาฝากอ่าน+พิจารณากันนะ
*******************
ถ้ายังเจ็บไม่พอ 4 ก.พ.เชิญนอนรออยู่ที่บ้าน

โดย พชร สมุทวณิช *-* 1 กุมภาพันธ์ 2549 19:12 น.


ผมห่างเหินการเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน มาเป็นเวลาประมาณ 3 ปีกว่า หันเหมาทำหน้าที่บรรณาธิการนิตยสาร mars ซึ่งเป็นนิตยสารรายเดือนด้วยเหตุผล 2 ประการด้วยกัน

ประการแรก อยากเรียนรู้ระบบงานนิตยสาร โดยตัดสินใจที่จะเลือกระบบการทำงานหนังสือรูปแบบรายเดือน เนื่องจากที่ผ่านมาการทำงานในหนังสือพิมพ์รายวันนั้น มีข้อจำกัดของเวลาที่เร่งรัดลักษณะวันต่อวัน ทำให้ความอยากและไอเดียที่จะทำเรื่องราวบางอย่างถูกเงื่อนไขดังกล่าวจำกัดเอาไว้ ไม่มีโอกาสได้เริ่มลงมือ

เหตุผลประการที่ 2 ก็คือ ความเบื่อและเอียนกับ “ข่าวการเมือง” ซึ่งเมื่อนึกทบทวนดูแล้ว เหตุผลข้อนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง โดยทำเป็นมีเหตุผลข้อแรกที่พูดข้างต้นกล่าวอ้างเพื่อให้ดูมีน้ำหนักสร้างความชอบธรรมในการเปลี่ยนงานก็เป็นได้ (แอบสารภาพผิด)

ผมเข้ามาทำงานกับผู้จัดการรายวัน ตั้งแต่ปี 2535 เข้ามาก็รับบทหนักเนื่องจากเจอเข้ากับปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สำคัญของประเทศไทย นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เรียกกันติดปากว่า “พฤษภาทมิฬ” จากนั้นไปเรียนต่อ พอกลับมาก็ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่โต๊ะการเมืองของผู้จัดการรายวัน ระหว่างการทำงานที่นี่ ก็มีเตร็ดเตร่ไปฝ่ายโน้นฝ่ายนี้บ้าง แต่เอาเข้าจริงก็กลับมาตายที่โต๊ะการเมืองทุกที

ที่เบื่อ “ข่าวการเมือง” สุดๆ ก็ครั้งช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็ประสบปัญหากับเขาด้วยอย่างที่รู้กัน คุณสนธิกลับมาเป็น บก.ใหญ่ ลงมือประชุมข่าวทุกเช้าด้วยตัวเองอีกครั้งเหมือนยุคหนุ่มๆ ครั้งนั้นทีมงานเหลือไม่กี่คน ถ้าจำไม่ผิดหน้าการเมืองเราเหลือคนปิดข่าวในออฟฟิศแค่ 2 คน เรียกได้ว่าใครคนนึงอย่าได้ป่วย ไม่งั้นอีกคนที่เหลือก็ขี้แตก

ด้วยสถานการณ์บีบรัด ไอ้เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มือยังไม่ถึงขั้นปรมาจารย์แก่กล้าทางข่าวการเมือง ยังต้องรับผิดชอบคอลัมน์วิเคราะห์การเมืองที่ต้องเขียนทุกวัน ซึ่งคอลัมน์ระดับนี้ หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นต่างมีปรมาจารย์ระดับอาวุโสร่ายกระบี่น้ำหมึกสาดใส่กระดาษ มือเขียนไม้จิ้มฟันแทงกระดาษอย่างผม (อ่อนชั้นมั่กๆ) ต้องขวนขวายทำการบ้าน เขียนวิเคราะห์การเมืองทุกวัน 2 ปีกว่า พอสถานการณ์ดีขึ้นเริ่มมีจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์กลับมาประจำสำนัก ผมเลยมีโอกาสได้ถอยออกมาพักหายใจ หลังจากเกือบจะเป็นโรคประหลาดเรื้อรังคืออ้วกเช้าอ้วกเย็นออกมาเป็นข่าวการเมือง

สาเหตุหนึ่งที่ผมเบื่อกับงานข่าวการเมือง ก็คือ เมื่อคุณรู้ข้อมูลมากเข้าๆ ทั้งแบบข้อมูลทั่วไปประมาณนักการเมืองสองฝั่ง อันประกอบด้วย ฝั่งได้เป็นรัฐบาลกับฝั่งหวังจะได้เป็นรัฐบาลด่ากันไปด่ากันมา และแบบข้อมูลด้านลึก ซึ่งรู้แล้วขนพองสยองเกล้า คุณก็จะเบื่อมัน

เวลาคุณอ่านข่าวนักการเมืองเหี้ยๆ แล้วคุณอยากจะอาเจียนกับความต่ำช้าของสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะนักข่าวสายการเมือง ผมอ้วกแตกไปเรียบร้อยแล้วครับ

ไอ้อาการเอียนการเมืองสุดขีดของผมในตอนนั้น ท่าจะกลายเป็นโรคเรื้อรังซึ่งอาจจะนำไปสู่อาการสมองฝ่อได้ ในที่สุด ผมเลยตัดสินใจมาทำหน้าที่บรรณาธิการหนังสือไลฟ์สไตล์รายเดือนที่ชื่อ mars

ที่ผ่านมาตลอด 2 ปีกว่า เป็นช่วงเวลาแห่งการทำหนังสือที่สนุกสนานที่สุดของผม ได้ทำงานรูปแบบใหม่ๆ ได้เจอคนในแวดวงกลุ่มใหม่ๆ ได้บริหารงานหนังสือโครงสร้างที่เล็กกว่าหนังสือพิมพ์รายวัน จึงมีโอกาสได้เรียนรู้งานทั้งระบบ รวมไปถึงต้องรับผิดชอบงานขายโฆษณาควบคู่ไปกับงานกองบรรณาธิการ ได้เรียนรู้งานถ่ายแฟชั่น ได้เดินทางไปเจออะไรแปลกๆ ทั่วโลก แม้จะเหนื่อยพอกันกับเมื่อครั้งทำงานหนังสือพิมพ์รายวัน แต่ก็สนุกสุดเหวี่ยง

เมื่อถึงช่วงเวลาเข้มข้นขึ้นในภาวะที่ “สื่อ” อย่างรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ถูกปิดกั้น จากที่จัดกันในห้องส่ง คุณสนธิระเห็จออกมาตั้งเวทีสัญจร สถานการณ์เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยข้อมูลที่ถูกส่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ จนบรรดารุ่นพี่ๆ ตกใจกับระบบการหน้าด้านโกงชาติที่พัฒนาขึ้นมาอย่างเหนือชั้น แต่ผมก็ยังคงอยู่ในสถานะ “ดูและฟัง” เหมือนเวลาดูรายการวิเคราะห์ข่าวหน้าจอทีวี เมื่อครั้งโดนนายกฯ ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นพันๆ ล้าน โดยมีชื่อผมเป็นผู้ถูกฟ้องเนื่องจากเป็นกรรมการบริษัท ไทยเดย์ ก็ยังขำๆ

เพราะเราคิดว่าเราทำอะไรไม่ได้กับปัญหาเน่าเฟะอันยิ่งใหญ่ของระบบการเมือง คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ผู้ที่เกี่ยวข้อง” เขาไป

ผมคิดว่า คนไทยอีกหลายคนโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งในนาทีนี้ก็มีอาการเหมือนผม นั่นคือพวกเรายังสนใจติดตามข่าวการเมือง ติดตามความเคลื่อนไหวของระบบการเมืองไทย แต่ก็ในฐานะ “คนดู” ไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่ของ “การแก้ไขปัญหา” โดยคิดว่า นั่นเป็นหน้าที่ของ “ผู้ที่เกี่ยวข้อง”

แต่แท้จริงแล้ว การมีส่วนร่วมใน “ประชาธิปไตย” คงไม่ใช่แค่ “สนใจและนั่งดูข่าวสารทางการเมืองจากจอทีวี” หรือแค่ “นั่งด่านักการเมืองอย่างสนุกสนานกันในหมู่เพื่อนฝูง” แต่การมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย คือการร่วม “ต่อสู้และรักษาประชาธิปไตย” ที่คุณเชื่อและศรัทธา

ผมยอมรับว่า ผมเป็น 1 ใน 19 ล้านเสียงที่ไว้ใจเลือกคุณทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจยกประเทศไทยให้เขาไปดูแล เปรียบเทียบง่ายๆ ภาษาชาวบ้านก็เหมือนกับ ผมเป็นพ่อแล้วตัดสินใจยกลูกสาวไปให้คุณทักษิณที่มาสู่ขอตามประเพณี มีสินสอดทองหมั้นเรียบร้อย มีการจดทะเบียนรับลูกสาวผมไปเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้ข่าวว่าคุณทักษิณ ตบตีกระทำชำเราลูกผม เอาทรัพย์สมบัติที่ผมยกให้เป็นสินสมรสเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ มิหนำซ้ำที่ทุเรศและทนไม่ได้ก็คือ เกิดไปถูกอกถูกใจเพื่อนข้างๆ บ้าน มีผลประโยชน์ร่วมกัน แล้วยอมให้เพื่อนข้างบ้านเดินเข้ามาล่อลูกสาวผมถึงในบ้าน และอื่นๆ อีกมากมายจาระไนไม่หมด

เป็นคุณ คุณจะทำยังไง คงไม่ใช่นั่งดูมันเฉยๆ หรือแค่บ่นนิดๆ หน่อยๆ กับเมียและญาติพี่น้องกระมัง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเดินไปที่หน้าบ้านมันแล้วตะโกนด่าใช่ไหม และที่สำคัญอย่าไปมัวคิดว่า “ถ้าไม่ใช่ไอ้นี่ แล้วจะเอาใครมาเป็นผัวลูกกูดี”

และเมื่อถึงตอนนี้ สำหรับผมถือว่าทะเบียนสมรส ไม่มีความหมายอีกต่อไป

เมื่อถึงอดจริงๆ ก็ต้องเดินไปหามันแล้วทวงคืนลูกของผมคืน

ถึงเวลาที่จะต้อง “ทวงประเทศไทยคืน”

ผมจะไปร่วมชุมนุมวันที่ 4 กุมภาฯ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ไม่ใช่ในฐานะกรรมการบริษัท ไทยเดย์ฯ ไม่ใช่ในฐานะพนักงานบริษัทของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และไม่ใช่ไปเชียร์คุณสนธิในฐานะที่เราสนิทกันเหมือนอากับหลาน

แต่เป็นในฐานะประชาชนที่จะต่อสู้และรักษาสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ในทางที่ผมเชื่อและศรัทธา

หวังว่าเราคงเจอกัน





Posted by : รักประเทศไทย , Date : 2006-02-02 , Time : 12:45:21 , From IP : 172.29.3.117

ความคิดเห็นที่ : 6


   รอฟังข่าวอยู่ว่าพลังเงียบของชาว มอ.จะมีหรือไม่ อยากจะแสดงออกถึงความรักชาติ ร่วมด้วยช่วยกันโดยรวมตัวกันในวันที่ 4 กพ.ด้วย หรือว่ามีแล้วเราไม่ทราบข่าว กรุณาบอกด้วย

Posted by : รักเหมือนกัน , Date : 2006-02-02 , Time : 13:57:46 , From IP : 172.29.2.192

ความคิดเห็นที่ : 7


   
นี่ก็ลอกมา
*****************
คนขี้อิจฉา


สมบัติสาธารณะประชาชาติ

นายทุนเปรื่องปราดแก้กฎหมาย

ผิด-ถูก ดี-ชั่ว ตัวไม่ละอาย

คุณธรรมก็ฉ.หายมลายสิ้น


ใครวิจารณ์ก็ด่ากลับสับให้หมด

อัปยศคดในข้อพ่อทักษิณ

เลี่ยงภาษีมีแต่ซุกยุคทมิฬ

ขายหุ้นชินคอเปอเรชั่นแบ่งกันรวย


รักชาติจนครอบครัวรวยล้นฟ้า

ฉันมันคนขี้อิจฉาแต่ไม่ฉกฉวย

เจ็ดหมื่นล้านขอคุณใช้ให้โคตวย

จนอย่างฉันก็เล่นหวยกันต่อไป


มีสมองเพียงข้างซ้ายไร้ซีกขวา

มันคิดช้าว่าจะโกงโล่งๆ ทางไหน

นอมินี แอพเพิลริช ผลกำไร

ก็ไม่รู้เพราะไม่ได้ร่ำเรียนมา


สมบัติสาธารณะประชาชาติ

รู้โอกาสแปลงขายร้ายหนักหนา

แก้กฎหมายก็ทำได้ด้วยเงินตรา

คนขี้อิจฉาก็พากันจนทนต่อเอย.






Posted by : รักประเทศไทย , Date : 2006-02-02 , Time : 17:29:51 , From IP : 172.29.3.117

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<