ความคิดเห็นทั้งหมด : 7

ทำไมต้องใช้ระบบ ADSL ของ UNINET


   สถาบันการศึกษาเมืองไทย ไม่ชอบการพัฒนาคนให้รู้จักความมีอิสระทางความคิดและการกระทำ ชอบจำกัดให้คนไทยตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งจบการศึกษา ทำงานแล้วก็ยังถูกจำกัดโดยข้อกำหนดต่าง ๆ สารพัด จึงทำให้ทรัพยากรบุคคลของชาติติดนิสัยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาผู้อื่นตลอดกาล... แล้วอนาคตประเทศไทยจะเหลืออะไร

ปัจจุบันเยาวชนไทยไม่เคยถูกฝึกอบรมให้รู้จักการมีสำนึกรับผิดชอบตัวเอง รู้จักทำและคิดในสิ่งที่ถูกที่ควร ผู้ใหญ่คอยกำหนดกฏเกณฑ์ไปหมด ฯลฯ

ย้อนกลับมาดูเรื่อง ADSL ของ UNINET ไม่แตกต่างกันเลยกับการพัฒนาทางการศึกษา ศูนย์คอมพิวเตอร์ไม่มีความรู้ทางด้านจิตวิทยาการการศึกษา ด้านการพัฒนาคน แต่มหาวิทยาลัยก็ปล่อยให้โปรแกรมเมอร์คิดหาข้อจำกัดต่าง ๆ สารพัด กลัวอย่างเดียวระบบล่ม อินเตอร์เน็ตช้า block ได้ทุกอย่างสารพัด มีเหตุผลเต็มไปหมด หารู้ไม่ว่าในอนาคตนักศึกษาและบุคลากร ม.อ. จะกลายเป็นมนุษย์ที่ล้าหลัง มีความรู้รู้เพียงด้านเดียว ไม่มีความรอบรู้ในความหลากหลายของโลก ไม่มีการรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่รู้จักการพักผ่อนดูหนัง - ฟังเพลง - เล่นเกมส์ ถูกบังคับอย่างเดียวว่าต้องเป็นคนที่ใฝ่รู้ เรียนรู้ตลอดเวลา... เมื่อไหร่คน ม.อ. จะได้เป็นคนที่สมบูรณ์ในความเป็นคนล่ะครับ

ADSL UNINET ใช้เพื่อการศึกษา การนำมาแยกย่อยใช้บริการแบบเก็บเงินถูก ๆ จึงไม่ดีพอ ดังนั้น น่าจะเลิกใช้ ADSL ของ UNINET แล้วหันไปทำ MOU กับ บริษัทอื่นที่ทำเรื่อง ADSL ที่มีมาตรฐานสากลจะดีกว่านะครับ จ่ายเดือนละ 500 บาท ได้ไปเลยเต็ม ๆ แลกกับการพัฒนาคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์... ดีกว่าที่จะจ่ายเงินเดือนละ 290 บาท แล้วได้เพียงแค่ความเร็วในการเปิด web site (จ่ายเพิ่มอีกเพียง 210 บาท ก็สมบูรณ์แล้ว)

จ่ายเงินทั้งที จ่ายแพงกว่าอีกเพียงนิดเดียวแล้วได้ของดี ก็น่าจะดีกว่านะครับ


Posted by : คน ม.อ. , Date : 2006-01-31 , Time : 04:45:26 , From IP : 172.29.5.164

ความคิดเห็นที่ : 1


   น่าสนใจในประเด็นของการวิเคราะห์ "เงื่อนไข" ของการเป็นคนที่สมบูรณ์ครับ ขอแยมด้วยคน

เมื่อวันก่อนมีโอกาสเชิญ อ. ธาดา มาบรรยายเรื่อง health promotion ในประเด็นการป้องกันอุบัติเหตุจราจร อ. ทอยคำถามธรรมดาๆมาว่าทำอย่างไร นักศึกษาเราจึงจะมี zero percent accident มีคำตอบหลากหลายมากมายจากนักศึกษา เช่น เพิ่มโทษให้รุนแรงขึ้น เพิ่มตำรวจ เพิ่มกล้องวงจรปิด มีระบบ register ทะเบียนรถกับเจ้าของ มีกล้องถ่ายรูป ฯลฯ เทคโนโลยีมากมายเหล่านี้ทำให้เกิด sense of security ว่าดีกว่า ทันสมัยกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า

จริงหรือไม่?

บางที "ราก" ของอุบัติเหตุ รากของความเป็นนักศึกษา นักค้นคว้า ที่ "สมบูรณ์" อาจจะไม่ได้อยู่ที่เครื่องมืออย่างเดียวหรือไม่? แต่อยู่ที่ "เจตคติ" ในการใช้ของที่มีอยู่อย่างเต็มที่ 100% ของที่เรามีอยู่ บวกกับแรงบันดาลใจที่เราจะทำอะไรอย่างจริงจัง

เราก้าวมาไกลเหมือนกันครับในการคิด ในการทำงาน ในการศึกษา คอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงมากจนน่าสงสัยว่ามีสักกี่เปอร์เซนต์ของ user ที่เป็น power user อย่างแท้จริง รีดพลังความสามารถในการใช้งานมาทั้งหมด คอมฯของ supervisor ผมใช้ระบบ operative system Amiga มี hard-drive 850 mb และ memory 128 MB แต่แกเขียน programme เอง ใช้ word processor รรมดาๆ สอนนักเรียน Ph.D. มาทั่วโลก และยังคิดว่า DOS ก้เป็น programme ที่ not too bad ในการที่จะใช้งาน

อืม.. แกก็ยังมีงานอดิเรก มีชีวิตส่วนตัว มีแหล่งบันเทิง ที่อยู่ในสังคมได้ มีเกียรติพอสมควร มีความมั่นคงในชีวิตพอสมควร

ความสมบูรณ์ในความเป็นคนนั้น ควรผูกพันกับเทคโนโลยีมากน้อยเพียงไร อันนี้คงจะแล้วแต่ "เงื่อนไข" ที่ปัจเจกบุคคลจะกำหนดไว้ คงจะไม่ใช่ของสากล หรือกฏเกณฑ์อะไร บางทีที่เราเป็นทุกข์มากๆนี่ มันก็เกิดจาก "เงื่อนไข" ที่เราเรียกร้องว่าเราจะสุข "ก็ต่อเมื่อ" มีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1, 2, 3, 4.... ถ้าไม่มีก็จะขอเรียกร้อง
ไปเรื่อยๆ หรือในบางครั้งก้มีแล้ว แต่ก็จะมองเห็นว่าน่าจะได้ "มากกว่านั้น" อีก เงื่อนไขในการมีความสุข ในความสมบูรณ์ดูจะไม่เคย "เพียงพอ"

ความไม่เพียงพอนี้เองที่เป็นรากของความทุกข์ และกลับกันคือ "ความเพียงพอ" นี่เองทำไมจึงมีบรมปราชญ์แห่งชาติสอนว่าเป็นเคล็ดแห่งความสุข แห่งความสุขที่ยั่งยืน ทำอย่างไรเราจึงกำหนดความเพียงพอในปรัชญาการดำรงชีวิตของเราได้อย่างดี มีประสิทธิภาพ ทำอย่างไรเราจึงจะสอนลูกว่าของที่มีเราสามารถหาวิธีใช้อย่างเต็มที่ซะก่อน และให้มีความสุขได้ ถ้า generation ต่อๆไปไม่มีความเพียงพอ อีกหน่อยเทคโนโลยีจะนำการดำรงชีวิตไป ก็น่าเสียดายไม่น้อย

ผมเชื่อว่าพวกเราแต่ละคนมีเทคนิก เงื่อนไข และนิยามของ "ความสมบูรณ์" ของชีวิต ในการศึกษา ในการจินตนาการ ในการหาความสุขแตกต่างกัน เราคงจะ generalize ยากพอสมควรที่บอกว่าอะไรเป็น minimal technology แห่งความสุข แห่งความสมบูรณ์ บางทีความสามารถในการเป็นสมาชิกของสังคม เคารพในกฏระเบียบกฏหมายของสังคมก็เกี่ยวอยู่บ้างนิดหน่อย บวกกับมีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีโน่นนี่ (เทียบกับที่อื่น ผมว่าเราก็โชคดีที่มีคุณ garnet และทีมทำงานแบบนี้ให้เรา)

แหล่งข้อมูลอื่นนอกเหนือจาก internet ก็มีเยอะครับ และใน internet เองแหล่งข้อมูล แหล่งความบันเทิงที่ไม่ต้องใช้ power ระดับ ADSL ก็ยังมีพอสมควร บางคนก็ "เพียงพอ" แค่นั้น แต่บางคนยังไม่เพียงพอ ส่วนใครเจริญมากกว่ากันในด้านความสมบูรณ์ของจินตนาการ การศึกษา การสมดุลคงอยู่ในสังคม นั่นคงวเป็นปัญหาปรัชญาที่ยังไม่มีข้อสรุปกระมัง?

บางที Koan ของคำ "เพียงพอ" เป็นสิ่งที่บรมปราชญ์ของเราทิ้งไว้ให้เราศึกษา ตีความ พอที่จะศึกษาไปขั่วชีวิตและไปถึงรุ่นลูกหลานเราก็ได้



Posted by : Phoenix , Date : 2006-01-31 , Time : 06:34:24 , From IP : 58.147.116.93

ความคิดเห็นที่ : 2


   คำว่า "เพียงพอ" กับคำว่า "พอเพียง" น่าจะตั้งอยู่ที่เกณฑ์มาตรฐานของมหาวิทยาลัย วิสัยทัศน์และพันธกิจจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการจัดการเพื่อการพัฒนานักศึกษาและบุคลากร ดังนั้นผู้บริหารคงจะต้องเป็นผู้พิจารณาถึงเงื่อนไขและผลกระทบ input น่าจะเป็นตัวสะท้อนถึง output และเมื่อมอง process วิธีปฏิบัติก็น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย

คำว่า "ความเป็นสากล" น่าจะแสดงว่าต้องกว้างขวาง เป็นที่ยอมรับทัดเทียมในระดับโลก คำว่า "พอเพียง" น่าจะเชื่อมโยงกับความเป็นสากลด้วย

ท่านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาองค์กรคิดอย่างไรไม่อาจทราบได้ครับ


Posted by : คน ม.อ. , Date : 2006-01-31 , Time : 07:40:11 , From IP : 172.29.5.164

ความคิดเห็นที่ : 3


   ถ้าอยากจ่าย 500 ได้ speed 256/128 ไม่ block อะไร บริการแบบ TOT เดี๋ยวจัดให้ครับ (ถ้ามี user ต้องการแบบนี้ 20 รายขึ้นไปนะครับ)

Posted by : garnet , Date : 2006-01-31 , Time : 09:10:44 , From IP : 172.29.1.167

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมว่าไม่้ต้องเสียเวลาอ้างไป 108 - 1009 เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หรอกครับ
คนมันจะเก่ง เด็กมันจะมีความสามารถก็ต้องเริ่มจากการรู้จักหัดใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
อย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสียก่อน เรื่องพวกนี้เป็นสำนึกต้น ๆ ที่ควรจะปลูกฝัง
ในจิตสำนึกของเยาวชนไทย ให้รู้จักมีความเพียงพอในสิ่งที่พึงมี การฟุ่งเฟ้อใฝ่หา
แสวงหา เพื่อตอบสนองความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ได้เป็นทางออกของ
การพัฒนาหรอกครับ


ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องพลังงาน ถามว่าวันนี้ ทั้งที่น้ำมันแพงมหาโหดแต่คนกลับไม่มี
ทางเลือกอย่างอื่นที่ดีกว่า บริโภคน้ำมันจนขาดดุลย์อยู่ทุกปี ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเราถูกสอน
ให้เอาแต่บริโภค ๆ โดยไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไรให้สามารถใช้พลังงานที่มีอยู่อย่าง
จำกัดแล้วสามารถขับไปได้ไกล ๆ คิดที่จะหาทางออกจากข้อจำกัด เพื่อให้สามารถ
ใช้ศักยภาพในสิ่งที่มีอยู่อยากเกิดประโยชน์สูงสุดหรอกหรือครับ


กลับกลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้เงินเป็นใหญ่ อะไรไม่ได้ดั่งใจเอาเงินฟาดหัวเอามาให้ได้
มันกลายเป็นอะไรที่คนไทยประพฤติปฏิบัติกันไปหมดแล้ว และกำลังจะปลูกฝังให้
เยาวชนเอาอย่างในที่สุด


พระราชดำรัสของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ผมว่าเราสามารถ เอาไปใช้
ในชีวิตประจำวันได้หลาย ๆ ด้านนะครับ และก็ไม่ได้ขัดต่อการพัฒนาคนด้วย


Posted by : ร่วมด้วยช่วยกัน , Date : 2006-01-31 , Time : 10:21:45 , From IP : 172.29.1.126

ความคิดเห็นที่ : 5


   คำถามแรกที่ ท่าน อ.กิตติ ถามผมตอนสัมภาษณ์ เข้าทำงาน ที่ผมยังจำได้ดีคือ "ด้วยเครื่องมือเก่าๆ ล้าหลังกว่าคนอื่นที่คุณมีในหน่วยนี้ พอคุณมาแล้ว มีความสามารถแค่ไหนที่จะทำให้มันทำงานได้ดีกว่าที่เป็นอยู่"
วินาทีนั้นผมก็รู้สึกว่ามันช่างท้าทายเราจริงๆเลยกับคำถามที่ผู้บริหารเขาตั้งให้เราคิด ตอบไม่ถูกเลยครับ ความสามารถผม จะทำได้แค่ไหน ขอเครื่องใหม่ๆ เลยไม่ได้เหรอ ก็ผมผ่านการทำงานด้วยเครื่องมืออันทันสมัยกว่านี้มานี่ ความสามารถผมก็น่าจะแสดงออกได้ก็ต่อเมื่อ มีเครื่องมือดีๆ แว๊บนั้น ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ


ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ

ในภาวะที่จำกัด
เราจะเห็นความสามารถของคนมากกว่าที่เครื่องมือ

------------------------------------------

ยืนยันว่า UNINET ดี


Posted by : คุนิมุตซึ , Date : 2006-01-31 , Time : 12:30:11 , From IP : 172.29.3.79

ความคิดเห็นที่ : 6


   อ่านมาซะยืดยาว สรุปว่า เจ้าของกระทู้ อยากเล่นเกมออนไลน์ กับโหลดหนัง โหลดไฟล์ได้เยอะๆ

จบ (แต่ประเด็น เกม น่าจะมาเป็นอันดับหนึ่งมากกว่ามั้ง)


คุณ garnet ครับ ถ้าเค้าอยากจะจ่ายเงินเพิ่ม ก็จัดการเอาของ ทีโอที มาเถอะครับ จะได้หมดปัญหา เห็นใจคุณ garnet ครับ พวกได้ของถูกแต่ยังเรื่องมาก


Posted by : x , Date : 2006-01-31 , Time : 16:53:08 , From IP : 61.7.157.207

ความคิดเห็นที่ : 7


   โดยส่วนตัวผมคิดว่า "เราทุกคน" นี่ qualified ที่จะให้นิยามของคำว่าว่า "พอเพียง" ครับ ไม่จำเป็นต้องออกเป็นกฏสถาบัน กฏหมายประเทศ หรือให้นิยามสากล

เนื่องจาก "พอเพียง" นั้นมันขึ้นกับ "บริบท"

คล้ายกับเพลงของพี่เบิร์ดเพลงนึง ว่าสำหรับคนๆหนึ่งยังไงๆก็พอ แต่สำหรับอีกคนยังไงๆก็ไม่พอ

"คิด" ก็เป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับความชำนาญ" หรือ psychomotor อย่างหนึ่ง กลุ่ม psychomotor นั้น พัฒนาได้ด้วยการหมั่นทำ หมั่นฝึกเป็นเวลานาน ทำบ่อยๆ ต่เทคโนโลยีนั้นเอื้อต่อการทำให้เร็วขึ้น คิดให้น้อยลง และ "ลัด"

เด็กสมัยนี้เรียน wise kid system ที่บวกลบคูณหารเลขโดยใช้มือ ระบบที่ว่านี้คล้ายๆกับลูกคิด คือรู้วิธีป้อนข้อมูลเข้าไป พอทำตามขั้นตอนเสร็จก็ "มองเห็น" คำตอบขึ้นที่ลูกคิด ที่นิ้วมือ หรืออีกนัยหนึ่งก็ที่จอเครื่องคิดเลข ผลลัพทธฺอาจจะเร็วขึ้นจริง แต่ผมว่าคนทำ not any wiser ในการบวกลบคูณหารเลขเลย

การที่เราจิ้มปุ่มสองสามปุ่มบนคอมพิวเตอร์แล้วได้ข้อมูลจากห้องสมุดกลางมาได้นั้น แค่ "อำนวยความสะดวก" ครับ แต่กระบวนการเรียนรู้นั้นอยู่ที่ "เจตคติ" ที่นำเรามานั่งจิ้มปุ่มนั้นตั้งแรก ความอดทนรอข้อมูลขึ้นมา และข้อสำคัญคือความพร้อมและความปราถนาที่จะคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่ปรากฏต่างหาก

ผมคิดว่าเราตั้งตาตั้งตา พัฒนา ความพร้อม ความอยาก ความต้องการ จะ "คิด" ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่านี่เป็น international value หรือไม่ ซะด้วยซ้ำ บางทีการเดินไปห้องสมุด การอ่านหนังสือดีๆ การใช้ modem 56k เราก็สามารถ access information มากเกินกว่าที่สมองจะรับทันแล้ว แน่นอนถ้า objective คือ download movie หรือเล่นเกม ของเหล่านี้ก็คงจะ "ไม่พอ" แต่ผมว่าจะเชื่อมโยงความไม่พอตรงนี้ไปถึงเป็นอุปสรรคแห่งการพัฒนา concept ของ "เพียงพอ" คงต้องการ stretch of imagination อีกไกลทีเดียว



Posted by : Phoenix , Date : 2006-02-01 , Time : 19:17:51 , From IP : 58.147.116.93

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<