ความคิดเห็นทั้งหมด : 2

เมื่อ สิงคโปร์ ล่า ไทย เป็นเมืองขึ้น !!!


   เมื่อ สิงคโปร์ ล่า ไทย เป็นเมืองขึ้น !!!

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในอาเซียน ถือกำเนิดขึ้นมาจาก ความหวาดระแวงของผู้นำการเมืองมาเลเซียในขณะนั้นที่เกรงว่า นายลีกวนยิว ซึ่งมีเชื้อสายจีนจะกลายเป็นผู้นำ จึงได้มีมติให้ขับเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ออกจากสหพันธรัฐมาลายา
สิงคโปร์ นำโดย นายลีกวนยิว ขณะนั้นดำเนินการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างเข้มงวด เพื่อให้ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่รอดให้ได้ท่ามกลางกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่มีขนาดและทรัพยากรต่าง ๆ มากมาย นายลี ใช้ข้อได้เปรียบประการเดียวขณะนั้นคือ เส้นทางการคมนาคมทางน้ำ เขาประกาศให้สิงคโปร์เป็นเมืองท่าปลอดภาษี เพื่อดึงดูดนักลงทุน แล้วเร่งปฏิรูปการศึกษาของประชาชนด้วยการสร้างวินัย และความเป็นระบบระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน ทั้งนี้เขากล่าวในการออกโทรทัศน์ครั้งหนึ่งว่า “ทั้งหมดที่ทำไปเพื่อชาติของเราเป็นสำคัญ หากคนสิงคโปร์ไม่ขยัน ไม่มีความรู้เหนือกว่าเพื่อนบ้าน ประเทศของเราจะเป็นเกาะยากจนที่รอความช่วยเหลือเหมือนขอทาน”
นายลี เชื่อในทฤษฎีที่ว่า สื่อมวลชน มีอิทธิพล ต่อการปกครองและความก้าวหน้า หากสื่อมวลชนมีอิสระมากเกินไป และวิจารณ์รัฐบาลทั้งในเรื่องที่มีมูลและเรื่องที่ต้องการขายข่าวมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อการดำเนินนโยบายของประเทศได้ ดังนั้นเขาจึงควบคุมสื่อภายในประเทศอย่างเข้มงวดโดยให้นำเสนอแต่ข้อดีของข่าวในประเทศเช่น ด้านการศึกษา ด้านความรู้ ด้านการแข่งขัน และเสนอข่าวด้านดีของรัฐบาลเท่านั้น ส่วนข่าวจากประเทศเพื่อนบ้านจะใช้วิธีการอันแยบยลเพื่อให้สื่อมวลชนกระจายข่าวความเลวร้ายของประเทศเพื่อนบ้านแล้วขยายผลให้ดูมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งได้รับการตำหนิจากหลายประเทศ แต่สิงคโปร์ให้เหตุผลว่าข่าวที่ได้รับมาจากสื่อมวลชนท้องถิ่นในประเทศนั้น ๆ เอง ปัจจุบันวิธีการนี้ลดน้อยลงเพราะประเทศสิงคโปร์มีความมั่นคงและก้าวหน้ามากกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคทั้งการทหารและเศรษฐกิจ)
หลังจากนั้นนายลี ได้บริหารประเทศ ใช้ระบบบริหารบริษัทมาใช้ในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะกิจการขนาดใหญ่ และกิจการเกี่ยวกับสถาบันการเงิน รัฐบาลจะเป็นผู้หนุนหลังทั้งสิ้น การบริหารประเทศแบบบริษัทนี้เริ่มจากการเป็นประเทศนายหน้า (บริษัทนายหน้า) รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคแล้วนำมาสร้างบรรจุภัณฑ์และจัดรูปแบบใหม่ในนาม “Made in Singapore” สร้างกำไรมากขึ้นในฐานะพ่อค้าคนกลาง ซึ่งต่อมาได้ขยายไปในอุตสาหกรรม น้ำมัน ปิโตรเคมี และการผลิตแทนทาลัม (ซึ่งได้พบหลักฐานว่าสิงคโปร์อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนไทยที่ประท้วงเผาโรงงานถลุงแทนทาลัมที่จังหวัดภูเก็ตหลายสิบปีก่อน ทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการผลิตแร่แห่งนี้โดยต้องนำไปถลุงที่สิงคโปร์เช่นเดิม)
ในอดีต รัฐบาลสิงคโปร์ เกรงกลัวการขุดช่องแคบที่บริเวณ “คอคอดกระ” ในประเทศไทยเป็นอย่างมากเนื่องจากจะทำให้สิงคโปร์ลดความสำคัญในการเป็นเมืองท่าอย่างมากมาย จนกระทั่งทุกครั้งที่ประเทศไทยมีข่าวการขุดคลองเชื่อมฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน จะต้องมีกระแสข่าวลือว่า การล้มเลิกโครงการเกิดจากการรับสินบนของนักการเมืองไทยจากรัฐบาลสิงคโปร์
ในที่สุด สิงคโปร์ ตัดสินใจปรับยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยการเขียนแผนที่ใหม่โดยไม่ถือตามลักษณะพื้นที่ แต่ยึดแผนที่ตามลักษณะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้ผลในประเทศใกล้เคียง แต่กลับได้ผลชัดเจนในประเทศ พม่า กัมพูชา และประเทศไทย โดยในประเทศอื่น ๆ นั้น สิงคโปร์ได้ลงทุนเช่าพื้นที่เพาะปลูกโดยใช้แรงงานราคาถูกจากประเทศเหล่านั้นในการสร้างผลผลิตกลับมาป้อนให้สิงคโปร์ เป็นผู้สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อนำออกขาย สำหรับประเทศไทยสิงคโปร์ได้เข้ามาในลักษณะสร้างบริษัทนายหน้าต่าง ๆ มาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2540 และมีกระแสข่าวลือว่า สิงคโปร์เป็นประเทศนายหน้าของสหรัฐฯอเมริกา มุ่งโจมตีค่าเงินบาทของไทย จนเกิดวิกฤตทางการเงิน หลังจากนั้น ปรากฏว่าสถาบันการเงินส่วนใหญ่ในประเทศไทย อันได้แก่ธนาคารต่าง ๆ นอกจากกลายเป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่จากไต้หวันแล้ว ก็เป็นสิงคโปร์นี่เองที่เป็นผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินของประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจนักที่นโยบายการเงินของประเทศไทย สามารถถูกควบคุมได้โดยรัฐบาลสิงคโปร์ (เพราะบริษัทสิงคโปร์ดำเนินงานภายใต้รัฐบาลดังกล่าวไปแล้ว) ดังนั้น เรื่องการขุดคอคอดกระจึง ไม่จำเป็นต้องติดสินบนนักการเมืองของไทยอีกต่อไป เพราะ การลงทุนมหาศาลในการขุดและการลงทุนสร้างท่าเรือจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลจากสถาบันการเงิน ดังนั้นถ้าสิงคโปร์ไม่อนุมัติ สถาบันการเงินของไทยก็ไม่สามารถปล่อย*้ให้กับการลงทุนขนาดใหญ่ หลายล้านล้านบาทได้ นอกจากต้องอาศัยเงินทุนจากต่างชาติ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นเพียงทางผ่านได้แค่ค่าผ่านทางเท่านั้น
ปัจจุบัน การสื่อสารและโทรคมนาคมของไทย ภายหลังจากการขายหุ้นของกลุ่มเบญจรงคกุล (DTAC) ให้กับประเทศนอร์เวย์ และการขายหุ้นกลุ่มชินวัตรให้กับสิงคโปร์แล้วทำให้ กิจการสื่อสารและคมนาคมทั้งหมดของประเทศไทย อยู่ในมือของต่างชาติทั้งหมด โดยอยู่ในมือสิงคโปร์มากที่สุด รวมทั้งดาวเทียมไทยคม อีกด้วย จึงอาจกล่าวอย่างสั้น ๆ ได้ว่า แผนที่ประเทศสิงคโปร์ ตามยุทธศาสตร์ใหม่ ที่เขียนตามเศรษฐกิจ ประเทศสิงคโปร์มีขนาดเท่ากับ เกาะสิงคโปร์+พม่า+กัมพูชา และ + ไทย !!!
ในอดีต อังกฤษ ล่าอาณานิคม ด้วยการตั้งบริษัท อีสอินเดีย จำกัด และได้เริ่มแพร่กระจายการปกครองด้วยเทคโนโลยีทางอาวุธ ที่เหนือกว่าครอบครองประเทศที่ด้อยกว่า
ปัจจุบัน สิงคโปร์ ล่าอาณานิคม ด้วยการตั้งบริษัท นายหน้าหลายกลุ่ม และแพร่กระจายการปกครองด้วยความฉลาด และการสร้างคนสิงคโปร์ให้เป็นพ่อค้าแสวงหากำไรมาตั้งแต่ 20 ปีก่อน ครอบครองประเทศที่ไม่ได้ฝึกคนมาเพื่อรองรับการค้า ที่รุนแรง และอมหิตขึ้นใน เวที โลก
ถ้ากล่าวว่า ประเทศไทย เป็นเมืองขึ้นให้กับพม่า ครั้งแรก 7 ปี ครั้งที่สอง 7 เดือน ด้วยการสงครามแบบใช้อาวุธสงครามประหัตประหารกัน
ต่อมา ประเทศไทย เป็นเมืองขึ้น (อย่างไม่เป็นทางการ) ให้กับตะวันตก 2 ปี 4 เดือน ด้วยการสงครามแบบใช้คนและระบบเศรษฐกิจ
ขณะนี้ ประเทศไทย เป็นเมืองขึ้น ให้กับสิงคโปร์ ไปแล้วโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ นานเท่าไรแล้วกันแน่ ที่สำคัญคำถามคือ ศักยภาพการแข่งขันของคนไทย ที่สู้กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ เพราะเสพแต่ความบันเทิงมากกว่า องค์ความรู้เพื่อการแข่งขัน ควรโทษผู้นำเท่านั้นหรือ!?!
ถ้าผู้นำถูกขับไล่ ออกไป ประเทศไทย จะเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจได้หรือในเมื่อธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศเป็นของสิงคโปร์ จนมีผู้กล่าวว่า หากนักธุรกิจสิงคโปร์ถอนทุนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว จะเกิดผลกระทบถึงขั้นประเทศล้มละลาย

โดย : เงาอดีต
อีเมล์ : C_aim2002@hotmail.com
วันที่ : 2006-01-24 16:43:41


Posted by : อ่านแล้วอึ้งเลย , Date : 2006-01-25 , Time : 16:27:05 , From IP : 172.29.2.209

ความคิดเห็นที่ : 1


   ไม่จริง ไม่จริง และไม่จริง >>>> ขออย่าให้เป็นอย่างนั้น พวกเราชาวไทยตื่น(ตัว)กันได้แล้ว

Posted by : รักแผ่นดินบ้านเกิด , Date : 2006-01-26 , Time : 03:27:48 , From IP : 172.29.1.156

ความคิดเห็นที่ : 2


   i love king thailand

Posted by : i love......... , Date : 2006-06-21 , Time : 21:47:59 , From IP : 203.188.55.230

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.003 seconds. <<<<<