> >แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท > > >และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ" > > >เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน > > >---------------------------------------------------------- > > >อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง > > >ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ > > >ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน > > >เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ > > >จึงมีคำกราบทูลว่า"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า > > >บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.." > > >มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน > > >ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. > > >พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า > > >"มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป > > >ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว > > >ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย > > >และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" > > >เรื่องนี้ ดร.สุเมธ > > >เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง > > >--------------------------------------- > > >เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา > > >มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น > > > >เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่า >นมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ > > >ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า > > >"ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์" > > >--------------------------------------- > > >เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง > > >ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน > > >และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้า > > >ทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน > > >ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน > > >ว่า"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม > > >ข้าพระพุ ทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดชขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคม > > >ทูลรายงาน ฯลฯ" > > >เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล > > >อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..." > > >ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย > > >เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้ > > >--------------------------------------- > > >มีอยู่ครั้งหนึ่ง > > >ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง > > >ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ > > >แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ > > >ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า > > >"ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" > > >ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า > > >"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก" > > >--------------------------------------- > > >เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า > > >ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร > > >มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว > > >แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า > > >"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์" > > >ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว" > > >--------------------------------------- > > >วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด > > >ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย > > >พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท > > >ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท > > >แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง > > >แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง > > >แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ > > >อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร > > >แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ > > >กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่ > > >แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น > > >ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะพระองค์ทรงตรัสว่า > > >"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ > > >ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก" > > >-------------------------------------------------- > > >ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว > > >พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน > > >มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา > > >คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางรา ชาศัพท์ > > >ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" > > >พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง" > > >แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ > > >ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ > > >เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป > > >--------------------------------------- > > >เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า > > >นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย > > >ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย > > >ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก้อ งง ..งง > > >ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า > > >แต่ พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ > > >ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิด กระเป๋าตังค์ > > >แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย > > >--------------------------------------- > > >เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า > > >มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร > > >อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ > > >ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว > > >ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ > > >ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว" > > >และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ > > >ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพ! ลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป > > >พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว > > >ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท > > >ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง > > >เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม > > >==================================================== > > >ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ " />...........เรื่องเล่าจากในวัง............

ความคิดเห็นทั้งหมด : 10

...........เรื่องเล่าจากในวัง............


   > > >ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง
> > >เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก
> > >เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
> > >และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด
> > >และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด
> > >แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา
> > >ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า
> > >"ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"
> > >แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
> > >และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"
> > >เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
> > >----------------------------------------------------------
> > >อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
> > >ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้
> > >ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
> > >เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
> > >จึงมีคำกราบทูลว่า"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
> > >บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."
> > >มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
> > >ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
> > >พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
> > >"มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
> > >ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
> > >ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย
> > >และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
> > >เรื่องนี้ ดร.สุเมธ
> > >เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
> > >---------------------------------------
> > >เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา
> > >มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
> >
> >เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่า
>นมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
> > >ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
> > >"ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
> > >---------------------------------------
> > >เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง
> > >ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน
> > >และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้า
> > >ทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
> > >ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน
> > >ว่า"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
> > >ข้าพระพุ ทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดชขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคม
> > >ทูลรายงาน ฯลฯ"
> > >เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล
> > >อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."
> > >ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
> > >เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
> > >---------------------------------------
> > >มีอยู่ครั้งหนึ่ง
> > >ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
> > >ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ
> > >แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้
> > >ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า
> > >"ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"
> > >ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า
> > >"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"
> > >---------------------------------------
> > >เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า
> > >ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
> > >มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
> > >แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
> > >"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
> > >ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
> > >---------------------------------------
> > >วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
> > >ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย
> > >พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
> > >ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
> > >แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง
> > >แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
> > >แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้
> > >อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร
> > >แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
> > >กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
> > >แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
> > >ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
> > >"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ
> > >ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
> > >--------------------------------------------------
> > >ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
> > >พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
> > >มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา
> > >คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางรา ชาศัพท์
> > >ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
> > >พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"
> > >แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
> > >ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ
> > >เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป
> > >---------------------------------------
> > >เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า
> > >นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย
> > >ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย
> > >ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก้อ งง ..งง
> > >ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า
> > >แต่ พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ
> > >ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิด กระเป๋าตังค์
> > >แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย
> > >---------------------------------------
> > >เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
> > >มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
> > >อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ
> > >ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว
> > >ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้
> > >ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"
> > >และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ
> > >ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพ! ลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
> > >พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
> > >ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
> > >ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
> > >เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
> > >====================================================
> > >ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ


Posted by : เด็กแนว , Date : 2005-12-25 , Time : 11:03:36 , From IP : 172.29.7.56

ความคิดเห็นที่ : 1


   ขำจังเลย


Posted by : 555 , Date : 2005-12-25 , Time : 14:55:13 , From IP : proxy.pn.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 2


   ขอบคุณค่ะ ที่หา มาให้อ่าน อ่านแล้วรู้สึกตื้นตันพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ค่ะ

Posted by : น้ำ , Date : 2005-12-25 , Time : 15:05:54 , From IP : 172.29.1.176

ความคิดเห็นที่ : 3


   ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดเป็นคนไทยครับ


"ท่าไม้ตายที่ใช้กับเซนต์ไป 1 ครั้งแล้วจะไม่สามารถใช้ได้อีกเป็นครั้งที่ 2"


Posted by : สมพร , E-mail : (sompon@hotmail.com) ,
Date : 2005-12-25 , Time : 16:13:18 , From IP : 203.188.4.97


ความคิดเห็นที่ : 4


   ขอพระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญปวงชนชาวไทยตลอดไป




Posted by : Phoenix , Date : 2005-12-25 , Time : 17:40:30 , From IP : 58.147.122.187

ความคิดเห็นที่ : 5


   ทุกครั้งที่อ่านเรื่องราว ของในหลวง อ่านจบแล้ว ก็น้ำตาซึมทุกครั้ง ด้วยความยินดี เป็นล้นพ้น ที่เมืองไทย มีในหลวง

Posted by : Dr K , Date : 2005-12-26 , Time : 18:48:08 , From IP : proxymain6.mahidol.a

ความคิดเห็นที่ : 6


   ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

Posted by : .. , Date : 2005-12-28 , Time : 23:47:29 , From IP : 221.128.72.67

ความคิดเห็นที่ : 7


   ขอบคุณค่ะที่หาเรื่องดีๆมาให้อ่านแบบนี้ ขอจงทรงพระเจริญ ด้วยคนค่ะ

Posted by : มารุโก๊ะ , Date : 2005-12-29 , Time : 13:21:18 , From IP : 172.29.7.170

ความคิดเห็นที่ : 8


   เรา รัก พระเจ้าอยู่หัว

Posted by : bebe , E-mail : (tatiyabovonchai@hotmail.com) ,
Date : 2006-01-21 , Time : 16:59:48 , From IP : 203.121.163.130


ความคิดเห็นที่ : 9


   เรารักในหลวงของเรายิ่งชีวิต

Posted by : เด็กกบินทร์บุรี , Date : 2006-01-21 , Time : 20:09:55 , From IP : 203-151-141-195.inte

ความคิดเห็นที่ : 10


   เรารักในหลวงของเรายิ่งชีวิต

Posted by : เด็กกบินทร์บุรี , E-mail : (kbw17191@shaiyo.com) ,
Date : 2006-01-21 , Time : 20:11:55 , From IP : 203-151-141-195.inte


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<