ความคิดเห็นทั้งหมด : 11

### Aidsใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด ### (นำมาโพสต์ใหม่ เพื่อเตือนใจ)


   หลายเดือนก่อนเคยได้รับแบบสำรวจเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมในมหาวิทยาลัยเรา มีเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ชายหญิงด้วย ร่วมกับ ช่วงนี้ได้ยินน้องๆ พูดคุยเรื่องเหล่านี้เหมือนเป็นเรื่องปกติ(หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ หรือการเที่ยว ) ยิ่งช่วงเทศการอย่างนี้ขับรถออกไปในเมืองเห็นสถานบันเทิงคึกคักมาก ก็เลยชักเป็นห่วงนะครับ บังเอิญวันนี้ได้มีโอกาสเข้าห้อง สวนลุม ใน Pantip เจอกระทู้นี้เข้าครับ อยากให้ลองอ่านดู แล้วจะรู้ว่า Aidsใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์เอง ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก ลองตามไปอ่านดู

[url]http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L3967953/L3967953.html[/url]



Posted by : Dhan , Date : 2005-12-25 , Time : 03:22:28 , From IP : 172.29.7.147

ความคิดเห็นที่ : 1


   ขอบคุณที่เอามาเตือน เพราะคิดว่าหลายคนคงลืมไปแล้ว น้องๆที่เห็น sex เป็นเรื่องที่ควรใฝ่หาก่อนเวลาอันควร ระมัดระวังนะครับ คนใกล้ตัวก็ไม่ควรไว้ใจ AIDS ไม่เข้าใครออกใคร ติดง่ายกว่าที่คิด เป็นห่วงน้องๆ งะ

Posted by : เป็นห่วง , Date : 2005-12-25 , Time : 10:31:55 , From IP : 203.156.122.75

ความคิดเห็นที่ : 2


   ขอบคุณ ครับ ได้สาระ และข้อคิด จริงๆ

Posted by : เด็กแนว , Date : 2005-12-25 , Time : 10:51:40 , From IP : 172.29.7.56

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมเห็นด้วยว่า "ความเสี่ยง" ของการติดเชื้อ AIDS เป็นอุทธาหรณ์ที่น่าจะทำให้เราระมัดระวังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพมากไปกว่านั้น เราน่าจะลองอภิปรายดูถึงผลดีผลร้ายอื่นๆมาประกอบด้วยดีไหมครับ เพราะเดี๋ยวเกิดมีคนหัวใสบอกว่า "ผม/หนู ระวังดีแล้ว 99.9% save" พอเรื่องนี้ตกไป ก็เลยคิดว่าหมดแล้วที่ต้องระวัง

อีกประเด็นหนึ่งก็คือการเอา AIDS มาคิดนั้นยังเป็น self-oriented reasoning อยู่ ลองคิดถึงเหตุผลที่เราจะระวังเรื่องนี้ในแง่ "คนอื่น" ด้วย จะมีหรือไม่? ผมว่าน่าสนใจเหมือนกัน

Be Mature, Be Positive, and Be Civlized



Posted by : Phoenix , Date : 2005-12-25 , Time : 10:58:11 , From IP : 58.147.122.187

ความคิดเห็นที่ : 4


   น่ากลัวมาก ไม่คุ้มกันเลย


Posted by : โดนมาแล้ว , Date : 2005-12-25 , Time : 11:08:25 , From IP : 172.29.4.107

ความคิดเห็นที่ : 5


   AIDS เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากจริงๆ ในตอนนี้กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อกลุ่มใหม่ที่น่าวิตกคือ กลุ่มวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ (ของฝ่ายหญิง) เลยไม่ได้ป้องกัน ตอนนี้พบว่ากลุ่มวัยรุ่นติดเชื้อ เอช ไอ วี มากขึ้น (เดิมทีคือกลุ่ม ชายรักร่วมเพศ--> ฉีดยาเสพติดเข้าเส้นเลือดดำ-->ชายเที่ยวหญิงบริการและเอาเชื้อมาติดภรรยา-->แม่สู่ลูก-->กลุ่มวัยรุ่นทั่วไป)

สำหรับบุคลากรทางการแพทย์นั้นมี Universal precaution เป็นตัวหลักอยู่แล้วในการป้องกันการติดเชื้อ เอช ไอ วี จากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจริงๆแล้วบุคลากรทางการแพทย์นั้นมีโอกาสติดเชื้อ เอช ไอ วี น้อย (ถ้าปฏิบัติตามหลักการ Universal precaution ) อย่างจริงจัง สำหรับการติดเชื้อทางสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งนั้นมีโอกาสติด เชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิด บี มากกว่า ติดเชื้อ เอช ไอ วี มาก

สิ่งที่น่ากลัวมากๆสำหรับบุคลากรทางการแพทย์สำหรับโรคเอดส์คือ โรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ป่วยเอดส์ โดยเฉพาะวัณโรคปอด ซึ่งมักจะวินิจฉัยได้ยากกว่าผู้ป่วยวัณโรคทั่วไป ทำให้แพร่เชื้อให้กับบุคลากรที่ให้บริการผู้ป่วยดังกล่าว อาจจะเป็นที่แผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน หอผู้ป่วยหนักที่ใส่ท่อช่วยหายใจผู้ป่วยอยู่

สำหรับกระผมเองคิดว่า ในสังคมทั่วไป ควรกลัว เชื้อเอช ไอ วี ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ ควรกลัว เชื้อวัณโรค


Posted by : Top Secret , E-mail : (..............................) ,
Date : 2005-12-25 , Time : 12:44:05 , From IP : 203.114.102.109


ความคิดเห็นที่ : 6


   ขอบคุณ...คุณ Dhan ค่ะ กำลังหนักอกหนักใจเรื่องนี้พอดี

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนไปร่วมกิจกรรม Home Health Care มา
case ที่ไปเยี่ยมเป็น หญิงหลังคลอด (~ 2 สัปดาห์) ผลตรวจ HIV: + ตั้งแต่เมื่อมาฝากครรภ์ แต่สามียังไม่รู้ว่าภรรยาติดเชื้อ เจ้าหน้าที่เล่าว่า ตัวเค้าไม่ยอมบอกสามี ให้เหตุผลว่า ครอบครัวกำลังมีความสุขเพิ่งจะมีลูก ถ้าบอกไปกลัวว่าทุกอย่างจะแย่ลง สามีคนนี้เป็นคนที่ 2 (คิดว่าน่าจะติดเชื้อมาจากสามีคนแรก) ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน สามีทำงานอยู่โรงงานในกรุงเทพ นานๆ จะกลับบ้านที อีกอย่างเค้าน่าจะกลัวเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนด้วยเพราะเคยมีกรณีตัวอย่างคือ มีอีก case ที่ชาวบ้านรู้ว่าติดเชื้อแล้วก็รังเกียจ ก็เลยไม่ยอมบอกใครว่าติด

ตามสิทธิผู้ป่วยข้อที่ 7

ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเองจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมาย

เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยที่ได้รับการรับรองตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 323 ว่า

ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่น โดยเหตุที่เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ เภสัชกร คนจำหน่ายยา หรือนางผดุงครรภ์ นักบวช หมอความ ทนายความ หรือ ผู้สอบบัญชี หรือโดยเหตุที่เป็นผู้ข่วยในการประกอบอาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับ ไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้รับการศึกษาอบรมในอาชีพดังกล่าวในวรรคแรก เปิดเผยความลับของผู้อื่นอันตนได้ล่วงรู้กรือได้มาในการศึกษาอบรมนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ก่อนไปเยี่ยมบ้าน เจ้าหน้าที่ที่จะไปก็คุยกันก่อนแล้วว่า
ถ้าในแง่จริยธรรมก็เราก็ควรจะบอกให้สามีรู้ แต่ในทางกฏหมายถ้าบอกไป แล้วเค้าฟ้องเราก็ผิดเต็มๆ สรุปว่า ก็พยายามให้ความรู้ ทำให้เห็นความจำเป็นที่ต้องป้อง
กันการแพร่กระจายเชื้อ พอเอาเข้าจริงวันเยี่ยม เค้าก็เห็นว่าจำเป็น แต่ก็คงจะไม่บอก

นี่ไม่ใช่กรณีตัวอย่างเพียงกรณีเดียวค่ะ เมื่อเช้าไป Round หลังคลอด ก็มีอีก case และทำท่าว่าจะมีอีกหลาย ในชุมชนนี้....

ก็เลยจะขอคำแนะนำว่าอย่างไรจะดี......คะ




Posted by : Lucifer , Date : 2005-12-26 , Time : 10:36:25 , From IP : 203.156.42.123

ความคิดเห็นที่ : 7


   ลืมบอกไปว่าที่นี่คลอดกันเร็วค่ะ เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนเช่นกัน แม่อายุ 15 หน่อยๆ เกือบต้องลงประวัติ..
เด็กชาย????ลูกเด็กหญิง????



Posted by : Lucifer , Date : 2005-12-26 , Time : 10:40:21 , From IP : 203.156.42.123

ความคิดเห็นที่ : 8


   หรือจะคนละเรื่องเดียวกัน....ลองใหม่นะคะ

1. ขอ Clearify : ก่อนวัยอันควร ..ค่ะ เนื่องจาก "ความเสี่ยง" ของการติดเชื้อ AIDS จากการมีเพศสัมพันธ์กัย..วัย.. อาจไม่ใช่เนื้อหาสำคัญ ใครจะประกันว่าการมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุ 35 ปี จะไม่ติดเชื้อ AIDS

2.เพื่อประสิทธิภาพที่อาจารย์ Phoenix อ้างถึง หนูจะลองอภิปรายถึงผลดีผลร้ายอื่นๆ มาประกอบด้วย เช่นนะคะ...
ลองคิดล่วงหน้าแทนหนุ่มโรงงาน จากกรณีตัวอย่างข้างต้น
...เขาเล่าว่า... การทำงานในโรงงานเนี่ย เข้างานตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น กลับบ้านเมื่อตะวันลับแล้ว ทำไปทำมาความใกล้ชิดมันก็แผลงฤทธิ์เอา สามี-ภรรยาของใคร...ใครไม่รู้ แต่ใช้ได้ เลิกงานแล้วก็บ้านใครบ้านมัน
แล้วอย่างเจ้าหนุ่มเนี่ยจะด้วยความไว้ใจเมียรักหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่ลองคิดดูว่าเค้าจะใช้ถุงยางอนามัย...กับ...เมียที่บ้าน...มั้ย ฟันธงว่า...ไม่... (ใครจะรวบรวม evidence อะไรมาค้าน เชิญนะคะ)
ยิ่งนานๆกลับบ้านที อยู่ไกลบ้านไกลเมีย ถ้ามันเกิด "เมียมีเมียพี่ต้องมา นี่เมียไม่มาก็เพราะว่าเมียไม่มี" ขึ้นมา เจ้าหนุ่มนั่นจะแพร่เชื้อต่อไปได้เท่าไร
ผลดีของการไม่ระวัง ฝ่ายภรรยาคงจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างปกติสุขไปสักระยะหนึ่ง...

3. ส่วนเรื่อง "ผม/หนู ระวังดีแล้ว 99.9% save"
ลอง...ยกตัวอย่างเช่น... ดูอีกทีนะคะ
เช่นใส่ถุงยางอนามัย...เผื่อรั่วล่ะ (พี่แพทย์ที่รพช.ที่อยู่ด้วยตอนนี้ เปรยๆมาว่า ใส่สัก 2 ชั้นดีมั้ยน้อง..แต่คงอึดอัดตายชัก)
งั้นคงต้อง Clearify เพิ่มอีกคำ..."ระวังดีแล้ว"

4. การเอา AIDS มาคิดนั้น คงต้องคิดถึงตัวเองให้มากค่ะ บุคลากรทางการแพทย์ก็มี Universal precaution เป็นแนวปฏิบัติอยู่ การเผยแพร่ความรู้เรื่อง Universal precaution และแนะนำให้ประชาชนทั่วไป ปฏิบัติด้วยจะเข้าทีหรือไม่ น่าสนใจมั้ยคะ
5. ลองคิดถึงเหตุผลที่เราจะระวังเรื่องนี้ในแง่ "คนอื่น" ด้วย หนูสนใจกรณีตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี่แหละค่ะ ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์นอกจากที่ได้คิดและทำไปแล้ว มีทางป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทางอื่นอีกมั้ยคะ



Posted by : Lucifer , Date : 2005-12-27 , Time : 10:19:24 , From IP : 203.156.42.123

ความคิดเห็นที่ : 9


   ประการแรก เขียน "Clarify" ครับ ไม่ใช่ "clearify"

ประการที่สอง เรื่องที่ขยายความที่ว่า ผมคงต้องถาม "เจตนา" เจ้าของกระทู้ว่า theme คือ AIDS หรือ safe sex เพราะการอภิปรายมันจะมีขอบเขตไม่เท่ากัน และบางตอนก็ไม่ intersect กัน

AIDS นั้นมีความเกี่ยวข้องกับ "พฤติกรรม" เยอะมาก ไม่เหมือนพวก air-born infection หรือ intrinsic diseases เช่น gallstone, idiopathic pancreatitis, etc โรคที่แพร่กระจายโดย "พฤติกรรมเสี่ยง" โดยทฤษฎีแล้วน่าจะป้องกันได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้นน่าทำ

แต่ถึงอย่างนั้น โรคที่แพร่โดยพฤติกรรมเสี่ยงอย่างหนึ่งที่มีปัญหาในการป้องกันมาตลอดคือ sexual-transmitted disease อาจจะเป็นเพราะว่า "พฤติกรรม" ที่ว่ามันอยู่ใน instinct หรือใน genetics ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า unsafe sex เป็น genetic นะครับ แค่ sexual relationship นั้นเป็น natural genetic demand เท่านั้น ทีนี้จะกันได้มากน้อยเพียงไรเป็นส่วนผสมของสอง components คือ ๑) ส่วนตนเอง และ ๒) ส่วนต่อผู้อื่น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสอง ผมเพียงแต่เสนอว่าใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน น่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าใช้อย่างเดียว




Posted by : Phoenix , Date : 2005-12-27 , Time : 12:52:15 , From IP : 172.29.3.191

วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่สามี 3.2 แล้วเราจะป้องกันคนที่ติดเชื้อไม่ให้ถูกสังคมรังเกียจได้อย่างไร ก็จะเป็น ถ้าไม่ติดที่กฏหมายแล้วเราควรจะเลือก "ป้องกัน"ใคร " />
ความคิดเห็นที่ : 10


   เข้าใจว่าน่าจะเป็น safe sex เพื่อป้องกัน AIDS ค่ะ

"ส่วนตนเอง" ไม่ค่อยสงสัย ก็ตรงไปตรงมา ถ้ายังไม่แน่ว่าจะอยู่เป็น Monogamy หรือเปล่าก็ป้องกันไว้ก่อนจะดี แต่ถ้าปลงใจว่าจะอยู่ผัวเดียวเมียเดียวแล้วยังต้องขอให้คุณสามีตรวจเลือดทุก 3 เดือนก็...อย่าแต่ง...เสียแต่แรกคงจะดีกว่า

ที่อภิปรายมาทั้งหมดข้างต้นนี้ เจตนาจะขอความเห็นในข้อ 5 เป็นสำคัญค่ะ
หลังจากลองคิดดูหลายตลบแล้วยังไม่เห็นทางออก ก็เลยหวังว่าจะมีใครกรุณาบ้าง

หลายตลบที่ว่าประกอบด้วย
1. คนที่รู้บางคนพูดไม่ได้ : คดีอาญานี่คะ กฏหมายก็ป้องกันสิทธิผู้ป่วย
2. คนที่รู้บางตนไม่ยอมพูด : เราคงปฏิเสธความจริงที่ว่า โรคนี้เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ ไม่ได้
3. ถ้าไม่ติดที่กฏหมาย และคนบางคนจะพูด
3.1 บอกสามีเค้าว่า ภรรยาคุณติดเชื้อนะ ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ก็ควรจะป้องกันไว้ --> วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่สามี
3.2 แล้วเราจะป้องกันคนที่ติดเชื้อไม่ให้ถูกสังคมรังเกียจได้อย่างไร

ก็จะเป็น ถ้าไม่ติดที่กฏหมายแล้วเราควรจะเลือก "ป้องกัน"ใคร


Posted by : Lucifer , Date : 2005-12-28 , Time : 18:37:57 , From IP : 203.156.42.123

ความคิดเห็นที่ : 11


   ผมเคยทราบที่แน่ๆกฏหมายอังกฤษและอเมริกาในเรื่องนี้เขียนไว้ชัดเจนว่า individual right นั้น ไม่สามารถ take precedent เหนือ public safety หรือเมื่อละเมิดความเสี่ยงของ individual คนอื่น นั่นคือต้องแจ้งภรรยาให้ทราบ และในกรณ๊โรคระบาด หรือโรคติดต่อร้ายแรง public safety ต้องมาก่อนปัจเจกบุคคล ทีนี้คุณ Lucifer ยกกฏหมายเป็นบทๆมา ผมเลยต้องขอตอบว่าไม่แน่ใจว่าของไทยมันล้าหลังแค่ไหนในเรื่องนี้

กฏหมายที่เน้นความปลอดภัยของผู้อื่นเหนือ indvidual right มีใช้บ่อย เช่นตอน SARS ระบาด สิงค์โปร์ออกกฏหมาย quarantine คนที่สงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะรู้ว่าเป็นหรือไม่เป็น หลายๆประเทศประกาศ "ไม่ต้อนรับ" นักท่องเทียวที่มาจากประเทศเสี่ยงสูง ใจผมคิดว่ากฏหมายประเทศไทยไม่น่าจะเอา individual right อยู่เหนือ public safety หรือไม่สนเรื่องการ protect right ของภรรยา คงต้องให้ใครสักคนช่วย clarify จริงๆแหละครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-12-28 , Time : 19:11:56 , From IP : 58.147.55.22

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<