ความคิดเห็นทั้งหมด : 5

“สนธิ” ลั่นสู้ตาย!-เตือน “ทักษิณ” ถูกพลังประชาชนฮือไล่วันนี้


    “สนธิ” ลั่นสู้ตาย!-เตือน “ทักษิณ” ถูกพลังประชาชนฮือไล่วันนี้

“สนธิ” ประกาศตายเป็นตาย-เจ๊งเป็นเจ๊ง ระบุอย่าประเมินว่า “ผมกลัวคุณ” ย้ำคนที่กลัวมากๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องกล้า ลั่นอย่ามาบีบให้เป็นผู้นำม็อบ ยืนยันไม่เคยคิดเป็นวีรบุรุษ เตือนพรุ่งนี้อาจมีประชาชนเรือนแสนออกมาหนุนโค่นระบอบ “ทักษิณ” เชื่อทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมอะไรไว้ต้องได้รับการตอบสนอง

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000159530


Posted by : รักประเทศไทย , Date : 2005-11-18 , Time : 10:26:53 , From IP : p49-nasskalf1.S.cslo

ความคิดเห็นที่ : 1


   ปลุกระดมสุดๆอะ -_-lll
ทำใจเชื่อดีมั้ยเนี่ย


Posted by : OneInDaUniverse , Date : 2005-11-18 , Time : 17:00:22 , From IP : 172.29.4.194

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมว่าถึงนาทีนี้คุณทักษิณและคุณสนธิ มาสนธิกำลังกันแก้ปัญหาปักษ์ใต้
ไม่ดีกว่าหรือครับ รัฐบาลไม่ควรเปิดศึกสองด้านเดี๋ยวข้าศึกจะฉวยโอกาสนี้
ปฎิบ้ติการ รู้ไหมคนในทะเลาะแตกแยกไปเข้าทางข้าศึกพอดี
คนเป็นผู้นำต้องมีสายตายาวใกล ฟังหลายๆด้านอย่าเอาแต่ใจตัวเองเดี๋ยวจะเสียเมือง


Posted by : เหลนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆชุนวู , Date : 2005-11-19 , Time : 14:10:20 , From IP : 172.29.3.171

ความคิดเห็นที่ : 3


   ตายเสียใด้ ก็ดี
บ้านเมือง จะใด้สงบสุข


Posted by : กลาง , Date : 2005-11-21 , Time : 09:23:43 , From IP : 172.29.1.146

ความคิดเห็นที่ : 4


    กราบเรียน ท่านประธาน ที่ เคารพ ดิฉัน วนิดา แซ่ก๊วย เรียน นิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์ ภาคบัณฑิต รุ่น 3 มีความคิดเห็น เกี่ยวกับ เรื่อง ข้อขัดแย้ง ระหว่าง ท่านนายก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล อาจมีจุดเริ่มมาจากเรื่องส่วนตัว อาจมีจุดเริ่มมาจากการขาดผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เรื่องส่วนตัวมิอาจสร้างเป็นประเด็นร้อนในทางการเมืองขึ้นได้
จึงผูกให้เข้ากับ สถานการณ์ เพื่อให้คุณ สนธิ ลิ้มทองกุล หยิบยกขึ้นมากล่าวตั้งแต่ยังจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ทางช่อง 9 จึงมิได้นำเรื่องส่วนตัวมาเพราะ ถ้าเป็น เรื่อง ตัว คุณสนธิจะไม่ได้ แรง สนับสนุน มากขนาดแต่ พยายามโยงให้สัมพันธ์อยู่กับบทบาทของรัฐบาล เรื่องต่อหลาย เรื่อง พยายาม สร้างประเด็น และ จุดสนใจ โดย ให้ เสื้อเหลือง ให้ ตรงคนไทยที่จะใส่เพื่อ วันพระ ราชสมภพ ของ พระเจ้าอยู่หัว เพื่อ ให้ เกิดการสับสน ว่า มีประชาชน มาสนับสนุนมาก และ ผูกให้ เข้ากับประเด็น ร้อนของ การโอนถ่าย ครู ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด
1. โจมตี บทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
2. โจมตีอันเกี่ยวกับตำแหน่งและหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช (ซึ่งเรื่อง คนที่ ใกล้ชิด หรือ ผู้พิทักษ์ของ สมเด็จพระสังฆราช ย่อม รู้ว่า กำลัง อะไร จึง เหมาะสม และ สมควรแก่ สถานการณ์ นั้นๆ ฉะนั้น คน นอกหรือประชาชน ธรรมดาไม่มีสิทธิ์ ทราบเลยว่า ควรจะอย่างไรจึงเหมาะ สม เรื่องนี้ให้เป็น ไปตาม ครรลองครองธรรมจึงจะเหมาะสมกาลเวลา)
3. โจมตีเกี่ยวกับการทำบุญประเทศไทย ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ซึ่งเป็น ที่ประชาชน ส่วนใหญ่ไม่ทราบ ว่า ถ้าพระเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงอนุญาต จะไปปฏิบัติ เช่นนั้น ไม่ได้ เรื่องนี้ คุณสนธิรู้ดีแต่ก็หยิบยกเพื่อให้ประชาชน ผู้ไม่รู้ ให้หลงผิด)
4. เป็นบทบาทของรัฐบาล ของพรรคไทยรักไทย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเกี่ยวกับองค์กรอิสระ (ปัญหานี้ จริง ๆต้อง ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง มา ประชุมกันเอง อีกครั้งว่า ควร ไปทางทิศทางไหนจึงจะเหมาะ กับผู้เดือดร้อนจริงๆ และถูกกับวัตถุประสงค์และความต้องการตามหลักประชาธิปไตย)
5. โจมตีรัฐบาล ของพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเกี่ยวกับกรณีทุจริตคอร์รัปชั่น ( เป็นหน้าที่ ของ หลายองค์กรของรัฐที่มีหน้าที่อยู่แล้ว ในการ ตรวจสอบ มิใช่เรื่องของ คุณสนธิ เพราะมีระบุใน รัฐธรรมนูญว่า เมื่อ มี คณะรัฐบาล ก็จะมี ฝ่ายตรวจสอบคณะรัฐบาล เป็นไปตามหลักของ หลักตั้งพรรค นักการเมืองว่าใครเป็น ฝ่าย บริหาร ก็มีหน้าที่ บริหารประเทศให้ พัฒนา และ ฝ่าย ค้านมีหน้าที่ ตรวจสอบ การทำงาน ผ่านนิติบัญญัติ โดย ให้ รัฐสภา เป็น พิจารณา อยู่เป็นวาระ ๆ เรื่อง นี้ไม่น่า ก้าวก่าย หน้าที่กันอยู่แล้ว
6. เป็นบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายทางธุรกิจ ( ในเรื่องธุรกิจส่วนตัวของท่านนายก ก็หน่วยงานที่ตรวจสอบ และ ถ้า ธุรกิจส่วนตัวของ ใคร ถ้าได้มาโดยสุจริต ก็เป็นสิ่ง ชอบธรรมอยู่แล้วไม่ควรก้าวล่วงมากขนาดนี้)
7. โจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ตลอดจนญาติพี่น้อง เกี่ยวกับธุรกิจและการเคลื่อนไหวทางสังคม (เรื่องก็เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลถ้ามาก้าวก่ายกันมากขนาดนี้ คนที่ดีๆ ใครจะบริหารประเทศให้เจริญ สู้เอาแรงมาพัฒนา ธุรกิจของตัวเองไม่ดีกว่าหรือ)
8. การเปิดโปง โจมตี สถานะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง ( ถ้าเปิดในสิ่งที่เป็นจริง ไม่ถือว่า “ละเมิด” แต่การ เปิดโปง โจมตีในเรื่องไม่เป็นจริง ถือว่า “ละเมิดและเมินประมาท” เป็น ทั้งอาญาและ แพ่งได้ค่ะ
9. ปลุกระดม ประชาชน ให้หลงผิด ในเรื่อง ของ พระ ราชอำนาจ ของ พระเจ้าอยู่หัว ให้คืน พระ องค์ (“ไม่รู้ว่า คุณสนธิ อ่าน รัฐธรรมนูญ คนละฉบับกับที่ ร่างหรืออย่างไรหรือ ว่า “ไม่เคยอ่าน กฎหมายรัฐธรรมนูญเลย” ถึงได้ เรียกร้อง คือพระราชอำนาจ ของพระเจ้าอยู่หัว เพราะในสิ่งในที่ รัฐธรรมนูญตรา ไว้ในกฎหมาย รัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
และมาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหา กษัตริย์ผู้ ทรง เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้
ดังนั้น ไม่จำเป็น ต้อง เรียกร้อง ให้คืนพระราชอำนาจของ พระองค์ ซึ่ง พระเจ้าอยู่หัวมีอยู่ เพราะเป็น สิทธิของ พระองค์ ที่จะทรง พระราชอำนาจ เมื่อไรก็ได้และ แถมยังสวมเสื้อเหลือง "เราสู้เพื่อในหลวง" ทำให้ประชาชนหลงผิดไปด้วย)
จากนี้จึงทำให้บทบาทและการเคลื่อนไหวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยเฉพาะนับแต่เริ่มรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" เมื่อเดือนกันยายน 2548 เป็นต้นมาค่อยๆ ก่อรูปขึ้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ปรากฏการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล"ค่อยๆ ก่อรูปขึ้นเป็นเหมือนกับศูนย์กลางแห่งการวิพากษ์ เปิดโปง โจมตี ต่อรัฐบาลและต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างตรงไปตรงมาด้าน 1 จึงไม่เพียงแต่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะได้รับการแวดล้อมจากพันธมิตรเดิมขณะเดียวกันด้าน 1 การเคลื่อนไหวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กลายเป็นศูนย์รวมของกลุ่ม องค์กร พรรค ที่ไม่ชอบและถึงกระทั่งเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาโดยพื้นฐานและก็เติบใหญ่ขยายตัวเป็นลำดับไม่เพียงแต่เมื่อเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเดินทางไปให้กำลังใจ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถึงสำนึกงานที่ท่าพระอาทิตย์ หากในตอนเย็น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ยังสวมเสื้อเหลือง "เราสู้เพื่อในหลวง" เข้าร่วมรับฟังและโอบกอดร่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อยู่ในชุดเหลืองเช่นเดียวกันอย่างอบอุ่นทั้งนี้ แทบไม่ต้องกล่าวถึงการปรากฏขึ้นแห่งเงาร่างของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร อย่างค่อนข้างเป็นประจำอยู่แล้วนี่คือพัฒนาการจาก "ปรากฏการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล" เป็น "ขบวนการสนธิ ลิ้มทองกุล"
"ขบวนการ สนธิ ลิ้มทองกุล" มีเป้าหมายร่วมกันอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเป้าหมายที่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นไปจากสายตา เป็นเป้าหมายที่พัฒนามาจากที่เคยประกาศ "น็อคเอ๊าต์ ทักษิณ" เมื่อเดือนตุลาคม 2547
วิเคราะห์ สถานการณ์ ขัดแย้ง ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ คุณ สนธิ

Strength(จุดแข็ง)
• รัฐบาลมี นโยบายดี และ พัฒนาตรงกับความต้องการของ ประชาชน ส่วนใหญ่
• ประชาชน ส่วนใหญ่ มีความรู้จึง หลอกยาก
• รัฐบาล มี ประสิทธิภาพ ในการทำงานด้านบริหารประเทศ เหมือนมืออาชีพ Weakness(จุดอ่อน)
• รัฐบาลทำอะไร แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี กับประชาชน
• รัฐบาลไม่ได้ทำงานเชิงรุก พอเกิดปัญหาก็มาแก้ไขสถานการณ์ ทำให้ ประชาชนคิดว่า แก้ตัว
• มีปัญหา ใน เรื่อง ของ ข้าราชการครู มาเป็น เงื่อนปม มาแทรกซ้อน
Opportunities(โอกาส)
• ต้องทำงาน เชิงรุก และ รู้เขารู้เราและต้องมีประชาสัมพันธ์ ที่ดี
• คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องบูรณาการ ทางด้าน อารมณ์ และ ระบบ ควบคุมสติ จะแก้ปัญหาได้
• แก้ปัญหา ด้วยการป้องกัน ปัญหา อย่าปล่อยปัญหา เพราะคิดว่า “เรื่องเล็กแก้ได้ไม่ยาก”
• จงสร้างสมาธิและปัญญา ในการ แก้สถานการณ์ อย่า ใช้อารมณ์แก้ไข Threat(อุปสรรค,ข้อจำกัด)
• ประชาชน ส่วนหนึ่ง คิดว่า เรื่องที่ คุณ สนธิพูดนั้นเป็นเรื่อง จริง ขาด ข้อมูลความจริง มาหักล้าง
• คุณ สนธิ เข้าถึง ประชาชน และเข้าใจ ดึง หัวใจของประชาชน ว่า “ประชาชนรักใครที่สุด” และ ดึงประเด็นนั้น มาเพื่อ จุดประกาย ปัญหา ให้ ลุกไหม้ เพื่อ ผลประโยชน์ของตัวเอง ได้ บรรลุถึงวัตถุประสงค์

แนวทางการแก้ปัญหา นำไปสู่ความ สำเร็จ
1. ต้อง มีฝ่ายประชาสัมพันธ์ ที่ คอยนำ เสนอ สู่ สาธารณะชน โดยผ่านทุกสื่อ ว่าตอนนี้ รัฐบาล กำลังอะไร เพื่อประชาชน
2. ต้องทำงาน เชิงรุก และ รู้เขารู้เราและต้องมีประชาสัมพันธ์ ที่ดี
3. คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องบูรณาการ ทางด้าน อารมณ์ และ ระบบ ควบคุมสติ จะแก้ปัญหาได้ สมาธิดี ปัญญาเกิด
4. แก้ปัญหา ด้วยการป้องกัน ปัญหา อย่าปล่อยปัญหา เพราะคิดว่า “เรื่องเล็กแก้ได้ไม่ยาก”
5. จงสร้างสมาธิให้เกิดปัญญา ในการ แก้สถานการณ์ อย่า ใช้อารมณ์แก้ไข
6. ต้องมีฝ่าย แก้ไขแก้ สถานการณ์ ที่ รวดเร็วทัน เหตุการณ์ “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”
สรุปข้อคิดเห็นของ วนิดา
การที่มีข้อขัดแย้งปัญหาสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถฟันธงว่าใครผิด เป็น กัน ระหว่างคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเรื่องของน้ำผึงหยดเดียว ไม่น่าเอาพระเจ้าอยู่หัว , ประเทศชาติ,หรือประชาชน ร่วมหัวจมหางด้วยเลย
หากคิดกันให้ ละเอียดซักนิดน่าจะเป็น เรื่อง ขี้แพ้ชวนตี หรือ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเสมือนเด็กที่ทะเลาะกันและ ฝ่ายแพ้ก็จะหา กลอุบายต่างๆ เพื่อ ตอบสนอง ความต้องการของตน ชนิด ที่เรียกว่า “ชนะเท่านั้น ถึงยอมเลิกรา” ทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่ง หลอกประชาชน ก็ยอม แบบนี้น่ากลัว นะค่ะ อย่าทำเลยค่ะ ปัจจุบันนี้ ประชาชน มีความรู้กัน ทั่วประเทศแล้ว การกระทำของคุณสนธิเหมือน ดูถูกประชาชน คิดว่า คนไทย จูงจมูก ง่ายๆ
สังคมจะดี ได้ต้องอาศัย ประชาชน ทุกคนช่วยกัน พิจารณาว่า ข่าวไหนควรเชื่อ หรือข่าวไหนต้อง แก้ไข อย่า อยู่เป็นเครื่องมือ ของ ผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ หรือเอาประเทศชาติเป็น เครื่องมือ “ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”


Posted by : วนิดา แซ่ก๊วย , E-mail : (wanida_buucu1@hotmail.com) ,
Date : 2006-01-01 , Time : 14:50:43 , From IP : gb.jb.81.133.revip.a


ความคิดเห็นที่ : 5


   กราบเรียน ท่านที่เรพนับถือ

อยากแสดงความคิดเห็น ในบทความคุณวนิดา น่าสนใจมาก แต่ถ้าไม่มีการตอบโต้กันขนาดนี้ประชาชนก็คงไม่มีโอกาสทราบเบื้องหน้าเบื้องหลัง มากมายปานนี้ อ่านแล้วยังงง ผมยังไม่เชื่อใครร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สังเกตว่า

1. คราวก่อนที่คุณสนธิ ออกมาพูดเรื่องว่าจะมีการขายหุ้น คูณทักษิณ ออกมาปฏิเสธิมิใช่เหรอว่าไม่มี ไม่ขาย ต่อมา เป็นไง
2. เรื่องสิทธิส่วนบุคคลของครอบครัวท่าน หากท่านนายกไม่โยงใย ใครจะไปกล่าวถึงได้ เช่น เมื่อบอกว่าขายให้ลูก มันก็ต้องลามไปถึงลูก จึงจะทราบข้อเท็จจริง
3. เรื่องจุดแข็งจุดอ่อนของรัฐบาลหรือของนายกนั้นน่าสนใจ แต่ผมว่าคุณยังเขียนปนกันอยู่ทั้งจุดแข็งจุดอ่อน

จุดแข็งมาก ๆ ของท่านนายก น่าจะ
1. เป็นเรื่องขององค์ความรู้ ท่านรู้มาก รู้ลึก มีทักษะและความชำนาญมาก ในสิ่งที่ท่านรู้ และทำได้ด้วย
2. ท่านขยัน มีความมานะพยายามสูง มีความเชื่อมั่นและสมาธิดีมาก
3. มีปัจจัยภายในอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมจุดแข็งนี้
(ข้อนี้ต้องยอมรับเป็นตัวอย่างที่ดี)

แต่จุดอ่อนมาก ๆ ของท่าน ผมว่า
1. ท่านฯเสียเพราะปาก (สงสัยลืมกลอนสุนทรภู่เตือน-หรือไม่ก็ท่านลืมอ่านตำราเดลคาร์เนกี) ปากไวไปหน่อย
2. ท่านฯใช้อำนาจมากไป(ผมรู้สึกอย่างนั้นนะ-ที่จริงอาจไม่ใช่หรอก แต่ว่า ถ้าคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ชิดท่าน หรือเป็นผู้ได้เสีย รู้สึกเหมือนผมในข้อนี้ละก็ แย่เลย ม๊อบแน่ๆ)
3. ท่านฯ มี"ภาระกิจ"ที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับ"ธุรกิจ"มากไปไหม ทำให้อธิบายถึงความโปร่งใสไม่ได้ วกวนเป็นเขาวงกต ส่อเจตนา ซ่อนเร้นอะไรไหม ทำให้สังคมคางแครงใจ

และอื่น ๆ อีกหลายประเด็น นี่ยังไม่กล่าวถึงโอกาสในการบริหารบ้านเมืองที่ดีกว่านี้ ซึ่งเป็จจัยที่ควรจะเอื้อให้ประเทศไทยก้าวไกลกว่าใครอื่น เช่น ระบบโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างด้านการปกครอง ที่เราอุตส่าห์ฟูมฟักกันมานาน จนกระจายอำนาจไปทั่วประเทศแล้ว เรามีดาวเทียมของเรา(ไม่รู้สิ ผมคงโมเมว่าเป็นของเราหลายดวงด้วย)
ส่วนปัญหาอุปสรรค ไม่ค่อยเท่าไหร่ อย่างมากก็เท่า ๆ กับเพื่อบ้านเราเจอกัน เช่น น้ำมันแพง โดรคระบาด ภัยพิบัติ หวัดนก ซึ่งบางอย่างก็พอควบคุมได้ บางอย่างมันก็สุดวิสัย แต่ทุกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือกันดี น่าจะเป็นโอกาสที่ดีด้วยซ้ำ (เพราะก่อนหน้านั้น ประชาชนให้ความร่วมมือดีเยี่ยม-ที่จริงตอนนี้ก็เยี่ยมอยู่หรอกแต่เยี่ยมน้อยมากหน่อย) ที่ควรคิดหาวิธีเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เสียดาย

แต่สิ่งที่น่าสังเกตและสงสัยมากก็คือ หนี้ภาคประชาชน : มาจากไหนกันนักกันหนา สมัยก่อนไม่ค่อยมีคนปล่อยกู้เงินดอก มาทุกวันนี้มีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมือง สงสัยอีกว่า บริษัทที่มาเปิดกิจการเหล่านี้ เป็นคนบ้านไหนเมืองไหนไหม หรือไทยด้วยกัน ถ้าไทยด้วยกัน ดอกโหดกันขนาดนี้ก็จะไม่เจ็บใจเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติมาทำกับคนไทยอย่างนี้ละก็....ใครจะควบคุมดูแล ถ้าไม่ใช่รัฐบาล...จัดการตรงนี้ได้ก่อน คนจะมีบรรยากาศ(จิตใจ) ที่จะทุ่มเททำงาน อย่าพึ่งไปทำโมเดลอะไรที่ไหนหรอก เห็น ๆ กันอยู่

สรุปความคิดผมก็คือ

เมื่อเอ่ยอ้างว่ารักในหลวง ก็จงพึงระลึกถึงพระราชดำรัส พระบรมราโชวาทต่างๆ ของพระองค์ท่าน พินิจพิเคราะห์ให้พอเพียงอย่างที่พระองค์สอน อย่าได้เกิดการฆ่าแกงกันเลย เราเสียใจมาหลายครั้งแล้ว
"คนจนอวดโก้ คนโง่อวดฉลาด คนขี้ขลาดอวดกล้า คนบ้าอวดดี" มันมีอยู่ในสังคมทุกแห่งหน แม้แต่ตัวเราก็แฝงอยู่ในนั้นด้วย โดยที่ไม่เห็นตัวเอง มันเป็นเรื่องธรรมดา จึงต้องมีรัฐธรรมนูญ เอาไว้เป็นกระจกส่องตัวเราไง หลักมันจึงมีว่าด้วย สิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพ ที่พอเพียง มากก็ไม่ดี มีน้อยก็ไม่ถูก การเกิดข้อโต้แย้ง การไกล่เกลี่ยจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่ควรใช้

วันนี้ ไม่ว่าเป็นฝ่ายไหน จึงควรเผชิญหน้ากันด้วยสันติ ผมเรียกว่าเผชิญ หมายถึงเข้าไปพบหน้ากันอย่างสง่าผ่าเผย เสร็จแล้วถอยกันคนละก้าว เจรจาข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบพร้อมกัน จึงจะไม่ทะเลาะกัน ผิดถูกไว้ให้ระบบ(ขั้นตอนตามอำนาจหน้ที่กฎหมาย) ตัดสินใจ ดำเนินการ ระยะยาว(สมัยต่อไป)ไว้ให้ประชาชนคนชม เป็นผู้ตัดสิน

นายกพูด 2 โมงเช้า ฝ่ายชุมชุมเริ่มบ่ายโมงเย็น เห็นทีจะพูดคนละที ตีคนละข้าง น่ากลัวเจ็บ ผู้มีหน้าที่ดูแลควรอดทน ทุกฝ่ายควรอดทน
หมายเหตุ : อำนาจควรมีไว้เพื่อคุ้มครอง ป้องกัน ส่งเสริม บริหารจัดการ ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือปกป้อง(ที่ไม่ดี) ปราบปราม(เข่นฆ่า) หาโอกาส(แสวงประโยชน์) หากเป็นไปได้ น่าจะใช้ให้น้อยที่สุด แต่ได้ประโยชน์สูงสุดด้วย และผู้ที่มีอำนาจควรระลึก(และต้องมี) ขาดไม่ได้เลยคือความยุติธรรม(มีความยุติธรรมเฉยๆไม่ได้ ต้องใช้ความยุติธรรมด้วย)

ด้วยความจริงใจ
"นายรักชาติ"
04.53 น. 04/02/2549


Posted by : รักชาติ , Date : 2006-02-04 , Time : 05:08:31 , From IP : gb.ja.235.37.revip.a

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<