ความคิดเห็นทั้งหมด : 10

Debate XC: การอพยพย้ายที่อยู่อาศัยคนจำนวนมากไปยังที่อยู่ใหม่ สามารถมีผลกระทบอย่างบ้าง?


   ขณะนี้ในยุคโลกาภิวัฒน์ การสื่อสารคมนาคมไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะหาที่ที่ไม่สามารถพูดคุยกับคนที่เราต้องการหรือรู้จักเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อยๆ การเผยแพร่วัฒนธรรม ความเชื่อ ความคิด ทำได้ด้วยความรวดเร็วและในปริมาณมากกว่าสมัยก่อน

แต่เดิมมนุษย์มีความหลากหลาย ต่างชาติ ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม ผลแห่งการที่คนๆหนึ่งเกิด ณ ที่ที่หนึ่ง ในครอบครัวๆหนึ่งสามารถมีผลต่อบุคลิก ความคิด และวิถีการดำเนินชีวิตได้อย่างมาก ในปัจจุบันมีปัจจัยภายนอกที่เริ่มมีผลต่อสิ่งเหล่านี้มากขึ้น ในสัดส่วนที่สูงขึ้น

Mass migration เป็นการย้าย physical existence ของกลุ่มคน ซึ่งก็จะมีความเชื่อ ความคิด พฤติกรรม และคณค่าของชุมชนอย่างหนึ่งตามไปด้วย เหตุการณ์เช่นนี้อาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ทางสังคมศาสตร์น่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และมีความสำคัญพอสมควร

บุคลากรทางการแพทย์จำเป็นต้องทราบว่า "อะไร" คือความสุข อะไรคือความทุกข์ ในบริบทที่แตกต่างไปของผู้ป่วยได้ พวกเราลองมาวิเคราะห์กันดีไหมครับว่า s migration มีผลต่อชุมชนอย่างไร

Be Mature
Be Positive
Be Civilized



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-13 , Time : 10:42:26 , From IP : 58.147.107.105

ความคิดเห็นที่ : 1


   migration มีผลต่อชุมชนอย่างไร ?
วัฒนธรรมท้องถิ่น ภาษา ความเชื่อ ค่อยๆ ปรับเปลียน และหายไป เด็กรุ่นใหม่ไม่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ความสนิทสนมกันระหว่างเพื่อนบ้านเริ่มห่างเหิน เริ่มเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ต่างคนต่างอยู่ในที่สุด


Posted by : เด็กแนว , Date : 2005-11-13 , Time : 11:04:17 , From IP : 172.29.7.79

ความคิดเห็นที่ : 2


   ในวิถีชีวิตแต่ละที่นั้นได้ถูกปรับและพัฒนาจากบรรพษุรุษเพื่อความอยู่รอดของชุมชนนั้นๆมาเป็นระยะเวลานานอาจจะเป็น 100 หรือ 500 ปีหรือกว่านั้นซึ่งอาจจะเรียกว่าวัฒนธรรมหรือวิถีประชาหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ค้ำจุนให้เกิดความสงบสุขในที่นั้นๆ โดยมากประเพณี สิ่งแวดล้อม สภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ ศาสนาและความเชื่อจะเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมดังกล่าวซึ่งจะกำหนดว่า อะไรดี อะไรไม่ดี สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูกซึ่งคนในที่นั้นๆจะเข้าใจตรงกัน เห็นภาพใหญ่ร่วมกัน และยอมรับ เพราะฉะนั้นถ้ามีสิ่งผิดแปลกไปจากเดิมชุมชนจะตระหนักได้ง่ายว่ามีสิ่งที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นแล้ว และจะช่วยกันพิจารณาได้เร็วว่าสิ่งดังกล่าวนั้นดีหรือไม่ดี และชุมชนนั้นควรทำอย่างไรภายใต้ผู้นำชุมชนนั้นๆ
สิ่งดังกล่าวจะเปลี่ยนไปเมื่อมีการโยกย้ายยิ่งถ้ามีการย้ายถิ่นในปริมาณที่มากๆในระยะเวลาอันสั้นในที่ใหม่ที่สภาพแวดล้อมต่างจากเดิมมากๆจะเกิดภาวะ chaos ซึ่งจะทำให้สังคมมีการปรับตัวขนานใหญ่เพื่อก่อให้เกิดความสมดุลใหม่ซึ่งในภาวะดังกล่าวจะเกิดความเครียดขึ้นในสังคม ความเครียดดังกล่าวนั้นอาจจะแสดงออกมาในหลากหลายรูปแบบ...(ขออนุญาตไว้ต่อในคราวต่อไป)....


Posted by : Top Secret , E-mail : (..............................) ,
Date : 2005-11-13 , Time : 12:15:16 , From IP : 203.188.57.246


ความคิดเห็นที่ : 3


   ณ จุดๆหนึ่งเวลาใดก็ตามจะมี "สมดุล" ของ ณ เวลานั้นๆ ในสถานที่นั้นๆ การมีสมดุล ไม่ได้แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่กลมกลืน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับ "แกน" หรือ "แก่น" ชัดเจน

การเสียสมดุลจะมีเมื่อ "การเคลื่อนไหว" ภายใน (หรือภายนอก) นี้มันรุนแรงมากเพียงพอที่ทำให้ "แกนเคลื่อน" ไป มันมีทั้งแบบนุ่มนวล หรือแบบไม่นุ่มนวล เช่น ถ้ามีอะไรสักอย่างบินมาชนโป้งให้โลกเราเขยื้อนไป 1 นิ้ว ก็อาจจะไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลยจากการที่ "แกนเคลื่อน" การเปลี่ยนแปลงที่อาจจะดูน้อยกว่านั้น เช่น ฤดูหนาวยาวนานขึ้นอีกสักอาทิตย์ ฤดูฝน ฝนตกมากขึ้นสักวันละ 10 นิ้ว อาจจะมีผลทำให้พืชพันธุ๋บางชนิดเกิดขึ้นใหม่ บางชนิดสูญพันธุ์ไป มีผลต่อไปทำให้สัตว์บางชชนิดสูญพันธุ์ไป หรือบางชนิดเกิดขึ้นมาใหม่

เคยมีภาวะ "สงคราม" ในอดีต ที่วัตถุประสงค์ไม่เพียงแต่ต้องการยึดพื้นที่ ขยายอาณาบริเวณ แต่ต้องการจะทำ genocide หรือ exterminate คนทั้งเผ่าพันธุ์ ที่ผู้รุกรานหลังจากเข้าไปยึดครองแล้ว ยังมีการสนับสนุนให้ทหารของตนเข้าไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนท้องถิ่นให้มากที่สุด ทั้งแบบทารุณทุกรูปแบบ เพราะเชื่อว่าการทำอบย่างนั้นจะช่วย dilute "ความต่าง" จะทำให้ generations ต่อๆมาปกครองง่ายขึ้น หรือ pure blood ของสายดั้งเดิมหมดสิ้นไป ไม่มีเหลืออีกต่อไป concept ของ pure blood นี้มีตัวอย่างเช่นฮิตเลอร์ที่คิดว่าอาณาจักรไรซ์ ของชนเผ่าอารยันเท่านั้นที่ worthwhile ในการมีชีวิตอยู่

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าสังคมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงที่เกอดขึ้นนั้นไม่ใช่ artificial จึงจะมีโอกาสที่ "การปรับตัว" จะเป็นไปอย่างเรียบร้อย สงบ และสันติ ที่จริงในยุคปัจจุบันมันมีโอกาสทุกอย่างที่กระแสความต่างมันถูกนำมาเปรียบเทียบและอยู่ข้างเคียงกันมากอยู่แล้ว มากพอที่จะทำให้คนรู้สึกซะด้วยซ้ำไปว่ามันอาจจะ "มากเกินไป" รึเปล่า ไอ้บรรดามือถือ คอมพิวเตอร์ lab-dance สายเดี่ยว โชว์สะดือนี่มันมาถึงวัฒนธรรมบ้านเราตั้งแต่เมือ่ไหร่หว่า นี่ขนาดเข้ามาโดยธรรมชาติ เรายังเห็น "การคุกคาม" ได้ ยังรู้สึกได้ ถ้ามันเป็นนโยบายที่ชัดเจนและ artificial มากกว่านี้ คนจะรู้สึกอย่างไร และมีปฏิกิริยาอย่างไร?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-13 , Time : 14:59:57 , From IP : 58.147.22.242

ความคิดเห็นที่ : 4


   การอพยพนำมาซึ่งหลายอย่างน่ะ ทั้งด้านดี และ้เสีย
ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ ที่ดี เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น หรืออาจจะไม่ดีก็ได้
ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมที่เล็กลงหรือก่อให้เกิดอำนาจใหม่เกิดขึ้นก็ได้
คิดไม่ออกล่ะ ค่อยมาใหม่ แค่นี้ก่อนน่ะ


Posted by : เด็กจุดจุด , Date : 2005-11-13 , Time : 15:16:57 , From IP : 172.29.4.57

ความคิดเห็นที่ : 5


   การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งธรรมดาขึ้นอยู่กับว่าจะเปลี่ยนไปทางด้านดีหรือไม่ดี (ดีเหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเอื้อต่อความสงบสุขที่แท้จริงของสังคม) คนในสังคมต้องช่วยกันมองสิ่งที่เกิดขึ้นหรือที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างถูกต้องอย่างไม่มีอคติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากนโยบายนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถูกเร่งหรือปรับเปลี่ยนโดยผู้บริหาร ในบางครั้งค่อนข้างที่จะประเมิณยากว่านโยบายที่เกิดขึ้นได้มาจากการคิดวิเคราะห์จากการรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องแค่ไหน คนที่กำหนดนโยบายรู้ปัญหาดังกล่าวถ่องแท้หรือเปล่า เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากนโยบายนั้นอาจจะลึกซึ้งและส่งผลทั้งความกว้างและลึกเกินกว่าที่คนทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้ทางด้านนั้นๆจะคาดการณ์และเข้าใจได้.......

Posted by : Top Secret , E-mail : (..............................) ,
Date : 2005-11-13 , Time : 16:43:33 , From IP : 172.29.7.109


ความคิดเห็นที่ : 6


   ผมคิดว่าความกว้างและลึกของเรื่องไม่ได้เป็นอุปสรรคในการคาดการณ์ ความสามารถในการเข้าใจ และการใช้เหตุผลวิเคราะห์ครับ เพียงแต่มันจะครบหรือไม่ครบก่อนคิดวิเคราะห์มากกว่า แต่ผมเห็นด้วยว่าเรื่องนี้คงจะ "ฟันธง" ยาก สังคมศาสตร์นั้นมัน dynamic และไม่ใคร่เหมือน formula ทางคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ เต็มไปด้วย confounders ซ่อนเร้น และสมการที่ยังไม่ครบ รวมทั้งตัวแปรที่เรายังไม่เข้าใจ แม้แต่คนที่ทำการศึกษาเรื่องนี้มานับสิบปี ก็น่าสงสัยว่าสามารถจะมี "ข้อมูลครบ" หรือไม่

แต่อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ "เจตนา" ของ campaign แบบนี้นั้น มันเข้ากันได้หรือไม่กับหลักธรรมาภิบาล ทศพิธราชธรรม กฏหมาย และจริยศาสตร์

ถ้าประเด็นหรือเจตนาคือ "ต้องการเปลี่ยน" คุณค่า ความเชื่อ ของสังคมๆหนึ่งโดยการสอดแทรกอะไรที่แตกต่างลงไป ตรงนี้จะมี "ความเสี่ยง" หรือไม่ที่เรากำลังไม่เคารพต่อ autonomy ของคน?

ทางการแพทย์นั้น เราสามารถ "ให้ข้อมูล" ที่เราคิดว่าดีที่สุดแก่ผู้ป่วย เสนอแนวทางแก้ไข ปฏิบัติต่างๆที่เราคิดว่าน่าจะเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วย น่าจะดีต่อสุขภาพ และที่สุดก็คือน่าจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี แต่นั่นก็มากที่สุดที่เราพึงกระทำคือ "ให้ข้อมูล" เพราะที่สุดแล้วผู้ป่วยและญาติจะต้องเป็นคนตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เหมาะที่สุดสำหรับตนเอง นิยามของ "คุณภาพชีวิต" นั้นต้องมาจากปัจเจกบุคคลนั้นเป็นผู้กำหนด และเข้ากันได้กับสังคมรอบข้างที่มีปฏิสัมพันธ์กันด้วย ถ้าหากเราคิดว่าการ บังคับแนวความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม เป็นหนทางแก้ไข นั่นเป็นทางดำเนินไปสู่ระบบ dictatorship หรือระบบ ultra-paternalism ที่ผู้นำเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าประชาชนควรจะสุขอย่างไร ทุกข์ตรงไหน อะไรคือ virtue of life ประเด็นนี้รัฐศาสตร์หลายๆประเทศทางตะวันตกพยายามอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับระบบ virtue of life ของประชาชนเสมอมา เพราะเขาเน้นเรื่อง autonomy มาก่อนทางฝั่งตะวันออก มันก็มีเหตุผลของมันอยู่พอสมควรว่าทำไม



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-13 , Time : 22:07:45 , From IP : 58.147.106.182

ความคิดเห็นที่ : 7


   ความจริงเป็นอย่างนี้ค่ะ

ยิวหรือพวกไซออนิสต์ต้องการทำลายล้างอิสลาม ----->โดยใช้อเมริกาเป็นเครื่องมือ-------> อเมริกาใช้รัฐบาลไทยเป็นเครื่องมือ--------> รัฐบาลไทยใช้นักการเมืองที่เป็นทาสทางความคิดคนอื่น ดำเนินการตามแผน

หวังเพื่อจะให้คนต่างถิ่นมากลืนศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ของคน 3 จว. เหมือนที่ อ.นกไฟว่า"....dilute "ความต่าง" จะทำให้ generations ต่อๆมาปกครองง่ายขึ้น หรือ pure blood ของสายดั้งเดิมหมดสิ้นไป ไม่มีเหลืออีกต่อไป....." นั่นแหละค่ะ

ถ้าเป็นดังที่กล่าวมา คน 3 จว. คิดต่อเองนะคะ ว่าควรทำอย่างไร


Posted by : ยูริ , Date : 2005-11-14 , Time : 09:04:08 , From IP : 172.29.7.239

ความคิดเห็นที่ : 8


   ความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องเลวร้ายเสมอไป

ยกตัวอย่างง่ายที่สุด "กระบวนการศึกษา" จะเกิดขึ้นนั้น จะ "ต้อง" มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นด้วยเสมอ ถ้าเราเข้าห้องเรียนแล้วออกมาทุกอย่างในสมอง ในกระบวนทัศน์ ความคิด ยังเหมือนเดิม นั่นแปลว่าไม่มีกระบวนการศึกษาเกิดขึ้นเลย กระบวนการศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะความต่างความหลากหลายความใหม่เท่านั้น บางทีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเป็นเพียงแค่ "ความมั่นใจ" ในความรู้เดิม ความเข้าใจเดิมก็ได้

เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงแบบ ปฏิรูป นั้น มันจะนุ่มนวลกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบ ปฏิวัติ

เดี๋ยวนี้การจะหา conservative group หรือเผ่าที่ "บริสุทธิ์" 100% (pure blood) นับวันจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ (แม้แต่บรรดาพ่อมด แม่มดก็ต้องมี hybrid หรือ mudblood จน.มาก ref: Harry Potter) แต่ถ้าการเกิดการ mixed blood นี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ใช่ campaign ที่ออกแบบมาโดยมีวัตถุประสงค์โดยตรงมันก็ไม่เป็นไร เพราะมันจะมีความรู้สึกประนีประนอมของขั้นตอนต่างๆเกิดขึ้นอยู่แล้ว ถามว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ (mix culture, mix breed, mix belief) ดีไหม? ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และมีอะไรบางอย่างที่ drive เรามาแต่อดีตที่ไม่ทำลายตนเอง แต่มีการเสริมสร้างความแกร่งของ holistic tribe ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ความสามารถในการ trading นี้ชัดเจน การเอาของที่เรามีเหลือเฟือจนดูเหมือนไม่มีค่าไปแลกกับอะไรที่ดูเหลือเฟือของคนอื่นที่ดูเหมือนไม่มีค่าสำหรับเขา และเอาของเราที่เขาดูว่ามีความหมาย ทำให้ทั้งสองเผ่าเป็น win-win situation เป็นคุณสมบัติที่ unique ของ human specie

แต่กระนั้นในภาพรวมที่ดูเหมือน organized แต่ในรายละเอียดมันก็มี chaos ปนๆอยู่ สังคมเคลื่อนที่เหมือน Brownian movement แต่ภายในนั้นมี random movement เต็มไปหมด ปัญหามันจะเกิดตรงที่เราพยายามจะบังคับ Brownian movement โดยการจัดระเบียบ ramdom groups ทุก group ข้างในต่างหาก micro-management หรือ micro-social engineering เป็นอะไรที่ผมว่ามีความเสี่ยงสูง เราอาจจะทำให้เกิด heat สูงและเร็วเกิดไปจน explode ขึ้นมาแทนที่จะควบคุมได้อย่างที่คิด ลองคิดดูการจัดระเบียบของ chaos นั้น เราแทบจะไม่ทราบว่าจะเริ่มตรงไหนกันดี

ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน มีกลุ่มคนที่ต้องการจะ control micro-chaos ให้ได้โดยใช้กำลัง ใช้ artificial manipulation พลังงานที่ควรจะค่อยๆสะสมอย่างช้าๆ มันก็ถูก catalyst ให้เร็วขึ้นๆจนแตก ระเบิดออก



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-14 , Time : 13:48:55 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 9


   ปัญหาที่น่าจะเป็นปัญหาที่สุดคือการที่คนในชุมชนนั้นไม่รู้(หรือมองไม่ออก)ว่าอะไรคือปัญหา หรือปัญหาที่แท้จริงของตนคืออะไร เมื่อคนไม่รู้ว่ามีปัญหาหรือมีสิ่งที่เป็นปัญหาเสียแล้วจะวิเคราะห์และหาทางแก้ไขปัญหาได้อย่างไร.......

Posted by : Top Secret , E-mail : (..............................) ,
Date : 2005-11-14 , Time : 22:41:35 , From IP : 61.19.202.46


ความคิดเห็นที่ : 10


   บางครั้งผมว่าเราจะหากฏสากลยากเหมือนกันว่าจุดไหนเป็น defect ที่สำคัญที่สุด เพราะมันมีปฏิสัมพันธ์กันค่อนข้างเยอะ

เคยอ่านเจอในหนังสือกำลังภายในว่า "คนนอกแจ่มใส คนในมืดมัว" หรืออะไรทำนองนี้ ความหมายคือพอมันมีผลกระทบ "โดยตรง" ต่อตัวเอว ต่อครอบครัวแล้ว โอกาสที่จะมองอะไรแบบ logic ชัดเจน ไม่ใช้อารมณ์ยิ่งยาก เป้นเหตุผลทำให้บางเรื่องคนวงนอกดูเหมือนจะสามารถให้คำแนะนำอะไรดีๆได้เสมอ นั่นเป็นเพราะขาด effect จาก emotional issue มาทำให้ตรรกะมันมืดมัวลง และเห็นเหตุการณ์วงกว้างได้ชัดเจนกว่าคนวงใน

ผมคิดว่าทางแก้มันคงงต้องเป็น bidirectional น่าจะดีที่สุด ใช้ลำพังจากภายนอกอย่างเดียว มีโอกาสสูงที่จะมีการละเมิด autonomy ของคนที่โดนกระทบมากที่สุด และนั่นเป็นสูตรสำเร็จประการหนึ่งของความล้มเหลว ใช้ลำพังภายในจัดการกันเองก็เกรงว่ามันจะไม่ได้เน้นที่เหตุ ที่ผล หรือหลักการ มันจะมี element ของอารมณ์ ความรู้สึก มามากเกินไป

สรุปแล้ว ทางสายกลาง และการ "ฟัง" ความรู้สึกคนที่เดือดร้อยฃนทุกฝ่ายมากๆน่าจะป็นจุดเริ่มต้นอะไรที่เป็นแนวทางปฏิบัติได้หรือไม่?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-15 , Time : 00:10:30 , From IP : 58.147.101.55

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<