ความคิดเห็นทั้งหมด : 9

ทักษิณ+กฟผ. แล้วคุณอยู่ตรงไหน???


   ลองอ่าน+วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ถ้าจริง....อนิจจาประเทศไทย...แล้วเรายังเฉยกันอยู่หรือนี่..
*************************************

ทักษิณ กับ แผนการปล้นชาติ

จับตา-แปรรูป การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ขบวนการปล้นชาติ สร้างอาณาจักรใหม่

ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันสหัสวรรษ แฉให้จับตาแปรรูป กฟผ. เข้าข่ายขบวนการปล้นชาติ
วางแผนสร้างเป็นอาณาจักร Shin Energy อย่างแยบยล เชื่อมไฟเบอร์ออพติคเข้าเสาไฟฟ้า หวังขยายเครือข่ายโทรศัพท์
คาดเม็ดเงินสูง 6 หมื่นล้านบาท พร้อมเขย่าตลาดหุ้น ให้ดิ่งหรือดับได้ในกำมือ ต่อไปคนรวยที่สุดในโลกจะไม่ใช่ บิล เกทส์
อีกแล้ว แต่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง ดร.วุฒิพงษ์ กล่าวว่า

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลชุดนี้ ถือเป็นการวางแผนทางธุรกิจการเมือง ครั้งใหญ่ โดยเกี่ยวพัน 4 ส่วนด้วยกันคือ

1. ปตท. ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่า 5 ล้านล้านบาท
2. ปิโตรเคมี มีมูลค่าตลาด 3 แสนล้านบาท
3. ธุรกิจโทรคมนาคมอีก 5 แสนล้านบาท แค่รวมสามส่วนนี้ก็มีมูลค่ามหาศาลถึง 2.1 ล้านล้านบาท
4. กฟผ.ซึ่งยังไม่ได้เข้าตลาดจึงยังไม่รู้ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ แต่คาดว่าใกล้เคียงกับ ปตท.

ทั้ง 4 ส่วนนี้น่าจะเป็นมูลค่า 3.4 ล้านล้านบาทเกินกว่ามูลค่าครึ่งหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ แสดงให้เห็นว่า
ระบบเศรษฐกิจของไทยครึ่งหนึ่งอยู่ ในภาคธุรกิจพลังงาน แสดงให้เห็นว่า หมากเกมนี้ แหลมคมลุ่มลึกมาก ขณะเดียวกัน
การคอรัปชั่นแบบคลาสสิค อย่างหักหัวคิวสนามบินสุวรรณภูมิก็ยังมีอยู่

การพิจารณาตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป ปตท.จะพบว่า คนพวกนี้เคยขายบางจากมาก่อนแล้ว และต่อไป
ก็จะมาทำการแปรรูป กฟผ.นี้ด้วย รัฐบาลจัดทีมชุดนี้วิ่งรอกตามจุดต่าง ๆ ที่ต้องการแปรรูป

ดร.วุฒิพงษ์ กล่าวว่า ในส่วนของโทรคนาคมนั้นมาเกี่ยวพันเป็น 1ใน 4 ของธุรกิจพลังงานได้ก็เพราะว่า เสาไฟฟ้าแรงสูง
ของ กฟผ. ในส่วนของ แกนสายได้สอดสายไฟเบอร์ออพติคไว้แล้ว ถือเป็นโครงข่ายโทรคมนาคมที่วิเศษที่สุด ดีกว่าโครงข่าย
ของ กสท.เสียอีก เพราะว่าเครือข่ายของ กฝผ.สามารถเข้าไปในบางพื้นที่ ที่กสท.เข้าไปไม่ได้ ตรงนี้ในอนาคตมีแนวโน้ม
ที่จะฉีกออกไปเป็นอีกหนึ่งบริษัทคือ อีแก็ต-เทเลคอม ได้สบายเพราะเป็นเจ้าของสายไฟเบอร์ออพติคที่แพร่ขยายไปตาม
ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ลองคิดดูว่าคอมลิงค์ซึ่งเป็นสายไฟเบอร์ออพติค วิ่งเฉพาะตามทางรถไฟ ในแต่ละภูมิภาค
มีสายไฟเบอร์ออพติคหลักอยู่เส้นเดียวยังสร้างความร่ำรวยได้มหาศาล แล้ว โครงข่ายของ กฝผ. ซึ่งเป็นกระดูกสันหลัง
ที่ดีที่สุดในประเทศ จะมีมูลค่าขนาดไหน จริงอยู่ว่าสายไฟของกฟผ.ยังไม่สามารถเชื่อต่อมายังบ้านได้ จำเป็นต้องหา
พันธมิตรเพื่อมาทำการเชื่อมต่อตรงนี้ ซึ่งการเชื่อมต่อมายังบ้านมี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ แบบมี สาย ซึ่งก็คือ เครือข่ายของ
การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งคงมีการคิดกันแล้วว่าจะต้องมีการรวมกันเป็นรัฐวิสาหกิจหนึ่งแห่งก่อน
แล้วค่อยนำไปขายในตลาดหลักทรัพย์ และ การเชื่อมต่อแบบไร้สาย ซึ่งอย่างหลังก็คือบริษัทโทรศัพท์มือถือต่าง ๆ นั่นเอง

ผู้อำนวยการสถาบันสหัสวรรษกล่าวต่อว่า นอกจากนี้เทคโนโลยีในอนาคตนั้นจะทำให้ปลั๊กไฟบ้านสามารถเสียบสาย
โทรศัพท์ได้ เพราะฉะนั้น สายไฟฟ้านอกจากจะจ่ายไฟฟ้ายังสามารถส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ได้ หากรวม กฟผ.,
การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( กฟภ.) จะยิ่งใหญ่กว่าเครือข่ายของ ดีแทค และ เอไอเอส
เพราะบริษัทเอกชนทั้งสอง ทำอย่างไรก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้

ผมขอพูดเป็นสมการแบบง่าย ๆ ดังนี้

TMB (ธนาคารทหารไทย) บวก IFCT (บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) บวก DBS (ธนาคารดีบีเอส)
จะเท่ากับ Shin Bank

ส่วนกรณี EGAT (กฟผ.) บวก PTT (ปตท.) จะเท่ากับ Shin Energy ซึ่งจะเชื่อมต่อกับ Shin Telecom
เป็นอาณาจักรใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจประเทศ

การนำ กฟผ.เข้าตลาดหุ้นจึงเป็นการต่อจิ๊กซอว์ เพื่อทำให้แผนการยึดครองเศรษฐกิจของประเทศสมบูรณ์แบบ

ดร.วุฒิพงษ์ กล่าวต่อว่า ไม่เกิน 1 ถึง 2 ปีจากนี้ เราคงเห็นค่าไฟจากหน่วยละ 10 สลึงกลายเป็น 4 บาท
ไม่ต่าง อะไรจากราคาน้ำมันในขณะนี้ หากมีการขึ้นค่าไฟฟ้าหน่วยละ 1 บาท เงินจะไหลเข้ากระเป๋าเจ้าของ กฝผ.
หนึ่ง แสนสองหมื่นล้านบาทต่อปี ตรงนี้เฉพาะค่าไฟเท่านั้น ยังไม่รวมประโยชน์จากไฟเบอร์ออพติค
ต่อไปนี้คนที่รวยที่สุดในโลกคงไม่ใช่ บิล เกตส์ อีกแล้ว แต่จะเป็นคนใกล้ตัว แถวนี้เอง
การแปรรูปการไฟฟ้าจะร้ายแรงกว่า ปตท.มาก เพราะในบ้านเรากิจการการค้าน้ำมันยังผูกขาดไม่สมบูรณ์
มีหลายเจ้าที่ค้าน้ำมันแข่งกันกัน แต่สำหรับไฟฟ้านั้นหากเราไม่ซื้อไฟจาก กฝผ.ก็ต้องไปซื้อถ่านไฟฉายตราแมวดำมาใช้

"ไม่มีการปล้นชาติครั้งใดหอมหวานเท่าครั้งนี้ เป็นการทำให้อำนาจทางการเมืองควบรวมกับอำนาจทางเศรษฐกิจ
อย่างสมบูรณ์ ที่ผ่านมาเราก็เห็นตัวอย่างจาก การกระจายหุ้น ปตท.แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หนึ่งในสามของหุ้น ปตท.
ถือครองโดย หน่วยลงทุน 2 หน่วยจากสิงคโปร์ (ตัวแทนของไอ้โม่งในไทย) ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของของหน่วยลงทุน
ทั้ง 2 หน่วยนี้ จะได้ผลประโยชน์ถึง 6 หมื่นล้านบาท
ที่สำคัญสามารถทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้แทบทุกวัน แค่บอกว่า จะขยายโรงกลั่นหรือ สร้างโรงไฟฟ้า หุ้นก็พุ่ง
พออีกอาทิตย์บอกว่า จะทบทวนมติครม.หุ้นก็ดิ่ง (ปั่นหุ้นทำกำไรกันจนรวยเละ)
เวลานี้บ้านเมืองกำลังถูกปลาหมึก ยักษ์กิน วิธีการสู้กับปลาหมึกยักษ์ อย่าไปแหย่ที่หนวด ให้แทงที่หัว"
ดร.วุฒิพงษ์ กล่าว
----------------------------------------------------------------------------------

ผลประโยชน์แอบแฝงมหาศาลด้านโทรคมนาคม อีกหนึ่งสาเหตุในการเร่งแปรรูป กฟผ.

มีอะไรอยู่เบื้องหลังธุรกิจด้านโทรคมนาคมที่ บมจ. กฟผ. รีบดำเนินการจัดตั้งแทบจะทันทีหลังจากการแปรสภาพเป็น
บริษัทจำกัด (มหาชน) ธุรกิจด้านนี้จะเป็นประโยชน์กับใคร และประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างไร ลองมาฟังกันดูครับ

ธุรกิจด้านโทรคมนาคม ของ บมจ. กฟผ. สำคัญอย่างไร

บมจ. กฟผ. ตั้งบริษัทลูกชื่อ "กฟผ. โทรคมนาคม" หรือ "EGAT Telecom" เพื่อนำเครือข่ายสื่อสารใยแก้วนำแสง
ที่ดำเนินการติดตั้งไว้ ตั้งแต่ก่อนแปรรูปไปให้เอกชนเช่าเพื่อการสื่อสารข้อมูล ปัจจุบันนี้เครือข่ายใยแก้วนำแสงของ บมจ.กฟผ.
มีช่องสัญญาณขนาด 155 Mbps (155 ล้าน bps) เชื่อมไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกำลังเร่งขยาย
ช่องสัญญาณขนาดเดียวกันนี้ไปยังภาคใต้ และภาคตะวัน ออกให้เสร็จในระยะเวลาอันใกล้ ก่อนการกระจายหุ้น

เครือข่ายใยแก้วนำแสงนี้ ทำอะไรได้บ้าง ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือปัจจุบัน บมจ. กฟผ. มีช่องสัญญาณใหญ่พอที่จะแพร่ภาพ
โทรทัศน์แบบเดียวกับที่ UBC ใช้แพร่ภาพในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปทั่วประเทศไทย โดยมีความ คมชัดระดับ VCD
ได้ประมาณ 100 ช่อง หรือ ประมาณ 30 ช่อง ที่ความคมชัดระดับ DVD และสามารถลงทุนขยายช่องสัญญาณเพิ่มขึ้น
64 เท่า ให้มีช่องสัญญาณสูงถึง 9.6 Gbps (9,600 ล้าน bps ซึ่งเท่ากับการแพร่ภาพ VCD 6,400 ช่อง
หรือ DVD 1,920 ช่อง)ได้ทันทีด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟผ. นั้นวางคู่ไปบนระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ.เอง ทำให้ต้นทุนด้านการวางเครือข่ายต่ำกว่า
ผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมรายอื่น และเมื่อเชื่อมกับเครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟภ. และ กฟน. ซึ่งอยู่บนระบบส่งไฟฟ้า
ของ กฟภ. และ กฟน.ในลักษณะเดียวกัน จะทำให้เกิดเครือข่ายใยแก้วนำแสงต้นทุนต่ำขนาดใหญ่ที่สุด สามารถให้บริการได้
ถึงทุกครัวเรือนในประเทศไทย แม้ว่าการวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงถึงทุกบ้านโดยตรงนั้นอาจยังไม่คุ้มค่าการลงทุนในปัจจุบัน
แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงถึงสถานีไฟฟ้าย่อย จากนั้นสามารถส่งข้อมูลผ่านสายไฟฟ้า
แรงดันต่ำไปยังบ้านเรือนได้ด้วยเทคโนโลยี Broadband over power lines (BPL) ซึ่งมีช่องสัญญาณ
ประมาณ 3 Mbps หรืออาจวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงไปถึงจุดบริการย่อย และต่อเข้าบ้านเรือนด้วยเทคโนโลยี WiFi
(เครือข่ายไร้สาย) ซึ่งมีช่องสัญญาณไม่น้อยกว่า 11 Mbps

จะเห็นได้ว่า ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารภาคพื้นดินผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่มีความรวดเร็วและมีความมั่นคงสูง
บวกกับความพร้อมของเครือข่ายระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. กฟภ. และ กฟน. ทำให้มีข้อได้เปรียบกว่าระบบโทรคมนาคม
ผ่านดาวเทียมหลายด้าน เช่น มีการลงทุนที่ต่ำกว่าการสื่อสารผ่านดาวเทียม ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสภาพอากาศเช่นเดียวกับ
การสื่อสารผ่านดาวเทียม ซึ่งจะขาดช่วงเมื่อฝนฟ้าคะนองหนัก (ข้อนี้ คนที่ดู UBC ผ่านจานดาวเทียมคงจะทราบปัญหาดี)
อีกทั้งการสื่อสารผ่านดาวเทียมไปถึงผู้รับบริการรายย่อยเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว ในขณะที่การสื่อสารผ่านเครือข่าย
ใยแก้วนำแสงเป็นการสื่อสารแบบสองทาง คือผู้รับบริการรายย่อยสามารถส่งข้อมูลกลับไปยังผู้ให้บริการได้ จึงรองรับการ
ให้บริการประเภท Interactive TV และ Hi-speed Internet ได้ดีกว่า

ข้อสังเกต

1. เมื่อเครือข่ายใยแก้วนำแสงบนระบบส่งไฟฟ้า เข้ามามีบทบาทสำคัญในการการสื่อสารโทรคมนาคมในอนาคตอันใกล้
บทบาทของการสื่อสาร ผ่านดาวเทียมย่อมลดลง แล้วใครจะเป็นผู้เสียประโยชน์
(จึงต้องการขยายอาณาจักรให้ครอบคลุม เครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม ทุกระบบ)

2. ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมถึงนักวิชาการอิสระทั้งหลาย เห็นตรงกันมาตลอดว่า ควรแปรรูป กฟผ.เฉพาะส่วนการผลิต
(โรงไฟฟ้า) เพราะทำให้เกิดการแข่งขันได้ง่าย แต่ให้คงส่วนระบบสายส่งไฟฟ้า และเขื่อนไว้เป็นของรัฐ เพราะทั้งสองส่วน
เป็นสิ่งที่ได้มาด้วยอำนาจทางกฎหมายและการเสียสละของประชาชนจำนวนมาก (ผ่านการเวนคืนที่ดิน ที่ใช้ในการก่อสร้าง)
อีกทั้งทำให้เกิดการแข่งขันได้ยาก แต่รัฐบาลทักษิณ กลับต้องการให้แปรรูป กฟผ. ทั้งหมด เพื่อให้ เอกชน
(เครึอญาติตระกูล................. และ นายทุนพรรค) เข้ามาถือสิทธิความเป็นเจ้าของทั้งในระบบส่งไฟฟ้าและเขื่อน

3. ระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟผ. ได้เร่งดำเนินการขยายช่องสัญญาณไปยังภาคต่างๆ จาก 8 Mbps
เป็น 155 Mbps ในช่วงไม่เกิน 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นการลงทุนที่เกินความต้องการสำหรับการสื่อสารภายในองค์กร
และเงินลงทุนนี้ยังถือเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งของค่าไฟฟ้าด้วย กล่าวคือประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคนช่วยกันจ่ายเงินค่าไฟฟ้าเพิ่ม
เพื่อขยายช่องสัญญาณเครือข่ายใยแก้วนำแสงให้แล้วเสร็จทันเวลากับการ แปรรูป กฟผ. และการตั้งบริษัท กฟผ.โทรคมนาคม
เพื่อนำช่องสัญญาณไปให้เอกชนเช่าได้อย่างพอดิบพอดี

4. ในการแปรรูป กฟผ. เป็น บมจ. กฟผ. นั้น คิดราคาสุทธิทางบัญชีของระบบสื่อสารของ กฟผ.ไว้เพียง 2,318 ล้านบาท
จากราคาทุน 6,356 ล้านบาท



Posted by : รักประเทศไทย , Date : 2005-11-10 , Time : 09:20:30 , From IP : 172.29.3.153

ความคิดเห็นที่ : 1


   ขอบคุณที่ตั้งกระทู้ ทำไมต้องปล่อยให้ ไอ้คนที่ได้ คะแนน สอบเอนทรานท น้อยกว่า มา ปกครอง ประเทศ แล้ว คนที่มี มันสมองมากกว่า อยู่ไหน
ทำไม ผู้ที่ได้ ชื่อว่า วุฒิสภา ถึง ไม่ได้มี วุฒิ เหมือนชื่อ
ถ้าไม่ แปรรูป การไฟฟ้า จะ ล่มสลาย รือ แล้วถ้าจะแปรรูป ทำ ทำไม
แค่นี้ ยังไม่ พอเพียง อีกเหรอ แล้ว การไฟฟ้า ก็ เป็น ของแผ่นดิน ทำไมต้อง มีเจ้าของ คุณ คนที่จะซื้อหุ้นต้องการอะไร ถ้า ต้องการผล กำไร แล้ว คำว่า กำไร มาจากไหน ใคร จะขาดทุน ทำไม ผลกำไร ที่ได้ ไม่ เป็น ของแผ่นดิน กลับ อยู่ กับ กลุ่มหนึ่ง
สสาร ไม่มีการสูญหาย ถ้ามีคนได้ กำไร ก็ ต้องมี คนขาดทุน
เรากำลังตก อยู่ ใน สังคม ทุน นิยม ทำให้ ไม่รักชาติ


Posted by : ฟฟฟ , E-mail : (ฟฟฟ) ,
Date : 2005-11-10 , Time : 12:00:39 , From IP : 61.7.146.165


ความคิดเห็นที่ : 2


   ตอนนี้ในหมู่บ้านมีคนมาเดินกว้านซื้อใบเสร็จรับเงินของการไฟฟ้า พร้อมสำเนาบัตรประชาชน ใบละ 300 บาท โดยเอา 3 เดือนย้อนหลัง 900 บาท บอกว่าจะเอาไปซื้อหุ้นของ กฟผ. ท่านมีความคิดอย่างไรในเรื่องนี้ (พื้นที่ อ.จะนะ)

Posted by : ยูริ , Date : 2005-11-10 , Time : 16:32:42 , From IP : 172.29.7.180

ความคิดเห็นที่ : 3


   เราไปเดินขบวนกันไหม ใครช่วยเป็นแกนนำกันหน่อย ล่ารายชื่อ 50000 ชื่อ เพื่อไล่ทักษิณออก ไม่งั้นประเทศไทยจะเหมือนอาร์เจนตินาแน่

Posted by : ยูริ , Date : 2005-11-10 , Time : 16:34:46 , From IP : 172.29.7.180

ความคิดเห็นที่ : 4


   เอาด้วยครับ

Posted by : เชี่ยม , Date : 2005-11-10 , Time : 18:31:49 , From IP : 172.29.7.81

ความคิดเห็นที่ : 5


   ยาวหน่อยนะ ลองตั้งใจอ่านดู ข้อมูลน่าสนใจ
********************************

ร่วมกันคัดค้านค่าไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม

รัฐบาล ฯพณฯ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้เห็นชอบให้ขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ดังนั้นเพื่อเป็นข้อมูลคัดค้านการกระทำดังกล่าว คณะทำงานศึกษาการขึ้นค่าไฟฟ้า-สมาพันธ์ประชาธิปไตย จึงได้ศึกษาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของ บมจ. กฟผ. กฟน.และ กฟภ. อย่างรอบด้าน และขอนำเสนอราคาค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรม ที่ควรจะเป็น เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนดังนี้
ตามที่ปรากฏในรายงานประจำปีของ บมจ. กฟผ. ปี 2547 ตามตารางที่ 1, 2 พบว่า บมจ. กฟผ. มีต้นทุนส่วนที่เป็นเชื้อเพลิงรวม 1.59 บาท/หน่วย และมีราคาต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง 0.70 บาท/หน่วย คิดเป็นต้นทุนรวม 2.29 บาท/หน่วย ทั้งที่ บมจ.กฟผ.จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติที่ราคาเฉลี่ย 132.55 บาท/ล้านบีทียูหรือคิดเป็นค่าก๊าซธรรมชาติที่ 1.25 บาท/หน่วย
เราพบว่า บมจ.กฟผ.ใช้ก๊าซธรรมชาติ ผลิตไฟฟ้าประมาณ 51 % ไม่รวมปริมาณการซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ SPP ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติอีกประมาณ 24 % และพบว่า บมจ. กฟผ.ใช้ลิกไนต์ในการผลิตไฟฟ้าด้วยซึ่งมีราคาถูกกว่าก๊าซธรรมชาติมาก และบางส่วนใช้น้ำมันเตาแต่มีสัดส่วนน้อย จึงทำให้ราคาต้นทุนส่วนที่เป็นเชื้อเพลิงเฉลี่ยรวมที่ 1.05 บาท/หน่วย ตามตารางที่ 3 แต่ต้นทุนดังกล่าวกลับขัดแย้งกับในตารางที่ 1 ที่มีต้นทุนส่วนที่เป็นเชื้อเพลิงเท่ากับ 1.59 บาท/หน่วย หากเป็นจริงดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า บมจ. กฟผ. บริหารต้นทุนเชื้อเพลิงรวมแพงผิดปรกติมาก หรืออาจเป็นไปได้ว่าราคาต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงของ บมจ. กฟผ. อาจสูงผิดปรกติถึง 1.24 บาท/หน่วย (2.29 -1.05) ในขณะที่ต้นทุนในส่วนนี้ไม่ควรเกิน 0.27 บาท/หน่วย ตามมาตรฐานสากล โดยสรุปจึงกล่าวได้ว่าการบริหารต้นทุนในส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงของ บมจ.กฟผ. ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ที่ทำให้ต้นทุนสูงเกินกว่าที่จะเป็น



จากการศึกษาต้นทุนค่าไฟฟ้าจากการผลิตจากก๊าชธรรมชาติของโรงไฟฟ้าชนิด กังหันแก๊ส+ความร้อนร่วม (CCGT) ขนาด 725 เมกกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชนิดเดียวกับที่ บมจ.กฟผ.ใช้อยู่ และได้รับอนุมัติให้สร้างใหม่อีก 4 แห่ง จะมีต้นทุนค่าก่อสร้างประมาณ 14,500 ล้านบาท เมื่อคิดเป็นเงินกู้ร้อยละ 75 ของเงินลงทุน ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี ระยะเวลาคืน เงินกู้ 7 ปี และใช้ค่าตัวประกอบส่วนลด (NPV Discount Rate) ที่อัตราร้อยละ 7.5 อัตราการบริโภคเชื้อเพลิง (HHV) เฉลี่ย ที่ 7,330 บีทียู/หน่วย (กิโลวัตต์-ชม.) เดินเครื่องที่ Load Factor เท่ากับ 78% อายุการเดินเครื่อง 25 ปี และค่าใช้จ่ายก๊าซธรรมชาติ ค่าเดินเครื่องและบำรุงรักษา เพิ่มขึ้นปีละ 0.5%
เราสามารถคำนวณต้นทุนของค่าไฟฟ้าโดย กำหนดให้ บมจ.กฟผ. มีผลตอบแทนการลงทุน 20 % (IRR- ROE, Discounted Cash Flow Method) จะสามารถคิดค่ากระแสไฟฟ้า (Levelize) ขายส่งตลอดอายุการเดินเครื่อง 25 ปี ซึ่งเป็นราคาที่ บมจ.กฟผ. ขายให้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และราคาขายปลีกของสองการไฟฟ้าบวก 20 % ได้ตามตารางที่ 4 และ
หรือสามารถเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้
1. ต้นทุนผลิตไฟฟ้า (บ./หน่วย)
ต้นทุนไฟฟ้า = ต้นทุนส่วนที่เป็นเชื้อเพลิง + ต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง
โดยที่ ต้นทุนส่วนที่เป็นเชื้อเพลิง = 0.007639 x (G)
G = ราคาก๊าซ (บาท/ล้านบีทียู)
ต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง = 0.269512
2. ราคาขายส่งของ กฟผ . (บ./หน่วย)
ราคาไฟฟ้า = ต้นทุนและกำไรส่วนที่เป็นเชื้อเพลิง+ต้นทุนและกำไรส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง
โดยที่ ต้นทุนและกำไรส่วนที่เป็นเชื้อเพลิง = 0.007639 x (G)
G = ราคาก๊าซ (บาท/ล้านบีทียู)
ต้นทุนและกำไรส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง = 0.598956

3. ราคาขายปลีกของ กฟน และ กฟภ . (บ./หน่วย)
ราคาไฟฟ้า = ต้นทุนและกำไรส่วนที่เป็นเชื้อเพลิง+ต้นทุนและกำไรส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง
โดยที่ ต้นทุนและกำไรส่วนที่เป็นเชื้อเพลิง = 0.009167 x (G)
G = ราคาก๊าซ (บาท/ล้านบีทียู)
ต้นทุนและกำไรส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง = 0.718747

จากตารางที่ 4 หรือสูตรที่ 3 พบว่าราคาขายปลีกไฟฟ้าที่ประชาชนรับภาระที่ราคาก๊าซธรรมชาติ 160 บาท/ล้านบีทียู จะเท่ากับ 2.185 บาท/หน่วย หรือที่ 188 บาท/ล้านบีทียู จะเท่ากับ 2.442 บาท/หน่วย ในการนี้จะเป็นราคาจากก๊าซธรรมชาติที่ 1.466 บาท/หน่วย (2.185-0.718) และที่ 1.723 บาท/หน่วย (2.442-0.718) เท่านั้น

รัฐบาลกำลังสมคบกับ บมจ. กฟผ. บวกค่าไฟฟ้าที่สูงก่อน เพื่อประโยชน์ของการนำหุ้นของ บมจ.กฟผ.เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ไม่เคยแถลงข้อเท็จจริงของต้นทุนการผลิตของ บมจ. กฟผ. ให้ประชาชนทราบ ว่าต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง ได้ แก่ เงินเดือน โบนัส สวัสดิการ (รวมถึงเงินกู้ซื้อหุ้น บมจ.กฟผ. ของพนักงาน และเงินเดือนเพิ่มอีกหลังเข้าตลาด) ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าใช้จ่ายจากค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินต่างๆ เป็นเท่าไร
ส่วนค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นเชื้อเพลิงซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่คือ ก๊าซธรรมชาติ แม้ว่าโรงไฟฟ้าในปัจจุบันของ บมจ.กฟผ.จะมีอายุการใช้งานยาวนานมีอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงสูง ประมาณ 8600 บีทียู/กิโลวัตต์-ชม. แต่โรงไฟฟ้าใหม่ที่ บมจ.กฟผ.ได้รับอนุมัติให้สร้างอีก 4 โรง เป็นโรงไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงน้อยลง ที่ประมาณ 7200 บีทียู/กิโลวัตต์-ชม. ต้นทุนในส่วนที่เป็นเชื้อเพลิงจึงถูกลง แม้ว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะสูงขึ้น

การคำนวณดังกล่าวที่แสดงให้เห็นนี้นับว่าสมเหตุผลเพราะอยู่บนพื้นฐานของโรงไฟฟ้าใหม่ของ บมจ กฟผ.ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นแม้จะยังสร้างไม่เสร็จ แต่สามารถคำนวณต้นทุนของ บมจ.กฟผ. ในอนาคตอันใกล้ว่าจะถูกลงอย่างแน่นอน แต่ค่าไฟฟ้าจะไม่ถูกลง เพราะ บมจ.กฟผ.อาจอ้างว่าราคา ก๊าซธรรมชาติ แพงขึ้นอีก เพื่อตบตาประชาชน ข้อเท็จจริงในส่วนนี้ รัฐบาลไม่เคยเปิดเผยต่อประชาชน
การกระทำดังกล่าวเพื่อประกันรายได้หรือความมั่งคั่งของ กฟผ.ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงเท่ากับเป็นการปล้นประชาชน เพราะรัฐบาลโยนภาระต้นทุนของ บมจ.กฟผ. ที่ไม่มีประสิทธิภาพทั้งในส่วนของต้นทุนเชื้อเพลิง และส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิง มาให้ประชาชน โดยเฉพาะต้นทุนเชื้อเพลิง เพราะหากรัฐบาลบังคับให้ปตท.ขายก๊าซธรรมชาติให้ บมจ.กฟผ.ที่125 บาท/ล้านบีทียู ซึ่งเท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาที่ ปตท. ขายให้แก่โรงงานแยกก๊าซที่เป็นธุรกิจในเครือของปตท.เองจะพบว่าราคาขายไฟฟ้าปลีกจะเหลือเพียง 1.891 บาท/หน่วย เท่านั้น คิดเป็นกำไรส่วนเกิน ประมาณ 1 บาท/หน่วย (2.185 – 1.89) หรือคิดเป็นเงินกว่าแสนล้านบาทต่อปี (1 บาท/หน่วย คูณ 120,000 ล้านหน่วยต่อปี)
แต่รัฐบาลกลับกำหนดค่าไฟฟ้าฐานใหม่เป็น 2.72 บาท/หน่วย บวกกับค่าเอฟทีใหม่อีก 10 บาท/หน่วย รวมเป็น 2.82 บาท/หน่วย เราจึงสรุปได้ว่ารัฐบาลไม่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนแต่รัฐบาลปกป้องอุ้มชูผลประโยชน์ของ ปตท. และ กลับปล้นและขูดรีดค่าไฟฟ้าจากประชาชนอีกทอดหนึ่งโดยไม่บีบบังคับให้ บมจ.กฟผ.บริหาร ต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ รัฐบาลต้องการให้กิจการของทั้ง ปตท. และ บมจ.กฟผ. มีกำไรโดยซึ่งกำไรทุกบาททุกสตางค์จะตกเป็นผู้ถือหุ้นเอกชน 25%-30% ซึ่งจากหลักฐานของการล็อกหุ้น ปตท.ในอดีตพบว่าผู้ถือหุ้นในส่วนนี้เป็นกลุ่มคนไม่กี่ตระกูลที่มีความสัมพันธ์เป็นเครือข่ายกับผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล

ดังนั้น บมจ. กฟผ.จะต้องทำการผลิตไฟฟ้าให้มีต้นทุนเป็นไปตามมาตรฐานสากลให้ได้คือต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงจะไม่เกิน 0.269 บาท/หน่วยและมีราคาขายส่งและปลีกของส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงไม่เกิน 0.598 บาท/หน่วย และ 0.718 บาท/หน่วยตามลำดับ หาก บมจ.กฟผ.ไม่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้ก็ไม่ควรได้รับการอุ้มชูจากรัฐบาลให้เป็นผู้ผูกขาดรับซื้อไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตอื่นๆทำการผลิตแข่งกับ บมจ. กฟผ. เพื่อขายให้แก่ กฟน และ กฟภ โดยตรง เพื่อไม่ให้ กฟผ.เป็นเสือนอนกิน ซึ่งผลเป็นประโยชน์ส่วนเกินที่เข้า บมจ.กฟผ. โดยไม่เป็นธรรมก็จะตกแก่ประชาชนโดยตรง
การปล่อยให้ประชาชนรับภาระไปเต็มๆ แต่ตัวปัญหาที่รัฐบาลแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหรือมองข้ามไปคือต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงของ บมจ. กฟผ. ที่เราได้วิเคราะห์ให้ดูแล้วว่าน่าจะสูงที่สุดในโลกซึ่งสะท้อนถึงการไร้ประสิทธิของ บมจ. กฟผ.อย่างยิ่ง หรือพูดได้คำเดียวว่าต่ำกว่ามาตรฐาน บริษัทฯอย่างนี้จะไปแข่งกับใครได้นอกจากใช้ระบบผูกขาดอย่างเดียว

จากความจริงดังกล่าวจึงสามารถสรุปได้ว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าแพงเกิดจาก กฟผ.ไม่สามารถบริหารต้นทุนโดยเฉพาะในส่วนที่ไม่เป็นต้นทุนเชื้อเพลิง ให้ได้ตามมาตรฐานนั่นเอง แทนที่รัฐบาลจะสั่งการให้ บมจ. กฟผ. ลดต้นทุน และ บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ดันไปขึ้นเงินเดือนให้พนักงานทุกคน และ ให้หุ้นฟรี และ/หรือ หุ้นขายในราคาพาร์
ซึ่งต้องบอกว่านี่คือเศษเนื้อที่รัฐบาลเอามาประเคนให้พนักงาน กฟผ. โดยแท้จริงแล้วที่เงินเพิ่มในส่วนนี้ก็คือค่าไฟใหม่ 2.82 บาท/หน่วย ที่ บมจ. กฟผ.จะปล้นเอาจากพี่น้องคนไทยทั้งหลายภายหลังนั่นเอง ต้องนับว่าเป็นวีรกรรมที่เด็ดเดียวน่าประณามเป็นอย่างยิ่งที่ครั้งนี้ รัฐบาล ปล่อยให้ บมจ.กฟผ. ปล้นพี่น้องคนไทยทั้งหกสิบห้าล้านกลางวันแสกเลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อเทียบกับการไฟฟ้าอื่นๆในภูมิภาคนี้หรือผู้ผลิตเอกชนอื่นๆในมาตรฐานเดียวกัน บมจ.กฟผ.จะมีศักยภาพในการแข่งขันกับคนอื่นได้อย่างไร หรือว่า บมจ.กฟผ.คือ เนชั้นแนลแชมเปี้ยนที่มีมาตรฐานสูงกว่าหน่วยงานอื่นค่าไฟจึงได้แพงกว่า

เรามีตัวอย่างผลงานของ บมจ.กฟผ. จำนวนหนึ่งที่สามารถกล่าวได้ว่าคำว่ามาตรฐานสูง ของ กฟผ. ไม่จริง แต่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแพงกว่าที่ควรก็ได้ ตัวอย่างแรก โรงไฟฟ้าน้ำพองของ บมจ.กฟผ. ที่ขอนแก่น กำลังผลิต 710 เมกกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแต่สามารถเดินเครื่องได้ครึ่งเดียวเพราะก๊าซไม่พอ ถ้าต้องการให้ได้กำลังผลิตเต็มต้องใช้น้ำมันดีเซลซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่แพงที่สุดหากเดินเครื่องมากก็ขาดทุนบักโกรก
ถามว่าการวางแผนผิดพลาดที่ต้องลงทุนเป็นหมื่นๆล้านโดยเครื่องแทบกองไว้เป็นเศษเหล็กมีใครใน บมจ.กฟผ. เคนออกมาแสดงความรับผิดชอบบ้าง แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือในกรณีที่ กฟผ. พิพาทกับชาวเขื่อนปากมูล บมจ.กฟผ. มักขู่ว่า การเปิดประตูเขื่อนจะทำให้กำลังผลิตไม่พอ ต้องเดินเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อจ่ายไฟให้ภาคอีสานที่มีปัญหาขาดแคลนแหล่งผลิต ไฟฟ้า

แต่แท้จริงแล้วเขื่อนปากมูลมีกำลังผลิตติดตั้งแค่ 102 เมกกะวัตต์ แต่มีความสามารถผลิตได้จริง (Capacity Factor) เพียง 32 เปอร์เซ็นเท่านั้น และมักทำงานได้ดีในเฉพาะฤดูน้ำหลาก เพราะแม่น้ำมูลมีความต่างระดับของน้ำระหว่างหน้าเขื่อนกับหลังเขื่อนต่ำ
นอกจากมีพฤติกรรมเอาแต่ความดีใส่ตัวแต่ความชั่วโยนให้ชาวบ้านเช่นชาวปากมูลที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ทั้งๆ บมจ. กฟผ.ก็รู้ๆอยู่เขื่อนปากมูลไม่มีศักยภาพที่จะผลิตไฟฟ้าเพื่อจ่ายให้ภาคอีสานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บมจ. กฟผ. ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ปัญหาที่แท้จริงคือข้อบกพร่องของโรงไฟฟ้าน้ำพองที่ก่อสร้างเพื่อจ่าย ไฟฟ้าช่วยภาคอีสานแต่ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ทุกวันนี้ต้องเดินโดยใช้น้ำมันดีเซลซึ่งคือสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงจริง แต่ บมจ. กฟผ.ไม่เคยยอมรับความผิดพลาดนี้และที่ถูก บมจ. กฟผ. ควรต้องขออภัยต่อสังคมว่าตัวเองดำเนินผิดพลาดไปแล้วสำหรับโครงการทั้งสอง และเลิกโยนความผิดให้ชาวบ้านที่เขื่อนปากมูลเสียที
อีกตัวอย่างหนึ่งก็ได้คือ บมจ. กฟผ สมัยสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีไม่เสร็จตามกำหนด ปตท. และ บมจ. กฟผ. ต้องเสียค่าปรับให้ พม่า เป็นปีๆ ก็ไม่เคยเห็นออกมาขอรับผิดชอบความเสียหายและขออภัยต่อสังคมว่าตัวเองดำเนินผิดพลาดไปแล้ว
อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่ตัวอย่างสุดท้าย คือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าความร้อนกระบี่โรงที่สอง ขนาด 300 เมกกะวัตต์ ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมกว่าสองปีทำให้ บมจ.กฟผ.มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าพันล้านบาทเกินจากงบประมาณที่ตั้งไว้ ซึ่งเกือบทุกกรณีก็ว่าได้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด บมจ.กฟผ.จะผลักไปใส่ในค่า เอฟ.ที ให้ประชาชนรับภาระไปตามเคย หรือว่าไม่จริง ?
อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่า บมจ.กฟผ บริหารด้วยความโปร่งใสหรือไม่คือ การไม่เลิกสัญญาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่บ่อนอก ขนาด 700 เมกกะวัตต์ และ หินกรูด ขนาด 1400 เมกกะวัตต์ เนื่องจากคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา เช่น เรื่องการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่สมบูรณ์ การบุกรุกใช้ที่สาธารณ การไม่สามารถยืนยันจัดหาแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินได้
แต่รัฐบาล และ บมจ.กฟผ.เห็นชอบอนุมัติ ให้ทั้งสองโครงการได้รับสัญญาใหม่โดยการเปลี่ยนเชื้อเพลิงเป็น ก๊าซธรรมชาติ และ เปลี่ยนสถานที่ไปที่ จ.สระบุรี และ จ.ราชบุรี ตามลำดับ โดยเฉพาะที่ จ.สระบุรี ของ บมจ. กัลฟ์ อิเล็คทริก บมจ.กฟผ.ให้สัญญาเพิ่ม จาก 700 เมกกะวัตต์ เป็น 1400 เมกกะวัตต์ โดยไม่มีการประมูล
การให้สัญญาเพิ่มเติมนี้ถือเป็นเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มพวกพ้องของตัวเองอย่างที่สุดสำหรับโครงการมูลค่าก่อสร้างกว่าหกหมื่นล้านบาท มูลค่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากว่าสามหมื่นล้านบาทต่อปี การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ประกวดราคา IPP เดิมโดยไม่เป็นธรรม
นอกจากนั้น บมจ.กฟผ.ยังมอบหมายให้บริษัทลูก คือ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (เอกโก้) และ บมจ. ราชบุรีเพาเวอร์ เข้าไปถือหุ้นร่วมในโครงการทั้งสอง และ บมจ.กฟผ. เองเข้าไปรับงานบริการวิศวกรรม และควบคุมคุณภาพในโครงการก่อสร้างด้วย ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ บมจ.กฟผ.ได้รับโดยเปิดเผยแต่ไม่โปร่งใส
ในอนาคตอันใกล้อาจมีข่าว บมจ.กฟผ. ร่วมกระทำทุจริตในการสร้างโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นที่ท่าอากาศสุวรรณภูมิ ที่ขณะนี้มีผู้ร้องเรียนต่อกรรมาธิการวิสามัญสอบสวนศึกษาการทุจริตวุฒิสภาแล้ว และ รวมทั้งมีการร้องเรียนกรณีการกระทำเชื่อได้ว่ามีมูลเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายกรณี เช่น ที่เหมืองแม่เมาะเป็นต้นซึ่งได้สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแก่ชาวบ้านนับร้อยๆครัวเรือน

บมจ.กฟผ.ก็คือหน่วยงานที่ไม่ต่างจากหน่วยงานอื่นที่น่าเชื่อได้ว่าควรได้รับการตรวจสอบระดับความโปร่งใส จรรยาบรรณ จริยธรรม และ คุณธรรม อย่างหนักหน่วง ถึงแม้ จะมีคำขวัญว่า “รักองค์การ มุ่งงานเลิศ เทิดคุณธรรม” แต่ก็อาจเป็นคำขวัญที่มีไว้ฟังหวานหูเท่านั้น
จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่า บมจ.กฟผ. จะไม่สามารถแข่งกับเอกชนได้แม้จะลดต้นทุนเชื้อเพลิงให้ บมจ.กฟผ. ใกล้เคียงกับรายอื่นๆ ได้แต่ยังมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงสูงผิดปรกติ บมจ.กฟผ.ทุกวันนี้จึงเปรียบได้ว่าเป็นเสือที่ถูกขังอยู่ในกรงที่ดูน่ากลัวถูกป้อนอาหารโดยพี่เลี้ยงอย่างดีตั้งแต่เกิดจนเป็นระยะเวลานานถึง 35 ปี แต่เมื่อถูกปล่อยออกจากกรงให้มาต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ไม่แน่เสือตัวนี้อาจถูกหมากัดตายก็ได้ถ้ามันเป็นเสือจริงเพราะมันไม่เคยต่อสู้หาเลี้ยงด้วยตัวของมันเองเลย หรืออย่างดีมันอาจเป็นแค่เสือในกระดาษเท่านั้นที่มีแต่คนที่ฉลาดกว่าเอามาหลอกขายหาประโยชน์
ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ให้ บมจ.กฟผ. เป็น ผู้ซื้อรายเดียว และเป็นเจ้าของสายส่งด้วย โดยบังคับให้เอกชนอื่นขายส่งผ่าน บมจ.กฟผ.เพื่อให้ บมจ.กฟผ.เอากำไรก่อน และขึ้นราคาค่าไฟฟ้าฐานให้อย่างน่ารังเกียจ เพื่อประกันรายได้ในการเข้าตลาดหุ้น เพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่เมื่อถามว่า ถ้า กฟผ.แปรสภาพเป็นบริษัทเอกชนแล้วจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้หรือไม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกได้หรือไม่ คิดว่าปัจจุบันยังไม่มีใครให้คำตอบนี้ได้
นอกจากไม่ลดต้นทุนแล้วกลับเพิ่มเงินเดือนพนักงานเฉลี่ยคนละ 15 เปอร์เซ็นต์ ผู้บริหารสูงสุดยังมีรถประจำตำแหน่งระดับ เอส – คลาส ระดับรองๆก็ใช้รถระดับ อี – คลาส, ซี-คลาศ ตามลำดับเหมือนเดิม วันทำงานเท่าเดิม อย่างมากก็เพิ่มเวลางานวันละ 1 ชั่วโมง บ้านพักรับรองหรูๆตามเขื่อนต่างๆก็ยังมีเหมือนเดิม สำหรับรับรอง “ผู้ใหญ่” ที่ชอบไปตรวจงานต่างจังหวัด พร้อมกับไปออกรอบสนามกอล์ฟ ต่างๆทั่วประเทศที่มีถึง 12 สนาม (ดูรายชื่อสนามกอล์ฟ ของ บมจ.กฟผ)


แต่ที่เปลี่ยนไปที่เห็นชัดคือเมื่อแปรสภาพเป็น บมจ. แล้ว แนวที่ดินใต้สายส่งทั่วประเทศ สิ่งอำนวยความสะดวกตามเขื่อนเหล่านี้ซึ่งเดิมเป็นสินทรัพย์อันมีค่าได้แก่ตัวเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ที่เคยเป็นที่
สาธารณะ และบางแห่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ หลายแห่ง บมจ.กฟผ.ได้มาบนคราบน้ำตาของชาวบ้านในที่ห่างไกลในชนบท ที่ต้องเสียสละพื้นที่ๆซึ่งถูกทำเป็นอ่างเก็บน้ำ เป็นเหมือง เป็นโรงไฟฟ้า โดยพวกเขาเหล่านั้น ต้องทิ้งทิ้งบ้าน ที่ทำกิน บ้านแตกกระสานซ่านเซ็น ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต จาก เกษตรกรสมถะ ทำไร่ ทำนา หาของป่า ตัดฟืนเผาถ่าน ประมงพื้นบ้าน อยู่อย่างพอเพียง มาเป็นกรรมกร ขายตัว ปากกัด ตีนถีบ ต่อสู้กับสังคมที่พวกเขายังไม่พร้อมจะต่อกรด้วย เสมือนสู้เอาไปตายดาบหน้าครอบครัวแล้วครัวเล่า สถานที่สาธารณะเหล่านั้นกำลังจะถูกโอนสิทธิการใช้ไปให้เอกชน โดยผ่านขบวนการแปรสภาพ บมจ.กฟผ. ซึ่งแม้รัฐจะมีหุ้นใหญ่ 75 เปอร์เซ็นต์ แต่ในอนาคตจะมีหลักประกันอะไรที่จะรับรองว่าจะยังสามารถดำรงสัดส่วนดังกล่าวได้

หากวันหนึ่งในอนาคตถ้ารัฐถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละหาสิบ สินทรัพย์เหล่านั้น หรือสิทธิการใช้และครองครองก็จะเป็นของบริษัทเอกชนทันทีซึ่งอาจถูกยักย้ายถ่ายเทโดยการขายหรือแปรสภาพตามนโยบายของบริษัทก็เป็นได้เพื่อแปลงสินทรัพย์เป็นทุน(หรือเงินสด) ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ชุดนี้
การตระบัดสัตย์โดยผู้มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดเคยมีให้เห็นมาก่อนแล้ว แม้ที่วัดยังซื้อขายได้เมื่อแปรสภาพ บมจ.กฟผ. แล้วคิดหรือว่าในอนาคตจะไม่มีการตระบัดสัตย์อีกซักครั้งเพื่อถอนทุนคืน
การแปรสภาพ บมจ.กฟผ. เพื่อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้มีหลักประกันใดๆเลยๆว่า กฟผ. จะเพิ่มประสิทธิภาพและแข่งกับเอกชนได้ เพราะ บมจ.กฟผ.เองก็ไม่เคยคิดจะแข่งขันกับเอกชนจนขอสิทธิสร้างโรงไฟฟ้าใหม่สี่แห่งโดยไม่ต้องประมูล

เมื่อได้สิทธินั้นแล้ว บมจ. กฟผ. ก็รู้ว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้ารวมของโรงไฟฟ้าใหม่ไม่เกิน 1.49 บาท/หน่วย (ที่ราคาก๊าซธรรมชาติ 160 บาท/ล้านบีทียู, ดูตารางที่ 4) ขณะที่ราคาปัจจุบันเท่ากับ 2.29 บาท/หน่วย (ดูตารางที่ 1) ดังนั้น ถ้าจะแปรสภาพเป็น บมจ.เข้าตลาดหุ้น สิ่งที่ บมจ.กฟผ.ควรทำอย่างแรกคือลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทันที 0.80 บาท/หน่วย (2.29 – 1.49) เมื่อโรงไฟฟ้าใหม่สร้างเสร็จ และเมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ซะด้วยซ้ำไป สำหรับส่วนที่ บมจ.กฟผ. ผลิตเอง ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ทำได้ถูกต้องตามตรรกศาสตร์
คน บมจ. กฟผ.เอง ไม่มองตัวเอง ไม่แก้ไข ไม่ปรับปรุงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะเป็นเสือนอนกิน ผูกขาดเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าคนเดียว บมจ. กฟผ. ถ้าเปรียบเป็นเสือ ก็อยู่ในอาการป่วยใกล้อัมพาตเต็มทน ตัวโตอ้วนเทอะทะ แต่ขารีบทั้ง 4 ข้าง ใช้การแทบไม่ได้ สมองไม่ทำงาน คอยแต่ขออาหารไปเลี้ยงให้พอมีชีวิตอยู่ได้เท่านั้นเอง ถ้าไม่มีเอกชนปั่นไฟราคาถูกขายให้ (ต้นทุนประมาณที่ 1.68 บ/หน่วย ขาย 2.14 บ/หน่วย) ป่านนี้ก็ม้วนเสื่อไปแล้ว รัฐบาลเองในฐานะกำกับดูแลก็อาจโง่ หรือ แกล้งโง่ ทำเป็นไม่รู้เท่าทัน บมจ. กฟผ. และ ปตท. ก็ได้เรียกว่าเจือสมกัน คิดว่าแปรสภาพ กฟผ.ให้เหมือน ปตท. แล้วจะได้ลูกเสือตัวใหม่แก้ไขปัญหาทุกอย่างได้
แทนที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆที่หมักหมมกันมาอย่างช้านาน รีบทำในสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วน เอาตัวให้รอด ไม่เป็นภาระของประชาชน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพ ป้องกันการรั่วไหล จนในที่สุด สามารถลดค่าไฟให้ประชาชนได้บ้าง แต่ไม่ทำอะไรเลยคอยแต่จะแปรสภาพเป็น บมจ. อย่างเดียว ซึ่งนอกจากไม่ลดค่าไฟแล้วยังบวกค่า เอฟที เข้าไปอีก 0.58 บาท/หน่วย และจะขึ้นไปเรื่อยๆ แถมเอารัฐวิสาหกิจสำคัญและที่ดินสาธารณสมบัติของชาติไปแปรรูปอีก

หากรัฐบาลยังยืนยันที่มีพฤติกรรมปล้นชาติและปล้นประชาชนกันอย่างนี้ สมาพันธ์ประชาธิปไตยก็ต้องขอแรงประชาชนช่วยกันคัดค้านค่าไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรมกันจนถึงที่สุด

คณะทำงานศึกษาการขึ้นค่าไฟฟ้า
สมาพันธ์ประชาธิปไตย
9 พฤศจิกายน 2548



Posted by : เอามาฝากอีก , Date : 2005-11-11 , Time : 23:58:43 , From IP : 172.29.7.121

ความคิดเห็นที่ : 6


   เรามีความเห็นว่า ทำไมขอแรงแค่คัดค้านค่าไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม น่าจะขอแรง ไล่ทักษิณออกมากกว่า

Posted by : deluck , Date : 2005-11-12 , Time : 21:40:34 , From IP : 172.29.7.185

ความคิดเห็นที่ : 7


   ไปประท้วงกันเถอะอย่างน้อยกลุ่มเล็ก ๆๆ ใน มอ.ของเรา นี่แหละนะช่วยกันตึกกิจกรรมนักศึกษาเจอกัน นักศึกษาเป็นกลุ่มที่ผลักดันกะบวนการต่าง ๆๆ ๆได้เพราะเป็นวัยของการสร้างสรรค์ โตขึ้นอย่าลืมบอกลูกหลานว่า ตระกูลชินวัตร เป็นตระกูลคนขายชาติ โครตโกง

Posted by : —น‰โ , Date : 2005-11-14 , Time : 11:13:27 , From IP : 172.31.2.201

ความคิดเห็นที่ : 8


   คิดจะไล่ทักษิณ ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ พูดยังกะจะปฏิวัติเสียเองงั้นแหละ ไหนว่ารักชาติไง...

Posted by : Nick , Date : 2005-11-14 , Time : 11:45:19 , From IP : 172.29.3.171

ความคิดเห็นที่ : 9


   ถ้าหาก ทักษิณ โกงชาติจริงๆขอให้ทำอะไรอย่าได้เจริญ ขอให้ไม่ตายดี

Posted by : แก้ม , Date : 2006-06-29 , Time : 08:50:28 , From IP : 203.158.177.3

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<