ความคิดเห็นทั้งหมด : 18

คุณคิดอย่างไรกับนายกฯ


   ได้รับจากเพื่อน เห้นน่าสนใจ แต่รูปไม่ยอมมาด้วยนะ ใช้ตัดแปะ ทำอย่างอื่นไม่เป็นอ่ะ....
********************************

ภาพคาใจคนไทย ‘นายกฯทักษิณในโบสถ์วัดพระแก้ว’

คำถาม

ภาพจากหนังสือพิมพ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 2548 ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการทำบุญประเทศในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ที่ในช่วงนี้เห็นมีการโพสต์ตามอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น อยากถามคุณพายัพฯว่า ที่มีการกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีทำสิ่งที่ไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง และเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงจนอาจจะถึงขั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น เป็นการกล่าวหากันเกินเลยกันไปหรือไม่ ช่วยอธิบายด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง

นะโม อตุโล 8 พ.ย. 48

คำตอบ


จากนสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 11 เมษายน 2548


ภาพนี้เป็นเหตุการณ์จริงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 11 เมษายน 2548 ได้ตีพิมพ์ภาพนี้ในขนาดใหญ่พอสมควรไว้บนหน้า 1

โปรดดูภาพที่ 1

หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นอีกบางฉบับก็ลงเช่นกัน เพียงแต่มุมของภาพไม่โดดเด่นเท่า

เป็นภาพที่นายกฯทักษิณ ชินวัตรนั่งเป็นประธานในพิธี “ศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ” หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “ทำบุญประเทศ” ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ “วัดพระแก้ว” พระอารามหลวงที่ตั้งอยู่ภายในเขตพระราชฐานในพระบรมมหาราชวัง

พลันที่ได้เห็นภาพนี้ สายตาคนไทยบางคนในเวลานั้นก็เริ่มสังเกตเห็นลักษณะ “ผิดปกติ” ที่ “สะกิดใจ” ทันที

แต่เนื่องจากความเป็นหนังสือพิมพ์รายวันแนวเศรษฐกิจ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นทั่วถึง

ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 ศ.ระพี สาคริกได้เขียนจดหมายถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
อธิบายความว่าองค์ประธานในพระราชพิธีภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้นต้องเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น การที่นายกฯทักษิณ ชินวัตรเข้าไปนั่งเป็นประธาน เป็นสิ่งที่ไม่บังควรและไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่เสื้อแขนสั้นสวมใส่รองเท้าบนพรมสีแดง โดยมีข้าราชการนักคุกเข่ารองรับการกรวดน้ำ

นับว่าเป็นภาพที่เหลือเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคนี้

“เมื่อช่วงสงกรานต์ ผมชมข่าวทางโทรทัศน์ กล้องจับองค์พระแก้วมรกต กับจับที่คุณทักษิณ แยกกันเป็นทีละตอน ผมก็สงสัยแล้วว่าอาจเป็นที่เดียวกัน แต่ผมก็ไม่เชื่อสายตาว่าจะมีการอาจเอื้อมขนาดนั้น เพราะคนนี้ได้รับคัดเลือกมาจากประชาชนทั่วประเทศ...

“ควรจะเป็นคนรู้จักเจียมตน...

“แต่วันรุ่งขึ้น ผมเห็นภาพสีเต็มหน้าหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และภาพสีในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่า นายกรัฐมนตรีเข้าไปเป็นประธานประกอบพิธีศาสนาในโบสถ์วัดพระแก้ว แถมยังแต่งตัวแบบลำลอง นั่งบนพรมสีแดง
มีเจ้าหน้าที่เข้าไปก้มศีรษะมอบเครื่องกรวดน้ำให้....

“ผมไม่เคยเห็นภาพอย่างนี้มาก่อนในชีวิต....

“เห็นแต่องค์พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์แต่งฉลององค์ด้วยเครื่องราชอิสริยยศเท่านั้น....

“หลายคนเอาภาพนี้มาให้ดูกัน และคิดกันเอาเอง ทำให้ผมนึกในใจว่า ขณะนี้บ้านเมืองเกิดอาเพศขึ้นมาแล้วหรือ ?...

“อย่างที่โบราณกล่าวความตอนหนึ่งไว้ว่า กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ผมดูแล้วใจหดหู่มากครับ....”

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันจึงนำภาพนี้และข้อความของศ.ระพี สาคริกมาตีพิมพ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบความเห็นดังกล่าวโดยทั่วกัน

หลังจากนั้นเป็นต้นมาภาพนี้ก็เผยแพร่กระจายไปทั่วทั้งทางอินเทอร์เน็ต

แม้กระทั่งนิตยสารผู้หญิงอย่าง “แพรวสุดสัปดาห์” ฉบับที่ 620 ปีที่ 26 ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2548 ก็ยังนำมาลงเผยแพร่

จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรงและกว้างขวางในสังคม

คุณสนธิ
ลิ้มทองกุลนำมาพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 2 จัดที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 และพูดซ้ำอีกครั้งในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 7 จัดที่ลุมพินีสถาน สวนลุมพินี เมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2548

ที่ต้องพูดซ้ำและขยายความก็เพราะมีเหตุ

เพราะเมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2548 มีองค์กรภาคประชาชนกลุ่มหนึ่งรณรงค์เข้าชื่อกันขอให้ฟ้องร้องนายกฯทักษิณ ชินวัตรโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ !

ทีนี้ มาพิจารณาดู “เหตุ” และ “ผล” ของเรื่องที่เกิดขึ้น

เรื่องนี้แม้ว่าจะเป็นการทำบุญประเทศไทย ซึ่งควรจะเป็นเรื่องมงคล

แต่ก็ไม่มีใครสามารถมาอธิบายให้เหตุผลได้ว่าเพราะเหตุใดนายกฯทักษิณ ชินวัตรจะต้องไปนั่งเป็นประธานในพิธีถึงข้างในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
อันเป็นพระอารามหลวงในเขตพระราชฐาน

ทำที่ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้หรือ ?

ทำที่ปะรำพิธีท้องสนามหลวงไม่ได้หรือ ?

ทำที่หน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเท่านั้นไม่ได้หรือ ?

แม้เพียงแค่คิดก็ไม่บังควรเป็นอย่างยิ่งแล้ว

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ในประวัติศาสตร์ของสยามประเทศไม่เคยปรากฏว่ามีสามัญชนคนใดมานั่งเป็นประธานในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามมาก่อน

ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเอง ได้กำหนดอย่างชัดเจนว่าอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวังนั้นใช้สำหรับ “พระราชพิธี” เท่านั้น

พระราชพิธีที่จัดขึ้นในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในแต่ละปีจะมีเพียง 11 พระราชพิธี

1. พระราชกุศลมาฆบูชา กำหนดการ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
2. พระราชพิธีทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นฤดูร้อนถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร กำหนดการประมาณเดือนมีนาคม
3. วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
4. พระราชพิธีสงกรานต์ กำหนดการ วันที่ 14
- 15 เมษายน
5. พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ สำนักพระราชวังจะกำหนดเป็นปี ๆ ไป ประมาณเดือนพฤษภาคม
6. พระราชกุศลวิสาขบูชา กำหนดการขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 และ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ประมาณเดือน พฤษภาคม
7. พระราชกุศลวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลเข้าพรรษา กำหนดการขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 และ แรม 1 ค่ำ เดือน 8
8. พระราชพิธีทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูร้อนเป็นฤดูฝนถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร กำหนดการเดือนกรกฎาคม (ตามปฏิทินหลวง)
9. พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน กำหนดการประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนหลังออกพรรษา
10. พระราชพิธีทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นฤดูหนาวถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร กำหนดการประมาณเดือนพฤศจิกายน
11. พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กำหนดการ 5 ธันวาคม

เมื่อพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีข้อปฏิบัติเกี่ยวข้องกับสำนักพระราชวัง ในกรณีใช้สถานที่ในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว ก็จะพบแต่ “พระราชพิธี” เท่านั้น

ไม่มี “รัฐพิธี”
หรือ “พิธี” อื่นใด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ปรากฏว่ามี “นายกรัฐมนตรีพิธี” แต่อย่างใด

นอกจากนั้นระเบียบดังกล่าวยังได้กำหนด ขั้นตอนการปฏิบัติสำหรับรัฐมนตรีในการเข้าเฝ้าฯเอาไว้อย่างชัดเจนรวม 4 ขั้นตอน ดังนี้

1. รัฐมนตรีผลัดเวรเฝ้าฯ ไปถึง ณ พระอุโบสถตามกำหนดเวลานัดหมายก่อนเวลาเสด็จฯประมาณ 30 นาที โดยจะมีเจ้าหน้าที่สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรวจดูความถูกต้องเรียบร้อยของการแต่งการของรัฐมนตรีเมื่อลงจากรถยนต์

2. เจ้าหน้าที่สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะเดินนำรัฐมนตรีไปยังหน้าพระอุโบสถและเชิญนั่งเก้าอี้ตามที่สำนักพระราชวังจัดไว้เพื่อรอเฝ้าฯรับเสด็จ

3. เมื่อพระองค์เสด็จฯมายังพระอุโบสถฯ และเสด็จฯเข้าไปยังภายใน เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจะเชิญคณะรัฐมนตรีเข้าไปเฝ้าฯในพระอุโบสถฯตามตำแหน่งเฝ้าฯ

4. เมื่อพระราชพิธีเสร็จสิ้น ขณะที่เสด็จฯกลับ ผู้เข้าเฝ้าฯต้องยืนขึ้นถวายความเคารพ เมื่อรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนออกจากบริเวณพิธีและเพลงสรรเสริญพระบารมีจบลง ให้ถวายความเคารพ เป็นอันเสร็จพิธี

เมื่อปรากฏคำว่า พระองค์, เสด็จฯ,
เข้าเฝ้าฯ, พระราชพิธี รถยนต์พระที่นั่ง และเพลงสรรเสริญพระบารมี...

ก็น่าจะเพียงพอที่จะบอกให้ใครก็ตามในแผ่นนี้ ไม่ว่าจะชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” หรือไม่ ไม่สำคัญตนผิดจนคิดว่าตัวเองสามารถที่จะเป็นประธานในพระราชพิธีในอุโบสถพระอารามหลวงแห่งนี้ได้

ถึงที่สุดแล้วถ้าจะ “ทำบุญประเทศ” กันจริง ๆ นายกรัฐมนตรีจำเป็นจะต้องเป็นประธานหรือ ?

เหตุไฉนไม่กราบบังคมทูลฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธี

นายกฯทักษิณ ชินวัตรพูดมากเป็นพิเศษในระยะหลังว่า เข้าเฝ้าถวายรายงานข้อราชการเป็นปกติอยู่โดยตลอด

เรื่องระดับ “ทำบุญประเทศ” นายกฯทักษิณ ชินวัตรเคยนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยหรือไม่ ?

เพราะแม้จะตกอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่รัฐบาลและนายกฯทักษิณ ชินวัตรก็ยังไม่เคยชี้แจงและแสดงหลักฐานในเรื่องดังกล่าวว่าได้ขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วหรือไม่ ? อย่างไร ?

มีแต่ออกมาพูดในรายการนายกฯทักษิณคุยกับประชาชนสั้น ๆ ในทำนองว่า คนที่ต่อต้านท่านนั้นเห็นท่านทำอะไรก็ผิดไปหมด
แค่ไปทำบุญในวัดพระแก้วก็ผิด

โถ – คนละเรื่อง

หาก “สมมุติ” ว่าไม่เคยมีพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็สามารถที่จะกล่าวได้ว่านายกฯทักษิณ ชินวัตรได้บังอาจเหิมเกริมกระทำการอันไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง !

แต่หาก “สมมุติ” ว่าท่านจะได้ขออนุญาตจากสำนักพระราชวัง และ “สมมุติ” ต่อว่าสำนักพระราชวังได้ขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตาม ก็ยังมีประเด็นที่ต้องถามต่อไปว่า

นายกรัฐมนตรีบังควรหรือไม่ที่จะนั่งในตำแหน่งที่เห็นตามภาพนั้นหรือไม่ ?

โปรดดูภาพที่ 2






แผนผังจุดตำแหน่งการเข้าเฝ้าของคณะรัฐมนตรีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(ที่มาของ แผนภาพ : ความหมายของพระราชพิธี รัฐพิธี พิธี)



ในระเบียบการสำนักนายกรัฐมนตรียังมีแผนผังจุดตำแหน่งการเข้าเฝ้าของคณะรัฐมนตรีและทิศการนั่งในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว

จะเห็นได้ว่าตำแหน่งผู้เข้าร่วมพระราชพิธี คณะรัฐมนตรี หรือแม้แต่องคมนตรี จะต้องนั่งหันหน้าเข้าหาองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรเท่านั้น

ส่วนตำแหน่งพระราชอาสน์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะหันด้านข้างให้กับองค์พระแก้วมรกต

โดยที่องค์พระแก้วมรกตจะอยู่เบื้องซ้ายของพระราชอาสน์

ดังนั้นทิศนั่งและตำแหน่งนั่งของนายกฯทักษิณ ชินวัตรตามภาพจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนั้น ก็คือตำแหน่งและทิศเดียวกันกับจุดตำแหน่งพระราชอาสน์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง !

โปรดดูภาพที่ 3






พระราชอาสน์คลุมด้วย “ผ้าเยียรบับ” ไว้อย่างมิดชิด



เป็นภาพถ่ายจากมุมพระแก้วมรกตออกไปด้านนอกประตู

หากดูภาพถ่ายจากมุมองค์พระแก้วมรกตออกไปด้านนอกประตูของอุโบสถ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแม้ยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ได้เสด็จฯมายังที่พระราชอาสน์ พระราชอาสน์นั้นก็ยังต้องคลุมด้วย “ผ้าเยียรบับ” เอาไว้อย่างมิดชิด

ต่อไปโปรดดูภาพที่ 4 ภาพขาวดำ






เสด็จพระองค์ชายใหญ่เป็นผู้แทนพระองค์



แสดงให้เห็นองค์ประธานผู้แทนพระองค์ ที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงอย่างพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล หรือที่รู้จักกันในนาม “เสด็จฯพระองค์ชายใหญ่” ได้ประทับเป็นองค์ประธานในทิศดังกล่าว แต่ก็จะประทับข้าง ๆ โดยเว้นที่สำหรับพระราชอาสน์ของบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอา ไว้โดยมี “ผ้าเยียรบับ” คลุมเอาไว้อย่างมิดชิดเช่นกัน โดยองค์มนตรีนั่งหันหน้าไปยังองค์พระแก้วมรกต

ภาพที่ 5....






สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมารเสด็จฯทรงเป็นองค์ประธานแทนพระองค์



แม้แต่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯทรงเป็นองค์ประธานแทนพระองค์ก็ตาม แต่ก็จะทรงประทับอยู่ด้านหลังเกือบชิดกับหน้าต่างพระอุโบสถ

ภาพที่ 6....






ตำแหน่งที่ประทับองค์พระประมุข



ภาพพระบรมฉายาลักษณ์นี้ คงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินาถ พระราชทานผ้าไตรให้กับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารเมื่อครั้งทรงผนวช

คงไม่ต้องบอกกระมังว่าเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548 นายกฯทักษิณ ชินวัตรนั่งบนเก้าอี้วางในตำแหน่งและทิศทางเดียวกันกับพระองค์หรือไม่ ?

วิญญูชนพึงพิจารณา !

แต่เป็นที่น่าสังเกตยิ่งกว่าอีกว่า ตำแหน่งเฉพาะพระบรมฉายาลักษณ์นี้ หากเปรียบเทียบภาพนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยสังเกตจากสิ่งแวดล้อม เช่น ตู้กระจกและฐานพระพุทธรูปแล้ว ก็จะพอเห็นได้ว่า ตำแหน่งตั้งเก้าอี้สำหรับนายกรัฐมนตรีภายในอุโบสถนั้น ยังอยู่ล้ำไปด้านหน้าที่ตั้งพระราชอาสน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถด้วยซ้ำไป

จึงเป็นธรรมดาอยู่เองสำหรับประชาชนโดยทั่วไป เมื่อเห็นภาพนายกฯทักษิณ ชินวัตรเป็นประธานในอุโบสถวัดพระแก้วแล้ว ส่วนใหญ่จึงรับไม่ได้

ส่วนจะถึงขั้นผิดกฎหมายฐาน
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือไม่นั้น....

ผมไม่ทราบ เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่านายกฯทักษิณ ชินวัตรได้กระทำการอันเป็นการเหยียบย่ำน้ำใจคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม


พายัพ วนาสุวรรณ 8 พ.ย. 48







Posted by : รักประเทศไทย , Date : 2005-11-10 , Time : 09:14:06 , From IP : 172.29.3.153

ความคิดเห็นที่ : 1


   ขอโทษ เพิ่งเห็นว่ามีกระทู้ "วัดพระแก้วอยู่ล่างๆ...ควรไปต่อตรงนั้น ...คือว่าไม่ได้เข้ากระดานหลายวันอ่ะ...เลยเพิ่งเห็นเมื่อโพสไปแล้ว

Posted by : รักประเทศไทย , Date : 2005-11-10 , Time : 09:38:39 , From IP : 172.29.3.153

ความคิดเห็นที่ : 2


   น่าจะรื้อฟื้นพระราชพิธีโองการแช่งน้ำมาใช้ใหม่ อาจจะมีอะไรดีๆบังเกิดขึ้น



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-10 , Time : 09:39:36 , From IP : 172.29.3.163

ความคิดเห็นที่ : 3


   ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย

Posted by : เด็กแนว , Date : 2005-11-10 , Time : 13:07:02 , From IP : 172.29.1.149

ความคิดเห็นที่ : 4


   จริงครับ อาจารย์ พวกเราในฐานะปัญญาชน ชนชั้นกลางของประเทศสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ที่เป็นอยู่มั้ยครับ เรามารวมพลังกันมั้ยครับ อาจารย์ ค่อนๆหาแนวร่วมไปเรื่อยๆ สักวันพลังเราจะยิ่งใหญ่ครับ

Posted by : เชี่ยม เกลียดพวกขายชาติ , Date : 2005-11-10 , Time : 13:07:52 , From IP : 172.29.1.151

ความคิดเห็นที่ : 5


   ดุรูปได้ที่นี่ค่ะ

http://www.manager.co.th/Politics/PoliticsQAQuestion.asp?QAID=5600


Posted by : ... , Date : 2005-11-10 , Time : 13:29:09 , From IP : 172.29.1.97

ความคิดเห็นที่ : 6


   รออีก 3 ปี นะจะได้เลือกตั้งใหม่ ทนเอาหน่อย

Posted by : Nick , Date : 2005-11-10 , Time : 16:24:09 , From IP : 172.29.3.171

ความคิดเห็นที่ : 7


   ถ้ารอถึงตอนนั้น ประเทศไทยไม่เหลือแล้ว

Posted by : ยูริ , Date : 2005-11-10 , Time : 16:27:40 , From IP : 172.29.7.180

ความคิดเห็นที่ : 8


   เห็นด้วยกับยูริ

Posted by : กทม , Date : 2005-11-10 , Time : 18:35:16 , From IP : 172.29.4.39

ความคิดเห็นที่ : 9


    ความคิดเห็นที่ 2

เวลานี้ ก็ได้มีการชี้แจงแล้วเกี่ยวกับเรื่องภาพในวัดพระแก้ว โดยนายแก้วขวัญ วัชโรทัย-สำนักราชวังโดยยัน "ทักษิณ" ไม่ผิด พิธี วัดพระแก้ว รวมทั้ง ที่นี่

....สืบเนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลจึงได้มีความคิดจัดงานสมานฉันท์ ด้วยการจัดพิธีร่วมกันสวดมนต์อภิบาลรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชนคนไทย โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีตนเป็นประธานและมีสำนักราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง ร่วมอยู่ด้วยซึ่งครั้งนั้นที่ประชุมได้มีมติให้มีการสวดมนต์ที่สวนอัมพร แต่มีผู้ใหญ่ในคณะกรรมการ เห็นว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติการที่จะสวดมนต์ร่วมกับศาสนาอื่นอาจจะไม่เหมาะ เพราะจะต้องมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ด้วย จึงได้เสนอให้ใช้พระอุโบสถ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

“ทางคณะกรรมการจึงได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต 3 ข้อ คือข้อ 1 ขอใช้พระอุโบสถเพื่อทำการบำเพ็ญกุศล เจริญพุทธมนต์ ข้อ 2 ขอพระบรมราชานุญาต ถ่ายทอดสดทางช่อง 11 เพราะเห็นเป็นพิธีสำคัญ ข้อ 3 เนื่องจากมีคนต่างศาสนาเป็นจำนวนมากที่ร่วมพิธี แต่ไม่ประสงค์จะเข้าไปในพิธี จึงขอพระบรมราชานุญาต เปิดใช้ปราสาทพระเทพบิดร เพราะคนต่างศาสนาสามารถเข้าได้ ในที่สุด ได้มีหนังสือจากสำนักราชเลขาธิการตอบอนุญาตทั้ง 3 ข้อ ถ้าไม่มีพระบรมราชานุญาตใครจะเปิดปราสาทพระเทพบิดรได้ แต่เป็นที่ตกลงของสำนักพระราชวังก็สามารถดำเนินการได้ รัฐบาลไม่มีอำนาจที่จะไปจัดงานเอง เพราะเป็นเรื่องของฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ จึงได้ขอประทานอนุญาต”

ในเรื่องการท้วงติง ในการจัดที่นั่งให้กับนายกรัฐมนตรี ว่าไปนั่ง ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ขอชี้แจงว่า ทางสำนักราชวังเป็นผู้จัด ให้ทั้งหมด รวมถึงพิธีกรวดน้ำ ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เป็นคนจัดให้ นอกจากนี้ในเรื่องของเครื่องแต่งกายที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวังจะต้องแต่งชุดปกติขาว แต่คณะกรรมการเห็นว่าในงานนี้ร่วมกับประชาชนด้วย เกรงว่าจะเป็นการแปลกแยกออกจากประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องแต่งชุดปกติขาว....

จากคุณ : DoUbLeChEeSeBuRgEr - [ 10 พ.ย. 48 15:11:37 ]

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3869157/Y3869157.html


Posted by : nonfire , Date : 2005-11-10 , Time : 20:08:28 , From IP : 172.29.4.114

ความคิดเห็นที่ : 10


   "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ การที่จะสวดมนต์ร่วมกับศาสนาอื่นอาจจะไม่เหมาะ" นี้น่าสนใจ มีการอธิบายบอกกล่าวไว้ไหมครับว่าหมายความว่าอย่างไร? และทำไมท่านผู้ใหญ่ในคณะกรรมการนี้จึงเจาะจงขอทำให้พระอุโบสถที่แต่เดิมมามีเฉพาะพระราชพิธีที่ดำเนินการโดยพระเจ้าอยู่หัวหรือพระบรมวงศาสนุวงศ์เท่านั้น?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-10 , Time : 22:26:50 , From IP : 58.147.51.108

ความคิดเห็นที่ : 11


   คุณ nonfire ครับ
จับเท็จ “วิษณุ” อีกแล้ว พบเอกสารยืนยันวันทำบุญประเทศ 10 เม.ย.ยังไม่ได้รับ “พระบรมราชานุญาต” ตามที่กล่าวอ้าง แต่รองราชเลขาฯเซ็นหนังสือออกมาในวันที่ 11 เม.ย. หลักฐานชัดการทำหนังสือขอใช้สถานที่เพิ่งทำในวันที่ 8 เม.ย. แถมไม่ได้ระบุว่านายกฯจะนั่งเป็นประธานในพิธี แต่มี “องคมนตรี” เข้าร่วมในพิธีนำหน้า “นายกรัฐมนตรี” ด้วย “สนธิ” เตรียมแฉหลักฐานชิ้นสำคัญบนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร สวนลุมพินี เย็นพรุ่งนี้

ภายหลังจากที่ตกเป็นกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างรุนแรง กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธานในพิธีศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ หรือ “ทำบุญประเทศ” ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในจุดตำแหน่งใกล้เคียงที่ตั้งพระราชอาสน์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548 และตกเป็นข่าวและภาพในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันฉบับเช้าวันที่ 11 เมษายน 2548 จนมีบุคคลกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวล่ารายชื่อให้มีการดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแถลงเมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 ว่ามีพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว และจะมีการแจกเอกสารหลักฐานในวันรุ่งขึ้นนั้น

วันนี้ (10 พ.ย.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แจกเอกสารหลักฐานขั้นตอนการขออนุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแก่ผู้สื่อข่าว รวม 2 ชุด 3 แผ่น คือ

1. หนังสือ ที่ พศ 0006/274 จากสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงวันที่ 8 เมษายน 2548 เรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ปราสาทพระเทพบิดร และถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 และถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุฯ ลงนามโดย นางจุฬารัตน์ บุญยากร ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ถึงราชเลขาธิการ

2. หนังสือด่วนที่สุด ที่ รล 0003.3/5518 จากสำนักราชเลขาธิการ ลงวันที่ 10 เมษายน 2548 เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ปราสาทพระเทพบิดร และถ่ายทอดสด ลงนามโดย นายสนอง บูรณะ รองราชเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนราชเลขาธิการ ถึงนางจุฬารัตน์ บุณยากร

แม้จะมีข้อความสำคัญในย่อหน้าสุดท้ายของหนังสือ ความว่า “ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต” ก็ตาม แต่จากการตรวจสอบของ “ผู้จัดการรายวัน” ประกอบกับการขอความเห็นจากผู้รู้ในระเบียบแบบแผนและขั้นตอนของหนังสือราชการ พบเห็นข้อพิรุธอย่างชัดเจน 3 ประการใหญ่ๆ กล่าวคือ

ประการที่ 1 ในหนังสือ ที่ พศ 0006/274 ขออนุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในข้อ 1 นั้น ไม่ได้ระบุลักษณะของงานว่าจะให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี คงระบุเพียงว่า “...เข้าร่วมพิธี” เท่านั้น

นอกจากนั้น กลุ่มบุคคลที่ในหนังสือระบุว่าจะ “เข้าร่วมพิธี” นั้นมี “องคมนตรี” ด้วย ซึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไป องคมนตรีจะเข้าร่วมก็ต่อเมื่อเป็นพระราชพิธี หรือรัฐพิธี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ/หรือ พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธี หรือได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้แทนพระองค์เท่านั้น ไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติที่องคมนตรีจะเข้าร่วมในงานที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพราะเป็นคนละส่วนกัน โปรดสังเกตว่าแม้แต่ในหนังสือฉบับนี้ก็ระบุฐานภาพขององคมนตรีไว้นำหน้านายกรัฐมนตรี

ข้อเท็จจริงในงานวันที่ 10 เมษายน 2548 ไม่มีองคมนตรีเข้าร่วมแต่อย่างใด

ความโดยเต็มของข้อ 1 ในหนังสือ ที่ พศ 0006/274 มีดังนี้

“ขออนุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2548 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. จนถึงเวลาประมาณ 16.00 น. เพื่อให้กรรมการมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เจริญพระพุทธมนต์ในพระอุโบสถ โดยมีองคมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้นำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เข้าร่วมพิธี และขอใช้บริเวณระเบียงคต ศาลาราย และลานพระอาราม เป็นที่ประชุมพระภิกษุและพุทธศาสนิกชนร่วมสวดมนต์ด้วยกันเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาติบ้านเมือง”

การให้กลุ่มบุคคลต่างๆ อันได้แก่ องคมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้นำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ “เข้าร่วมพิธี” นั้น แสดงว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นเพียงสถานะเพียง “ผู้เข้าร่วมพิธี” และไม่ใช่การขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีแต่อย่างใด

ประการที่ 2 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548 ขณะที่เกิดพิธีศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติขึ้น โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในอุโบสถในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ณ เวลานั้นยังไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะหลักฐานชัดจนที่ปรากฏในหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ รล 0003.3/5518 นั้น แม้หนังสือจะลงวันที่ 10 เมษายน 2548 แต่นายสนอง บูรณะ ลงนามเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2548 โดยเป็นลายมือลงกำกับไว้ต่อจากลายเซ็นแสดงชัดเจนว่า ณ เวลาที่งานจัดขึ้นยังไม่มีพระบรมราชานุญาตแต่ประการใด

หากจะอ้างว่าได้มีการประสานงานกันล่วงหน้า และได้มีการส่งโทรสารกลับไปยังสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2548 แล้วตามที่ปรากฏท้ายหนังสือนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นหนังสือราชการ เพราะไม่มีผู้ลงนาม จึงไม่ถือว่าได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว และในทางปฏิบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อหนังสือขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนั้นลงวันที่ 8 เมษายน 2548 สำนักราชเลขาธิการจะรู้ได้อย่างไรว่าจะพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือไม่ เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ ณ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การนำความขึ้นกราบบังคมทูลจะต้องใช้เวลาพอสมควร จะอ้างว่ามีการประสานงานกันล่วงหน้าแล้วส่งโทรสารที่ไม่มีการลงนามกลับไปยังต้นทางของหนังสือในวันเดียวกันนั้นได้อย่างไรเป็นที่น่าสังเกตว่าวันที่ 8 เมษายน 2548 เป็นวันศุกร์ และวันที่ 10 เมษายน 2548 วันที่ออกหนังสือ ที่ รล 0003.3/5518 เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดราชการ นายสนอง บูรณะ ลงนามเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นวันจันทร์ วันแรกของการเปิดทำราชการและแม้แต่ในข้อความในหนังสือที่ระบุว่าพระราชทานพระบรมราชนุญาต หากพิจารณาข้อความในข้อ 1 ที่ระบุไว้ว่า “1.ใช้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศานาในวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2548 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ถึง 16.00 น.” ก็ไม่ได้มีข้อความระบุให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีแต่ประการใด หนังสือขอก็ไม่ได้ระบุว่าขอให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี หนังสือพระราชพระบรมราชานุญาตก็ไม่ได้ระบุให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี มิหนำซ้ำยังลงนามหลังจากวันพิธี 1 วัน หลังจากปรากฏภาพข่าวที่สะเทือนใจประชาชนแล้ว

จากกรณีที่ไล่เรียงมานี้ทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่า การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งบังควรหรือไม่ เพราะการขอพระบรมราชานุญาตในครั้งนี้ ไม่ได้ขอในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และเป็นการใช้อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปก่อนโดยไม่ได้รอพระบรมราชานุญาต หรือหนังสือจากราชเลขาธิการแต่อย่างใด

ประการที่ 3 หนังสือขอใช้สถานที่จากผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เลขที่ “ที่ พศ 0006/274” แต่ในหนังสือตอบจากสำนักราชเลขาธิการ กลับอ้างถึงหนังสือจากสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เลขที่ “ด่วนที่สุด ที่ พศ 0006/238” เหตุไฉนจึงเกิดความผิดพลาดเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า แม้รัฐบาลจะมีการเตรียมจัดงานทำบุญประเทศมานานวัน แต่เหตุใดจึงมีการทำหนังสือขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในเวลาจวนเจียนก่อนกำหนดพิธีเพียงแค่ 2 วัน และยังไม่มีข้อความระบุชัดเจนว่าจะให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี

จากการติดตามของ “ผู้จัดการรายวัน” พบว่า อาจจะเกิดความสับสนไม่แน่ใจว่าจะให้ใครเป็นประธานในพิธี และมีการหารือกันหลายครั้งในหมู่คณะกรรมการจัดงาน “สมัยที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้ ผมเข้าใจว่าท่านเสนอให้กราบบังคมทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่มาเป็นองค์ประธาน แต่หลังจากท่านพ้นตำแหน่งแล้ว ไม่ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร” แหล่งข่าวระดับสูงคนหนึ่งบอก

นอกจากนั้น ยังพบว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ยังได้ลงนามในหนังสือ ที่ พศ 0006/2343 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2548 ถึงเลขาธิการพระราชวัง ข้อความใกล้เคียงกับหนังสือ ที่ พศ 0006/274 แต่ไม่ปรากฏว่ามีหนังสือตอบจากเลขาธิการพระราชวังแต่ประการใดและนายวิษณุ เครืองาม ก็ไม่ได้แจกหนังสือ ที่ พศ 0006/2343 ต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้

รายละเอียดทั้งหมด และข้อมูลนอกเหนือไปจากนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุลจะได้นำเสนออย่างละเอียดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 8 เวลา 16.00 – 20.30 น. วันพรุ่งนี้ (11 พฤศจิกายน 2548) ที่อาคารลุมพินีสถาน (เวทีลีลาศ) สวนลุมพินี ถนนพระราม 4 ถ่ายทอดสอดทาง ASTV “ฟรีทีวีผ่านดาวเทียม” ช่อง NEWS 1 และสถานีวิทยุชุมชนเจ้าฟ้า FM 97.75 เมกะเฮิรตซ์ รวมทั้ง www.manager.co.th และเครือข่ายเคเบิลทีวี เครือข่ายวิทยุชุมชนทั่วประเทศ



ณ วันจัดงานยังไม่มีพระบรมราชานุญาต - หนังสือจากสำนักราชเลขาธิการ ที่ รล 0003.3/5518 ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า นายสนอง บูรณะ ลงนามเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2548 โดยเขียนเป็นลายมือกำกับท้ายชื่อ แสดงว่า ณ วันที่จัดงานทำบุญประเทศโดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548 นั้น เป็นการกระทำไปโดยไม่มีพระบรมราชนุญาต และแม้ในข้อ 1 ก็ระบุเพียงว่า "ใช้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา" เท่านั้น ไม่ได้มีรายละเอียดระบุให้ "นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน" แต่ประการใด


ภาพ(2-3)ขอใช้สถานที่จัดงาน – ไม่ใช่ขอให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน - นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน ทำหนังสือถึงราชเลขาธิการ ที่มีข้อความ "ขออนุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2548 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. จนถึงเวลาประมาณ 16.00 น. เพื่อให้กรรมการมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เจริญพระพุทธมนต์ในพระอุโบสถ โดยมีองคมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้นำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เข้าร่วมพิธี และขอใช้บริเวณระเบียงคต ศาลาราย และลานพระอาราม เป็นที่ประชุมพระภิกษุและพุทธศาสนิกชนร่วมสวดมนต์ด้วยกันเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาติบ้านเมือง" มีข้อสังเกตว่าการที่มีองคมนตรีเข้าร่วมและนำชื่อเอาไว้ก่อนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ตามที่ปรากฏในหนังสือ) ในฐานะ "ผู้เข้าร่วมพิธี" ย่อมหมายถึงว่า การขอในครั้งนี้นายกรัฐมนตรีย่อมไม่ใช่เป็นประธานในพิธีอย่างแน่นอน และการที่ระบุ "องคมนตรี" ไว้ หากจะมีประธาน ก็ควรจะเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่มีองคมนตรีโดยที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเสียเอง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000155969



Posted by : กทม , Date : 2005-11-10 , Time : 22:47:54 , From IP : 172.29.4.39

ความคิดเห็นที่ : 12


   ถามว่าใครควรแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ครับ
สังคมนี้กำลังขาดความรับผิดชอบ โดยมีผู้นำประเทศเป็นแบบอย่าง
สังคมกำลังขาดคนที่ทำผิดแล้วยอมรับผิดอย่างกล้าหาญ
สังคมกำลังหลงทาง เพราะสื่อส่วนใหญ่กำลังปิดหูปิดตาประชาชน เพราะโดนอำนาจรัฐคุกคาม


Posted by : บ้านเมืองชิบหายแน่ , Date : 2005-11-11 , Time : 00:44:40 , From IP : 172.29.7.208

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่เราเริ่มมีการนำเอา "ข้อเท็จจริง" จากทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบวิเคราะห์ และสามารถทำได้โดยไม่ใช้อารมณ์นำ อย่างที่ ฯพณฯอานันท์ ได้แนะนำไว้ว่า มันไม่สำคัญว่าเขาพูดว่าอะไร เป็นฝ่ายไหน แต่มันสำคัญที่เขาพูดจริงหรือไม่ ฉะนั้นข้อมูลควรจะถูก "ย่อย" ให้ดีซะก่อน ข้อสรุปก็จะเป็นข้อสรุปที่ผ่านการกรอง



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-11 , Time : 08:12:36 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 14


   ความขัดแย้งของ "สนธิ" และนายกฯ มีเรื่องเดียวคือ "ผลประโยชน์" ที่ไปที่มาก็คือ "สนธิ" ถูกฟ้องล้มละลาย "เครือผู้จัดการ" ทั้งหมดมีปัญหา บริษัทแม้จดทะเบียนในตลาดหุ้น แต่ปัจจุบันก็อยู่ในกลุ่ม “รีแฮปโก้” หรือกลุ่มที่ต้องฟื้นฟูกิจการ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดจากส่วนตัว หรือหนี้ในกลุ่มผู้จัดการ ได้ถูกละเลยมาโดยตลอด และตัวสนธิเอง ไม่ยอมใช้หนี้สิน จนตัวเองต้องถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งวิธีการไม่ใคร่ถูกต้องหนัก มีหนี้ต้องใช้ แต่คนในตระ!!!ล "ลิ้มทองกุล" ทุกคน อยู่ดีมีสุข ได้เรียนสูงๆ และมีโอกาส ลืมตาอ้าปากได้ในยุคทักษิณ ยุคที่เขาได้รับการช่วยเหลือเกื้อ!!!ลจากฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ

แต่การช่วยเหลือ ก็ต้องมีข้อจำกัด แต่ "สนธิ" ถูกอุ้มจนเคยตัว

หลังจากรัฐบาลทักษิณ กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่รอบ 2 ได้เสียงประชาชนจำนวนมาก "การซื้อสื่อ" จึงไม่จำเป็น ทักษิณหันมาทำงาน ทำงาน และทำงาน จนคนในรัฐบาลที่เป็นรัฐมนตรีบางคนยังทนไม่ไหว ทุกวัน ต้องถูกโทร.ตาม ถามความคืบหน้าที่ในการทำงาน การทำงานหนัก ทำให้ละเลยที่จะดูแล "กัลยาณมิตร" ที่ชื่อ "สนธิ" ณ วันนี้ "สนธิ" ต้องการแสดงศักยภาพให้ "ทักษิณ" เห็นว่า การช่วยเหลือเขา ได้อานิสงฆ์ดีอย่างไร และการอยู่คนละฝั่งกับเขา จะได้รับอะไรบ้าง การละเลยเขา จะมีผลเสียอย่างไร "สนธิ" มีสื่อในมือ ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน มี TV คือ 11 นิวส์ 1 ที่ขาดทุนทุกเดือน เพราะไม่มีรายได้อะไร

"เขาเอาเงินที่ไหนมาทำ" ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ และนิตยสาร ต้องใช้เงินทุนทำทั้งสิ้น รวมทั้งหนังสือหัวอื่นๆ ของกลุ่มผู้จัดการ ต้องใช้เงินมหาศาลมาทำ

"สนธิ เอาเงินมาจากไหน" (อีกไม่นานเรื่องนี้จะปรากฏออกมา)

หากทุกวันนี้ เขาไม่ได้เงินสนับสนุนจากแบงก์ หรือเงินนอกระบบ เหมือนกับหนังสือพิมพ์หลายฉบับทำอยู่ คนทำสื่อ ล้วนทราบดีว่า การทำหนังสือของ "สนธิ" ไม่ได้กำไร แล้วเขาเอาเงินมาจากไหน ถ้าไม่ใช่การเป็น "ล็อบบี้ยิส" แต่ทุกวันนี้เขาทำไม่ได้ หรือทำได้ แต่ก็ไม่ใช่ดีลใหญ่ ที่สำคัญ เขารู้ดีว่า "ทักษิณ" จริงจัง โดยเฉพาะเรื่อง "มิตร" และ "ไม่ใช่มิตร"

วันนี้ "สนธิ" เขารู้ตัวแล้วว่า เขาไม่ใช่ "มิตร" เพราะการเป็นคนที่ได้แล้วไม่รู้จักพอ ออกมาด่าทอ เสียๆ หายๆ ทั้งที่สมัยก่อน เขาจะเรียก หัวหน้าข่าวการเมืองที่ชื่อ "บัง" มาฟังถึงความสัมพันธ์เขากับทักษิณ ทำให้การทำงานข่าวในขณะนั้น ทุกคนรู้กัน

แต่วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว การขัดผลประโยชน์ ไม่ว่าเรื่อง!!!้เงินแบงก์ก็ได้ หรือแฮร์คัดหนี้มหาศาล ทำให้เขาไม่พอใจ เพราะผู้จัดการ กำลังอยู่ในสภาพไม่ค่อยดีนัก เมื่อใช้ไม้อ่อน เหน็บวันละนิดทุกวัน "ทักษิณ" ไม่สะเทือน ไม่สนใจ ทำให้เกิดความ "แค้น" ขึ้นในใจ จนกระทั่งนำไปสู่การวิพากษ์วิจารย์อย่างรุนแรง จนขณะนี้ถือว่า ไม่เผาผีกันแล้ว

เมื่อไม่เผาผี แล้วทุกอย่างจะจบ ขอบอกว่า "ไม่มีทาง" ต่อให้ "ทักษิณ" และคณะทำดีแค่ไหน รับรองว่า จะไม่ได้รับคำชมจาก "สนธิ" แม้กระทั่งเลือกตั้งวันนี้ เดือนหน้า เดือนหน้า ปีหน้า หาก "ทักษิณ" ได้เสียง 300 เสียง ก็จะโดนข้อหาว่า "โกง" ใช้เงินซื้อเสียง หรือนโนบายดีขนาดไหน ก็โดนเหมือนกัน หากดีด้วยไม่ได้ ก็ต้องตายไปข้าง

**************เหตุผลทุกวันนี้ที่สนธิทำก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ "ทักษิณ" ล้ม รัฐบาลยุบ โดยไม่สนว่าประเทศชาติจะเสียหาย หรือประชาชนจะเดือดร้อน ความพยายามนี้ทำมานาน จนกระทั่งเขาคิดว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่มีทางล้มทักษิณได้ ..........นอกจากใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ.............. ด้วยการแสดงความเห็นแบบแผ่นเสียงตกร่อง แล้วอ้างความจงรักภักดีต่อสถาบัน****************************

ถามว่า หาก "ทักษิณ" เลวจริง เลวมากขนาดเป็น "ทรราช" เลยหรือ เขาไม่เคยมีผลงานที่เชิดหน้า ชูตาประเทศไทยเลยหรือ ผลการแก้ไขปัญหาน้ำมัน เขาทำความเลวร้ายให้กับประเทศไทยมากขนาดนั้นเชียวหรือ เรื่องหนองงูเ!!!รัฐบาลไทยรักไทย ทำให้ค่าก่อสร้างจากเดิมเกือบ 6 หมื่นล้านบาท เหลือแค่ 3 หมื่นล้านกว่าๆ แล้วตอนนั้นโดนดูถูกว่า "ทำไม่ได้" แต่วันนี้เสร็จแล้ว ไม่มีความดีเลยหรือ งบเดิม 6 หมื่นล้านบาท ไม่มีใครโกง แต่ 3 หมื่นล้านบาทกว่าๆ มีคนโกง มันเกิดอะไรขึ้น

ความจริงอีกหนึ่ง ที่อยากให้ทุกคนรู้ และต้องพิสูจน์ ไม่ต้องเชื่อผม คือ ความไม่เป็นกลางของเว็บผู้จัดการ หากแสดงความเห็นที่แตกต่าง หรือทำให้ "สนธิ" เสียหาย หรือแตกต่าง จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลง ต้องเป็นความเห็นที่เห็นด้วยเท่านั้น แล้วนี่หรือคือความเป็นกลาง "สนธิ" กำลังสร้างสถานการณ์ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ถามว่า หากเกิดปฏิวัติ หรืออุบัติเหตุทางการเมือง เศรษฐกิจตกต่ำ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย


Posted by : เด็กแนว , Date : 2005-11-11 , Time : 14:20:23 , From IP : 172.29.7.180

ความคิดเห็นที่ : 15


   Stephen Hawking เคยเขียนไว้ในหนังสือ Brief History of Time ว่าเมื่อมีการไม่เห็นด้วยกับ "ความเห็น" บางคนแทนที่จะวิเคราะห์ "บนความเห็น" นั้นๆ กลับไปวิเคราะห์เอาที่ character ของคนนำเสนอแทน

ฯพณฯ อานันท์ เสนอให้พวกเราทำอย่างหนึ่งคือ มองข้อมูลแล้วสืบวิเคราะห์ใคร่ครวญหา "ความจริง" โดยไม่ต้องคิดว่าเรากำลังเข้าข้างใดข้างหนึ่ง การเมืองน้ำเน่านั้นคือการสาดโคลนใส่กัน แทนที่จะวิจารณ์เรื่องนโยบายว่ามันมีความหมายโดยนัยหรือตีความอย่างไรได้บ้าง

ประเด็นข้อสรุปเรื่องหนองงูเห่านั้นน่าสนใจครับ ทำไมการที่คนพยายามโกงหกหมื่นล้านไม่สำเร็จ (ไม่ว่าใครก็ตาม) ทำให้การทำที่สามหมื่นล้านแปลว่าไม่มีการโกงได้นะครับ? สถานการณ์ที่ "กำลังลุกเป็นไฟ" ในบ้านเมืองไทยณ ขณะนี้เป็นเพราะสนธิหรือ? ถ้าสนธิไม่พูด ไม่ทำอะไร แล้วสถานการณ์กำลังคลี่คลายไปจริงหรือ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-11 , Time : 18:26:14 , From IP : 58.147.14.247

ความคิดเห็นที่ : 16


    ไม่ว่าผู้อ่านจะชอบรัฐบาลทักษิณหรือไม่ เรายังคงต้องเคารพกฎหมาย และต้องมั่นใจในประชาธิปไตย เราเคยต้องต่อสู้เสียเลือดเนื้อเพื่อได้มาของสิทธิในการเลือกผู้ปกครองประเทศทางการเมือง เป็นวิถ๊แห่งสันติ ถ้าไม่ขอบก็อย่าไปเลือกอีก ไม่เป็นไร ผมเห็นคนไทยมัวแต่ขัดแย้งกันเองจนประเทศไม่ไปถึงไหนมานับหลายสิบปี ไม่อยากให้มองบางจุดอย่างหวาดระแวงและปลุกเร้าความแตกแยกจนเกินเหตุ
พึงสังวรณ์ การสร้างกระแสความแตกแยกด้วยอารมณ์ (แตกต่างทางความคิดเห็นด้วยบริสุทธฺใจ ไม่เป็นไร) จะเป็นเหยื่อของสถานการณ์ใต้ หากไม่ใส่ใจวันหนึ่งคนใต้อาจได้ไม่รู้จักเพลงชาติไทยอีกต่อไป

ขอสันติจงมีแก่ทุกคนที่มีสติ เอเมน


Posted by : ผู้ผ่านมาและจะผ่านไป , Date : 2005-11-11 , Time : 19:38:05 , From IP : 172.29.3.100

ความคิดเห็นที่ : 17


   ร่วมกันถวายคืนพระราชอำนาจแด่ในหลวงของเรา

Posted by : สำนึกในหน้าที่ , Date : 2005-11-12 , Time : 14:26:57 , From IP : 203.114.122.187

ความคิดเห็นที่ : 18


    กราบเรียน ท่านประธาน ที่ เคารพ ดิฉัน วนิดา แซ่ก๊วย เรียน นิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์ ภาคบัณฑิต รุ่น 3 มีความคิดเห็น เกี่ยวกับ เรื่อง ข้อขัดแย้ง ระหว่าง ท่านนายก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล อาจมีจุดเริ่มมาจากเรื่องส่วนตัว อาจมีจุดเริ่มมาจากการขาดผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เรื่องส่วนตัวมิอาจสร้างเป็นประเด็นร้อนในทางการเมืองขึ้นได้
จึงผูกให้เข้ากับ สถานการณ์ เพื่อให้คุณ สนธิ ลิ้มทองกุล หยิบยกขึ้นมากล่าวตั้งแต่ยังจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ทางช่อง 9 จึงมิได้นำเรื่องส่วนตัวมาเพราะ ถ้าเป็น เรื่อง ตัว คุณสนธิจะไม่ได้ แรง สนับสนุน มากขนาดแต่ พยายามโยงให้สัมพันธ์อยู่กับบทบาทของรัฐบาล เรื่องต่อหลาย เรื่อง พยายาม สร้างประเด็น และ จุดสนใจ โดย ให้ เสื้อเหลือง ให้ ตรงคนไทยที่จะใส่เพื่อ วันพระ ราชสมภพ ของ พระเจ้าอยู่หัว เพื่อ ให้ เกิดการสับสน ว่า มีประชาชน มาสนับสนุนมาก และ ผูกให้ เข้ากับประเด็น ร้อนของ การโอนถ่าย ครู ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด
1. โจมตี บทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
2. โจมตีอันเกี่ยวกับตำแหน่งและหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช (ซึ่งเรื่อง คนที่ ใกล้ชิด หรือ ผู้พิทักษ์ของ สมเด็จพระสังฆราช ย่อม รู้ว่า กำลัง อะไร จึง เหมาะสม และ สมควรแก่ สถานการณ์ นั้นๆ ฉะนั้น คน นอกหรือประชาชน ธรรมดาไม่มีสิทธิ์ ทราบเลยว่า ควรจะอย่างไรจึงเหมาะ สม เรื่องนี้ให้เป็น ไปตาม ครรลองครองธรรมจึงจะเหมาะสมกาลเวลา)
3. โจมตีเกี่ยวกับการทำบุญประเทศไทย ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ซึ่งเป็น ที่ประชาชน ส่วนใหญ่ไม่ทราบ ว่า ถ้าพระเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงอนุญาต จะไปปฏิบัติ เช่นนั้น ไม่ได้ เรื่องนี้ คุณสนธิรู้ดีแต่ก็หยิบยกเพื่อให้ประชาชน ผู้ไม่รู้ ให้หลงผิด)
4. เป็นบทบาทของรัฐบาล ของพรรคไทยรักไทย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเกี่ยวกับองค์กรอิสระ (ปัญหานี้ จริง ๆต้อง ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง มา ประชุมกันเอง อีกครั้งว่า ควร ไปทางทิศทางไหนจึงจะเหมาะ กับผู้เดือดร้อนจริงๆ และถูกกับวัตถุประสงค์และความต้องการตามหลักประชาธิปไตย)
5. โจมตีรัฐบาล ของพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเกี่ยวกับกรณีทุจริตคอร์รัปชั่น ( เป็นหน้าที่ ของ หลายองค์กรของรัฐที่มีหน้าที่อยู่แล้ว ในการ ตรวจสอบ มิใช่เรื่องของ คุณสนธิ เพราะมีระบุใน รัฐธรรมนูญว่า เมื่อ มี คณะรัฐบาล ก็จะมี ฝ่ายตรวจสอบคณะรัฐบาล เป็นไปตามหลักของ หลักตั้งพรรค นักการเมืองว่าใครเป็น ฝ่าย บริหาร ก็มีหน้าที่ บริหารประเทศให้ พัฒนา และ ฝ่าย ค้านมีหน้าที่ ตรวจสอบ การทำงาน ผ่านนิติบัญญัติ โดย ให้ รัฐสภา เป็น พิจารณา อยู่เป็นวาระ ๆ เรื่อง นี้ไม่น่า ก้าวก่าย หน้าที่กันอยู่แล้ว
6. เป็นบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายทางธุรกิจ ( ในเรื่องธุรกิจส่วนตัวของท่านนายก ก็หน่วยงานที่ตรวจสอบ และ ถ้า ธุรกิจส่วนตัวของ ใคร ถ้าได้มาโดยสุจริต ก็เป็นสิ่ง ชอบธรรมอยู่แล้วไม่ควรก้าวล่วงมากขนาดนี้)
7. โจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ตลอดจนญาติพี่น้อง เกี่ยวกับธุรกิจและการเคลื่อนไหวทางสังคม (เรื่องก็เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลถ้ามาก้าวก่ายกันมากขนาดนี้ คนที่ดีๆ ใครจะบริหารประเทศให้เจริญ สู้เอาแรงมาพัฒนา ธุรกิจของตัวเองไม่ดีกว่าหรือ)
8. การเปิดโปง โจมตี สถานะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง ( ถ้าเปิดในสิ่งที่เป็นจริง ไม่ถือว่า “ละเมิด” แต่การ เปิดโปง โจมตีในเรื่องไม่เป็นจริง ถือว่า “ละเมิดและเมินประมาท” เป็น ทั้งอาญาและ แพ่งได้ค่ะ
9. ปลุกระดม ประชาชน ให้หลงผิด ในเรื่อง ของ พระ ราชอำนาจ ของ พระเจ้าอยู่หัว ให้คืน พระ องค์ (“ไม่รู้ว่า คุณสนธิ อ่าน รัฐธรรมนูญ คนละฉบับกับที่ ร่างหรืออย่างไรหรือ ว่า “ไม่เคยอ่าน กฎหมายรัฐธรรมนูญเลย” ถึงได้ เรียกร้อง คือพระราชอำนาจ ของพระเจ้าอยู่หัว เพราะในสิ่งในที่ รัฐธรรมนูญตรา ไว้ในกฎหมาย รัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
และมาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหา กษัตริย์ผู้ ทรง เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้
ดังนั้น ไม่จำเป็น ต้อง เรียกร้อง ให้คืนพระราชอำนาจของ พระองค์ ซึ่ง พระเจ้าอยู่หัวมีอยู่ เพราะเป็น สิทธิของ พระองค์ ที่จะทรง พระราชอำนาจ เมื่อไรก็ได้และ แถมยังสวมเสื้อเหลือง "เราสู้เพื่อในหลวง" ทำให้ประชาชนหลงผิดไปด้วย)
จากนี้จึงทำให้บทบาทและการเคลื่อนไหวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยเฉพาะนับแต่เริ่มรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" เมื่อเดือนกันยายน 2548 เป็นต้นมาค่อยๆ ก่อรูปขึ้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ปรากฏการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล"ค่อยๆ ก่อรูปขึ้นเป็นเหมือนกับศูนย์กลางแห่งการวิพากษ์ เปิดโปง โจมตี ต่อรัฐบาลและต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างตรงไปตรงมาด้าน 1 จึงไม่เพียงแต่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะได้รับการแวดล้อมจากพันธมิตรเดิมขณะเดียวกันด้าน 1 การเคลื่อนไหวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กลายเป็นศูนย์รวมของกลุ่ม องค์กร พรรค ที่ไม่ชอบและถึงกระทั่งเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาโดยพื้นฐานและก็เติบใหญ่ขยายตัวเป็นลำดับไม่เพียงแต่เมื่อเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเดินทางไปให้กำลังใจ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถึงสำนึกงานที่ท่าพระอาทิตย์ หากในตอนเย็น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ยังสวมเสื้อเหลือง "เราสู้เพื่อในหลวง" เข้าร่วมรับฟังและโอบกอดร่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อยู่ในชุดเหลืองเช่นเดียวกันอย่างอบอุ่นทั้งนี้ แทบไม่ต้องกล่าวถึงการปรากฏขึ้นแห่งเงาร่างของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร อย่างค่อนข้างเป็นประจำอยู่แล้วนี่คือพัฒนาการจาก "ปรากฏการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล" เป็น "ขบวนการสนธิ ลิ้มทองกุล"
"ขบวนการ สนธิ ลิ้มทองกุล" มีเป้าหมายร่วมกันอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเป้าหมายที่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นไปจากสายตา เป็นเป้าหมายที่พัฒนามาจากที่เคยประกาศ "น็อคเอ๊าต์ ทักษิณ" เมื่อเดือนตุลาคม 2547
วิเคราะห์ สถานการณ์ ขัดแย้ง ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ คุณ สนธิ

Strength(จุดแข็ง)
• รัฐบาลมี นโยบายดี และ พัฒนาตรงกับความต้องการของ ประชาชน ส่วนใหญ่
• ประชาชน ส่วนใหญ่ มีความรู้จึง หลอกยาก
• รัฐบาล มี ประสิทธิภาพ ในการทำงานด้านบริหารประเทศ เหมือนมืออาชีพ Weakness(จุดอ่อน)
• รัฐบาลทำอะไร แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี กับประชาชน
• รัฐบาลไม่ได้ทำงานเชิงรุก พอเกิดปัญหาก็มาแก้ไขสถานการณ์ ทำให้ ประชาชนคิดว่า แก้ตัว
• มีปัญหา ใน เรื่อง ของ ข้าราชการครู มาเป็น เงื่อนปม มาแทรกซ้อน
Opportunities(โอกาส)
• ต้องทำงาน เชิงรุก และ รู้เขารู้เราและต้องมีประชาสัมพันธ์ ที่ดี
• คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องบูรณาการ ทางด้าน อารมณ์ และ ระบบ ควบคุมสติ จะแก้ปัญหาได้
• แก้ปัญหา ด้วยการป้องกัน ปัญหา อย่าปล่อยปัญหา เพราะคิดว่า “เรื่องเล็กแก้ได้ไม่ยาก”
• จงสร้างสมาธิและปัญญา ในการ แก้สถานการณ์ อย่า ใช้อารมณ์แก้ไข Threat(อุปสรรค,ข้อจำกัด)
• ประชาชน ส่วนหนึ่ง คิดว่า เรื่องที่ คุณ สนธิพูดนั้นเป็นเรื่อง จริง ขาด ข้อมูลความจริง มาหักล้าง
• คุณ สนธิ เข้าถึง ประชาชน และเข้าใจ ดึง หัวใจของประชาชน ว่า “ประชาชนรักใครที่สุด” และ ดึงประเด็นนั้น มาเพื่อ จุดประกาย ปัญหา ให้ ลุกไหม้ เพื่อ ผลประโยชน์ของตัวเอง ได้ บรรลุถึงวัตถุประสงค์

แนวทางการแก้ปัญหา นำไปสู่ความ สำเร็จ
1. ต้อง มีฝ่ายประชาสัมพันธ์ ที่ คอยนำ เสนอ สู่ สาธารณะชน โดยผ่านทุกสื่อ ว่าตอนนี้ รัฐบาล กำลังอะไร เพื่อประชาชน
2. ต้องทำงาน เชิงรุก และ รู้เขารู้เราและต้องมีประชาสัมพันธ์ ที่ดี
3. คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องบูรณาการ ทางด้าน อารมณ์ และ ระบบ ควบคุมสติ จะแก้ปัญหาได้ สมาธิดี ปัญญาเกิด
4. แก้ปัญหา ด้วยการป้องกัน ปัญหา อย่าปล่อยปัญหา เพราะคิดว่า “เรื่องเล็กแก้ได้ไม่ยาก”
5. จงสร้างสมาธิให้เกิดปัญญา ในการ แก้สถานการณ์ อย่า ใช้อารมณ์แก้ไข
6. ต้องมีฝ่าย แก้ไขแก้ สถานการณ์ ที่ รวดเร็วทัน เหตุการณ์ “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”
สรุปข้อคิดเห็นของ วนิดา
การที่มีข้อขัดแย้งปัญหาสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถฟันธงว่าใครผิด เป็น กัน ระหว่างคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเรื่องของน้ำผึงหยดเดียว ไม่น่าเอาพระเจ้าอยู่หัว , ประเทศชาติ,หรือประชาชน ร่วมหัวจมหางด้วยเลย
หากคิดกันให้ ละเอียดซักนิดน่าจะเป็น เรื่อง ขี้แพ้ชวนตี หรือ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเสมือนเด็กที่ทะเลาะกันและ ฝ่ายแพ้ก็จะหา กลอุบายต่างๆ เพื่อ ตอบสนอง ความต้องการของตน ชนิด ที่เรียกว่า “ชนะเท่านั้น ถึงยอมเลิกรา” ทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่ง หลอกประชาชน ก็ยอม แบบนี้น่ากลัว นะค่ะ อย่าทำเลยค่ะ ปัจจุบันนี้ ประชาชน มีความรู้กัน ทั่วประเทศแล้ว การกระทำของคุณสนธิเหมือน ดูถูกประชาชน คิดว่า คนไทย จูงจมูก ง่ายๆ
สังคมจะดี ได้ต้องอาศัย ประชาชน ทุกคนช่วยกัน พิจารณาว่า ข่าวไหนควรเชื่อ หรือข่าวไหนต้อง แก้ไข อย่า อยู่เป็นเครื่องมือ ของ ผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ หรือเอาประเทศชาติเป็น เครื่องมือ “ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”


Posted by : วนิดา แซ่ก๊วย , E-mail : (wanida_buucu1@hotmail.com) ,
Date : 2006-01-01 , Time : 14:52:38 , From IP : gb.jb.81.133.revip.a


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<