ความคิดเห็นทั้งหมด : 30

ทำความดี ท่านได้อะไร


   อ่านะ
เนื่องจากผมเป็นคนค่อนข้างให้ความเห็นในเชิง negative
และมักจะมีคน ดีๆ มาคัดค้านอยู่เป็นประจำ
เลยอยากทราบว่าผมนี้เป็นพวกส่วนน้อยใช่หรือไม่
ที่มองโลกในแง่ร้ายเสมอ

อยากให้ท่านช่วยเล่าประสบการณ์การทำดี
ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง ทำบ่อยแค่ไหน
ทำแล้วรู้สึกอย่างไร ได้ประโยชน์อะไรบ้าง
ลองเล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อย

เผื่อมันอาจจะขัดเกลาจิตใจให้ผมมองโลกในแง่บวกมากขึ้น


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-13 , Time : 22:03:30 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 1


   การเป็น "คนส่วนใหญ่" นี่มันช่วย justify อะไรๆได้ง่ายเหมือนกัน (จริงหรือ?)

มองโลกในแง่ร้ายแล้วดีอย่างไร ก็น่าจะนำมาวิเคราะห์ หรือ share กันได้นะครับ ตรงนี้เป็นเวทีเปิด ผมว่าอาจจะดีกว่าการ vote เพราะตรงนี้ไม่มีระบบ membership การ VOTE นั้นไม่ valid มาตั้งแต่ methodology แล้ว เคยมีคนตั้งหน้าตั้งตา post คนเดียวเป็นวักเป็นเวรอยู่ยี่สิบกว่ากระทู้ในชื่อที่แตกต่างก็มี

ลองเล่าประสบการณ์การทำดีของคุณไม้บรรทัดเหล็กไหลให้ฟังก่อนดีไหมครับ ว่ามันเป็นประสบการณ์เลวร้ายแค่ไหน ทำไมมันถึงไม่น่าทำ มันลำบาก มันฝืนใจอย่างไร



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-13 , Time : 22:23:22 , From IP : 203.107.193.109

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมเคยบอกทางคนไข้ หาห้องตรวจไม่เจอครับ ยายแก ขอบอกขอบใจผมใหญ่เลย วันนั้นทั้งวันผมอารมณ์ดีและตอนกลางคืนก็หลับสบาย

Posted by : เด็กแนว , Date : 2005-10-14 , Time : 08:58:09 , From IP : 172.29.1.165

ความคิดเห็นที่ : 3


    สนใจกระทู้นี้ตรงที่มีคำว่าส่วนน้อย-ส่วนใหญ่ แง่ดี-แง่ร้าย negative-แง่บวก คัดค้าน- คำเหล่านี้เกียวข้องกับการให้นิยามหรือคำจำกัดความทั้งนั้นเลย พวกเราโตขึ้นมาโดยมีการปลูกฝังแนวคิดว่าเรื่องนี้ควรหรือต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอื่นอาจไม่ถูกต้อง และโชคดีที่ข้อกำกับพวกนี้มักทำให้คนเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบตามสมควรแต่ถ้าเรามาคิดวิเคราะห์ดู คำนิยามเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น คนส่วนใหญ่ที่คุณไม้บรรทัดคิดถึงอาจเป็นแค่คนไม่กี่คนที่บังเอิญเข้ามาแสดงความคิดเห็นและเห็นไม่ตรงกับคุณหรือเห็นแตกต่างจากคุณ คนส่วนน้อยอาจมีจำนวนนับเท่าคนส่วนใหญ่ คนคิดเหมือนเราอาจเยอะกว่าคนที่คิดต่างจากเรา ทั้งหมดอยู่ที่ความคิดความเข้าใจของเราทั้งนั้น แต่อยากคิดอย่างไรก็คิดไปตราบเท่าที่ไม่กระทำออกมาจนมีผลต่อคนอื่น แต่คิดอย่างไรก็เกิดผลต่อตัวเองโดยตรงทุกครั้ง จึงอยากชวนให้คิดแต่สิ่งที่ดีต่อตัวเองและ ต่อผู้อื่น
ส่วนเรื่องทำความดีอะไรบ้างนั้น ไม่ค่อยสนใจจำเท่าไร อยากทำอะไรก็ทำแต่ทำแล้วต้องไม่รู้สึกว่าเบียดเบียนความคิดหรือความรู้สึกของตนเอง คิดว่าคนทั่วไป(คงส่วนใหญ่มั้ง คิดเอาเองว่าส่วนใหญ่) ทำความดี เพราะเห็นทุกคนทำหน้าที่ของตนเองมากบ้างน้อยบ้าง ไม่ค่อยกังวลว่าทำเพื่อตัวเองหรือหวังผลอะไรอย่างไรเพราะชีวิตยังมีอะไรต้องทำอีกมากทั้งที่มีสาระ(ไม่สนุก)และไม่มีสาระ(แต่สนุก)ตามแต่จะถือตามนิยามของใคร วันนี้ได้ทำความดีต่อตัวเองคือได้พิมพ์ดีดเพราะพิมพ์ไม่เก่ง ได้โอ้เอ้วิหารรายนิดหน่อยหลังอาหารเที่ยง ที่สำคัญ(สิ่งสมมุติอีกแล้ว)ได้คุยกับคุณไม้บรรทัดเหล็กไหลโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้อะไรจากคุณเหล็กไหลแต่คุณคงดีใจที่มีคนเข้ามาต่อความยาวสาวความยืดสนุกๆกับกระทู้ของคุณ


Posted by : หัดเป็นneutral , Date : 2005-10-14 , Time : 14:31:36 , From IP : 172.29.3.198

ความคิดเห็นที่ : 4


   ทำความดีแล้วอย่าหวังว่าเราจะได้สิ่งใดตอบแทน เพราะเมื่อคาดหวังแล้วกลับไม่ได้ดังที่หวัง จะรู้สึกว่าทำดีไปก็ไม่มีประโยชน์

Posted by : b , Date : 2005-10-14 , Time : 17:25:55 , From IP : 172.29.3.169

ความคิดเห็นที่ : 5


   อ่านะ
จะเล่าสิ่งที่ผมเคยทำนะครับ

- ปิดไฟ คอม แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนรวมทุกครั้งทั้งที่ไม่ได้เปิดทิ้งไว้
(ทุกครั้งจริงๆ เพราะไม่เคยเห็นใครคิดจะปิด เปิดทิ้งไว้ไม่มีคนอยู่)
แค่สิ่งง่ายๆแค่นี้ ผมคงเป็นคนส่วนมากมั้งครับ มันเลยรอให้ผมมาปิด

อันหลังนี้แค้นส่วนตัว
- อาสางานเพื่อนที่ทำทิ้งไว้(ไม่ได้ฝาก)กลัวว่าเขาจะเดือดร้อน
(แต่พอฝากงานมัน มันบอกว่าไม่รู้เรื่อง ผมเลยโดนด่า และไม่ได้แก้ตัวสักคำ)
(เพื่อนได้รับคำชม ผมโดนด่า)

ส่วนเรื่องคำถามเรื่องความเสียสละต่อผู้อื่นก่อนตนเอง
- ผมเอาหัวเป็นประกันว่า ส่วนมากจะตอบว่าเอาตนเองมาก่อน (ถามมาแล้ว)
สำหรับเด็กรุ่นใหม่และคนอายุใกล้เคียงกับผมนะครับ

ส่วนความดีที่ยิ่งใหญ่อย่างคนอื่นๆไม่มีหรอกครับ
เพราะผมเป็นพวกรักตัวเองก่อน และยังรู้สึกไม่พอ ยังอยากมีมากกว่านี้

แต่ถ้าถามว่าภาพลักษณ์ในสังคมหน้าที่การงานของผมเป็นอย่างไร
อย่าคิดว่าผมโม้เลยครับ แม้ไม่ได้เก่งมากมาย ผมก็ได้รับคำชมอยู่เสมอ
เป็นที่พอใจของอาจารย์และเพื่อนๆ พี่ๆ
เพราะผมทำงานตามหน้าที่และรับผิดชอบได้เป็นที่พอใจ พอสมควร
ไม่เคยโยนงาน โยนภาระให้คนอื่น

แม้ผมจะมองโลกในแง่ร้ายอยู่เสมอ
แต่ผมไม่เคยมีพฤติกรรมไปทำร้ายใคร




Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-15 , Time : 01:06:36 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 6


   แสดงว่าคุณก็คิดอยู่เหมือนกันว่า"ทำความดี ยังมีอะไรน่าสนใจอยู่" ใช่ไหมคับ ถึงได้ถามว่า ทำไมต้องทำความดี

คุณยังพอจะแยกได้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี บางคนทำตามสัญชาติญาณ ไม่ได้แยกแยะว่าสิ่งไหนดี/ไม่ดี อันนี้น่ากลัวนะ

ปล. คุณเหล็กไหลทำงานที่ไหนอ่ะ?


Posted by : bfy , Date : 2005-10-15 , Time : 16:55:22 , From IP : 172.29.4.186

ความคิดเห็นที่ : 7


   คิดในแง่บวกมั่งก็ดีนะครับ ชีวิตจะได้มีความสุข

Posted by : เด็กแนว , Date : 2005-10-16 , Time : 19:59:18 , From IP : 172.29.7.188

ความคิดเห็นที่ : 8


   อาจจะทำอยู่แล้วแต่มองไม่เห็นได้หรือไม่ครับ?

ทำงานตามหน้าที่ และตามความรับผิดชอบ "แค่นั้น" นี่ก็ได้ใจความแล้วนะครับ เพราะ "งาน" ทีแพทย์ได้รับ assigned มานั้น เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลักเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นออก OPD (ซึ่งแม้เลยเที่ยงไปจรดบ่ายก็มีหมอทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง) หรือผ่าตัด (เลิกเมื่อคนไข้เรียบร้อย) หรืออยู่เวร (เวลาที่คนธรรมดาๆอาชีพอื่นเขาพัก แต่หมอก็ standby และมาช่วยเมื่อต้องการ)

บางที "มองโลกในแง่ร้าย" แบบนี้ ตามนิยามของคนอื่นก็อาจจะเรียก "มองโลกในแง่ดี" (ตรงที่คำว่า "หน้าที่ รับผิดชอบ" มันตรงนิยามความดีส่วนตัว) ก็เป็นได้ เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบของคนนั้น มักจะรวมไปถึงครอบครัว และสังคมด้วย และส่วนที่คนเขาชม(อาจารย์ เพื่อนๆพี่ๆที่คุณไม้บรรทัดฯว่า)นั้น คุณไม้บรรทัดคิดว่าเขาชมตรงที่คนปฏิบัติหน้าที่ "เพื่อใคร" นะครับ? เวลาที่คุณกลับบ้านไปออกกำลังกาย หย่อนใจ หรือว่าเวลาที่คุณทำเพื่อ "คนอื่น"?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-17 , Time : 09:07:31 , From IP : 172.29.3.87

ความคิดเห็นที่ : 9


   อ่านะ
ตอบจากใจจริงเลยนะครับ
แม้พฤติกรรมของผมจะมองแล้วดูเหมือนจะเพื่อคนอื่น
แต่ในจิตใจที่แท้จริงแล้วไม่ได้คิดแม้แต่น้อย
ทำเพราะมันเป็นหน้าที่ และไม่ได้มีความสุขอะไรมากมายกับสิ่งที่ทำไป
แม้อาจจะได้รับผลข้างเคียงของการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นยอมรับในตัวเรา
แต่ผลโดยตรงที่ได้กระทำหน้าที่นั้นไม่เคยรู้สึกอะไรเลยครับ

คล้ายๆกับช่างซ่อมวิทยุ ไม่ได้พอใจในฝีมือซ่อมของตัวเองว่าข้าเก่งนะข้านะแจ๋วที่สามารถซ่อมวิทยุเครื่องนี้ให้มันดีได้
แต่สิ่งที่ต้องการคือ คำชม และ ค่าจ้าง มากกว่า

ของผมยังเป็นความคิดในแนวที่ว่า ทำสิ่งนี้ เพื่อให้ได้สิ่งอื่นๆ

คงยังไม่ถึงขนาด ทำงาน เพื่อ งาน
ผมยังทำงาน เพื่อ เงิน เสมอครับ
(ถ้าได้สิ่งอื่นมาก็เป็นผลพลอยได้แล้วกัน แต่ถ้าไม่ได้เงิน ก็เลิกคุยครับ)


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-17 , Time : 22:15:43 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 10


   น่าสนใจครับ

ที่ว่า "อย่าคิดว่าผมโม้เลยครับ แม้ไม่ได้เก่งมากมาย ผมก็ได้รับคำชมอยู่เสมอ
เป็นที่พอใจของอาจารย์และเพื่อนๆ พี่ๆ
นั้น คุณไม้บรรทัดเหล็กไหลคิดว่าเขา "ชม" อะไรครับ? ชมที่คุณประกอบอาชีพชอบ? หรือว่าชมที่การกระทำนั้นสมควรยกย่อง?
ถ้ามีคนชมในเนื้องานที่คุณทำว่ามันช่างเสียสละ คุณจะดีใจหรือไม่? หรือคุณจะชี้แจงว่าคุณไม่ได้ทำเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่คุณแค่ตั้งตารอเงินเดือนตอนปลายเดือนแค่นั้น?
หรือว่าคุณจะจงใจรับคำชมนั้น เสแสร้งว่าเป็นคำชมที่คุณสมควรจะได้รับ ทั้งๆที่คุณไม่ไดรู้สึกอะไรว่ามันเป็นสิ่งที่ดีอะไรเลย?

คุณไม้บรรทัดฯจะทำอย่างไร ถ้าปรากฏว่ามีคนไข้มารับการรักษาจากคุณที่คลินิกเรียบร้อยแล้ว บอกว่าขอโทษครับหมอ ผมไม่มีเงินเลย? แจ้งตำรวจ? ฟ้องศาล? โกรธ? ผิดหวัง? ถูกหลอก? หรือครั้งต่อไปจะรักษาใครจะขอดูเงินในกระเป๋าก่อนว่ามีพอค่ายา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีค่า doctor fee พอเพียงหรือไม่ ถ้าไม่มีเชิญไปข้างหน้าก่อน?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-17 , Time : 23:09:27 , From IP : 58.147.70.119

ความคิดเห็นที่ : 11


   อยากให้ย้อนไปคิด ตอนก่อนเข้ามาทำงาน ว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่เข้ามาทำงาน เพื่อเงิน หรือ คำชม หรือ ?

Posted by : งง , Date : 2005-10-19 , Time : 10:27:45 , From IP : 172.29.1.201

ความคิดเห็นที่ : 12


   หรือว่าคุณจะจงใจรับคำชมนั้น เสแสร้งว่าเป็นคำชมที่คุณสมควรจะได้รับ ทั้งๆที่คุณไม่ไดรู้สึกอะไรว่ามันเป็นสิ่งที่ดีอะไรเลย?

อ่านะ
ตอบคุณ Phoenix
คำชมนั้นทำให้รู้สึกดีที่เขามีความมั่นใจในตัวผม แต่ผมไม่ไดรู้สึกอะไรว่ามันเป็นสิ่งที่ดี(ความดี)อะไรเลย คิดว่ามันคือหน้าที่



Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-20 , Time : 02:38:09 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 13


   อ่านะ
ตอบคุณ งง
ตัวเอง ลูกเมีย พ่อแม่ พี่น้อง สัตว์เลี้ยง ต้นไม้ ผู้อื่น
มีความสุขด้วยการ มีกิน มีใช้ สนุกสนาน ความรัก ความผูกพันธ์
แลกมาด้วย จิตใจ เวลา เงิน
เงิน ได้จาก งาน
งาน อาจพึงใจหรือไม่แล้วแต่บุคคล
เลือกที่ชอบได้ก็โชคดีไป ชอบที่เป็นได้ก็โชคดีไป
เลือกไม่ได้และไม่ได้ชอบก็ต้องทำกันไป

ความคิดผมนะ แม้ไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่เมื่อเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเราแล้วก็ต้องทำให้สุดแรง


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-20 , Time : 02:50:35 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 14


   ตอนนี้ผมรู้สึกสับสนกับปรัชญามุมมองนิดหน่อยครับ ถ้าจะว่าตาม Kantian philosophy แล้ว duty เป็นหนึ่งในจริยธรรม และ Goodness แน่ๆ แต่ถ้าหน้าที่นั้นไม่ใช่ "วัตถุประสงค์ปลาย" แต่เป็นทำไปเพราะเงิน ไม่มีเงินให้คงไม่ทำ นั่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง



คำถามที่ผมถามไม่ใคร่ชัดเจน ที่คนชมคุณไม้บรรทัดฯนั้น เป็นเพราะคุณเสียสละให้แก่ผู้ป่วยไม่ใช่หรือครับ ไม่ได้ชมเพราะเขามีความ "มั่นใจ" ในตัวคุณ ถ้าคุณไม้บรรทัดฯทราบว่าเขาชมว่าคุณเสียสละ แต่จริงๆคุณไม่ได้ทำเพราะเรื่องเสียสละอย่างไร เป็นเพราะเขาจ้างมาให้ทำเฉยๆ คุณได้ตอบเขาไปว่าอย่างไร (หรือจะตอบว่าอย่างไร) ครับ?

ความคิดผมนะ แม้ไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่เมื่อเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเราแล้วก็ต้องทำให้สุดแรง

กับ

ผมยังทำงาน เพื่อ เงิน เสมอครับ (ถ้าได้สิ่งอื่นมาก็เป็นผลพลอยได้แล้วกัน แต่ถ้าไม่ได้เงิน ก็เลิกคุยครับ)

นี้เป้นสองปรัชญาการคิดว่าจะทำงานเพื่ออะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (รึเปล่าครับ?)




Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-20 , Time : 22:45:37 , From IP : 203.107.200.32

ความคิดเห็นที่ : 15


   อ่านะ
เงิน หาได้จาก อาชีพ
อาชีพ กำหนดว่าต้องทำ หน้าที่
ปฏิบัติหน้าที่ ได้ เงิน


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-22 , Time : 11:11:06 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 16


   อ่านะ
ถ้าคุณไม้บรรทัดฯทราบว่าเขาชมว่าคุณเสียสละ แต่จริงๆคุณไม่ได้ทำเพราะเรื่องเสียสละอย่างไร เป็นเพราะเขาจ้างมาให้ทำเฉยๆ คุณได้ตอบเขาไปว่าอย่างไร (หรือจะตอบว่าอย่างไร) ครับ?

ตอบคุณ Phoenix
ผมตอบว่าเป็นหน้าที่ ที่เขาจ้างผมมาทำครับ ผมต้องทำให้ดีที่สุด


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-22 , Time : 12:05:25 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 17


   ถ้ามีพยาบาล หรือเพื่อนหมอ หรือนศพ.มาขอร้องให้คุณไม้บรรทัดฯทำอะไรบางอย่างให้คนไข้ที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขว่าจ้างของ รพ. และไม่ได้เงินตอบแทน (เช่นเป็นผป.ที่ไม่ได้อยู่ในส่วนรับผิดชอบ แต่เป็นงานที่พอทำได้) คุณไม้บรรทัดฯจะตอบว่าอย่างไรครับจึงจะสอดคล้องกับที่ว่า "ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ต้องมาพูดกัน"



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-23 , Time : 10:44:24 , From IP : 203.107.192.209

ความคิดเห็นที่ : 18


   อ่านะ
ตอบนะครับ
ก็ต้องดูก่อนว่าผู้ที่ขอร้องนั้นมีคุณโทษกับผมอย่างไรบ้าง
ถ้ามีคุณโทษต่อกันได้ ก็จะช่วยกันไป
ไม่ใช่เพื่อผู้ป่วยแต่เพื่อบรรยากาศการทำงานและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

(อาจฟังดูเลวๆแต่ผมคิดอย่างนี้จริงๆ)
เอาง่ายๆถ้าผมเดินผ่านไปเห็นเพื่อน CPR แต่ไม่ใช่ผู้ป่วยในรับผิดชอบผม
ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริงๆหรือเขามาขอให้ช่วย ผมก็ชิ่งหนีครับ(ไม่ใช่เรื่องของฉาน)


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-24 , Time : 00:12:14 , From IP : ppp-210.86.142.220.r

ความคิดเห็นที่ : 19


   ความคิดทั้งหลายแหล่นี้คุณไม้บรรทัดฯคิดว่าเป็นไรไหมครับ หากจะเปิดเผยในที่สาธารณะว่าคุณคิดอย่างไรบ้าง? เช่น บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สอนสั่งลูก ว่านี่คือสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-24 , Time : 13:38:06 , From IP : 203.107.201.99

ความคิดเห็นที่ : 20


   อ่านะ
ถ้าคนอื่นรู้ ผมว่าเขาคงต้องไม่ชอบผมแน่นอน(เป็นเรื่องปกติ)
แต่อย่างที่บอกมันเป็นความคิดจากเบื้องลึกครับ
แต่การกระทำของผมที่แสดงออกไปมันเป็นภาพที่ดี
เขาก็เห็นแต่สิ่งนี้แหละครับ(การกระทำที่ดูเหมือนเอื้อเฟื้อ)
ผมทำบ่อยมาก(มากกว่าทุกคนที่อยู่รอบๆข้างผมเสียอีก)
ไม่ได้ fake แต่ถ้าคิดจะทำแล้วผมก็ทำเต็มที่เสมอ
ไม่ได้รู้สึกทรมารอะไรเลย
เพราะทำไปเพราะผมมีความสุข
ที่ได้ทำเพื่อตัวเอง


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-10-27 , Time : 19:59:44 , From IP : ppp-210.86.142.220.r

ความคิดเห็นที่ : 21


   ในบรรดาสิ่งต่างๆที่คุณไม้บรรทัดฯ concern จากที่เล่ามามันไม่ใช่เพราะ "เงิน" ตัวเดียวซะแล้วล่ะครับ

ก็ต้องดูก่อนว่าผู้ที่ขอร้องนั้นมีคุณโทษกับผมอย่างไรบ้าง
ถ้ามีคุณโทษต่อกันได้ ก็จะช่วยกันไป
ไม่ใช่เพื่อผู้ป่วยแต่เพื่อบรรยากาศการทำงานและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

หรือ
ไม่ได้ fake แต่ถ้าคิดจะทำแล้วผมก็ทำเต็มที่เสมอ

ที่กล่าวมาคือ superego ตามทฤษฎีของ Sigmund Froyd และตรงนี้ทำให้คนมีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช่ Id หรือ "ความต้องการดิบ" ของตนเองผลักดันเพียงอย่างเดียว คุณยังต้องการความร่วมมือ ความนับหน้าถือตาจากผู้ร่วมงาน เพื่อรักษา "บรรยากาศ และความสัมพันธ์" อันดี นอกจากนั้นคุณเองก็เข้าใจอีกว่า คนอื่นเขา "มีความคาดหวังอะไรจากคุณ" และคุณก็สามารถเลือกอย่างนั้น (ทั้งๆที่ไม่ได้เงิน แต่อาจจะได้ "บรรยากาศ และความสัมพันธ์อันดี" แทน ก็สามารถเป็น "ข้อบ่งชี้" ของพฤติกรรมได้) นอกจากนั้นคุณไม้บรรทัดฯทำอย่าง "เต็มที่" ทั้งๆที่ทำน้อยกว่านั้นอีกนิดหน่อย หรือทำไปเรื่อยๆเช้าชามเย็นชามก็ได้เงินเดือนอยู่ดี ตรงนี้มันมีอะไรที่นอกเหนือจาก "เงิน" เป็นแรงบันดาลใจอยู่แน่ๆ คนขี้เกียจนั้นแค่ทำพอได้ชื่อว่าทำแล้วได้เงินเดือน เขาไม่ขยันพอที่จะ "เตมที่" หรอกครับ เขาจะประหยัดพลังงานไปขี้เกียจอย่างอื่นดีกว่า

ไม่เชื่อลงไปดูรายการของ job description ตอนที่คุณสมัครงาน และลองพิจารณาดู "งานจริงๆ" ที่ได้ทำ ผมเชื่อว่ามีงานจำนวนมากที่คุณ "ไม่จำเป็น" ต้องทำ (จึงจะได้เงินเดือน) แต่ก็ทำอยู่ดี เพราะ superego เพราะบริบทสิ่งแวดล้อม (ผม assume ว่าคุณไม้บรรทัดฯเป็นแพทย์น่ะครับ ถึงแม้ว่าคุณไม้บรรทัดฯยังไม่เคยบอกมาอย่างชัดเจนว่าเป็นก็ตาม) ถ้าตราบใดที่ยังมี "งานจร" แบบนี้อยู่ ผมว่าคุณยังไม่ถึงกับทำงานเพื่อ "เงิน" ตัวเดียวหรอกครับ ยังต้องพยายามอีกเยอะ





Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-27 , Time : 20:27:11 , From IP : 58.147.21.121

ความคิดเห็นที่ : 22


   อยากจะแสดงความคิดเห็นบ้างค่ะ เพราะติดตาม มานานแล้วและพยายามหาข้อสรุปของคุณไม้บรรทัดเหล็กและคุณPhoenix อยู่ค่ะ คุณไม้บรรทัดเหล็กเป็นคนน่าสนใจมาก แต่เดี่ยวก่อนนะ มีเวลาจะหาคำพูดที่ดีๆ อ่านแล้วเข้าใจตรงกัน มาแสดงความคิดเห็นค่ะ

Posted by : บ.ใบไม้ , Date : 2005-11-02 , Time : 08:50:15 , From IP : 172.29.2.123

ความคิดเห็นที่ : 23


   อ่านะ
มนุษย์ ----> เพื่อชีวิตตนก่อน (หวัดนก จับไก่ฝังทั้งเป็นเป็นหมื่นๆ)
หมอ ------> เพื่อผู้ป่วยก่อน ??????????
เรียนให้มันจบสูงๆจะได้มีความรู้เยอะๆเพื่อ...............
-รู้ลึกจะได้นำไปใช้รักษาคนไข้ได้ดีขึ้น
-เพื่อจะได้รักษาผู้ป่วยให้มากขึ้น
-เพื่อที่จะเป็นอาจารย์สร้างหมอใหม่ๆ
-เพื่อตอบสนองความกระหายอยากรู้
หรือ
-เพื่องานของฉันจะได้เบาลง ทำงานน้อยลง สบายมากขึ้น
-เพื่อค่าตัวและผลตอบแทนที่สูงขึ้น
-เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องจากความไม่รู้
-เพื่อศักดิ์ศรีในการงานวงศ์ตระกูล
หรือ
**เพื่อสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด**

ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่งเค้าตั้งใจเรียนมากตั้งใจเรียนมาตลอด
เกรดเขาได้มากกว่าผมได้ถึงเกียรตินิยมอันดับ 1(ผมเด็กเรียนปานกลาง 3 นิดๆ)
เค้าขอทุนได้ไปเรียนต่อในสาขาที่เขาเลือก
ตั้งใจจดจ่อกับการประกาศผล
เมื่อเขาได้รู้การประกาศผล
สิ่งที่เขาพูดเป็นประโยคแรกคือ
ข้าดีใจจริงๆที่เขาเลือกข้าจะได้รีบเรียนให้มันจบๆไป
แล้วลาออกไปทำงานเอกชนเสียที เบื่อการทำงานหนักที่แสนจะไม่คุ้มเสียจริง
(ตอนนั้นมันยังเป็น Extern)

ผมเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมอใหม่ๆที่เคยขอทุนไปเรียนต่อ
กลับมาใช้ทุนได้ไม่ถึงปีก็โดนเอกชนดึงตัวไปเสียหมด
บางคนไม่กลับมาเหยียบโรงพยาบาลที่ให้ทุนไปเรียนด้วยซ้ำ

ปล.ขอต้อนรับคุณ บ.ใบไม้ ที่มาฟังคำบ่นของผม ขอบคุณครับ


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-11-04 , Time : 22:18:58 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 24


   เรายังพูดกันอยู่ครละ frame อยู่ดีครับ

ผมเข้าใจว่าเราไม่ได้ retroepective กันว่ามีคนทำกันแบบไหนบ้าง ทว่าเรากำลังอภิปรายกันว่าเรา "ควร" จะทำกันอย่างไรมากกว่า ตัวอย่างแบบเพื่อนของคุณไม้บรรทัดฯมีอยู่จริงแท้แน่นอน จริงพอๆกับที่สมเด็จพระราชบิดามีตัวตนจริง Sir William Osler มีตัวตนจริง อ.สุมาลี นิมมานิตย ก็มีจริง (ท่านกำลังจะมา มอ. วันที่ 17-18 เดือนนี้ เพราะฉะนั้นจริงแน่ๆ) หลวงพ่อที่พระบาทน้ำพุก็มีตัวตนจริง (ที่ท่านรับดูแลผู้ป่วยโรค AIDS นับพันคน สอนหนังสือให้เด็กโรค AIDS ที่พ่อแม่ตายหมด ให้การพยาบสล ไปจนถึงจัดงานศพให้เมื่อเด็กเหล่านี้ตาย)

ผมก็ไม่แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมท่านเหล่านี้จึงได้ทำอย่างที่ท่านทำ ผมสงสัยว่าคุณไม้บรรทัดฯอาจจะแปลกใจไหมครับว่าคนเหล่านี้ทำสิ่งนี้ไปทำไม ในเวลาเดียวกับที่คุณไม้บรรทัดฯไม่แปลกใจในสิ่งที่เพื่อนคุณทำไป?

จะเห็นว่า norm หรือ ปกติ หรืออะไรที่เราคิดว่าควรแล้ว น่าทำ ไม่แปลกประหลาดนั้น เราเป็นคนเลือก เป็นคนกำหนดเอาเองแหละครับ ไม่ใฃ่สังคม ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ครู เป็นตัวเราเองนี่แหละที่มีทางเลือกว่าจะทำแบบไหน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าจะให้ดีเราไม่ต้องไปอ้างคนอื่นให้เสียเวลาหรอกครับว่ามีคนทำแบบนี้ๆ เราถึงทำตาม เพราะตัวอย่างมันมี variation ทุกรูปแบบที่เราอาจจะ (retrospective) อ้างอิงว่ามีคนทำแบบเดียวกันกับเราหรือไม่

ผมอยากจะจินตนาการว่าในบรรดาเพื่อนของคุณไม้บรรทัดเองฯ จะมีบ้างไหมที่เราได้ดำเนินรอยตามปรัชญาสมเด็จพระราชบิดา? ถ้ามีคุณไม้บรรทัดฯ "แปลกใจ" หรอืไม่ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-05 , Time : 09:45:16 , From IP : 58.147.76.219

ความคิดเห็นที่ : 25


   ดิฉันรู้สึกชื่นชม กับคำตอบ และความคิดของท่าน Phoenix เป็นอย่างมาก
แทบทุกกระทู้ที่ท่านร่วมแสดงความคิด รู้สึกเป็นสิ่งที่ดีที่อ่านแล้วชื่นชมจริง ๆ
อย่างกระทู้นี้ก็เช่นกัน แต่ดิฉันก็รู้สึกแปลกใจ กับ ความรู้สึกของคุณไม้บรรทัดฯ
อยู่เหมือนกัน อย่างตัวดิฉันเอง เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำงาน มีเงินเดือน
พอประมาณ เลี้ยงลูก ดูแล ครอบครัว พออยู่ พอกิน มีเงินออมบ้าง ไม่มากนัก
ที่สนใจความเห็น ของคุณไม้บรรทัด เพราะว่า แปลกดี มีบางอย่างที่คิดเหมือน
คุณไม้ฯ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวอย่างเช่น ดิฉัน ทำงาน เพื่อหลายอย่าง เช่น
ดิฉันทำงานเพื่องาน
ดิฉันทำงานเพื่อความสุขที่ได้ทำ
ดิฉันทำงานเพราะอย่างทำ
ดิฉันทำงานเพราะสิ่งนั้นคนอื่นไม่ทำแต่งานควรจะเสร็จ
และทำงานเพื่อเงินเดือนพอเลี้ยงดูครอบครัว
โดยไม่คิดว่าเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือ เย็น ค่ำ อย่างไร
จนกระทั้งวันหนึ่งมีคนถามดิฉันว่า "เกิดมาทำไม" ไม่รู้สึกถึงความสุข หรือทุกข์
ทำแต่งาน ทำทำไมนักหนา บ้างครั้งคนเราไม่ต้องมีความสุขมากแต่ขออย่างมีความทุกข์ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ จากคำถาม
ที่ถูกถาม จึงทำให้สนใจกระทู้ที่ว่า "ทำดีท่านได้อะไร" ก็เลยอ่านมาเรื่อย ๆ ว่า
จะได้อะไรบ้างค่ะ


Posted by : บ.ใบไม้ , Date : 2005-11-12 , Time : 21:18:54 , From IP : proxyBesmart-inet.in

ความคิดเห็นที่ : 26


   อ่านะ
ผมแค่อยากจะดึง Id ของผู้คนที่แวบๆแวมๆมาให้เห็นกัน
เพียงอยากจะบอกว่า
เวลานี้ นาทีนี้ ท่านอย่าไปคาดหวังใครเลยครับ
ผิดหวังเสียเปล่า ทุกคนมีหน้ากาก
สิ่งที่ท่านเห็นคือสิ่งที่เขาอยากให้ท่านเห็น
ท่านไม่เคยเสแสร้งพอใจ เพื่อประโยชน์ต่อตัวท่านเองจริงหรือ
ไม่เคยมีคนเสแสร้งกระทำต่อท่าน เพื่อประโยชน์ของเขาจริงหรือ
ผมบอกได้ไม่อาย
เรื่องนกสองหัวนี่ถนัดเลยแหละ
ต่อหน้าคนนี้ผมก็เป็นพวกเขาต่อหน้าอีกคนผมก็ดีกับเขา
เพื่ออะไร....ก็เพื่อประโยชน์ ความสะดวกสบายในการทำงาน
เพียงเราอย่าไปต่อต้านอย่าไปใส่ร้าย
ไม่ว่าท่านจะอยู่กับฝ่ายใครแสดงตนเป็นพอกลางๆ ไม่ขัดเขา เออ ออ ห่อหมก
เพราะคนเหล่านี้พอเขาเจอกันเขาก็ใส่หน้ากากพูดดีกัน
ลับหลังก็นินทากันยับ
ผมว่า Id มันซับซ้อนนะครับ เข้าใจยากจัง
แต่ผมว่าผมถนัดมากในเรื่องพวกนี้

เอ้อ........เริ่มสับสน
ผมคงเป็นพวกผิดปกติแน่เลยหละครับ
คิดดีไม่ได้เสียที............
คิดแล้วกลุ้ม
ทำโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนนี่เขาคิดกันยังไงครับ
ช่วยตอบที


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-11-13 , Time : 20:30:45 , From IP : 203.188.36.170

ความคิดเห็นที่ : 27


   คนเรานั้นเป็น "นายของความคิด" ครับ ไม่ใช่ทาส ไม่มีใครถือไม้เรียวไล่ตีให้เราคิดอย่างนี้ เชื่ออย่างนั้น

นั่นคือถ้าใคร "เชื่อว่า" การใส่หน้ากากเพื่อคบหาสมาคมกับคนอื่นๆแล้ว ตนเองมีความสุขดี มีเวลาส่วนตัวก็สามารถนินทาว่าร้ายคนอื่น สามารถดีใจที่คนอื่นชื่นชมเราผิดๆ คิดว่าเราดี ที่แท้ก็ไม่ใช่ คนๆนั้นก็จะ "เลือก" ดำเนินชีวิตแบบนั้น สอนสั่งลูกหลานตนเองว่านี้เป็นวิถีชีวิตที่พ่อเชื่อ นี้เป็นวิถีชีวิตที่ลูกน่าจะทำตาม

แต่ถ้าเรา "เชื่อ" อีกแบบหนึ่งล่ะ?

ถ้าเราเชื่อว่าลูกหลานของเรา "คาดหวัง" ว่าจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตจากเราเป็นตัวอย่าง
ถ้าเราเชื่อว่าพ่อแม่ของเรา "คาดหวัง" ว่าเราจะดำเนินชีวิตแบบไหน เชื่ออะไร
ถ้าเราเชื่อว่าครูบาอาจารย์เรา "คาดหวัง" ว่าเราจะรับฟังคำสั่งสอนแล้วปฏิบัติแค่ไหน
ถ้าเราเชื่อในคำสั่งสอนของศาสนา
ถ้าเราเป็นคน "มี" ศาสนา
ถ้าเราเชื่อในจริยศาสตร์ ในจรรยาบรรณ ในคุณความดี

เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้อง "อุปโลกน์" ก่อนว่าเดี๋ยวนี้ "คนส่วนใหญ่" เขาเป็นอย่างนี้ (ไม่มีใครรู้ for sure หรอกครับว่าคน "ส่วนใหญ่" เขาเป็นอย่างไร) เพื่อที่จะปลอบประโลมใจเราว่าไอ้ที่เรา fake เราเสแสร้งแกล้งทำนั้นใครๆก็ทำกัน ฉะนั้นที่เราจะทำบ้างมันไม่ผิดอะไร

เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะ "ตั้งวิถีชีวิต" จากสิ่งที่เรา "เชื่อว่าดี" หรือ "รู้ว่าดี" แทนที่จะมาจากสิ่งทีเราจินตนาการว่านั้นคือสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน?

อะไรคือความสำคัญของสิ่งที่ "คนอื่น" เขาทำกัน จนกระทั่งมันมามีผลต่อสิ่งที่เราคิด ต่อสิ่งที่เราเชื่อ ต่อสิ่งที่เราจะสอนลูกหลานให้ทำ? การที่นาย A ไปฆ่าข่มขืนลูกสาวชาวบ้านแล้วหนีตำรวจได้ มาโม้ให้เราฟังว่าทำ แต่ไม่มีใครจับได้ ไม่มีหลักฐาน และยังเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่จนทุกวันนี้เพราะชื่อเสียงเขาดี พอเราฟังอย่างนี้ เราจะเอาไปสอนลูกชายของเราหรือไม่ว่า ลูกสามารถไปเที่ยวข่มชืนลูกเมียคนอื่นได้ เมือไหร่ก็ตามที่มีอารมณ์ติดสัดหรือหื่นขึ้นหัวใจ ขอเพียงอย่าให้คนจับได้ก็แล้วกัน?

อะไรที่จะเป็น "คุณความดีภายใน" ที่เมื่อเวลาของเราที่จะสิ้นชีวิตเหลืออยู่ แล้วเรานึกย้อนหลัง การเสแสร้งแกล้งหลอกคนมาทั้งชีวิต แล้วไม่มีใครจับได้? จริงหรือที่ไม่มีใครรู้ว่าเราแกล้งทำ? จริงหรือที่การไม่มีคนตำหนิเราต่อหน้านั้น จะแปลว่าคนอื่นจับไม่ได้ไล่มันทันเราเสมอ? จริงหรือที่ "นามแฝง" หรือ "หน้ากาก" ของเรานั้นมันสมบูรณ์แบบ 100% และเราจะดำเนินชีวิตในความหลอกลวงนี้ไปได้ตลอดชีวิต? เราจะบอกลูกเมียภรรยาของเราหรือไม่? หรือเราจะมีชีวิตที่ไม่ไว้ใจใครได้เลยตลอดไปเพราะกลัวความลับจะแตก กลัวความชั่ว ความหลอกลวงจะเป็นที่เปิดเผยไปทั้งชีวิต นี่คือ วิถีชีวิตที่เราต้องการจะดำเนินตลอดไปจริงหรือ?

และประเด็นก็ไม่ใช่การทำอะไรโดย "ไม่หวัง" อะไรตอบแทนเลยอย่างที่คำถามสุดท้ายทิ้งไว้ด้วย (สำคัญมากนะครับ ที่เราควรจะ fix ประเด็น อย่าหลงหรือออกนอกประเด็นบ่อยเกินไป) แพทย์สามารถประกอบอาชีพ และเรียกค่าธรรมเนียมได้อย่างถูกต้องตามจรรยาบรรณ และจริยธรรม สมเหตุสมผล เพียงแต่เราไม่ควรจะขูดรีดเพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถ และเราจะมีความสุขในอาชีพนี้มากขึ้นถ้าเรา enjoy ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง เพราะเราไม่ต้องลุ้นกับ secondary objective เช่น เงิน ชื่อเสียง ตำแหน่ง มากเกินไป บทมันจะมา มันก็จะมาเอง ตามข้อสรุปในพระราชดำรัส (ขอเพียงเราคงไว้ซึ่งธรรมะแห่งวิชาชีพ ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศจะตกเป็นของท่านเอง)



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-13 , Time : 23:21:10 , From IP : 172.29.7.28

ความคิดเห็นที่ : 28


   ขอเพิ่มเติมนิดนึง

ผมคิดว่ามีการ "ตีความ" คำสั่งสอนตามพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชบิดาฯไปหลายรูปแบบ และบางแบบก่อให้เกิด conflict ในความคิด การกระทำ ซึ่งก็น่าสงสัยว่ามันมีที่มาอย่างไร

ระยะหลังมีการถามถึง "สิทธิแพทย์" มีการถามถึงแพทย์จะทำอะไรเพื่อตนเองบ้างได้ไหม เข้าใจไปว่าเราจะต้อง absolute ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตนเองได้เลย ซึ่งจริงๆแล้วประโยคแรกของพระราชดำรัสฯนั้น บ่งบอกไว้ชัดเจนว่าการทำเพื่อตนเองนั้น ลำดับความสำคัญไม่น้อยเลย อยู่ถึงลำดับสอง (จากร้อยแปดพันประการของกิจกรรมประจำวัน) เพียงแต่ให้ประโยชน์เพื่อนมนุษย์เป็นอันดับที่หนึ่งแค่นั้น

แพทย์จะต้องเสริมสร้างพัฒนาตนเอง ทั้งด้านความรู้ จริยะ ฐานะ อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะได้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ ตาม pledge ที่เราให้ไว้ เพียงแต่กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่สมเด็จฯท่านทรางแนะนำไว้ก็คือ เราสามารถจะได้ทั้งฐานะ ความรู้ ลาภยศสรรเสริฐ สิ่งเหล่านี้จะ "มาเอง" เพียงเรายึดมั่นตามธรรมะแห่งวิชาชีพ

แพทย์สามารถ "คาดหวัง" สิ่งตอบแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม หรือความเคารพนับถือ ความร่วมมือ จากสิ่งที่เราได้ทำลงไปครับ ไม่เคยมีใครบอกว่าแพทย์ต้องทำทุกอย่างไปอย่าง absolute no expectation เพียงแค่ถ้ามี dilemma เกิดขึ้นเมื่อไหร่และเราต้องใช้พินิจวิจารณณาน ก็ขอให้เอาปรัชญาว่าประโยชน์เพื่อนมนุษยมาก่อน ก็จะช่วยขจัด dilemma นั้นๆได้อย่างคงไว้ซึ่งธรรมะแห่งวิชาชีพ

propaganda มักจะวางเป็นแพทย์ไม่มีสิทธิทำอะไรเพื่อตนเองเลย ไม่มีทางทำมาหากิน ต้องเป็นผู้ให้ 100% ไม่ต้องพัฒนาปกป้องตนเอง ผมว่าตรงนี้มันบิดเบือนไปเยอะ ถ้าทำความเข้าใจใหม่ พัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน ไม่ทราบว่ามันจะทำให้ง่ายขึ้นหรือไม่ในการที่จะดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของสมเด็จพระราชบิดาฯ หรือยังคิดว่ามันล้าสมัย มันใช้ไม่ได้อยู่?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-14 , Time : 09:00:38 , From IP : 172.29.3.76

ความคิดเห็นที่ : 29


   แต่ถ้าเรา "เชื่อ" อีกแบบหนึ่งล่ะ?

ถ้าเราเชื่อว่าลูกหลานของเรา "คาดหวัง" ว่าจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตจากเราเป็นตัวอย่าง
ถ้าเราเชื่อว่าพ่อแม่ของเรา "คาดหวัง" ว่าเราจะดำเนินชีวิตแบบไหน เชื่ออะไร
ถ้าเราเชื่อว่าครูบาอาจารย์เรา "คาดหวัง" ว่าเราจะรับฟังคำสั่งสอนแล้วปฏิบัติแค่ไหน
ถ้าเราเชื่อในคำสั่งสอนของศาสนา
ถ้าเราเป็นคน "มี" ศาสนา
ถ้าเราเชื่อในจริยศาสตร์ ในจรรยาบรรณ ในคุณความดี

เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้อง "อุปโลกน์" ก่อนว่าเดี๋ยวนี้ "คนส่วนใหญ่" เขาเป็นอย่างนี้ (ไม่มีใครรู้ for sure หรอกครับว่าคน "ส่วนใหญ่" เขาเป็นอย่างไร) เพื่อที่จะปลอบประโลมใจเราว่าไอ้ที่เรา fake เราเสแสร้งแกล้งทำนั้นใครๆก็ทำกัน ฉะนั้นที่เราจะทำบ้างมันไม่ผิดอะไร

เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะ "ตั้งวิถีชีวิต" จากสิ่งที่เรา "เชื่อว่าดี" หรือ "รู้ว่าดี" แทนที่จะมาจากสิ่งทีเราจินตนาการว่านั้นคือสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน?
-----------------------------------------------------------------------------
อ่านะ
ผมรู้แล้วหละ สิ่งที่ท่าน Phoenix บอกมานี่ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่เลย
ทำไมผมถึงไม่เชื่อ ก็แค่เหตุผลง่ายๆเพราะผมไม่ได้เห็นแบบอย่างจากผู้คนทั่วไป
พบเห็นได้เพียงในคนบางคนเท่านั้นซึ่งสิ่งที่เขาทำก็จะได้รับคำชมประเดี๋ยวประด๋าว
สุดท้ายก็ไม่มีใครทำตาม มีแต่คำพูดปากเปียกปากแฉะ แต่ตนเองไม่เคยทำ
(พูดกว้างๆนะครับ ไม่ได้มีความคิดจะประชดประชัน)

ส่วนเรื่อง ที่บอกว่า ผมมักจะ อุปโลกน์ ว่าใครคนนั้นเป็นเช่นนั้นเช่นนี้
ผมว่านะ........เอ่อไม่รู้สิ......แล้วแต่จะคิด...เพราะผมก็ไม่ได้ทำ EB เช่นกัน

ทำไม หมอสูติ หมอskin หมอUroศัลย์ หมอศัลย์Plastic ถึงแย่งกันเรียน
ทำไม med-hemato ไม่ค่อยมีใครอยากจะเรียน
ทำไมหมอ ต้องเปิดคลินิค

ผม.....ไม่กล้าตอบ....ไม่กล้า............อุปโลกน์


Posted by : ไม้บรรทัดเหล็กไหล , Date : 2005-11-16 , Time : 18:55:12 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 30


   ตรงนี้ทำให้ผมเกิดความสงสัยในบทนำกระทู้แรกสุดของคุณไม้บรรทัดฯนิดหน่อยครับ

คุณไม้บรรทัดขอเหตุผล ประสบการณ์ และความเห็นในพฤติกรรมที่แตกต่าง "เผื่อว่า" จะนำมาพัฒนาปรับปรุง แต่สุดท้ายตลอดมาที่คุณไม้บรรทัดฯ (ดูเหมือน) จะใช้เป็นเหตุผลคือ "การที่ มีคนจำนวนหนึ่งประพฤติเพราะอะไรอย่างหนึ่ง แล้วคุณไม้บรรทัดฯ (คิดว่า) ทราบว่าเพราะอะไร ก็เลยนำมาเป็น model ในการคิด การทำ ส่วนกระบวนการคิดแบบอื่นที่มีคนนำเสนอนั้น ถูก discredit หรือ invalidate เพราะคุณไม้บรรทัด "ไม่เห็นอย่างนั้น"

ถ้าที่สรุปออกไป พอจะสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในกระทู้นี้ ทำให้เกิดความสงสัยว่าบทสรุปของกระทู้นี้มันก้คือยากครับที่จะได้
อยากให้ท่านช่วยเล่าประสบการณ์การทำดี
ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง ทำบ่อยแค่ไหน
ทำแล้วรู้สึกอย่างไร ได้ประโยชน์อะไรบ้าง
ลองเล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อย

เผื่อมันอาจจะขัดเกลาจิตใจให้ผมมองโลกในแง่บวกมากขึ้น


เพราะว่าเราไม่ได้ใช้ reasoning frame บนหลักการว่าอะไร "ดี ไม่ดี" แต่อยู่บนมีคน "ทำ" อย่างนี้ อย่างนั้นหรือไม่ ถ้ามีคนทำไม่เหมือนกัน ก็วิธีว่ามีใครทำแบบไหน "มากกว่ากัน" เวทีแบบนี้การรู้สึกว่าแบบไหนมากกว่ากันนั้น ไม่สามารถสรุปได้แน่ๆ เพราะเป็น "ความรู้สึก" ของทั้งสองฝายเท่านั้น ไม่ได้ based on ข้อมูลอะไร ยกเว้นประสบการณ์ตรง (ที่ selective ในการรับรู้และแปลผลด้วย)

คำชมของคนที่ทำดีนั้น คุณไม้บรรทัดฯสรุปว่าได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวนั้น ผมคิดว่าตรวนี้อาจจะต้อวพิจารณาว่าเราเอง qualified ที่จะทราบหรือไม่ว่าคนดีนั้นเขาถูกชมมากน้อยแค่ไหน ทำไมชื่อบางคนถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ทำไมเอ่ยชื่อบางคน คนไข้ถึงเรียกว่าอาจารย์แม่ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นแพทย์ซะด้วยซ้ำ ทำไมผู้ป่วยบางคนถึงขนาดขอพบก่อนจะเสียชีวิต แทนที่จะขอพบญาติ ต่างๆเหล่านี้

ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่าคำว่า "แย่งกันเรียน" นั้นมีความหมาย negative หรือ positive ออกมาในแง่จริยศาสตรืได้อย่างไร และตรงแค่ไหน แต่ภาวะแย่งกันนั้นคือตำแหน่งมีน้อยกว่าคนต้องการแค่นั้น เขาจะเป็นคนที่ทำเพื่อประชาชน หรือทำเพื่อตนเอง คงจะไกลจากการสรุปเยอะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-17 , Time : 08:43:32 , From IP : 172.29.3.120

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.014 seconds. <<<<<