ความคิดเห็นทั้งหมด : 53

PBL ตัวอย่าง


   คือ เรียนอยู่ปีสองครับ เพิ่งรู้คะแนน PBL ไปเมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ได้คะแนนไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อเทียบกับคนอื่นๆในกลุ่ม

คือ อยากให้อาจารย์ช่วยจัดPBL ตัวอย่างครับโดยเอาคนที่ได้คะแนนPBL มากๆ เช่นได้ 5 เต็มของแต่ละกลุ่มมาเข้า กลุ่ม PBL ตัวอย่างให้เพื่อนดู เอาเวลาEthics ก็ได้

จะได้ดูว่าต้องพูดยังไง ทำยังไง จึงสามารถเรียนแบบ PBL ได้ดีๆได้ครับ


Posted by : OK , Date : 2005-10-06 , Time : 23:54:40 , From IP : 172.29.4.195

ความคิดเห็นที่ : 1


   ทำไมต้องไปเลียนแบบคนอื่นด้วยล่ะ
คนที่ได้ 5 เต็มก็ไม่ได้หมายความว่า ดี และ นั่นคือสิ่งที่น่าเลียนแบบ



Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-07 , Time : 00:06:26 , From IP : 172.29.4.210

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมก็มีความสงสัยเรื่อง process ของ pbl เหมือนกันครับ เนื่องจากสมาชิกทุกคนในกลุ่มของผมต่างได้คะแนน ที่เรียกได้ว่า น้อย ถ้าเทียบกับกลุ่ม pbl อื่น ๆ นั่นซึ่งนั่นหมายถึง process pbl ของกลุ่มผมอาจไม่ค่อยถูกต้อง ผมจึงสงสัยว่าการ pbl ที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร

ผมเลยรู้สึกเห็นด้วยกับคุณ Ok นะครับเรื่องที่อยากให้มีการ PBL ตัวอย่างให้ดู เพื่อจะได้รู้ว่าควรจะดำเนิน process อย่างไร พูดอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักการ ของ pbl

และผมขอเสนอเพิ่มว่า ระหว่างการ pbl ตัวอย่างควรมีการอธิบายของ facillitator ที่เชี่ยวชาญเรื่อง pbl และเปิดโอกาสให้ซักถามไปพร้อมๆ กัน ครับ


Posted by : ปีสองอีกคนหนึ่ง , Date : 2005-10-07 , Time : 00:09:38 , From IP : 172.29.4.81

ความคิดเห็นที่ : 3


   เห็นด้วยมากๆครับ

Posted by : คนที่เห็นด้วยอีกคน , Date : 2005-10-07 , Time : 00:19:26 , From IP : 172.29.4.37

ความคิดเห็นที่ : 4


   process ของ PBL flexible มาก แต่คร่าวๆ ก็มี อ่าน scenario clarify term ตั้ง problem hypothesis แล้วก็ LO
ทั้งหมดนี้ต้องมี team work ที่ดี มีประธานคอยคุม และเลขาที่ไม่ใช่แค่คอยจดอย่างเดียว
สิ่งที่น้องเสนอมานั้น พวกพี่ก็เคยเสนอมาแล้ว ทางคณะแก้ไขโดยรับปากว่าจะให้มีอาจารย์ facilitators ที่มี "มาตรฐาน"ในการให้คะแนน และท่านสามารถที่จะชี้แจงหลักการแก่น้องได
ลองดูตัวอย่างแล้ววิจารณ์ดูนะ อย่าซีเรียส
case ผป.ชายไทยคู่ อายุ 67 ปีมาด้วยอาการเจ็บหน้าอกมา 30 นาทีก่อนมารพ.
ปป. ขณะกำลังนั่งดูทีวี มีอาการเจ็บหน้าอก เจ็บแน่นๆ เหมือนมีของหนักมาทับ เจ็บร้าวไปที่แขนซ้ายและกราม เจ็บอยู่นาน 20 นาที มีเหงื่อแตกทั่วตัว ไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน
ประธาน : ในตอนแรก ใครมีศัพท์คำไหนไม่เข้าใจบ้าง
A: เจ็บหน้าอก
B : อ้าว ก็แปลว่าเจ็บที่หน้าอกไง ไม่เห็นต้อง clarify เลย
C: งง ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า chest pain น่ะ
A : นี่ถ้าเป็น PBL eng คงรู้ technical term เนอะ แล้วใครรู้บ้างว่า chest ครอบคลุมอะไรบ้าง
B: heart lung diaphragm แล้วมีอย่างอื่นอีกไหม
C : ที่เรารู้มาเขาแบ่งออกเป็น chest wall lung mediastinum...
A: (คิดในใจ สงสัยอ่านมาก่อนว่ะ) เก่งจัง
ประธาน : งั้นเราตั้งเป็น problem นะ ว่า chest ประกอบด้วยอะไรบ้าง
B : แสดงว่าอวัยวะใน chest นี่แหละที่ทำให้เจ็บหน้าอก
A : ทำไมถึงเจ็บได้ล่ะ มันมี inflame เหรอ
ทั้งกลุ่ม : เงียบ (ยังไม่ได้เรียน pain mechanism and pathway อยู่ block neuro)
C : เราเห็นด้วยนะ แต่เรารู้มาว่าอวัยวะที่อื่นก็ทำให้เจ็บหน้าอกได้เหมือนกัน เรียกว่า refer pain ไง
A : (คิดในใจ สงสัยเก่งจริง) กลไกเป็นยังไงอ่ะ (มั่วหมดแล้ว)


Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-07 , Time : 00:43:28 , From IP : 172.29.4.210

ความคิดเห็นที่ : 5


   เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้

Posted by : ปีสองครับ , Date : 2005-10-07 , Time : 02:19:56 , From IP : 172.29.4.101

ความคิดเห็นที่ : 6


   เราว่า PBL แต่ละกลุ่มก้อทำได้ดีหมดนะ แต่ที่เราอยากรุ้จริงๆคือ
1.คะแนนวัดกันที่อะไรครับ คนบางคนไม่มีความรู้อะไรเรย เข้าไปถามๆๆอย่างเดียว ไม่มีการเตรียมตัวมาก่อนล่วงหย้า บางคำถามฆ่าเพื่อน >>> ได้คะแนนดี
2.อีกแบบ ความรู้แน่นมาก แย่งซีนเพื่อนทั้งๆที่แบ่งกันแร้ว ตามจริงคนที่รู้มากๆควรเปิดโอกาสให้เพื่อนพูดก่อน ค่อยเสริมก้อได้ เพราะเรารุ้มาก เรารุ้ว่าเพื่อนขาดตรงไหน ค่อยๆเสริมทีหลัง ถึงคุณไม่แย่งซีนคะแนนก้อดีอยู่ดีอ่าแหละ
3.ความรู้ดี แต่เพื่อนแสดงความเห็นขัดแย้ง จึงโต้เถียงเชิงตำหนิเพื่อน >> คะแนนดีอีกแระ

ถามหน่อยครับ มาตรฐานวัดกันแบบนี้หรึป่าวครับ !!!


Posted by : ปีสองเหมือนกานนะ , Date : 2005-10-07 , Time : 02:31:09 , From IP : 172.29.4.249

ความคิดเห็นที่ : 7


   ถึงคุณ อ้อ

คือ ไม่ได้คิดจะเลียนแบบ หรือจะบอกว่าคนที่ได้เต็มทำดีหรือน่าจะเลียนแบบ

แต่เมื่อผมรู้ถึงสไตล์ของตัวเอง ทำแบบที่ตัวเองถนัดแล้ว แต่ผลที่ออกมามันกลับไม่ได้ดี

ก็เลยอยากรู้ว่าแบบที่ทำแล้วได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีนั้นเป็นอย่างไรเท่านั้นเองครับ


ปล. อยากให้อาจารย์ Facilitator คำนึงถึงสไตล์การเรียนของนักเรียนแต่ละคน เหตุผลที่พูดออกมา ความมีสาระ หรือความสมเหตุสมผลของสิ่งที่พูด มากกว่าปริมาณคำพูดครับ


Posted by : OK , Date : 2005-10-07 , Time : 02:32:27 , From IP : 172.29.4.195

ความคิดเห็นที่ : 8


   ขอบอกคุณ OK หน่อยนะครับ

อย่าหวังอะไรกับคะแนนให้มากเรยครับ ถ้าทำแบบที่ผมบอกแร้วแร้วคะแนนดีหล่ะก้อ ผมยอมไม่เอาดีก่าอ่ะครับ ผมอยากได้ใจเพื่อนมากก่าเยอะ


Posted by : ปีสองเหมือนกานนะ , Date : 2005-10-07 , Time : 02:33:33 , From IP : 172.29.4.249

ความคิดเห็นที่ : 9


   ที่เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้อย่างหนึ่งก้อคือ

ให้คนที่ได้คะแนนมากๆอยู่ PBL เดียวกาน

คือ เราอยากได้มากก่านั้นซักนิดนะครับ คือ อยากให้ย้ายไปเรย

รวมๆกาน แร้วคนที่ได้น้อยก้อรวมๆกาน

อยากให้มีซัก PBL ครับ แร้วมาดูผลกัน ^^


Posted by : ปีสองเหมือนกานนะ , Date : 2005-10-07 , Time : 02:39:25 , From IP : 172.29.4.249

ความคิดเห็นที่ : 10


   เห็นด้วย เพราะบางคน อ. ก้อไม่รู้สไตล์การเรียนของเค้า ก้อตัดสินใจไปก่อนแล้ว ว่าเค้าเงียบ ไม่พูด ไม่มีส่วนร่วมในกลุ่ม อยากให้ลองจัดดูเหมือนกันนะ

Posted by : ปี สอง , Date : 2005-10-07 , Time : 11:02:02 , From IP : 172.29.4.220

ความคิดเห็นที่ : 11


   fake เก่งอยู่สบาย คนจริงใจมีแต่ล่มจม

Posted by : i will go pataya , Date : 2005-10-07 , Time : 13:46:20 , From IP : 172.29.4.139

ความคิดเห็นที่ : 12


   ในกระทู้ของ คุณอ้อ ถ้าผมเป็น facilitator ผมมองว่า
- นศพ. A ว่าเป็นคนมีส่วนร่วมในการ discuss ได้ค่อนข้างดี เป็นจอมตั้งประเด็นให้เกิดการถกเถียง แถมยังมีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นอีกด้วย
- นศพ. B เป็นตัวอย่างที่ดีของนักตอบ เพราะ ใช้ความรู้เก่าที่เคยรู้มาตอบคำถาม เห็นได้จากตอบคำถามได้ แต่ยังไม่ละเอียดพอ
- นศพ.C มีความรู้ดี แต่ไม่ค่อยเปิดประเด็น แสดงว่าไม่ค่อยมีอะไรสงสัย คงอ่านมาก่อนเข้า activity ทำให้คำถามจบประเด็นได้เร็ว อาจต้องช่วยตั้งคำถามเพิ่มขึ้น หรือไม่ก็แสดงความเห็นในเชิงสอนโดยมี reference ที่แน่นอนไปเลย เพื่อนๆจะได้มั่นใจว่าสิ่งที่ นศพ.C ทราบนั้นถูกต้อง ถ้าอ่านมาก่อนก็แสดงให้เห็นว่าอ่านมาก่อนและน่าเชื่อถือพอ อาจใช้วิธีการได้หลายอย่าง อย่างที่ผมเคยทำก็คือ เดินไปที่ white board แล้วเริ่มวาดภาพโยงถึงความเกี่ยวข้องให้เพื่อนๆรู้ แล้วตามด้วยว่ามีหนังสือเล่มไหนที่บอกว่าคิดอย่างนี้แล้วถูกต้อง
- ดูๆแล้วกลุ่มนี้ก็มีการ discuss กันค่อนข้างดีแล้วครับ คะแนนกลุ่มคงอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็ขึ้นกับอาจารย์ด้วยล่ะ
...
ต่อๆดีกว่า
C : ไม่รู้แฮะ รู้แต่ว่ามี refer pain อ่ะ แต่การปวดเกิดจากอะไรได้บ้าง นอกจาก inflam ที่เรารู้แล้วว่าเกิดจากร่างกายหลังสารสื่อประสาทออกมากระตุ้นการปวด
ประธาน : งั้นตั้งคำถามว่าปวดเกิดจากอะไรได้บ้างนะ
B : เอ เราว่ากว้างไปนะครับ น่าจะตั้งแค่ว่า การเจ็บหน้าอกเกิดจากอะไร กลไกเป็นยังไงก็น่าจะพอแล้ว
A : อืมม แล้วพวกเราไม่อยากรู้เหรอว่าปวดเกิดจากอะไรได้อีก อย่างเช่น ระบบประสาทอะไรทำนองนี้
ประธาน : ผมเห็นด้วยกับ B นะครับ น่าจะเอาแค่เจ็บหน้าอก แต่ว่าต้องดูหลายๆระบบนะ เพราะ ไม่รู้อวัยวะไหนทำให้เจ็บหน้าอกบ้างน่ะ
A : ก็ได้ครับ
เลขา : เอ๊ะ สรุปว่าเอาแค่เจ็บหน้าอกใช่ไหมคะ?
ประธาน : ครับ


Posted by : Botsumu , Date : 2005-10-07 , Time : 14:19:22 , From IP : 203.156.45.124

ความคิดเห็นที่ : 13


   อยากทราบว่าการเรียนแบบ PBL มีวิธีการเรียนอย่างไร มีชั่วโมงlecture ด้วยหรือเปล่าคะหรือจะต้องค้นคว้าเนื้อหาทั้งหมดด้วยตนเอง

Posted by : คนผ่านมา , Date : 2005-10-07 , Time : 18:43:59 , From IP : dns2.mahidol.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 14


   ความคิดเห็นในpblที่สร้างสรรค์ต้องออกมาโดยธรรมชาติ และภายในใจต้องคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วคำพูดที่ดีๆความคิดที่ดีๆจะออกมาเอง ไม่ใช่คอยจ้องว่าคนนี้จะพูดตัดหน้าและคะแนนดีกว่าตัวเองแล้วไปโกรธเพื่อนๆ จิตใจทีขุ่นมัวย่อมขาดพลัง จิตใจที่ดีต้องสวมวิญณาณ หมอเข้าไป แล้วคิดเสียว่าคนไข้ในpblนั้นเป็นญาติเรา เราต้องดึงความสามารถทั้งหมดมาช่วยเขา คิดเสียอย่างนี้ก็จะมีความคิดที่ดีๆออกมาเอง ไม่ใช่จ้องแต่จะเอาคะแนนไม่เอาความรู้เลย ยิ่งจิตใจโลภอิจฉาริษคิดร้ายกับคนอื่น จิตใจยิ่งขุ่นมัวทำให้ขาดพลังทางความคิด

Posted by : คนรักpbl , Date : 2005-10-07 , Time : 19:20:26 , From IP : 172.29.4.53

ความคิดเห็นที่ : 15


   เข้าใจว่าการเรียนแบบ pbl เป็นการฝึกให้นักศึกษาคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองและฝึกให้นศพ.หาความรู้ด้วยตัวเอง นี่คือข้อดีของpbl ที่เราเห็น แต่ข้อเสียก็มีเยอะเช่นกัน เช่น ให้นักศึกษาอ่านเอง มาพูดกันเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเนื้อหาที่พูดเราเข้าใจถูกต้องมากแค่ไหน แค่อ่าน ๆ มาแล้วก็มาพูดให้เพื่อนฟัง เวลาเพื่อนพูดเราก็อาจฟังเพื่อนพูดไม่รู้เรื่อง แต่ก็พยักหน้ารับทำเป็นเข้าใจ เพื่อให้กระบวนการกลุ่มเป็นไปได้ดี คล้าย ๆ กับการแสดงละครที่ผ่านไปในแต่ละฉาก และก็ไม่รู้อีกว่าขอบเขตของเนื้อหาควรจะรู้แค่ไหน บางครั้งเนื้อหาที่เพื่อนเอามาพูดมันลึกเกินไป ไม่เข้าใจ ทำไมทางคณะไม่เพิ่มชม.lecture แบบ สอนอย่างดี ไม่ใช่เป็นแค่ lecture ที่เรียนเพียงแค่1-2 ชม. แค่อาจารย์เข้ามาพูดผ่าน ๆ แล้วให้กลับไปอ่านเอง อะไร ๆก็ sdl (sleep deep and long ) อยากให้ลด pbl ให้น้อยลง แค่เดือนละครั้งเพื่อฝึกกระบวนการกลุ่มก็น่าจะเพียงพออีกอย่างถ้าเรียนแบบ pbl มาตรฐานของ far คณะวิทย์กับ far คณะแพทย์ เท่ากันรึป่าว นี่เป็นแค่เพียงเสียงสะท้อนเสียงหนึ่งที่อยากให้คนจัดรูปแบบการเรียนการสอนหันมามองดูผู้ที่เรียนบ้าง

Posted by : คนที่ไม่มีความสุขกับการเรียน p , Date : 2005-10-08 , Time : 10:11:24 , From IP : 203.113.76.10

ความคิดเห็นที่ : 16


   ทำไมล่ะครับ คุณคนที่ไม่มีความสุขกับการเรียน pbl การฟังที่เพื่อนพูด ถ้าเราไม่เข้าใจก็ควรจะถาม ไม่ควรสนใจเรื่องของกระบวนการกลุ่ม เพราะ กระบวนการกลุ่มที่ดี ต้องมีการ discuss กันในทุกระบบ การที่เรามานั่งทนฟังเพื่อน lecture ได้ ก็แสดงว่าเราเรียน pbl ผิดวิธี เพราะ ถ้าเราอ่านมามากกว่า ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้แสดงความรู้ นอกจากเพื่อนๆจะได้ทราบ เราเองก็จะจำได้มากกว่า และผลพลอยได้คือ อาจได้รับการประเมินคะแนน pbl มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่สักแต่อ่าน การอ่านก็ต้องรู้จักประเมินว่าควรรู้แค่ไหนด้วย
...
ผมคิดว่าคุณต้องลองมองโลกในแง่ที่ดี พยายามปรับตัวเองเข้าหาระบบด้วย ถ้าเราช่วยกันผมว่าน่าจะทำให้การเรียน pbl สร้างความรู้ไห้เราได้ มากกว่าการสอนให้เรารู้วิธีเรียนรู้ครับ


Posted by : Botsumu , Date : 2005-10-08 , Time : 11:13:33 , From IP : 203.156.45.124

ความคิดเห็นที่ : 17


   โดยส่วนตัวชอบระบบPBLนะ(แต่ขอแบบจริงๆ) แต่เมื่อมาปฏิบัติ เราไม่สามารถถามที่เราสงสัยได้มากเกินไป เพื่อนๆ จะมองว่าเป็นkiller ทำให้เสียเพื่อนอีก แล้วถ้าทำให้เสียกระบวนการกลุ่ม หรือถามมากไป ก็จะทำให้คะแนนเพื่อนๆ เสียไปด้วย อันที่จริงแล้วเพียงแค่เลิกสนใจคะแนน เอาความรู้เป็นหลัก กระบวนการก็จะสมบูรณ์ แล้วทุกคนก็จะมีความสุขมากขึ้นด้วย

Posted by : อึดอัด , Date : 2005-10-08 , Time : 20:50:45 , From IP : 172.29.4.142

ความคิดเห็นที่ : 18


   น่าเห็นใจจังที่เด็กๆต้องอยู่ในสมัยแห่งความสับสน ผู้ใหญ่มีความตั้งใจดี เพราะ PBL ทำให้ได้ ideal learning process อย่างไรก็ตาม กระบวนการในปัจจุบันไม่สามารถไม่ใช้"เกณฑ์" มาจับ อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องคะแนนมากเกินไป หากเรียนได้ความรู้ที่ PBL ตั้งใจให้ได้ ในระยะยาวผลดีเป็นของพวกคุณแน่ และกระทู้นี้ทำให้ทางผู้ใหญ่รับรู้ความไม่สบายใจ และทำให้พยายามแก้ปัญหานี้แล้ว (อย่างไม่ดัง)

Posted by : ครูเล็ก , Date : 2005-10-09 , Time : 22:44:06 , From IP : 172.29.7.240

ความคิดเห็นที่ : 19


   ถึงคุณ OK
ที่บอกว่า "อยากให้อาจารย์ Facilitator คำนึงถึงสไตล์การเรียนของนักเรียนแต่ละคน เหตุผลที่พูดออกมา ความมีสาระ หรือความสมเหตุสมผลของสิ่งที่พูด มากกว่าปริมาณคำพูดครับ"
ความจริงแล้ว คะแนนไม่ได้แปรผันตรงกับคำพูดนะ
ที่น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงก็มี อาจารย์ท่านดูออกหรอก

ระบบ PBL ทำให้ทราบว่าความรู้อันมากมาย อันไหนบ้างที่เราจะสามารถหยิบมาใช้กับผู้ป่วยได้ ทำให้จับประเด็นได้ และอ่านหนังสืออย่างมีทิศทาง
ที่สำคัญที่สุด คือทำให้มี "กระบวนการคิด" ที่เป็นระบบและมีเหตุผล

เรียนแพทย์เพื่อให้รักษาคนได้ ไม่ใช่เรียนเพื่อให้สอบได้


Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-09 , Time : 23:41:35 , From IP : 172.29.4.120

ความคิดเห็นที่ : 20


   ถึง "คนที่ไม่มีความสุขกับการเรียน pbl
ในเมื่อระบบยังไม่เหมาะกับเรา เราก็ต้องปรับเข้าหาระบบให้ได้นะ
ไม่เช่นนั้นเราจะไม่ได้อะไรจาก PBL ทั้งหมดที่เหลือเลย ...อันตราย
Q :ให้นักศึกษาอ่านเอง มาพูดกันเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเนื้อหาที่พูดเราเข้าใจถูกต้องมากแค่ไหน แค่อ่าน ๆ มาแล้วก็มาพูดให้เพื่อนฟัง เวลาเพื่อนพูดเราก็อาจฟังเพื่อนพูดไม่รู้เรื่อง แต่ก็พยักหน้ารับทำเป็นเข้าใจ เพื่อให้กระบวนการกลุ่มเป็นไปได้ดี คล้าย ๆ กับการแสดงละครที่ผ่านไปในแต่ละฉาก
A: การเรียน PBL นั้น เราควรจะอ่านให้ครอบคลุม LO ทั้งหมด ซึ่งเวลา 3 วัน 4 คืน น่าจะเพียงพอ การเรียนในห้อง lecture ใน week นั้นก็สอดคล้องกับเนื้อหา scenario ร่วมกับสิ่งที่เราอ่านมาก็พอที่จะตรวจสอบ หรือ เลือกที่จะเชื่อคำพูดของเพื่อน อะไรที่เห็นไม่ตรงกันก็ discuss ไม่ใช่มานั่งฟัง minilecture แล้วก็มีอคติ

Q :และก็ไม่รู้อีกว่าขอบเขตของเนื้อหาควรจะรู้แค่ไหน บางครั้งเนื้อหาที่เพื่อนเอามาพูดมันลึกเกินไป ไม่เข้าใจ
A : ลึกเพียงไหนแล้วแต่ความสามารถและความขยันนะ ถ้าสามารถตอบคำถามที่ตั้งไว้ ก็น่าจะ OK ในระดับหนึ่ง เนื้อหาโดยหลักแล้วก็เป็นไปตามคู่มือ block นะ

Q: ทำไมทางคณะไม่เพิ่มชม.lecture แบบ สอนอย่างดี ไม่ใช่เป็นแค่ lecture ที่เรียนเพียงแค่1-2 ชม. แค่อาจารย์เข้ามาพูดผ่าน ๆ แล้วให้กลับไปอ่านเอง อะไร ๆก็ sdl (sleep deep and long )
A: lecture 1-2 ชั่วโมงเนื้อหาไม่พอหรอก แต่เพียงพอที่จะเป็น guide บอกว่าควรอ่านอะไรเพิ่มเติม ควรเน้นตรงจุดไหน เพื่อทำให้เนื้อหาสมบูรณ์


Q :อยากให้ลด pbl ให้น้อยลง แค่เดือนละครั้งเพื่อฝึกกระบวนการกลุ่มก็น่าจะเพียงพออีกอย่างถ้าเรียนแบบ pbl มาตรฐานของ far คณะแพทย์ วิทย์กับ far คณะแพทย์ เท่ากันรึป่าว นี่เป็นแค่เพียงเสียงสะท้อนเสียงหนึ่งที่อยากให้คนจัดรูปแบบการเรียนการสอนหันมามองดูผู้ที่เรียนบ้าง
A: การฝึกกระบวนการกลุ่มเป็นหนึ่งใน LO แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ที่สำคัญคือกระบวนการคิด นั่นแหละสำคัญที่สุด อ่านหนังสือเป็นตั้งๆ สามารถสรุปประเด็นแล้วมาปรับใช้กับคนไข้จำลองของเราได้ไหม
อ.far คณะวิทย์ มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานที่แม่นยำ
อ.คณะแพทย์มีความรู้ทางคลินิก เห็นในมุมสูงว่าความรู้ไหนจำเป็นต้องรู้

เรียนแพทย์เพื่อให้รักษาคนได้ ไม่ใช่เรียนเพื่อให้สอบได้


Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-10 , Time : 00:11:47 , From IP : 172.29.4.120

ความคิดเห็นที่ : 21


    จิงๆไม่ได้ต้องการคะแนนอะไรมากมายหรอกน่ะ

"เรียนแพทย์เพื่อให้รักษาคนได้ ไม่ใช่เรียนเพื่อให้สอบได้"

เห็นด้วยอย่างที่สุด

แต่ในความเป็นจริง เมื่อเรายังคงต้องเรียนแบบ PBL ยังต้องเจอกับมันอยู่ ก็แค่อยากจะทำให้

มันดี(ไม่ได้ต่อต้านเลยสักนิด) และแค่อยากเห็นตัวอย่างว่าPBL ที่ดีๆเป็นยังไง

ไม่ได้ต้องการคะแนนหรอก แต่คงไม่มีใครปฏิเสธ ว่าคะแนนเป็นเกณฑ์ตัวนึงที่ใช้บ่งชี้ ผลงาน

ของเราใช่มั๊ย(ไม่งั้นจะให้คะแนนทำไม) ถ้ามันไม่ดีแสดงว่าเรายังทำได้ไม่ดีใช่หรือเปล่า

ส่วนเรื่องคะแนนไม่ได้แปรผันกับจำนวนคำพูด คงไม่เถียงด้วยเหตุผลแต่ลองมาโหวตกันเลยดี

กว่าว่า นศพ. เห็นด้วยรึเปล่า ว่าคนที่พูดมากไม่มีสาระแล้วได้คะแนนดีมีอยู่ถมเถ แล้วมาดูผล

โหวตกัน



Posted by : OK , Date : 2005-10-10 , Time : 02:17:36 , From IP : 172.29.4.197

ความคิดเห็นที่ : 22


   
ผมเป็นปี2คนหนึ่งที่ เห็นด้วยเรื่อง PBL ตัวอย่างครับ

อืม เพิ่มอีกอย่างครับ
อยากให้ Facillitator ใส่ใจเรื่อง learning style ของแต่ละคนในการให้คะแนนด้วยครับ
อย่างเช่น
ผมเป็น CR (CR เป้นยังงัยก็รุ้กานดี) มักจะโดนตำหนิเรื่อง ทำหน้าเครียด และ ถูก อ.คิดว่ามีปัญหากับในกลุ่ม กลายเป้น ไม่เข้าร่วมกระบวนการกลุ่มซะงั้น
ทั้งๆที่กลุ่มจะรู้ดีว่า ผมจะนั่งฟังอยู่ และจะยิงเฉพาะคำถาม ที่ตรงประเด็นเท่านั้น

ส่วน ที่เหลือ


Q :และก็ไม่รู้อีกว่าขอบเขตของเนื้อหาควรจะรู้แค่ไหน บางครั้งเนื้อหาที่เพื่อนเอามาพูดมันลึกเกินไป ไม่เข้าใจ

เรื่อง ความลึกของเนื้อหา ผมว่า เอาแค่ ตอบคำถาม และ link ด้ก็น่าจะ ok แล้วนะ

การให้คะแนนของ Fa ที่พูดมา ผมก็ว่า ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่(ไอ่คนที่ไม่หาแต่ได้ดีเเน่ยมันน่าจริงๆ)


Q: ทำไมทางคณะไม่เพิ่มชม.lecture แบบ สอนอย่างดี ไม่ใช่เป็นแค่ lecture ที่เรียนเพียงแค่1-2 ชม. แค่อาจารย์เข้ามาพูดผ่าน ๆ แล้วให้กลับไปอ่านเอง อะไร ๆก็ sdl (sleep deep and long )

ส่วน Lecture & SDL
ผมว่า มันก็เหมาะอยู่แล้ว เห็นมีแต่คนอ่าน Lecture ไม่ค่อย SDL(จริงๆ) เอาซะเลย ผมเห้นด้วยว่า lecture เป้น Guideline เท่านั้น

อ้อ ผมเห็นด้วยว่า PBL ควรลดจำนวนลงครับ บ่อยเกินไป จาก 4 อาทิตย์ 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้งได้มะอ่า

เพราะว่าบางครั้งอ่านเรื่องที่จำเป็นต้องรู้เพื่อนนำไปโยง ความรู้ที่ต้อง present ใน PBL ไม่ได้ ก็ต้องไปผแล้ว ทำให้ ไม่สามารถตอบคำถามได้ clear เท่าที่ควร
>> โดนตำหนิ จากเพื่อนๆและ Fa

Q :ให้นักศึกษาอ่านเอง มาพูดกันเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเนื้อหาที่พูดเราเข้าใจถูกต้องมากแค่ไหน แค่อ่าน ๆ มาแล้วก็มาพูดให้เพื่อนฟัง เวลาเพื่อนพูดเราก็อาจฟังเพื่อนพูดไม่รู้เรื่อง แต่ก็พยักหน้ารับทำเป็นเข้าใจ เพื่อให้กระบวนการกลุ่มเป็นไปได้ดี คล้าย ๆ กับการแสดงละครที่ผ่านไปในแต่ละฉาก

ไม่มีความเห้นครับ แต่ Fa ควรบอกว่า ที่เรา Discuss กันนั้น ถูก หรือ ผิดครับ

ผมชอบ PBL ตรง SDL เนี่ยแหละ แต่อย่างว่าแหละ PBL บ่อยไปหน่อย
โยงเนื้อหาลำบากจริงๆ เวลามันไม่พอจริงๆครับ ผมไม่ได้เก่งขนาดพวกเด็ก โอฯครับ มันต้องใช้เวลาต่างกัน




Posted by : Aoi_Ray , E-mail : (raynus4@hotmail.com) ,
Date : 2005-10-10 , Time : 04:37:03 , From IP : 172.29.4.208


ความคิดเห็นที่ : 23


   คือว่า ขอแทนตัวว่าพี่ละกันนะ
พี่ว่านะมันคือๆว่า จิตพิสัย50% อะแหละ
ได้faที่หยวนๆหน่อยก้อคะแนนดี
ได้faเคร่งๆหน่อยก้อได้คะแนนยากนิสนึง

ความจริงนะพี่อยากให้ได้faที่เคร่งLOนะ หยวนนิดๆ และ paticipate กับกลุ่มด้วย และถ้าให้ดีก้อน่าจะเป็นหมอ ไม่ได้ว่าเป็นอาจารย์วิทยาไม่ดีนะ
แต่ว่าถ้าเป็นหมอจะ focus+ประสบการณ์ดีกว่า
แต่faวิทยาก้อดีที่ได้เนื้อหาแน่น

ทนๆไปเหอะ เน้นความรู้ คู่ การนำไปใช้ และ คุณธรรม

คะแนนก้อแค่ตัวเลข เกรดก้อแค่ตัวอักษร


Posted by : ปี่สามตัวนึง , Date : 2005-10-10 , Time : 15:31:19 , From IP : 172.29.4.30

ความคิดเห็นที่ : 24


   ขอทีพวกพูดมากตามโพยแล้วได้คะแนนเนี่ย เซง เสียกำลังใจ คนทำโพย ขอจงเจริญ เพื่อชาติไทยเราจงดูโพย
อีกเรื่องเนื้อหาที่มีใน lo แล้วเอามา lacture ทำไมเอ่ยสับสนเวลาสอบก็งงตกลงจะตอบแบบอาจารย์หรือตามหนังสือดี งงชีวิต


Posted by : i will go pataya , Date : 2005-10-10 , Time : 17:33:49 , From IP : 172.29.4.254

..... เรื่องโพยเคยอภิปรายไว้ยาวเหยียดมาแล้วครั้งหนึ่ง เอาง่ายๆ โพยที่ perfect เช่น script ตัวอย่างการอภิปรายที่ถูกต้อง เป็น interactive เอาไว้สอนการทำ PBL มันก็ดีพอที่จะลอกเลียนแบบ แถมยังได้คะแนนแน่ๆ เพราะคะแนนมันจะให้ตามเนื้อผ้าที่คนให้คะแนนสามารถเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งถ้าคนอ่านโพย "เข้าใจ" ว่าที่พูดมามัน "เชื่อมต่อ" กันอย่างไร ตรงไหน มันก็จะเป็นบทเรียนที่สมบูรณ์ key สำคัญตรงเชื่อมโยง เป็นเหตุผลนี่แหละครับที่จะแยกระหว่าง memory acting กับ natural presentation ซึ่งต้องอาศัยกลุ่มครับในการทำให้มันกระจ่างได้ เช่น ถ้ายังไม่เข้าใจก็ถามเพื่อนคนที่พูดออกมามากๆ ยาวๆ ถ้าฟังกันตาปริบๆหมด เข้าใจถ่องแท้แน่นอน ประเด็นมันก็เลยไป facilitator อาจจะ intervene ได้แต่ไม่มากแน่ๆ ฉะนั้นกลุ่มต้องทำให้ group process มัน work ครับ ถามเยอะ จะมีคะแนนหมวดเดียวที่จะได้ (จาก 5-6 หมวด ผมไม่แน่ใจ) คือ participation เท่านั้นในบรรดา PBL SCORES ที่ว่ามา ฉะนั้นถามเยอะอย่างเดียวก็จะไม่ได้คะแนนสูงจนเด่น ปฏิกิริยาตอบรับ หรือการตอบคำถาม หรือการนำเอาข้อมูลมาเชื่อมโยงนำไปสู่การแก้ปัญหาเป็นคะแนนอีกส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ =========================================== =========================================== ถ้าทุกคนพยายาม "ตักตวง" ประสบการณ์ของ PBL ให้ได้ตามวัตถุประสงค์เถอะครับ อันนี้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ผมอยากจะเน้นว่า communication skill และ team work นั้นจำเป็นต้อชีวิตการทำงานในอนาคตอย่างมาก คุณจะเป็นคนเคร่งขรึมอย่างไร เป็นคนเงียบแค่ไหน จะเป็นหมอแล้วคุณจะต้องวคุยกับคนไข้ แนะนำคนไข้ ชวนเขาทำผ่าตัด ผ่าท้อง ทำหมัน เลิกบุหรี่ ฯลฯ ร้อยแปดพันประการ ถ้าทำไมเป็น ผมอยากจะเชื้อเชิญให้ใช้ platform PBL นี้หัดพูดจา อภิปราย กับเพื่อน (ซึ่งบางทีจะง่ายกว่าการพูดกับคนไข้จริง) ให้คล่อง เวลาเราไปคุยกับคนไข้มันจะได้ไม่ตื่นเต้น ถ้าคุณยืนยันไม่พูดจา ไม่ขอร่วมในกิจกรรมกลุ่ม มันจะลำบากในอนาคต ไม่ใช่เพราะคะแนน PBL ต่ำครับ แต่มันจะมีผลต่อการสร้าง doctor-patient relationship ครับ คนอื่นจะ fake จะหลอกอาจารย์ได้ มันจะเป็นอะไรที่คุณเห็นว่ามันไม่เห็นเก่งจริงเลยนั้น มันไม่เกี่ยวกับ performance ของตัวเราเองครับ ผมอยากจะให้พวกเรา earn คะแนนของเราเองมากกว่าไป focus ว่าคะแนนของคนอื่นนั้นมันเป็นอย่างไร เรียนโดยแข่งขันเพื่อปรับปรุงตนเองมันมีผลบวกต่อระบบความคิด บุคลิกของเรามากมายมหาศาล ถ้าไม่ฝึกทำ หรือเอาแต่ fake ได้คะแนนดี แต่ถ้า skill เหล่านี้ล้มเหลว มันจะไปออกตอนขึ้นคลินิกครับ พูดง่ายๆก็คือมันจะไปออกตอนที่เรากำลังฝึกเป็นหมอจริงๆ ผลลัพทธ์แห่งการที่เราไม่ได้แสวงหาความชำนาญตรงนี้มันอาจจะใหญ่หลวงมากนัก แก้ไขปรับปรุงตนเอง ดีที่สุด " />
ความคิดเห็นที่ : 25


   สิ่งที่เราหวังว่านักศึกษาจะ "ได้" จากการเรียนมีหลายอย่างด้วยกัน แบ่งตาม domain การเรียนรู้ก็มีความรู้ (cognitive)ในส่วนที่เป็นเนื้อหา ทฤษฎี ข้อมูล มีด้านความชำนาญ (psychomotor) อะไรก็ตามที่เป็นการนำเอาความรู้มาแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นการทำหัตถการ การตรวจร่างกาย การอ่านแปลผล lab (combined cognitive+psychomotor) หรือการแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจ (decision-making) การฝึกกระบวนคิดใช้เหตุผลข้อมูลประสานกันหลายๆอย่าง (clinical reasoning) และสุดท้ายก็ด้านเจตคติ (attitude) หรือระดับการยอมรับ การเห็นคุณค่า การหล่อหลอมความรู้ความชำนาญออกมาเป็นพฤติกรรม ปฏิบัติ จนไปถึงบุคลิก วิธีการดำเนินชีวิต วิธีการตัดสินใจ

แต่ละวิชาจะมี learning objective หลายๆ dimension บางวิชาจะมีครบทั้งสามด้านและมีหลายประเด็น เช่น surgery อาจจะมีหัวข้อ appendix thyroid breast และแต่ละหัวข้อก็มี learning objectives ทั้งด้านความรู้ทฤษฏี ความชำนาญการตรวจร่างกายแปลผล investigation และเจตคติในการนำเอาความรู้ความชำนาญเหล่านี้ไปใช้กับผู้ป่วยแบบไหนจึงจะเหมาะสม

"วิธีการเรียน" เป็นคนละเรื่องกับวัตถุประสงค์การเรียน (learning objective) ถึงแม้ว่าการ "เลือกวิธี" เรียนจะมีส่วนเกี่ยวทางอ้อมตรงที่ว่าเราจะ "ได้" อะไรบ้าง เช่น lecture ก็จะได้ปัญญาพิสัยหรือ cognitive เยอะหน่อย skill lab ก็จะได้ psychomotor หรือการอภิปราย role-play ก็อาจจะเป็นการฝึกเจตคติ หล่อหลอมเจตคติได้

PBL เป็นวิธีการเรียนที่จะให้ได้ "วัตถุประสงค์การเรียน" และนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์เฉพาะรายวิชา นั้นๆแล้ว ทางการศึกษาคิดว่าวิธีนี้จะ "ให้" ด้านอื่นด้วย ได้แก่ กระบวนการแก้ไขปัญหาแบบเป็นระบบ (รวมทั้งความสามารถในการค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา) team-work ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการวิเคราะห์ใช้เหตุผล ซึ่งเป็น objective ส่วนกลางของอาชีพแพทย์ ไม่ว่าจะเรียนวิชาไหน เป้น subspecialty อะไร สิ่งที่ได้จากตรงนี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งสิ้น แต่ข้อสำคัญสิ่งที่จะได้นี้ จะ ต้องใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เป็นโจทย์ มันจึงจะเกิดประโยชน์ได้ตามวิธีการเรียนรู้จริงๆ ติดตัวนักศึกษาไปจริงๆ

การประเมินว่านักศึกษา "ได้" ในส่วน cognitives ของวิชานั้นๆรึเปล่า จะทำได้โดยการสอบ MCQ หรือ สอบประเมินอยู่แล้ว จะมีอีกส่วนที่กระทู้นี้กำลังอภิปรายกันก็คือการประเมินสิ่งที่นักศึกษา "ได้" จาก PBL process ในย่อหน้าข้างบนนี้นั่นเอง

ทีนี้การประเมินทุกชนิดครับมันต้อง "สัมผัสได้" ด้วยระบบประสาทของผู้ประเมินโดยวิธีใดโดยวิธีหนึ่ง พูดง่ายๆถ้าจะรู้ว่าใครใช้เหตุผลหรือจำ คนๆนั้นก็ต้องคิดออกมาดังๆว่ามันเป็นยังงี้ๆผม/หนูถึงได้สรุปออกมายังงี้ๆ OK ตรงนี้พวก CR (concrete random) บอกว่าไม่ถนัด แต่อย่างที่ผมเรียนให้ทราบครับ learning styles เป้นแค่ preference หรือความถนัด ความชอบ ซึ่งคนธรรมดาในชีวิตประจำวันสามารถ "ฝึกได้" หรือ "ปรับตัวได้" ถ้าจำเป็น ถ้ามันสำคัญ ดังนั้นถ้าเรามี "วัตถุประสงค์" ว่านักศึกษาสามารถทำงานเป็นทีมได้ สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ นักศึกษาก็จะต้อง "แสดงความสามารถ" นั้นออกมาให้ประเมิน เหมือนโจทย์บอกว่า"จงให้คำปรึกษาหรืออธิบายเหตุผลในการต้องออกกำลังกายแก่ผู้ป่วย" นักศึกษาจะบอกว่าผมเป็น CR ไม่ชอบพูดเรื่องเหตุผลเชื่อมโยงอะไรนี่หรอก คุณก็จะถูกประเมินไปตามสิ่งที่คุณ "แสดง" (หรือไม่แสดง) ให้ดูนั่นแหละครับ ใน group process อาจจะมีอาจารย์ หรือเพื่อน หรือประธาน ใครก็แล้วแต่ หันมาถามคุณเป้นครั้งคราวเพราะไม่เคบพูดอะไรสักแอะ คุณอาจจะได้ cognitive ครบทุกอย่างตามวัคถุประสงค์การเรียนวิชานั้นก็จริง แต่พอประเมิน group process คะแนนก็จะไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ถ้าไม่ได้ทำอะไรตรงนี้เลย ตามเนื้อผ้าแล้วคนที่ไม่ถนัด group process หรือไม่ถนัดในการสื่อสารกับคนอื่นก็จะได้คะแนน group process หรือคะแนนสื่อสารไม่ดี ตรงไปตรงมา
===========================================
===========================================
เรื่องนี้แยกออกจากว่ามีคนที่ได้คะแนนดี ที่ไม่สมควรจะได้หรือไม่? ตามที่มีคนพูดถึงข้างบนก็มีเช่น
พูดตามโพย
ถามเยอะ
acting
etc>.....
เรื่องโพยเคยอภิปรายไว้ยาวเหยียดมาแล้วครั้งหนึ่ง เอาง่ายๆ โพยที่ perfect เช่น script ตัวอย่างการอภิปรายที่ถูกต้อง เป็น interactive เอาไว้สอนการทำ PBL มันก็ดีพอที่จะลอกเลียนแบบ แถมยังได้คะแนนแน่ๆ เพราะคะแนนมันจะให้ตามเนื้อผ้าที่คนให้คะแนนสามารถเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งถ้าคนอ่านโพย "เข้าใจ" ว่าที่พูดมามัน "เชื่อมต่อ" กันอย่างไร ตรงไหน มันก็จะเป็นบทเรียนที่สมบูรณ์ key สำคัญตรงเชื่อมโยง เป็นเหตุผลนี่แหละครับที่จะแยกระหว่าง memory acting กับ natural presentation ซึ่งต้องอาศัยกลุ่มครับในการทำให้มันกระจ่างได้ เช่น ถ้ายังไม่เข้าใจก็ถามเพื่อนคนที่พูดออกมามากๆ ยาวๆ ถ้าฟังกันตาปริบๆหมด เข้าใจถ่องแท้แน่นอน ประเด็นมันก็เลยไป facilitator อาจจะ intervene ได้แต่ไม่มากแน่ๆ ฉะนั้นกลุ่มต้องทำให้ group process มัน work ครับ

ถามเยอะ จะมีคะแนนหมวดเดียวที่จะได้ (จาก 5-6 หมวด ผมไม่แน่ใจ) คือ participation เท่านั้นในบรรดา PBL SCORES ที่ว่ามา ฉะนั้นถามเยอะอย่างเดียวก็จะไม่ได้คะแนนสูงจนเด่น ปฏิกิริยาตอบรับ หรือการตอบคำถาม หรือการนำเอาข้อมูลมาเชื่อมโยงนำไปสู่การแก้ปัญหาเป็นคะแนนอีกส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้
===========================================
===========================================
ถ้าทุกคนพยายาม "ตักตวง" ประสบการณ์ของ PBL ให้ได้ตามวัตถุประสงค์เถอะครับ อันนี้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ผมอยากจะเน้นว่า communication skill และ team work นั้นจำเป็นต้อชีวิตการทำงานในอนาคตอย่างมาก คุณจะเป็นคนเคร่งขรึมอย่างไร เป็นคนเงียบแค่ไหน จะเป็นหมอแล้วคุณจะต้องวคุยกับคนไข้ แนะนำคนไข้ ชวนเขาทำผ่าตัด ผ่าท้อง ทำหมัน เลิกบุหรี่ ฯลฯ ร้อยแปดพันประการ ถ้าทำไมเป็น ผมอยากจะเชื้อเชิญให้ใช้ platform PBL นี้หัดพูดจา อภิปราย กับเพื่อน (ซึ่งบางทีจะง่ายกว่าการพูดกับคนไข้จริง) ให้คล่อง เวลาเราไปคุยกับคนไข้มันจะได้ไม่ตื่นเต้น ถ้าคุณยืนยันไม่พูดจา ไม่ขอร่วมในกิจกรรมกลุ่ม มันจะลำบากในอนาคต ไม่ใช่เพราะคะแนน PBL ต่ำครับ แต่มันจะมีผลต่อการสร้าง doctor-patient relationship ครับ

คนอื่นจะ fake จะหลอกอาจารย์ได้ มันจะเป็นอะไรที่คุณเห็นว่ามันไม่เห็นเก่งจริงเลยนั้น มันไม่เกี่ยวกับ performance ของตัวเราเองครับ ผมอยากจะให้พวกเรา earn คะแนนของเราเองมากกว่าไป focus ว่าคะแนนของคนอื่นนั้นมันเป็นอย่างไร เรียนโดยแข่งขันเพื่อปรับปรุงตนเองมันมีผลบวกต่อระบบความคิด บุคลิกของเรามากมายมหาศาล

ถ้าไม่ฝึกทำ หรือเอาแต่ fake ได้คะแนนดี แต่ถ้า skill เหล่านี้ล้มเหลว มันจะไปออกตอนขึ้นคลินิกครับ พูดง่ายๆก็คือมันจะไปออกตอนที่เรากำลังฝึกเป็นหมอจริงๆ ผลลัพทธ์แห่งการที่เราไม่ได้แสวงหาความชำนาญตรงนี้มันอาจจะใหญ่หลวงมากนัก

แก้ไขปรับปรุงตนเอง ดีที่สุด



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-10 , Time : 21:28:30 , From IP : 58.147.7.127

ความคิดเห็นที่ : 26


   โคดเบื่อพีบีแอลเลย งมเข็มในมหาสมุทร รู้งี้เรียนที่อื่นดีกว่า เลคเชอร์ล่ะ
ชอบที่สุดแล้ว เสียเวลาให้นักเรียนอ่านทำความเข้าใจตั้งนาน สู้อาจารย์สอนมาเลย
แล้วมีกระบวนการกระตุ้นให้นักศึกษาคิดต่อยอดได้เอง แบบนี้เจ๋งกว่าเยอะ
เปลืองเวลาที่ต้องมาทำความเข้าใจเอง แถมไม่รู้ผิดรึว่าถูกอีกต่างหาก


Posted by : ปีสอง , Date : 2005-10-10 , Time : 22:19:03 , From IP : 172.29.4.75

ความคิดเห็นที่ : 27


   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวอยู่ 2 ครอบครัว ครอบครัวแรก พ่อมีหน้าที่ไปตกปลามาเพื่อเป็นอาหารแก่ลูกๆ ปลาที่พ่อตกได้ล้วนเป็นปลาตัวโต เนื้อแน่น กินอร่อย ลูกๆต่างชอบปลาที่พ่อตกมาก ตรงกันข้ามอีกครอบครัว พ่อได้แต่พาลูกๆ ไปมองดูสถานที่ตกปลา สอนวิธีตกปลา แรกๆ ลูกๆตกได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ลูกๆบอกพ่อว่า อยากกินปลาตัวโตๆแบบบ้านโน้นบ้าง พ่อไม่ตอบอะไร แล้วเดินจากไป ลูกๆ ได้แต่คิดว่าทำไมหนอเราถึงไม่โชคดีเกิดเป็นลูกบ้านโน้น

กระทู้ข้างบนคือเสียงบ่นของลูกคนเล็ก




Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-10 , Time : 23:17:18 , From IP : 172.29.4.123

ความคิดเห็นที่ : 28


   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวอยู่ 2 ครอบครัว ครอบครัวแรก พ่อมีหน้าที่ไปตกปลามาเพื่อเป็นอาหารแก่ลูกๆ ปลาที่พ่อตกได้ล้วนเป็นปลาตัวโต เนื้อแน่น กินอร่อย ลูกๆต่างชอบปลาที่พ่อตกมาก ตรงกันข้ามอีกครอบครัว พ่อได้แต่พาลูกๆ ไปมองดูสถานที่ตกปลา สอนวิธีตกปลา แรกๆ ลูกๆตกได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ลูกๆบอกพ่อว่า อยากกินปลาตัวโตๆแบบบ้านโน้นบ้าง พ่อไม่ตอบอะไร แล้วเดินจากไป ลูกๆ ได้แต่คิดว่าทำไมหนอเราถึงไม่โชคดีเกิดเป็นลูกบ้านโน้น

กระทู้ข้างบนคือเสียงบ่นของลูกคนเล็ก




Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-10 , Time : 23:17:26 , From IP : 172.29.4.123

ความคิดเห็นที่ : 29


   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวอยู่ 2 ครอบครัว ครอบครัวแรก พ่อมีหน้าที่ไปตกปลามาเพื่อเป็นอาหารแก่ลูกๆ ปลาที่พ่อตกได้ล้วนเป็นปลาตัวโต เนื้อแน่น กินอร่อย ลูกๆต่างชอบปลาที่พ่อตกมาก ตรงกันข้ามอีกครอบครัว พ่อได้แต่พาลูกๆ ไปมองดูสถานที่ตกปลา สอนวิธีตกปลา แรกๆ ลูกๆตกได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ลูกๆบอกพ่อว่า อยากกินปลาตัวโตๆแบบบ้านโน้นบ้าง พ่อไม่ตอบอะไร แล้วเดินจากไป ลูกๆ ได้แต่คิดว่าทำไมหนอเราถึงไม่โชคดีเกิดเป็นลูกบ้านโน้น

กระทู้ข้างบนคือเสียงบ่นของลูกคนเล็ก




Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-10 , Time : 23:17:30 , From IP : 172.29.4.123

ความคิดเห็นที่ : 30


   แต่นิทานข้างบน

ลูก ของครอบครัวแรก

เป็นคนเล่าให้ฟัง


Posted by : zoioz , Date : 2005-10-10 , Time : 23:32:02 , From IP : 172.29.4.197

ความคิดเห็นที่ : 31


   แต่นิทานข้างบน

ลูก ของครอบครัวแรก

เป็นคนเล่าให้ฟัง


Posted by : zoioz , Date : 2005-10-10 , Time : 23:32:08 , From IP : 172.29.4.197

ความคิดเห็นที่ : 32


   แต่นิทานข้างบน

ลูก ของครอบครัวแรก

เป็นคนเล่าให้ฟัง


Posted by : zoioz , Date : 2005-10-10 , Time : 23:32:11 , From IP : 172.29.4.197

ความคิดเห็นที่ : 33


   คือ คุณอ้อ

กระทู้นี้ ไม่ได้ต้องการ ต่อต้าน ระบบแต่อย่างใด ระบบ PBL โดยหลักการแล้วเป็นระบบที่ดีมากครับ อันนี้ยอมรับด้วยใจจริง แต่ในทางปฏิบัติ มันทำตามหลักการไม่ได้ทุกอย่างปัญหาก็เกิด

ที่เห็นๆกันข้างบนมัน คือ ปัญหาจริงๆ ที่เราอาจต้องช่วยกันแก้มากกว่า ที่เราจะมาต่อว่าระบบ

หรือ ปกป้องระบบอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างที่คุณกำลังทำอยู่

ปัญหาตอนนี้ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่ามันเกิดในส่วนของการปฏิบัติจริงไม่ใช่ส่วนทฤษฎี ส่วนทฤษฎี ผมไม่เถียงครับว่ามันดีจริงๆ มันค่อนข้าง perfect ด้วยซ้ำ

ส่วนเสียงบ่นของลูกคนเล็กที่คุณว่า มันก็มีปัญหาอยู่นิดเดียวครับที่คุณจะไม่ฟังไม่ได้ซะด้วย ปัญหาง่ายๆครับ ว่าแล้วถ้าเกิดลูกคนนั้นยังหาปลาตัวใหญ่กินไม่ได้จนสักทีล่ะ พอโตแล้วเค้าก็ยังจับได้แต่ปลาตัวเล็ก โอเค ครับ อาจดูว่ายังไงมันก็ไม่อดตาย ก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรมากมาย

แต่ปัญหาอยู่ที่ ความจริงคือ เราเป็นแพทย์ไม่ใช่เด็กหาปลา แล้วปลาที่จับได้ คือ การรักษาคนไข้ให้หาย ไม่ใช่แค่อาหารที่กินประทังชีวิตไปวันๆ

ถ้าพ่อไม่ยอมบอกวิธีหาปลาให้สักที เด็กยังจับปลาตัวใหญ่ไม่ได้

ก็เปรียบเสมือน เมื่อเด็กแพทย์อย่างพวกเรา โตขึ้นเป็นแพทย์เต็มตัวแล้วไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาคนไข้ได้ ดีพอ ปัญหาฟ้องร้องที่มีอยู่ทุกวันจะไม่ยิ่งรุนแรงขึ้นไปหรือ ความไว้วางใจระหว่างคนไข้กับหมอมันจะเกิดปัญหาขึ้นมากไปกว่านี้หรือเปล่า

ก็แค่อยากบอกว่าเสียงบ่นของลูกคนเล็กที่คุณจะมองข้าม มันมีความสำคัญไม่น้อยเลย



Posted by : OK , Date : 2005-10-10 , Time : 23:53:51 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 34


   อีกเสียงที่เห็นด้วยกับคุณ OK ครับ

Posted by : Moment , Date : 2005-10-11 , Time : 01:22:49 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 35


    ในทางทฤษฎี ถึงแม้คะแนนจะไม่เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของการเป็นนักศึกษา ความรู้ที่ได้ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ของการเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต แต่เราลองมาเปรียบเทียบกันง่ายๆสักตัวอย่างดูครับ

นาย ก. ได้คะแนน TOP MCQ ของ block หนึ่งๆ เช่น 72 จาก 90 ก็แล้วกัน คะแนนเบ็ดเสร็จที่หารออกมาได้คือ 24 คะแนน จาก 100 คะแนน อีกคนหนึ่งคือนาย ข.ได้คะแนน 20 จาก 100 คะแนน คือตกมีนครับ
แล้ววันหนึ่งคะแนน PBL ก็ออกมาว่า นาย ก. ได้คะแนน PBL 4 คะแนน แต่นาย ข.ได้คะแนนมา 5 เต็ม ซึ่งเมื่อนำไปทำเป็นคะแนน ในร้อยแต้ม จะได้ว่า นาย ก.ได้ 20 คะแนน ส่วนนาย ข. ได้ 25 คะแนน ทีนี้ ผลต่างของคะแนน นำมาทำเป็นจำนวนข้อของ MCQ คือ 5*3 = 15 ข้อ คือ จากตกมีนกลับกลายมาเป็นคน TOP ได้ ทั้งๆที่ทั้งสองคนมี facilitator ต่างกันเท่านั้นเอง

มันก็ทำให้เราท้อได้เหมือนกันนะครับ ทั้งๆที่เราก็พยายามทำ PBL ให้ดีไม่แพ้คนอื่นเลย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นกลับทำให้เรามอง PBL ว่าเป็นเหมือนดาบสองคม ผลดีคือทำให้เราเข้าใจโรคและกระบวนการต่างๆได้อย่างถ่องแท้และจำได้ตลอด สามารถประยุกต์ได้กับทุกโรคที่เราจะต้องเจอในภายภาคหน้า แต่ผลเสียคือถ้าคะแนนมันออกมาไม่ดีหละ เราทำในส่วนไหนไม่ดี แล้วเราจะต้องปรับปรุงส่วนไหนในครั้งหน้า คะแนนที่ได้ไม่ได้บอกอะไรมาเลย แถมยังให้แบบไม่ค่อยถูกต้องด้วย เช่น เพื่อนผมคนหนึ่ง เข้าก่อนอาจารย์ และกลุ่มเขาก็เลิกตรงเวลาตลอด คะแนนตรงต่อเวลาที่ได้กลับ ได้ 4.75 เต็ม 5 อาจารย์เอาส่วนไหนมาหักกันแน่เพราะในจุดประสงค์ของการให้คะแนนในส่วนนี้ที่เขียนไว้ในระเบียบคือ มาช้า หรือมาเร็วแค่นั้นเอง

ใช่อยู่ผมรู้ว่าคนที่มาตอบกระทู้คนต่อๆไปจะตอบว่า คุณเรียนเพื่อคะแนนหรือเพื่อเอาความรู้ไปรักษาโรค แต่ "คะแนนก็เป็นสิ่งที่เตือนให้เรารู้ว่าความรู้ที่เรามีนั้นสามารถนำไปรักษาโรคได้เพียงพอแล้วหรือยัง?" หรือคุณตอนที่เป็นนักศึกษาเรียนโดยไม่สนใจคะแนนเลย หรือได้คะแนนน้อยแล้วไม่รู้สึกเสียใจสักนิด เป็นไปไม่ได้ครับในชีวิตจริงของมนุษย์เรา

Reply นี้จึงไม่ได้เป็นกระทู้ที่ต่อต้าน PBL ครับ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงจุดด้อย ซึ่งมีอิทธิพลมากต่อการศึกษาในระบบนี้

เราจะทำอย่างไรในการแก้ไขมาตรฐาน Facilitator ให้เท่าเทียมกัน จึงเป็นคำถามที่ผมจะสื่อ ใน reply นี้ครับ



Posted by : CHM , Date : 2005-10-11 , Time : 04:06:40 , From IP : 172.29.4.215

ความคิดเห็นที่ : 36


    อ้อ ลืมไปครับ ผมสนับสนุนอย่างยิ่งกับการที่ให้มี PBL ตัวอย่าง เพื่อที่ผมจะได้นำไปปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นในครั้งหน้าครับ เพราะตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอนใช่หรือไม่?

Posted by : CHM , Date : 2005-10-11 , Time : 04:10:15 , From IP : 172.29.4.215

ความคิดเห็นที่ : 37


   ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นักศึกษาทุกคนน่าจะได้รับการชี้แจงอธิบายให้เข้าใจ ผมคิดว่า platform ที่ดีที่สุดคือผ่านทางสโมสรนักศึกษาไปติดต่อทางแพทยศาสตรว่าขอคุยว่ามีปัญหาอะไรบ้าง และ/หรือปัญหานี้มัน epidemic ขนาดไหน สามารถแก้ไขโดยการอภิปรายในกลุ่มนักศึกษากันเองหรือว่าต้องการ orientation เรื่อง PBL เพิ่มเติมเป็นเรื่องเป็นราว เพราะว่าผมไม่แน่ใจว่าการแลกเปลี่ยนสนทนาบนนี้จะมีประสิทธิภาพในด้านความครอบคลุมของเนื้อหา ความต่อเนื่องของประเด็นที่จะอภิปราย (จะเห็นว่าประเด็นมันขาดเป็นห้วงๆ เนื่องจากลักษณะของกระดานกระทู้มันเป็นแบบนี้) ที่ไม่สามารถจะ focus และอภิปรายเป็นจุดๆจนเข้าใจแล้วค่อยเริ่มประเด็นต่อไป

ผมขอชี้แจงแลกเปลี่ยนเท่าที่ทราบก็แล้วกัน

standardization ของ facilitator นั้นเป็น mission ที่ทางแพทยศาสตรศึกษาทำมาอย่างต่อเนื่อง ทำทุกปี และก็ยังคงทำอยู่ ถ้ามีการ สรุปว่าคะแนนที่ต่างกัน ไม่ใช่เป็นเพราะ performance ของนักศึกษาต่าง แต่เป็นเพราะถูกประเมินโดย facilitator คนละคนกันก็น่าเป็นห่วงจริงๆ แต่น่าจะมีที่มาของข้อสรุปที่ว่า ว่ามันเป็นอย่างไร และเกิดขึ้นในระดับไหน เป็นระบบ หรือเป็นคนๆ

ข้อคิดที่ว่าวิธีการเรียน PBL ต้องทำอย่างไรไม่ได้ถูกแนะนำให้ก่อนนั้น ตรงนี้คงจะต้องขอข้อมูลเพิ่มครับ (ผมสรุปจากการที่มีคนบอกว่า "พ่อยังไม่บอกวิธีจับปลาให้ลูกคนเล็กสักที") ว่าเป็นเรื่องของบอกแล้ว แต่ยังไม่ clear หรือ clear แต่ไม่หมดทุกคน หรือไม่บอกเลย เท่าที่นักศึกษาด้วยกันเองอภิปรายมาก็มีทั้งคนที่เข้าใจ ไม่เข้าใจ แต่ถึงขนาดคณะฯไม่ได้บอกวิธีเลยนี่สำคัญครับว่ามันขาดตกบกพร่องไปในระบบตอนไหนรึเปล่า

สำหรับเรื่อง video model การทำ PBL นั้นน่าสนใจครับ คิดว่าน่าจะสามารถทำได้ แต่คงต้องนำมาสนทนากันพอสมควร มันสามารถจะออกมาเป็นแบบภาพรวมของ PBL ที่ดี แต่มันอาจจะไม่สามารถ apply ไปกับทุกๆ scenario จริงได้ หรือจะทำแบบเอา pitfall หรือตัวอย่างของ PBL ที่ไม่สมบูรณ์มา exaggerate ให้เห็นว่านั่นไง คนนั้นนั่งเงียบไม่ participate เลย ตรงนี้คงต้องหาข้อมูลเพิ่มว่าที่ต้องการจะเห็นคือ "พฤติกรรมที่ควรทำ" หรือ "พฤติกรรมที่ต้องปรับปรุง" กันแน่ อีกประเด็นหนึ่งก็คือทั้งสองอย่างนั้นสามารถอธิบายตอนนี้ก็ยังได้ว่า "หมายความว่า" อะไรบ้าง แต่พอแปลมาเป็น action ตัวอย่างมันจะไม่สามารถครอบคลุมหมดแน่นอน มันก็จะต้องลงเอยไปที่การตีความของ facilitator อีกอยู่ดี และนักศึกษาจะได้อะไรมากหรือไม่จากการดู video 1-2 ชม.เพื่อเห็นคนนั่งเฉยๆในกลุ่มตัวอย่าง แล้วได้ข้อสรุปว่าไอ้คนนั้นจะไม่ได้คะแนน participation เวลาที่ใช้ตรงนี้จะคุ้มกันหรือไม่

จะเห็นว่าที่เราอยากให้นักศึกษาได้นั้นก็แค่มีส่วนร่วมในกลุ่มอย่างทั่วถึง และนำเอาหลักการของการเรียนโดยเอาปัญหาเป็นฐานแค่นั้นจริงๆ ผมเข้าใจว่าหลายๆคนมีความเข้าใจตรงกันว่าการมีส่วนร่วมในกลุ่มก็คือการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี และสม่ำเสมอ เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้า ปัญหาที่แท้จริงคือการไม่ไว้ใจในมาตรฐานของการให้คะแนน ไม่ใช่การไม่เข้าใจว่ากระบวนการกลุ่มเป็นอย่างไร video ก็จะไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงนี้ผมคิดว่าสโมสรนักศึกษาน่าจะจัดการอภิปรายกันและลองให้เพื่อนๆหลายๆคนลองช่วยกันคิดครับว่าแต่ละคนคิดว่าน่าจะเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็นำมาคุยกัยทางแพทยศาสตร ส่วนเรื่องการปรับมาตรฐานการให้คะแนน facilitator นั้น เท่าที่ผมทราบเป็น primary agenda ของพันธกิจของหน่วยแพทยศาสตรศึกษามาโดยตลอดอยู่แล้ว ถ้าเราช่วยกันทั้งสองฝ่ายแบบนี้จะค้นหาวิธีการแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นบ้างหรือไม่ครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-11 , Time : 10:03:45 , From IP : 172.29.7.92

ความคิดเห็นที่ : 38


   ความจริงคณะมีการเตรียมการ ตั้งแต่ให้ นศพ.ลองเรียน PBL ตั้งแต่แรก มีให้เลือกทั้งไทยทั้งฝรั่ง จะว่าไม่สอนตกปลาเลยก็ใช่ที่ น่าสงสารถ้าคณะมาอ่านเห็น คู่มือ block ทุกเล่มก็มีคำแนะนำอยู่ ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นตอนนั้น นี่ล่วงเลยมาหลาย block แสดงว่าน่าจะอยู่ที่การปรับตัวมากกว่า
ในเรื่องของ video of the best PBL group ไม่ได้คิดขัดขวางอะไร แต่เห็นด้วยกับคุณ Phoenix ว่า
1. อาจจะ apply ไปใช้กับทุก scenario ไม่ได้
2. จะเอาใครมาแสดง นศพ ที่ได้คะแนนกลุ่มสูง? ในเมื่อความเป็นจริง PBL ต้องคละคน คละเพศ คละคะแนน
3.ใครจะกล้ารับรองว่านี่คือ PBL ที่ดีที่สุด ทุกกลุ่มต้องทำตามนี้
4. คิดว่าเป็นเรื่องขำ ในเมื่อคุณเองก็คิดว่า fake บ้าง เล่นละครบ้าง พอ video ออกมาก็ไม่พ้นว่า เตี๊ยม จัดฉาก
5. กระบวนการกลุ่มที่ดี เกิดจาก team work ที่ดี รู้จักแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง ปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนให้ได้ เพราะเราต้องหมุนไปอยู่กับคนอื่น
6. เรามีระบบ PBL มาแล้วหลายรุ่น น่าสงสัยว่ารุ่นก่อนๆ ทำกันได้อย่างไร ยิ่งรุ่นแรกๆคงลำบากหน่อย เพราะไม่มี video ตัวอย่างให้ดู
ส่วนเรื่องที่คุณ OK บอกว่าเข้าข้างระบบเกินไป ขอบอกตามความจริงว่า ส่วนตัวเองแรกๆ ก็ปรับตัวไม่ได้และโทษระบบ แต่ในเมื่อเราต้องอยู่กับระบบ วิธีที่ฉลาดคือ ปรับตัวให้เข้ากับระบบให้ได้ ไม่ใช่เอาแต่จะเปลี่ยนระบบ
กรุณาโต้แย้งด้วยเหตุผล และขอเรียนอีกครั้งว่าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครทั้งนั้น เป็นความคิดเห็นส่วนตัว


Posted by : อ้อ , Date : 2005-10-11 , Time : 18:16:31 , From IP : 172.29.4.111

อืม ฉลาดจริงๆด้วยอ่ะ "1. อาจจะ apply ไปใช้กับทุก scenario ไม่ได้ 2. จะเอาใครมาแสดง นศพ ที่ได้คะแนนกลุ่มสูง? ในเมื่อความเป็นจริง PBL ต้องคละคน คละเพศ คละคะแนน 3.ใครจะกล้ารับรองว่านี่คือ PBL ที่ดีที่สุด ทุกกลุ่มต้องทำตามนี้ 4. คิดว่าเป็นเรื่องขำ ในเมื่อคุณเองก็คิดว่า fake บ้าง เล่นละครบ้าง พอ video ออกมาก็ไม่พ้นว่า เตี๊ยม จัดฉาก" ไม่ลองแล้วจะรู้มั๊ยเนี่ย ไม่มีคำว่าล้มเหลว แค่อาจจะเจอวิธีที่ไม่ได้ผล แล้วทำไมต้องคละคะแนนด้วย ไม่มีใครบอกว่ามันเป็นกลุ่มที่ดีที่สุด อะไรที่ไม่ตรงกับความคิดคุณเองก็ขำไปหมดแหละ " />
ความคิดเห็นที่ : 39


   ใครจะเปลี่ยนระบบ?

ใครโต้แย้งโดยไม่ใช้เหตุผล?

งง งง งง งง งง งง งง งง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


"วิธีที่ฉลาดคือ ปรับตัวให้เข้ากับระบบให้ได้ " -----------> อืม ฉลาดจริงๆด้วยอ่ะ


"1. อาจจะ apply ไปใช้กับทุก scenario ไม่ได้
2. จะเอาใครมาแสดง นศพ ที่ได้คะแนนกลุ่มสูง? ในเมื่อความเป็นจริง PBL ต้องคละคน คละเพศ คละคะแนน
3.ใครจะกล้ารับรองว่านี่คือ PBL ที่ดีที่สุด ทุกกลุ่มต้องทำตามนี้
4. คิดว่าเป็นเรื่องขำ ในเมื่อคุณเองก็คิดว่า fake บ้าง เล่นละครบ้าง พอ video ออกมาก็ไม่พ้นว่า เตี๊ยม จัดฉาก"

ไม่ลองแล้วจะรู้มั๊ยเนี่ย ไม่มีคำว่าล้มเหลว แค่อาจจะเจอวิธีที่ไม่ได้ผล

แล้วทำไมต้องคละคะแนนด้วย

ไม่มีใครบอกว่ามันเป็นกลุ่มที่ดีที่สุด

อะไรที่ไม่ตรงกับความคิดคุณเองก็ขำไปหมดแหละ



Posted by : OK , Date : 2005-10-11 , Time : 20:38:35 , From IP : 172.29.4.136

ความคิดเห็นที่ : 40


   1. อาจจะ apply ไปใช้กับทุก scenario ไม่ได้


"แบบอย่าง" ไม่จำเป็นต้องเดินตาม เพียงแค่นำไปประยุกต์ใช้ ก็เพียงพอ


เฮ้อ.....


Posted by : ปีสองแล้วววว , Date : 2005-10-11 , Time : 21:12:51 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 41


   ในระบบสาธารณสุขเชิงรุก หมอมีหน้าที่ทำการสร้างเสริมสุขภาพ นั่นคือแนะนำ เชื้อเชิญ รณรงค์ ให้ความรู้ โฆษณา พัฒนา เกลี้ยกล่อม ฯลฯ ทุกวิถีทางของการ "สื่อสาร" จนกระทั่งผู้รับฟังเกิด empowerment เกิดอำนาจ เกิดความคิด เกิดเจตคติ "คล้อยตาม"

ความสามารถในการสื่อข้างต้นต้องฝึกฝนครับ และข้อสำคัญต้องมี "เจตคติ" ทีถูกต้องด้วยว่า communication skill นี้จำเป็น แนะนำว่าให้ใช้ให้บ่อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ถ้าจะแสดงความเห็น เชื้อเชิญชวนใครให้คิดคล้อยตามนั้นมันเป็นศิลปอย่างหนึ่ง

ข้อสำคัญเวลาแนะนำคนไข้นั้น ตรรกะเชื่อมโยงเหตุไปจนถึงผลนั้นควรจะชัดเจน เดี๋ยวนี้เป็นยุคแห่งข้อมูล จะมีคน "ถาม" หรือ "สงสัย" มากขึ้น และเราจะมีปัญหาทันทีที่ๆไม่สามารถสนทนาวิสาสะสร้างประโยคที่เป็นเหตุและผลมาโต้แย้งอภิปรายกันได้

อีกเทคนิกที่สำคัญในการอภิปราย "ความคิด" ก็คือ อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องระหว่างบุคคล ครับ ความคิดต่างกัน ก็เอาเหตุผลมาขัดแย้งกัน ไม่จำเป็นต้องทำ personal insult ดูถูก หรือก่นด่ากัน มันขาดบุคลิกคนที่ได้รับการอบรม คนที่มีการศึกษาไปอย่างน่าเสียดาย



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-11 , Time : 21:27:25 , From IP : 172.29.7.23

ความคิดเห็นที่ : 42


   ปัญหานี้ง่ายมากครับ เพียงน้องๆเดินไปที่หน่วยกิจการนักศึกษา แล้วถามพี่ๆในห้องนั้นว่า จะพอมีวิธีการทำอย่างที่น้องๆว่ากันมาได้หรือไม่ อย่างไร ต้องทำอะไรบ้าง ต้องถามใคร ต้องเตรียมอะไร ต้องเดินเรื่องยังไง พี่ว่าน้องจะได้อะไรมากกว่าการมาถกเถียงในกระดานข่าว แน่นอน อย่างน้อย

1. น้องจะได้รู้ว่าทำได้หรือทำไม่ได้

2. ถ้าทำได้ จะได้รู้ว่าจะต้องเดินเรื่องยังไง ต้องเจอรองคณะบดี หรือไม่ อย่างไร คนไหน

3. ถ้าลองเดินเรื่องแล้ว ทำไม่ได้ ก็จะได้เข้าใจระบบการทำงานของหน่วยกิจการนักศึกษา น้องจะได้เรียนรู้ว่า การเดินเรื่องเพื่อทำโครงการนั้น ยาก-ง่าย เพียงใด เพราะ หน่วยกิจการนักศึกษา ไม่ได้ไว้เพียงขึ้นมาจ่ายค่าหอพัก แล้วเดินลงไปเสียหน่อย


Posted by : Botsumu , Date : 2005-10-12 , Time : 01:17:43 , From IP : 203.156.45.124

ความคิดเห็นที่ : 43


   ประการสำคัญที่อยากจะเน้น (เผื่อใจความมันกลืนหายไปกับความยาวของกระทู้) คือ ไม่อยากให้น้องไปสนใจเพ่งเล็งว่าเพื่อนได้คะแนนเท่าไหร่ครับ สนใจว่าเรามีอะไรที่จะ "ปรับปรุงตนเอง" อยู่อีกบ้างจะดีกว่า มีประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า

เรื่องค่า mean ก็เหมือนกัน mean มันจะไม่เปลี่ยนเคลื่อนไปมาได้ง่ายๆหรอกนะครับ ถ้ามี incident มากระทบแค่เพียงเล็กน้อยมันจะไม่เปลี่ยนเลย ยังไงๆ mean ยังบอกคร่าวๆถึง performance ของ "ส่วนใหญ่" ของกลุ่มนั้นๆอยู่ assume ว่าคนอ่อน หรือคนเสแสร้งแกล้งทำ ฯลฯ ที่น้องว่ามันเป็นแค่ noise เหล่านี้จะไม่กระทบต่อ mean หมายความว่าถ้าตก mean แปลว่าเรา "ต่าง" จากคนธรรมดาๆส่วนใหญ่แน่ๆครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-12 , Time : 14:12:05 , From IP : 172.29.3.150

ความคิดเห็นที่ : 44


   2. จะเอาใครมาแสดง นศพ ที่ได้คะแนนกลุ่มสูง? ในเมื่อความเป็นจริง PBL ต้องคละคน คละเพศ คละคะแนน ---> คละคะแนน ?? คุณรู้ก่อน PBL แล้วเหรอว่าใครจะได้คะแนนเท่าใหร่

เฮ้อ...


Posted by : ปปีสองแล้ววว , Date : 2005-10-12 , Time : 14:15:04 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 45


   3.ใครจะกล้ารับรองว่านี่คือ PBL ที่ดีที่สุด ทุกกลุ่มต้องทำตามนี้ ---> มีใครซักคนมั๊ยครับที่ออกมาพูดว่าทุกกลุ่มต้องทำตามนี้ ?? อย่าสรุปไปเองสิครับ

คนรับชมก็มีสมองนา

เฮ้อ...


Posted by : ปีสองแว้ววววว , Date : 2005-10-12 , Time : 14:18:14 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 46


   4. คิดว่าเป็นเรื่องขำ ในเมื่อคุณเองก็คิดว่า fake บ้าง เล่นละครบ้าง พอ video ออกมาก็ไม่พ้นว่า เตี๊ยม จัดฉาก ---> เห็นได้ชัดว่า คุณคิดเอง


เฮ้อ...


Posted by : ปีสองแว้วววว , Date : 2005-10-12 , Time : 14:25:07 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 47


   5. กระบวนการกลุ่มที่ดี เกิดจาก team work ที่ดี รู้จักแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง ปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนให้ได้ เพราะเราต้องหมุนไปอยู่กับคนอื่น ---> อันนี้เห็นด้วยครับ

แปะ แปะ


Posted by : ปีสองแว้วววว , Date : 2005-10-12 , Time : 14:28:08 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 48


   6. เรามีระบบ PBL มาแล้วหลายรุ่น น่าสงสัยว่ารุ่นก่อนๆ ทำกันได้อย่างไร ยิ่งรุ่นแรกๆคงลำบากหน่อย เพราะไม่มี video ตัวอย่างให้ดู ---> ทำได้ กับ ทำอย่างมีประสิทธิภาพ มันต่างกันนะครับ

เฮ้ออออออออ..........................


Posted by : ปีสองแว้วววว , Date : 2005-10-12 , Time : 14:36:02 , From IP : 172.29.4.122

ความคิดเห็นที่ : 49


   6. เรามีระบบ PBL มาแล้วหลายรุ่น น่าสงสัยว่ารุ่นก่อนๆ ทำกันได้อย่างไร ยิ่งรุ่นแรกๆคงลำบากหน่อย เพราะไม่มี video ตัวอย่างให้ดู

คุณจำได้ไหมครับ ช่วงปีการศึกษาที่แล้ว
มีรุ่นพี่มาถามหาความรับผิดชอบจากทางคณะเกี่ยวกับการเรียนการสอนPBL น่ะครับ เห็นว่าไปข้างนอกแล้วโดนบ่นอะไรนี่แหละ(ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วแหะ) ในบอร์ดนี้แหละ


Posted by : Aoi_Ray , Date : 2005-10-12 , Time : 15:40:24 , From IP : 172.29.4.236

ความคิดเห็นที่ : 50


   สาเหตุประการหนึ่งที่ประสิทธิภาพในการก่อให้เกิด action ตอบสนองต่อกระทู้บนกระดานข่าวแบบ anonymous (ไร้ identity) ก็คือเราไม่ทราบครับว่าเรื่องที่ว่านี้มันทุกข์แบบระบบ หรือว่าทุกข์อยู่สองสามคนจาก 180 คน วิธีการแก้ไขปัญหามันจะต่างกัน

บนนี้ที่จะทำได้คืออภิปรายว่าใครอยากจะทำอะไร และ เพราะอะไรถึงคิดว่าดี แต่ถ้าต้องการให้เกิดกฏ การเปลี่ยนแปลง เปลียนหลักสูตร หรือการเพิ่มกิจกรรมระดับคณะฯ ผมคิดว่าคงจะต้องผ่านอีก channel มากกว่าครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-10-12 , Time : 19:36:42 , From IP : 172.29.7.117

ความคิดเห็นที่ : 51


   คนที่มาเป็น far ควรเป็น resouce person ในเรื่องเกี่ยวกับใน scenario เพื่อให้ความรู้เพิ่มเติมแก่นักศึกษาหลังจากที่ discuss แล้ว เพราะบางครั้งนักศึกษาอาจยังมีข้อสงสัย ไม่ clear จึงควรเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ซักถามหลังเสร็จกระบวนการกลุ่มเรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าทำ pbl แล้วไม่ clear ไม่เข้าใจ ก็เสียเวลาเปล่า

Posted by : คนที่ไม่มีความสุขกับการเรียน p , Date : 2005-10-14 , Time : 23:01:08 , From IP : 172.29.4.44

ความคิดเห็นที่ : 52


   อยากรู้จักอะ ใครคือ_อ้อ


Posted by : นักเดินทาง , E-mail : (Sawaddee@yaahoo.com) ,
Date : 2005-10-15 , Time : 12:10:29 , From IP : 172.29.4.67


ความคิดเห็นที่ : 53


   pbl ไม่ยากหากทำมาไม่ใช่ลอกโพยมา

Posted by : i will go pataya , Date : 2005-10-20 , Time : 15:49:10 , From IP : 172.29.4.87

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.021 seconds. <<<<<