ความคิดเห็นทั้งหมด : 7

"วิทยาลัยวันศุกร์"พร้อมต้อนรับ “เมืองไทยรายสัปดาห์” สัญจรสู่หาดใหญ่


   ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – 3 แกนนำวิทยาลัยวันศุกร์ประกาศพร้อมต้อนรับรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์" สัญจรสู่หาดใหญ่ วิพากษ์ “ทักษิณ” ฟ้อง “สนธิ” เรียก 500 ล้านเป็นการปรามสื่อและนำไปสู่การปิดปาก-ปิดหู-ปิดตาประชาชน

อ่านต่อ "วิทยาลัยวันศุกร์"พร้อมต้อนรับ “เมืองไทยรายสัปดาห์” สัญจรสู่หาดใหญ่



Posted by : superman , Date : 2005-10-06 , Time : 11:07:41 , From IP : 172.29.1.167

ความคิดเห็นที่ : 1


   ถ้ามีโอกาสต้องไปฟังครับ

Posted by : @^0^@ , Date : 2005-10-06 , Time : 14:03:10 , From IP : 172.29.1.236

ความคิดเห็นที่ : 2


   ขอพวกเราชาวหาดใหญ่ และสงขลา ไปร่วมกันให้กำลังใจ อ.สนธิ ลิ้มทองกุล

Posted by : แฟนเมืองไทยรายสัปดาห์ , E-mail : (sjongkol@medicine.psu.ac.th) ,
Date : 2005-10-06 , Time : 21:27:56 , From IP : 172.29.3.169


ความคิดเห็นที่ : 3


   มันมาหาเสียง ถึงนี่เชียวหรือ คงหาพรรคพวกยากน่ะ เพราะคนโง่ที่เชื่อมันไม่มี แน่จริงทำไมไม่ลงเล่นการเมืองล่ะ และไม่เล่นกับสื่อ เขาเรียกว่าเล่นในเกมส์แบบลูกผู้ชายน่ะ

Posted by : โกเฮง คนเกือบโง่ , Date : 2005-10-07 , Time : 11:16:27 , From IP : 203.188.14.171

ความคิดเห็นที่ : 4


   ที่คุณ สนธิ พูดมาหรือตั้งคำถาม ฟังแล้วคิดตามอย่างเป็นกลาง เป็นข้อมูลที่มีแนวโนมจริงและไม่เคยได้ยินคำชี้แจงจากทางผู้ที่ถูกกล่าวหาเลย ไม่เห็นด้วยกับโกเฮงนะ และไม่น่าใช้คำว่า มัน เรียกแทนคุณสนธิ ให้เกียรติกันบ้าง

Posted by : ss , Date : 2005-10-07 , Time : 11:37:19 , From IP : 172.29.3.191

ความคิดเห็นที่ : 5


   โกเฮง คนเกือบโง่() ยังเชื่อทักษิน ดิโง่

Posted by : ฟายจิง , Date : 2005-10-08 , Time : 10:44:12 , From IP : 172.29.3.157

ความคิดเห็นที่ : 6


   อิ อิ แบบว่า ลงเล่นกานเมือง แบบว่ากล้าโกงในเกมส์ โอ้ นายแน่มาก

Posted by : คนไม่แน่ , Date : 2005-10-08 , Time : 17:01:50 , From IP : 61.7.144.44

ความคิดเห็นที่ : 7


   คำแถลงการณ์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุลต่อกรณี ถูกนายกนฟ้อง

“การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฟ้องผม คุณสโรชา แล้วก็ยื่นฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม เพื่อเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ผมมีเรื่องเล็กน้อยที่จะแถลงไม่มากอะไร ผมไม่แปลกใจแต่ผมเสียใจ และในที่สุดก็ดีใจ ที่ผมไม่แปลกใจเพราะว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดในแผ่นดินนี้ ผมไม่แปลกใจตรงที่ว่าสังคมไทยในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นสังคมที่ไม่มีใครกล้าพูดความจริง สิ่งที่ผมได้ทำคือผมแค่พูดความจริงเท่านั้น ก็ตื่นตระหนกไปหมด ทั้งๆ ที่ความจริงที่ผมพูดเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่ในสิทธิที่กลุ่มผมควรจะใช้ ในสถานภาพที่ผมเป็นสื่อฯ ผมเสียใจที่ท่านนายกฯ ฟ้องเรื่องนี้ ผมห่วงท่าน เพราะการฟ้องของท่านสะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะของท่านที่ไม่สมบูรณ์ คนที่อาสารับใช้บ้านเมือง ถ้าไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ ผมคิดว่าสังคมไทยหรือสังคมไหนก็ตามจะมีปัญหา ผมเป็นเพียงทำตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ให้สิทธิผม ผมทำตามรัฐธรรมนูญที่บอกว่าทุกคนต้องมีหน้าที่ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อาจเป็นเพราะว่าช่วงหลังไม่มีใครกล้าพูดความจริง พอพูดความจริงก็ช็อกทุกวงการ

ผมคิดว่าข้อหนึ่งซึ่งท่านนายกฯ ผมเสียใจตรงที่ว่าถ้าท่านไม่ฟ้อง แล้วท่านแก้ข้อกล่าวหาที่ผมตั้งข้อสงสัยให้ท่าน ผมไม่ได้กล่าวหาว่าท่านเป็นคนทำผิด ผมตั้งข้อสงสัยทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งผมบอกว่าประชาชนจะสับสน แล้วประชาชนก็เริ่มสับสนอีก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ท่านก็ออกวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่าวันที่ 3 คือวันประสูติของสมเด็จพระสังฆราช ท่านก็ไม่ได้พูดในวิทยุกรมประชาสัมพันธ์แม้แต่นิดเดียวว่าจะเชิญชวนประชาชนชาวไทยเข้าไปอำนวยอวยพระพรให้กับสมเด็จพระสังฆราช ท่านไม่พูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ก็คือทำให้ประชาชนสงสัยอีกแล้ว ไม่เป็นไรครับเรื่องนั้นไปว่ากันที่ศาล ผมเพียงแต่หวังว่าท่านนายกฯ จะมีความกล้าหาญพอที่จะไปให้ปากคำในวันไต่สวนมูลฟ้อง คือผมเสียดายที่ท่านนายกฯ ทำเช่นนี้ ก็เลยทำให้ภาพที่คนสงสัยว่าท่านนายกฯ เป็นคนที่แตะต้องไม่ได้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้นี่เด่นชัดขึ้นมาทันที ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ผมเองก็เป็นคนไทย ก็อยากจะให้นายกรัฐมนตรีคนนี้ หรือคนไหนๆ มีสถานภาพที่ถูกต้อง มีวุฒิภาวะที่ผู้คนชมเชย แล้วเป็นศักดิ์เป็นศรีให้กับประชาชน นี่ไทยเพิ่งได้รับการเลือกจากสหประชาชาติ เข้าไปเพื่อเป็นคณะกรรมการพิจารณาการปฏิรูปสหประชาชาติ การที่ท่านมาฟ้องสื่อ โดยมีลักษณะปิดหูปิดตานี้ ผมคิดว่าท่านจะให้คำตอบอย่างไรกับสหประชาชาติ

ทีนี้อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะชี้แจงให้พวกเราทราบนิดหนึ่ง คือเรื่องที่ท่านบอกว่าเป็นสิทธิของส่วนบุคคล วันที่ท่านเข้ามาเหยียบทำเนียบรัฐบาล อาสาเข้ามารับใช้ประชาชนแล้ว สิทธิส่วนบุคคลที่เกี่ยวพันกับเรื่องส่วนรวมของประเทศนั้นเนี่ย ท่านไม่มีอีกต่อไปแล้ว ท่านไม่มี ผมไม่เคยกล่าวหาท่าน ในเรื่องส่วนตัวท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกเรื่องที่ผมพูดกับท่านนั้น เป็นเรื่องของส่วนรวม เป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง ผมไม่เคยพูดว่าท่านมีลับลมคมอะไรที่หลังบ้านท่าน หรือว่าท่านมีบ้านเล็กบ้านน้อย ผมไม่เคยสนใจ ผมสนใจอยู่อย่างเดียวคือการกระทำของท่านนั้นมีผลต่อส่วนรวมอย่างไรบ้าง ตรงนี้สิทธิส่วนบุคคลของท่านในลักษณะที่ท่านพยายามอธิบายนั้นไม่ถูกต้อง

ผมคิดว่าผมเคารพมากในสิทธิของส่วนบุคคล แต่ผมถือว่าประโยชน์ของส่วนรวมและสาธารณะนั้นเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญหมวด 3 มาตรา 34 ระบุว่า สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว ย่อมได้รับความคุ้มครอง การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความหรือภาพ ไม่ว่าด้วยวิธีใดไปยังสาธารณชน อันเป็นการละเมิด หรือกระทบถึงสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว จะกระทำมิได้ เว้นแต่กรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน อันนี้ชัดนะฮะ ชี้แจงนิดนะฮะ เป็นรัฐธรรมนูญมาตรา 34 หมวด 3 เพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็ถือหลักข้อที่ 4 หลักอีกข้อหนึ่งคือ ผมยืนยันว่า ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี และความเหมาะสมที่งดงามดีงามทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งมีค่าที่จะต้องหวงแหน เพราะสายใยเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชาติ สังคมดำรงอยู่ได้ การละเมิดหรือทำลายรากเหง้า ขนบความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ทั้งที่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กระทำมิได้ ผมถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งของผู้มีวิชาชีพสื่อมวลชนที่ต้องทักท้วง คัดค้าน หรือขัดขวางการดำเนินการดังกล่าว เมื่อผม ไม่เข้าใจนะฮะ แล้วผมก็เสียใจเพราะว่า ตอนที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 2 ท่านบอกว่า ท่านจะสนับสนุนสื่อมวลชนที่มีศักดิ์ศรี ที่ปรารถนาดีกับประเทศ และท่านบอกว่าสื่อที่สร้างสรรค์ ผมอยากกราบเรียนท่านนายกฯ ว่าคำว่า สร้างสรรค์นั้นเป็นความสร้างสรรค์ของใคร ตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเฉลยให้ชัดว่า สื่อที่ไม่สร้างสรรค์ ที่ไม่ควรสนับสนุนในความหมายของท่านคือสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์ท่าน ส่วนสื่อที่ปราถนาดีกับประเทศคือ สื่อที่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพูดทุกประการ นั่นคือสื่อสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นคำนิยามของคำว่าสร้างสรรค์ระหว่างผมกับท่านนายกฯ ไม่เหมือนกัน เพราะความสร้างสรรค์ของผมและคนในวงการสื่อฯ หมายถึงการเปิดกว้างให้วิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มที่ ทุกแง่ทุกมุม ทั้งบวกและลบ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง

ที่ผมน่าเสียใจประการต่อมา คือ ท่านนายกฯ ยังไม่เข้าใจภาระหน้าที่และความรับผิดชอบจากการที่เป็นบุคคลสาธารณะ ผมอยากถามกลับว่า สื่อฯ และประชาชนควรใช้สิทธิ์ฟ้องร้องท่านได้หรือเปล่า ที่ท่านชอบใช้วาจากราดเกรี้ยว ดูหมิ่น เหยียดหยามและคำพูดที่หยาบ ผิดวิสัยความเป็นบุคคลสาธารณะและผู้นำ มาดูกัน อย่าง 4 ม.ค.2547 บางคนมีอาวุธอยู่ต้องรู้ว่าเขาล่าหาอาวุธ ก็ยังประมาท มีทหารทั้งกองพันยังประมาท ก็ถือว่าสมควรตาย นั่นคือ 4 ม.ค.2547 ,18 มิ.ย.2547 ใครกลัวตายก็ไม่สมควรเป็นข้าราชการ 9 ส.ค. 2547 ถ้าซื้อไปควายยังไม่ซื้อแล้วคนจะซื้อไปทำไม 3 ต.ค. 2547 ผมจัดการแน่นอน ไม่เก็บไว้ทำพ่อหรอก ขอให้บอกเบาะแสมาใครขายยาผมจะหิ้วให้หมด จะส่งไปเยี่ยมยมบาลให้หมด 8 ธ.ค. 2547 คนเขียนข่าวมันโง่เกินกว่าคนที่เข้าใจระบบเศรษฐศาสตร์ 20 ธ.ค. 2547 พาดหัวชวนให้คนทะเลาะกัน ดี เท่ห์ดี คนโรคจิตทำอะไรให้คิดถึงส่วนรวมบ้าง 22 ธ.ค. 2547 ผมว่าควายก็ยังคิดไม่เป็นเลย 29 ก.ค. 2548 เดรัจฉาน ไม่ใช่คน อำมหิต ไอ้พวกนี้ไม่ใช่คนไทย

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ในตัวอย่างอีกมากมาย ถึงคำพูดที่กราดเกี้ยว หยาบคาย ไม่ให้เกียรติคน ไม่สมกับวุฒิภาวะของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผมถามว่าท่านจะรับผิดชอบต่อคำพูดเหล่านี้ได้ไหม ควรหรือไม่ควรที่ควรจะมีคนฟ้องท่านบ้าง นี่คือคำถามผมอยากจะถามใจท่าน

ครับ ผมนี่ไม่เข้าใจเหมือนกันตอนท้าย ผมไม่เข้าใจตรงไหน ผมไม่เข้าใจตรงที่ว่ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์เป็นรายการที่เอาเหตุการณ์มาเล่าให้ฟังแล้วตั้งคำถามถามท่านเฉยๆ มันยากนักหรือที่ท่านจะตอบคำถามเหล่านี้ มันยากแค่ไหน ไม่ได้กล่าวหาอะไรท่าน ถามท่านว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วท่านจะจัดการอย่างไรบ้าง

ส่วนเรื่องข้อความของเรื่องลูกแกะหลงทางนั้น เป็นเรื่องที่ตลกขบขันที่สุด ผมไม่เข้าใจว่าการพรรณนาคุณธรรมของพ่อในยุคนี้ เป็นความผิดไปแล้วหรืออย่างไร ผิดหรือที่ผมพูดถึงคุณงามความดีของพ่อ ต่อให้มีคนเปรียบเทียบพ่อว่า อาจจะหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมก็ไม่เห็นมีความผิดตรงไหน ผิดตรงไหน เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี่ พระองค์ท่านทรงตรัสกับพสกนิกรมาตลอด โทรทัศน์ สื่อสารมวลชนทั้งหลายล้วนเคยนำพระบรมราโชวาททำนองนี้มาแสดงนับครั้งไม่ถ้วน จะเสียหายอย่างไร เว้นแต่คนผู้นั้นเป็นคนจำพวกกินปูนร้อนท้อง ละเมิดหรือท้าทายคำสั่งสอนของพระองค์ จึงรู้สึกสะดุ้งสะเทือนและรู้สึกว่าเสียหายกับตนเอง แต่ถ้าหากว่าคนเรามีความจงรักภักดี ยินดีที่จะนำคำสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติเพื่อนำมาซึ่งความสุขความเจริญของตนเอง เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ก็ย่อมไม่เสียหายอะไรทั้งสิ้น ข้อเขียนนี้เป็นข้อเขียนของการยกอุทธาหรณ์ ว่ามีลูกแกะหลายๆ ตัวที่หลงผิด ซึ่งคำว่าหลายๆ ตัวนั้นบ่งบอกความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่เฉพาะเจาะจงถึงผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ได้กล่าวหาท่านนายกฯ แต่ถ้าท่านนายกฯ จะรับสมอ้างเอาเสียเองก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของท่านเอง ไม่ใช่เพราะการกระทำของผม

สุดท้ายนี้ผมดีใจที่.. ผมเสียใจ ผมไม่เข้าใจ แต่ผมก็ดีใจที่ท่านฟ้อง เพราะวันนี้เป็นบทพิสูจน์แล้วว่าคนที่สั่งปิดรายการแท้ที่จริงแล้ว สิ่งแวดล้อมชี้ไปว่าน่าจะเป็นท่านนายกฯ เพราะความที่ท่านไม่สามารถจะยอมรับได้กับการวิพากษ์วิจารณ์

ผมยืนยันอีกครั้งครับท่านสื่อมวลชน วงการสื่อของเราในรอบหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าพูดความจริง พูดแค่แหย่ๆ เท่านั้นเอง พอผมกล้าพูดความจริงขึ้นมาคนนึง ผมกลายเป็นคนที่ผิดปกติไป ทั้งๆ ที่สิ่งที่ผมพูดนั้นผมเอาธรรมมาพูด ผมพูดวันนี้ อีก 20 ปีข้างหน้า วันที่ผมลงหลุมตาย หรือว่าขึ้นสู่เมรุเผา ผมก็ยังจะพูดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนะครับ

สุดท้ายนี้ท่านนายกฯ เป็นคนไม่เคยกลัวใคร ท่านให้สัมภาษณ์ตลอดเวลา ผมไม่กลัว ผมอยากจะเรียนถามท่าน เดี๋ยวท่านก็หาว่าผมหมิ่นท่านอีก ทำไมการลงภาคใต้ของท่านถึงมีเรื่องราวมากมายนัก ทำไมไม่ลงสักที ทั้งๆ ที่พอนาวิกโยธินตาย ท่านก็ออกมาเกรี้ยวกราดและท่านก็ออกมาสัญญาตลอดเวลาท่านจะลง หรือว่าท่านต้องดูจังหวะ ดูดวง ดูเคล็ด แล้วผมขอท้าท่าน ถ้าท่านแน่จริงท่านพูดผูกขาดให้ประชาชนฟังทั่วประเทศในเช้าวันเสาร์ ท่านกล้าพอที่จะให้ผมพูดบ้างไหม อาทิตย์ละครั้ง อย่างน้อยที่สุดเป็นการเปิดโอกาสให้ผมตรวจสอบท่านได้บ้าง แทนประชาชนที่ถูกปิดหูปิดตา ถ้าท่านไม่กล้าให้ผมทำเช่นนั้น ท่านเองก็ไม่ต่างไปกว่าผมที่ถูก อสมทฯ กล่าวหาว่าพูดอยู่ข้างเดียว ใครมีคำถาม ถามได้

ผู้สื่อข่าว - คุณสนธิมั่นใจว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์

นายสนธิ - สิ่งแวดล้อมชี้ไปทางนั้น ผมไม่ได้พูดว่ามั่นใจ แต่สิ่งแวดล้อมชี้ไปทางนั้น เพราะท่านฟ้องผมในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ รายการสุดท้ายวันที่ 9 ก.ย.2548

ผู้สื่อข่าว - กรณีสิทธิของสื่อฯ และความรับผิดชอบตามกฎหมาย การอ่านบทความลูกแกะหลงทางที่นามผู้เขียนไม่ได้ถูกเปิดเผย คุณสนธิว่ายุติธรรมไหม

นายสนธิ - ยุติธรรมครับ เพราะประการแรกเป็นการพรรณนาความดีของพ่อ เป็นการพูดถึงการปกครองในบ้านหลังหนึ่ง ไม่มีอะไรเสียหายทั้งสิ้น ไม่ได้เอ่ยชื่อใครทั้งสิ้น เหมือนเล่านิทานอีสป หรือเล่าตำนานปาท่องโก๋ ซึ่งมีอยู่ในประวัติศาสตร์

มีคำถามอีกไหมฮะ คือผมประหลาดใจว่าทำไมท่านนายกฯ ถึงไม่ฟ้อง อสมท ด้วย ถึงแม้ว่าสิทธิ์จะให้ท่านฟ้องเฉพาะผม ท่านน่าที่จะตั้งกรรมการสอบสวนคณะกรรมการ อสมท ด้วยสิ ที่ปล่อยให้รายการนี้ถ้าทำให้ท่านเสียหาย แต่ท่านเลือกฟ้องเฉพาะผม ก็กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เข้าใจไปได้ว่า การปิดเมืองไทยรายสัปดาห์นั้นได้มีการวางแผนกันไว้เรียบร้อยแล้ว มีคนอื่นจะถามบ้างไหมฮะ

ผู้สื่อข่าว - คุณสนธิต้องระวังตัวด้วยหรือไม่
นายสนธิ - ก็เวลาคนเราเจอกับคนซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ต้องระมัดระวังตัวเป็นของธรรมดา ก็ผมกำลังเดินชนกำแพงเหล็ก ก็เท่านั้นเอง จบ ตีความหมายเอากันเองก็แล้วกัน นะครับ มีคำถามอีกไหมฮะ

ผู้สื่อข่าว - ในแง่ธุรกิจคุณสนธิกังวลผลกระทบอย่างอื่นไหม

นายสนธิ - ก็เป็นเรื่องที่แปลก เพราะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการมีโฆษณาเพิ่มเอา เพิ่มเอา แต่แน่นอนที่สุด โฆษณาของรัฐวิสาหกิจเขาไม่ลงแน่นอน แต่ผมเห็นมีโฆษณา ปตท.หลุดเข้ามาอันหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาขออนุญาตหรือยัง หรือว่าอาทิตย์หน้าอาจจะไม่มีก็ได้เพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่เห็นแล้วบอก ใครให้ลง ใครให้คุณเอาไปลง

ผู้สื่อข่าว - ในการต่อสู้ของคุณสนธิครั้งนี้มีหลักยึดอะไร

นายสนธิ - ผมไม่ได้มีหลัก ผมใช้ความจริงเข้าว่าครับ ผมใช้ธรรมนำหน้า ใช้สิ่งซึ่งควรจะพูดแล้วก็คนกลัวไม่กล้าพูด การพูดความจริงครั้งนี้คนบอกว่าพูดแรง พูดดุเดือด จริงๆ แล้วไม่ได้แรง ไม่ได้ดุเดือด เพียงแต่ว่าเราไม่ได้สัมผัสความจริงมาเกือบ 5 ปีแล้ว พอเราเจอสิ่งนี้ขึ้นมาเราก็เลยเกิดความไม่เคยชินทันที

ผู้สื่อข่าว - คุณสนธิคิดอย่างไรกับม็อบนักศึกษาที่ออกมาต่อต้านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร

นายสนธิ - ช่อง 9 รายงานว่าเป็นม็อบนักศึกษาธรรมศาสตร์ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจนะครับ ก็ฝากถึงช่อง 9 นิดหนึ่ง ม็อบนี้มาพร้อมช่อง 9 ช่องเดียว ช่องอื่นไม่มีใครรู้เรื่องเลย เหมือนกับเตรียมการเอาไว้ ฝากความคิดถึงถึงคุณมิ่งขวัญด้วยนะครับว่า จากนี้ไปอย่าไปเที่ยวอ้างว่าตัวเองเป็นสื่อสารมวลชน ม็อบพวกนั้นไม่มีอะไร เป็นพวกรับจ้างที่อยู่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วไม่ได้เป็นนักศึกษาด้วย มีหน้าที่รับจ้างประท้วง ผมไม่รู้สึกตื้นเต้นอะไรครับ คือต้องเข้าใจอย่างว่าเมื่อกล้าพอที่จะชูธงโต้กระแสทวน ก็ต้องยืนหยัด เป็นอะไรก็ต้องยอม เพราะว่ามันถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยมันต้องมีคนที่กล้าพูดความจริงมั่ง หลบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะหลังประตูแล้วก็คอยแหย่ทีละนิดทีละหน่อยแล้วก็รอเหตุการณ์ให้มีการเปลี่ยนแปลง รอให้ฟ้าสีทองผ่องอำไพ แล้วคนที่หลบซ่อนทั้งหลายก็ออกมารีบวิ่งแข่งกลับเข้าไปสู่จุดยืนเดิมที่ตัวเองเคยยืนอยู่ นี่เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทุกครั้ง เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ผมทำนี่ไม่ใช่ทำเพื่อตัวผม ผมทำเพราะผมเบื่อที่เวลาผมก้มหน้าแล้วผมอายดิน เงยหน้าแล้วผมอายฟ้า ผมอยากจะเดินแล้วมองหน้าทุกคนในสังคมไทยได้อย่างใสบริสุทธิ์ แล้วไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ

ผู้สื่อข่าว- คุณสนธิคาดหวังจากเหตุการณ์ครั้งนี้

นายสนธิ- การฟ้องครั้งนี้เหรอ ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เขาก็ใช้สิทธิ์ของเขา ผมก็สู้ต่อไป ผมก็เพียงแต่หวังเชื่อในศาสยุติธรรมซึ่งเป็นแหล่งสุดท้ายในสังคมไทยที่ผมจะพึ่งได้ แหล่งอื่นพึ่งไม่ได้เลย ไม่ว่าจะอำนาจบริหาร องค์กรอิสระ

ผู้สื่อข่าว - ตั้งแต่ออกเปิดเผย ออกเปิดโปง นายกฯ

นายสนธิ - ผมไม่ได้เปิดโปงครับ ตั้งแต่กล้าพูดในสิ่งซึ่งคนไม่กล้าพูด

ผู้สื่อข่าว - มีถูกอำนาจรัฐเข้ามาคุกคามอะไรบ้างไหมคะ

นายสนธิ - ก็คราวที่แล้วผมก็เล่าให้ฟังแล้ว ท่านนายกฯ ท่านไม่เคยรู้เรื่อง ท่านกลับมาท่านก็บอกว่าท่านไม่รู้เรื่อง บอร์ด อสมทฯ เป็นคนปิด ท่านไม่เกี่ยว วันนี้ขนาดเขาฟ้องเขาถามท่านท่านไม่รู้ ทนายให้ฟ้อง ในชีวิตอะไรที่จะเข้าตัวท่านท่านไม่เคยรู้หรอก แต่อะไรที่จะทำคะแนนให้ท่านได้เนี่ยท่านรู้หมดทุกเรื่อง มันหมดยุคของการเมืองลักษณะการตลาดและการสร้างภาพได้แล้ว ผมอยากให้ประชาชนคนไทยตื่นขึ้นมาสักที แล้วมองย้อนหลังกลับไปว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นในอดีตเป็นอย่างไรบ้าง อำนาจรัฐอำนาจเถื่อนนี้มีตลอดเวลาครับ

ผู้สื่อข่าว - ตอนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกมาครั้งแรกเนี่ย หลายๆ ฝ่ายสังเกตว่า คุณสนธิกับท่านนายกฯ เนี่ยมีคล้ายๆ กับมิตรภาพกัน แต่

นายสนธิ - คุณไม่ต้องถามผม ผมตอบให้ได้เลย ผมเป็นคนที่ทำงานสื่อมวลชนมานานแล้ว ผมทำวันนี้ 29 ปีแล้ว ผมทำมาตั้งแต่หลายคนในห้องนี้ยังไม่เกิด บางคนยังเด็ก ทุกๆ ครั้งที่ผมทำงานผมให้โอกาสผู้บริหารตลอดเวลา ท่านนายกฯ ก่อนลงเลือกตั้งปี 2544 10 วัน ก่อนลงคะแนนเสียง ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับผมที่บ้าน และบอกว่าขอร้องให้ผมช่วยเหลือหน่อย อยากเข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง เพราะรวยแล้วไม่โกง ผมก็บอกว่าถ้าเป็นตัวเลือกขณะนั้น ระหว่างท่านนายกฯ กับอดีตนายกฯ ชวน ผมคิดว่านายกฯ มีภาษีเหนือกว่า ผมก็บอกถ้าท่านทำไปตรงไปตรงมาผมก็ยินดีสนับสนุน ปีแรกเป็นปีซุกหุ้น ท่านต้องสู้เรื่องนี้ เห็นใจ เลยช่วยท่าน ไม่ใช่ผมคนเดียว หลวงตามหาบัวก็ล่าลายเซ็นมาตั้งล้านกว่าลายเซ็น เพื่อมาช่วย ปีที่สองเมื่อพ้นซุกหุ้น เป็นปีการควบรวมเรื่องแต่งตั้งคน การควบรวมพรรคต่างๆ ก็ยังให้เกียรติท่าน บอกว่าท่านต้องการบริหารงานโดยมีประสิทธิภาพ ปีที่สามลายต่างๆ ถึงเริ่มออก ส.ค.2547 ผมก็เลยฝืนมโนธรรมผมไม่ได้ ผมเลยจำเป็นต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา

อีกประเด็นที่อยากเรียนซึ่งสำคัญมาก ทำไมท่านนายกฯ ถึงกลัวที่จะให้คนอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวท่าน หรือท่านมีวาระซ่อนเงื่อนอะไร หรือว่าท่านมีวาระซ่อนเร้นอะไร หรือว่าข้างหลังท่านยังมีธุรกิจอีกเยอะที่ได้กำไรจากนโยบายของรัฐบาล หรือว่านะ ผมไม่ได้กล่าวหาท่านนะ เขียนให้ดีๆ ผมมองไม่เห็นเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีจะต้องกลัวการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เลยตั้งสูตรทางการเมืองว่าจะต้องมี 300 เสียง นั่นคือที่มาของการผูกขาดทางความคิด แล้วมีอิทธิพลต่อองค์กรอิสระทั้งหลาย ผมว่าท่านไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงหรอก ท่านเชื่อช่องทางของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เปิดโอกาสให้ท่านเข้ามาผูกขาดทางการเมืองเท่านั้นเอง มีอะไรไหมครับ จะถามเรื่องคดีเดี๋ยวจะกลายเป็นปรัชญาทางการเมืองไปซะมันไม่ดี

ผู้สื่อข่าว - คุณสนธิรู้สึกอุ่นใจไหมคะกับการที่ประชาชนชาวไทยให้กำลังใจคุณสนธิล้นหลามในครั้งนี้

นายสนธิ - ผมขอบคุณนะครับ ผมอุ่นใจ ผมดีใจ แต่ว่าผมไม่ได้หลงตัวเอง เพราะว่าผมก็ยังเป็นคนธรรมดาสามัญคนเดียวเท่านั้นเองที่พยายามทำสิ่งซึ่งสื่อมวลชนหลายๆ สาขา ผมไม่ได้ตำหนิสื่อมวลชนนะครับ เพราะว่าสื่อมวลชนที่ทำข่าวและเป็นมืออาชีพนั้น จะถูกกรอบของความเป็นเจ้าของบีบบังคับเอาไว้ นะครับ ผมเป็นเพียงแต่อยากจะให้พวกเขาจำเอาไว้ว่า อย่างน้อยที่สุดลึกๆ เขาแอบภูมิใจว่าในวงการก็ยังมีผมอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเขาคิดว่าอย่างน้อยจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด มีอีกไหมครับคำถาม คำถามอะไร

ผู้สื่อข่าว - เรื่องการฟ้อง คือสภาการหนังสือพิมพ์นี่มีความเป็นห่วงว่า รัฐบาลชุดนี้ฟ้องกับสื่อมวลชนค่อนข้างสูง รวมทั้งของไทยเดย์ 500 ล้าน คุณสนธิจะคิดอย่างไร

นายสนธิ - ก็ประหลาด เพราะว่าผมเข้าใจว่าเขาคงเอาคดีแพ่งในวงเงินเยอะๆ นี่มาบีบ เพื่อไม่ให้หนังสือพิมพ์กล้าพูด แต่ไม่เป็นไรครับผมเคยล้มละลายมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมล้มละลายอีกครั้งก็ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยก็มีประสบการณ์ในการล้มละลายมาแล้ว

ผู้สื่อข่าว - แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ทำประชาพิจารณ์ได้ไหมค่ะ
นายสนธิ - ผมไม่ทราบครับเรื่องนี้ ผมทราบแต่อย่างเดียวครับว่า ผมเสียดายแทนท่านนายกฯ เพราะว่าท่านได้ทำลายวุฒิภาวะตัวท่านลงไปโดยที่ตัวท่านเองไม่รู้ตัว ผมเสียดายแทนท่านจริงๆ ผมอยากให้ท่านเนี่ย .. คือคนเราถ้าอาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองนี่ต้องกล้าพอที่จะให้เขาวิพากษ์วิจารณ์ได้ ท่านวันนี้เป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนชาวไทย 65 ล้านคน ท่านไม่ใช่ประธานชินคอร์ป ท่านต้องรับผิดชอบต่อประชาชนทั้งมวลนะครับ ตกลงท่านไม่มีคำถาม เอาแค่นี้แล้วกัน ดีไหมครับ ก็ขอบพระคุณมากนะครับ หวังว่าคงไม่ต้องเจอกันอีกนะ รู้สึกหมู่นี้เจอกันถี่เหลือเกิน ขอบพระคุณมากครับ”



ประมวลข่าว"ทักษิณ" เปิดศึก-ฟ้อง"สนธิ"500ล้าน!!



Posted by : น่าสนใจดี , Date : 2005-10-09 , Time : 10:42:54 , From IP : 172.29.7.22

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<