วิถีแห่งเสื้อกาวน์และหมวกขาว มือหนึ่งยื้อชีวิตอีกมือปาดน้ำตา
เสียงกัมปนาทแห่งระเบิด เสียงรัวกระสุนปืนที่แผดก้อง เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด และเสียงไซเรนของรถตำรวจที่พาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้วงเวลาเกือบ 2 ปีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัญหาความไม่สงบที่ยืดเยื้อและเรื้อรังในดินแดนแห่งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะชาวบ้านตาดำๆ ครู หรือเหล่าทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเท่านั้น ทว่าเจ้าของมือที่สาละวนยื้อชีวิตของเหยื่อความรุนแรงวันแล้ววันเล่า คนแล้วคนเล่า ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน
ชีวิตของแพทย์และพยาบาลซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางไฟใต้ที่โหมกระหน่ำ เป็นมิติของปัญหาที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงมากนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นต้องตกอยู่ในสภาพกดดัน ตึงเครียด และหวาดผวากับสถานการณ์ร้ายแรงไม่น้อยไปกว่าผู้คนกลุ่มอื่นๆ
ที่โรงพยาบาลรามัน อ.รามัน จ.ยะลา หนึ่งในสถานพยาบาลระดับอำเภอที่ได้รับความเชื่อถือว่าดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บุคลากรทางการแพทย์นับร้อยคนต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตปกติของตัวเอง เพื่อรับมือกับหมอกควันแห่งความรุนแรง
เราต้องปรับตัวกันไม่น้อย เริ่มตั้งแต่เรื่องการเดินทาง และการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในโรงพยาบาล น.พ.รอซาลี ปัตยะบุตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามัน เอ่ย และว่า
หลังเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 และสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมได้สั่งให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนงดใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ก็ตาม แต่ให้ใช้รถรับส่งของโรงพยาบาลแทน
สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในโรงพยาบาลนั้น น.พ.รอซาลี บอกว่า ได้จัดซื้อกล้องวีดีโอวงจรปิด 14 ตัว ติดตั้งบริเวณจุดล่อแหลมทุกจุด ตั้งแต่ประตูหน้าโรงพยาบาลเลยทีเดียว
เราจำเป็นต้องทำ เพราะโรงพยาบาลรามันมีคนไข้มาก เราไม่ได้รับคนไข้เฉพาะใน อ.รามัน แต่รับจากอำเภอใกล้เคียงทั้งจาก จ.นราธิวาส และปัตตานีด้วย ขณะที่ความรุนแรงก็เกิดใกล้โรงพยาบาลเข้ามาเรื่อยๆ จึงต้องดูแลให้ดีที่สุด น.พ.รอซาลี กล่าว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าโรงพยาบาลจะมีมาตรการเข้มเพื่อรักษาความปลอดภัย แต่แล้วเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เหตุร้ายก็มาเยือนถึงหน้าประตู เมื่อยามรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลถูกยิง และเสียชีวิตคามือหมอของโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่นั่นเอง
ถ้าจะพูดกันตรงๆ มันก็กลัวนะ เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร น.พ.มนตรี มหัศนียานนท์ แพทย์ซึ่งนั่งตรวจคนไข้ในโรงพยาบาลแห่งนี้มานานถึง 7 ปี เผยความรู้สึก
สถานการณ์ขณะนี้ทุกคนเสี่ยงเท่ากันหมด ไม่มีหมออิสลาม หรือหมอไทยพุทธ เพราะกลุ่มก่อการร้ายเล่นงานทุกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือทำงานอยู่ในหน่วยงานของรัฐ น.พ.มนตรี กล่าว
เขาเล่าว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเป็นต้นมา ก็ต้องระวังตัวมากขึ้น เพื่อนๆ หลายคนต้องพักอยู่ในโรงพยาบาล เพราะไม่กล้าเดินทางกลับบ้าน
ผมเองก็เช่าบ้านอยู่หน้าโรงพยาบาล พอตกค่ำก็ไม่กล้าเปิดประตูแล้ว เช้าตอนมาทำงานก็ต้องเหลียวซ้ายแลขวาให้ดี ก็เครียดเหมือนกัน เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะความรุนแรงก็ยังไม่ส่อเค้าว่าจะคลี่คลาย แต่ก็มาเกิดข่าวลือเรื่องหยุดวันศุกร์ขึ้นมาอีก คราวนี้ทำเอาร้านอาหารภายในโรงพยาบาลถึงขั้นไม่กล้าเปิดขาย
วันศุกร์นี่ไม่มีอะไรกินเลย ออกไปข้างนอกโรงพยาบาล ร้านค้าก็ปิดเกือบหมด ล่าสุดท่าน ผอ.ต้องใช้มาตรการให้บุคลากรซื้อคูปอง แล้วให้โรงครัวของโรงพยาบาลทำอาหารให้แทน น.พ.มนตรี ระบุ
ด้านความรู้สึกของพยาบาล น.ส.นงเยาว์ พรหมจันทร์ หัวหน้าแผนกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามัน เล่าว่า เหตุการณ์ความไม่สงบส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างมาก เพราะไม่มีความมั่นใจเลยว่า เดินทางออกจากบ้านในวันนี้แล้วจะได้ไปถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า
ฝ่ายโน้นเขาทำร้ายได้ทุกคน นงเยาว์ เอ่ยพลางถอนใจ ดิฉันเข้าเวรที่ห้องฉุกเฉินทุกวัน เห็นคนถูกทำร้ายเข้ามาแล้วก็รู้สึกว่า ทำไมต้องทำคนดีๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย และครอบครัวของพวกเขาจะอยู่อย่างไร
เธอบอกว่า ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ที่พักอยู่นอกโรงพยาบาล ต้องเปลี่ยนเวลามาทำงานจนแทบจำเวลาเดิมไม่ได้
อย่างคนที่เข้าเวรดึก ต้องมาถึงโรงพยาบาลก่อน 6 โมงเย็น ทั้งๆ ที่เข้าเวรจริงๆ เวลาเที่ยงคืนครึ่ง ส่วนคนที่ออกเวรตอนเที่ยงคืน ก็ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล เพราะกลับบ้านไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ภาพของความร่วมแรงร่วมใจจึงเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเหยื่อของความรุนแรงถูกส่งเข้ามาถึงห้องฉุกเฉิน โดยแพทย์และพยาบาลทุกคนที่พักอยู่ในโรงพยาบาล จะรีบวิ่งออกมาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ เพื่อยื้อชีวิตผู้บาดเจ็บไม่ให้ถูกพรากไปจากครอบครัว ญาติมิตร และคนที่เขารัก
จนถึงวันนี้มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงถูกส่งเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลถึง 71 คนแล้ว และบางรายก็เสียชีวิต เธอเสียงเศร้าเมื่อพูดถึงสถิติที่ทางโรงพยาบาลบันทึกไว้อย่างไม่เป็นทางการ
ที่ร้ายไปกว่านั้น คนเจ็บหลายคนก็เป็นคนที่เรารู้จัก อย่างยามของโรงพยาบาลที่ถูกยิง ตอนนั้นสะเทือนใจมาก เรียกว่าช่วยชีวิตเขาไปพลาง ก็ร้องไห้ไปพลาง เพราะมันกลั้นไม่ไหวจริงๆ
นอกจากนั้นก็มีตำรวจที่เคยมาดูแลความปลอดภัยที่นี่ เคยเห็นหน้ากัน พออีกวันก็ถูกยิงอาการสาหัสเข้ามาแล้ว เราก็รู้สึกว่าทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้...
นงเยาว์ ยอมรับว่า กับสภาพที่ต้องเผชิญทำให้เธอและเพื่อนๆ เคยคิดย้ายหนีออกจากพื้นที่นี้เหมือนกัน
แต่ที่นี่คือบ้านของเรา เราก็ต้องอยู่ต่อไป เธออธิบายถึงสาเหตุที่ไม่ทำตามที่คิด และว่า ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ ทุกคนก็จะถามว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นญาติพี่น้องของเราล่ะ เราจะทนได้ไหม เราอยากให้เหตุการณ์แบบนี้จบลงเร็วที่สุด
ทั้งหมดนี้ภาพชีวิตของแพทย์และพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อมนุษยธรรมท่ามกลางเสียงระเบิดและควันปืน!
Posted by : superman , Date : 2005-09-21 , Time : 10:39:23 , From IP : 172.29.1.167
|