ความคิดเห็นทั้งหมด : 19

เป็นหมอเพื่ออะไร..


   เป็นหมอเพื่ออะไร...อยากฟังความคิดในใจของท่าน
มันยังคงเดิมเหมือนวัน...ที่ท่านสอบสัมภาษณ์หรือไม่
เป็นหมอเพื่อตัวเอง...หรือเป็นเพื่อคนไข้
เพื่อพ่อแม่ พี่น้องมากมาย เพื่อครอบครัวเพื่อใครกัน
เป็นหมอเพื่อลือชื่อ...หรือหมอคือทางผ่านฝัน
เป็นหมอเพราะตัวฉัน...หรือบีบคั้นจากสังคม
เป็นหมอเพราะมีงาน...หรือต้องการบุญกุศล
เป็นหมอเพราะอยากเป็นคน...หรือสร้างตนเพราะเด่นดัง
ผมเองใกล้เป็นหมอ...อยากจะขอคำตอบจากท่านๆ
เพื่อน พี่ น้อง อาจารย์...จงเล่าขานในความจริง

ขอฟังความคิดเห็นของทุกคนอย่างเปิดใจครับ
เพราะผมรู้สึกตัวเองว่าไม่ชอบทางสายนี้สักเท่าไร
แม้ผมจะทำมันได้ดีก็ตาม
เพราะรู้สึกว่ายังไม่ชอบกับงานลักษณะนี้ ทำไปเพราะหน้าที่เท่านั้น
อยากรู้จริงๆมีคนคิดแบบผมเยอะหรือเปล่า

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น


Posted by : คนขวางโลก , Date : 2005-09-15 , Time : 21:10:29 , From IP : 172.29.4.221

ความคิดเห็นที่ : 1


   คุณคิดยังไงบ้าง ลองเล่าให้ฟังเพิ่มใอกสักนิดซิครับ เช่น ที่ว่า "ทำมันได้ดี" เป็นเช่นไร "ไม่ชอบงานลักษณะนี้" หมายถึงในแง่มุมไหน และอะไรคือความหมายของ "ทำเพราะหน้าที่" ที่ฟังดูไม่ค้อยดีมาก (แต่ในทางปรัชญา "ความดี" ของนักคิดอย่าง Immanuel Kant นั้น ทำเพราะหน้าที่เป็นวิถีสูงสุดอย่างหนึ่งของความดีทีเดียว)



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-15 , Time : 21:25:30 , From IP : 58.147.33.209

ความคิดเห็นที่ : 2


   เป็นหมอเพื่ออะไร เป็นคำถามที่ถามขึ้นมาในใจตัวบ่อยครั้ง เหมือนกัน
มักจะเป็นเวลาเราท้อแท้ เรียนไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือไม่เข้าใจ เรียนทำไม สอบเข้าหมอทำไม ลำบากขนาดนี้ (เช่นช่วงนี้เป็นต้น).................... แล้วสุดท้ายก็ปลอบตัวเอง แล้วทำใจอ่านหนังสือต่อ
ถึงแม้ว่าคำตอบจะไม่มาตอนนั้น แต่บางครั้ง ลองกลับมานึกดีดี ขณะที่ดูคนไข้บน ward เจอคนไข้ จริงๆ เวลาคุณแม่ไม่สบาย หรือญาติป่วย คำตอบมันก็จะกลับมาเองว่าเรียนหมอเพื่ออะไร

บางครั้งสิ่งที่ตัวเองชอบ กับเป้าหมายในชีวิตมันก็สวนทางกันค่ะ
ตัวหนูเองเป็นคนรักสบาย ไม่ชอบอ่านหนังสือ ชอบการอ่านการ์ตูน เล่นเกม เป็นชีวิตจิตใจ และขี้เกียจเป็นที่สุด แต่จะพยายามต่อไปค่ะ ไหนๆก็เจอเหตุผลให้กับตัวเองในการเรียนหมอแล้วเนอะ พ่อแม่ก็ดีใจที่บ้านก็ดีใจ ถ้าดูคนไข้ดีดี คนไข้ก็ Happy เราก็มีความสุขเนอะ

เพื่อนๆคิดเหมือนกันไหมคะ


Posted by : กระป๋องน้อย MODE : พยายามเพิ่ม , Date : 2005-09-16 , Time : 00:32:35 , From IP : 172.29.4.232

ความคิดเห็นที่ : 3


   ที่ว่าไปได้ดีนั้นคือผมก็เรียนได้ในระดับดีไม่เคยตกไม่เคยซ่อม
ปฏิบัติงานก็พอใช้ไม่เคยขี้เกียจ
สำหรับคำว่าหน้าที่ของผมก็เหมือนกับที่พ่อแม่ให้ผมตั้งใจเรียนหนังสือ
สังคมทำให้ผมมีค่านิยมบังคับให้เลือกเรียนหมอ เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ก็สายไปแล้ว
ความหวังของครอบครัวที่ทำให้ผมต้องเรียนให้จบ
ความรู้สึกขัดแย้งในใจว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็นจริงๆ
แต่ผมก็ต้องพยายามทำมันให้ดีที่สุดเพื่อครอบครัว
หรือด้วยความละอายต่ออาจารย์บางท่านซึ่งผมรู้สึกว่าความคิดท่านช่างบริสุทธิ์
ท่านคิดถึงผู้ป่วยก่อนตนเองเสมอ
แต่ผมมักจะคิดแต่เรื่องตัวเองก่อนเสมอ ผมละอายและรู้สึกไม่ดีว่าอันที่จริงแล้ว
หมอที่เป็นแบบอาจารย์ทั้งประเทศแทบจะนับคนได้
ผมไม่สบายใจที่เห็นผู้คนเข้ามาในสายอาชีพนี้แต่ไม่ได้มีความคิดเช่นอาจารย์
รวมทั้งตัวผมเองด้วยแทบไม่มีความคิดแบบนั้นเลย
ผมชอบทางสายอื่นมากกว่า
และคิดว่าถ้าจบไปถ้าผมเลือกได้
ผมจะพยายามหาสิ่งที่ผมอยากทำและก้าวออกไปจากทางสายนี้
โดยที่ครอบครัวผมไม่เดือดร้อนและยินดีในทางที่ผมเลือก


Posted by : คนขวางโลก , Date : 2005-09-16 , Time : 00:44:43 , From IP : 172.29.4.221

ความคิดเห็นที่ : 4


   ตอบว่า เพราะเงิน และฐานะทางสังคม ก็บอกมาเหอะ อย่ามาทำดัดจริตกันเลย

Posted by : x , Date : 2005-09-16 , Time : 06:59:29 , From IP : 61.7.135.10

ความคิดเห็นที่ : 5


   คุณx อย่าเอาความคิดเห็นของคุณมาตัดสินคนอื่นครับ
หมอที่ดีๆก็มีอยู่เยอะครับ
ถ้าถามว่าทำเพื่อเงินรึเปล่าทุกคนต้องทำมาหากินเพื่อเลี้ยงครอบครัวทั้งนั้นครับ
[หรือว่าคุณทำงานโดยไม่ต้องการค่าตอบแทน]
แต่งานของหมอต้องทำด้วยใจรักครับ เงินไม่ใช่คำตอบของทั้งหมด
อยากให้คุณตอบกระทู้ในแนวทางสร้างสรรค์ด้วยนะครับ เห็นตอบมาแนวนี้หลายกระทูแล้ว


Posted by : เบื่อ , Date : 2005-09-16 , Time : 08:31:23 , From IP : 172.29.3.247

ความคิดเห็นที่ : 6


   เมื่อไม่นานมานี้ ทางคณะฯได้เชิญ อ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส และ อ.อเนก ยมจินดา มาบรรยายเรื่อง "การตัดสินใจทางจริยศาสตร์" (Decision Making in Medical Ethics) มีประเด็นน่าสนใจและคิดว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนิดอยู่บ้าง อ.แสวงกล่าวว่า "จริยศาสตร์" หรือ "จริยธรรม" นี้นั้นเป็นความจำเพาะของวิวัฒนาการความเป็น "มนุษย์" นั่นคือ พวกเรานี่เป็น "คนกำหนด" ว่าอะไรควร มิควร อะไรดี ไม่ดี ไม่ได้ใช้แต่สัณชาติญานเท่านั้น แต่โดยเนื้อหาแห่งความเอื้อฟื้อเผิ่อแผ่ และ "มารยาท" ในการ อยู่ร่วมกันแบบสังคม อีกด้วย

อาจารย์ยกตัวอย่าง ได้แก่ มีไม่กี่ species ในโลกนี้ที่เมื่อมีอาหารวางอยู่ตรงข้างหน้า แล้วลูกจะยอมยกให้พ่อแม่ที่แก่ชรากว่ากินก่อน มีไม่กี่ species ที่เราสามารถ "ไว้ใจ" เช่น ขอฝากอาหาร ฝากของมีค่า ฯลฯ แล้วเกิดความไว้วางใจว่าของเราจะไม่ถูกขโมยกินหรือเอาไปใช้ ซึ่งเรื่องพวกนี้สัตว์ไม่เข้าใจ เมื่อมีอาหาร มันหิวมันก็กิน ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม อาจารย์ตั้งข้อสังเกตว่า ตอนอาจารย์บรรยายไปหลายๆชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่เอาน้ำมาตั้ง แกยกขึ้นจิบ เห็นคนฟังก็มองตาม กลืนน้ำลายเลียริมฝีปากไปตามๆกัน แต่แกยังไม่เคยเห็นมีใครที่ไหนลุกขึ้นมากินน้ำของแกไปกิน ทั้งๆที่แกก็รู้ว่าหลายๆคนก็ "อยาก" ทำอย่างนั้น

ผมคิดว่าที่คุณขวางโลกวิเคราะห์ตนเอง และเข้าใจตนเองอย่างดี รวมทั้งเล่าให้เราฟังว่าเนื่องเพราะความรับผิดชอบ เนื่องเพราะพ่อแม่ คุณคนขวางโลกก็ได้ทำอย่างที่ทำอยู่นั้น เป็นตัวอย่างของ มนุษย์ อย่างที่ อ.แสวงเล่าให้ฟังมานี่แหละครับ เมื่อเรามี conflict ระหว่าง self-interest แต่เราใช้กฏสังคม ความรับผิดชอบต่อคนรอบข้าง มาปรับความต้องการของตนเองนั้น มีแต่คนที่คิดเผื่อคนอื่นเขาทำกัน ผมเห็นด้วยว่าไม่น่าจะมีเยอะเท่าไหร่ที่ "ทำเพราะเป็นคนดีโดยเนื้อ ทำแบบ selfless อย่างแท้จริง" นั่นคงจะมีบ้าง แต่ว่ามีคนที่ทำเพราะ "ควรทำ เป็นหน้าที่ เพราะเพื่อคนอื่นๆ" อยู่มากพอสมควร ส่วนนี้ต่างหากที่เป็นส่วนที่ประคับประคองสังคมไปให้ตบอดรอดฝั่งได้ถ้ามีเยอะพอ

แน่นอนที่สุดที่ทุกๆคนยังมีความต้องการพื้นฐาน ยังมี self ที่ต้องดูแล มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ และมีเป้าหมายในชีวิตของตนเองอยู่ แต่ความสามารถในการปรับโดยที่มีส่วนหนึ่งที่เราคิดถึงคนอื่น ส่วนนี้เองที่ทำให้ "ระดับของจิตใจ" มีได้หลากหลายครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-16 , Time : 09:54:09 , From IP : 172.29.3.245

ความคิดเห็นที่ : 7


   อยากรู้เหมือนกันครับว่าคุณ X เรียนหรือทำอาชีพอะไร อยากถามครับว่าคุณทำมันเพื่ออะไรเหรอครับ ไม่รู้ว่ามีเงินมาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า

Posted by : Cruz , Date : 2005-09-16 , Time : 21:09:02 , From IP : 172.29.4.176

ความคิดเห็นที่ : 8


   แล้วคุณ Phoenix ตอนนี้คิดว่าค้นพบหรือยังครับ
ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ใช่ตัวตนที่แท้จริงที่อยากเป็นหรือเปล่า
ส่วนผมเองเฝ้ารอวันที่จะได้รีบจบๆและค้นหาสิ่งที่ผมอยากเป็นเสียที


Posted by : คนขวางโลก , Date : 2005-09-16 , Time : 22:37:35 , From IP : 172.29.4.221

ความคิดเห็นที่ : 9


   ที่ค้นพบ (ในขณะนี้) ก็คือสิ่งที่เคยคิดเมื่อตอนอายุ 20 มันไม่เหมือนกับที่เราเป็นตอนอายุ 25 หรือตอนอายุ 30 หรือ 40 ปีครับ

บางที "ตัวตนที่แท้จริง" นั้น มันอาจจะไม่มีก็ได้รึเปล่า? หรือว่ามันคือขอบเขตแห่งจินตนาการว่าเราสามารถที่จะผลักดัน better self ไปได้ถึงจุดไหน ณ เวลาใด พระพุทธเจ้าสอนว่าจงยังชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท Elton John เล่าให้คนฟังเพลงว่าชีวิตเหมือนเปลวเทียนกลางกระแสลม หยาดฝน เราได้กระทำสิ่งที่มี "ความหมาย" ของเราไปแล้วหรือยัง (เพื่อที่จะพบว่ายังมี "สิ่งอื่นๆ" หลงเหลืออยู่ทุกครั้งที่เสร็จภาระกิจที่อยากจะทำแต่ละชิ้น)



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-17 , Time : 01:23:09 , From IP : 203.156.150.18

ความคิดเห็นที่ : 10


   จริงอยู่ครับ ว่าทุกคนต้องทำงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ขอถามว่าแล้วที่มีข่าวว่า หมอรวมกลุ่มขอขึ้นเงินเดือนเนี่ย เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องรึเปล่า

Posted by : x , Date : 2005-09-17 , Time : 20:24:47 , From IP : 61.7.144.250

ความคิดเห็นที่ : 11


   สงสัยต้องไปถามหมอกลุ่มนั้นไหมครับ ผมคิดว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในการสื่อก็คือ เวลาพูดถึงคนกลุ่มหนึ่ง แต่ไป address คนอีกกลุ่มหนึ่ง มันทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่าเกิดการ "เหมารวม" ขึ้นรึเปล่า

อีกประการ ผมไม่ทราบรายละเอียดของเรื่องที่คุณ x ยกมา แต่ถ้าตีความตามเนื้อประโยค ขอเงินเดือนขึ้นก็ไม่น่าสงสัยว่าจะทำอะไรบ้าง ในยุคปัจจุบันนี้ผมว่าค่าครองชีพของทุกวงการมันไม่ได้ไปด้วยกันกับ inflation rate หรือค่าของเงิน ของสินค้า อาชีพไหนๆก็ตาม ณ ขณะนี้ถ้าจะมีคนขอเงินเดือนเพิ่มขึ้น คงไม่ถึงขั้นผิดจริยธรรมกระมัง

หรือคุณ x มีข้อมูลระดับ inside มาขยายเพิ่มไหมครับว่า เรื่องราวเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร และทราบรายละเอียดที่มาอะไรบ้าง เราจะได้ช่วยกันวิคราะห์กันได้ งานที่คุณ x ทำงานอยู่ มีการปรับเงินเดือนบ้างไหมครับในระยะหลังนี่




Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-17 , Time : 20:31:45 , From IP : 58.147.54.76

ความคิดเห็นที่ : 12


    จริงด้วยครับ เป็นเรื่องที่ยากมากที่เราจะค้นหาตัวเองให้เจอ กว่าเราจะรู้ว่าเราเหมาะกับอะไร เรารักที่จะทำอะไร ทำอะไรแล้วรู้สึกมีความสุข มันก็ถลำไปเยอะแล้ว

สำหรับนักเรียนในภาคใต้ นักเรียนที่เรียนเก่งระดับทอปของแต่ละรร. ผมว่าเกินร้อยละ 95 ต้องเลือกเรียนหมอ เพื่อพ่อแม่ เพื่อชื่อเสียงของรร. เพื่อเงินและฐานะทางสังคม เพื่ออะไรก็แล้วแต่

คิดๆดูมันก็เป็นเรื่องยากมากมาก ที่เด็กเรียนเก่งๆ จะสวนกระแสไปเลือกเรียนอย่างอื่น

สำรวจตัวเองดู หากผมเรียนเก่งมาก ผมก็คงเลือกเรียนหมอเหมือนกันแฮะ




Posted by : เพิ่ม , Date : 2005-09-17 , Time : 20:42:12 , From IP : 172.29.7.80

ความคิดเห็นที่ : 13


    อ่านดูแล้วคุณคนขวางโลกเป็นคล้ายๆตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ก่อนเอ็นท์มีคณะที่อยากเรียนมากคณะหนึ่งและตั้งใจว่าจะเรียนให้ได้ แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อม ครอบครัว พ่อแม่ อยากให้เรียนหมอ และบังเอิญว่าเป็นคนเรียนดี ตอนนั้นไม่อยากขัดใจพ่อแม่ ไม่อยากสวนกระแสสังคม จึงเรียนแพทย์ แต่ระหว่างที่เรียนก็รู้สึกตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆว่าไม่ได้ชอบเลย ยิ่งตอนชั้นคลินิกก็ยิ่งรู้สึกชัดขึ้น แต่เรื่องการเรียน การทำงาน ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ก็ยังทำตามหน้าที่ รับผิดชอบ เหมือนเพื่อนๆ เคยคิดจะลาออกไปเอนท์ใหม่ แต่ว่ามันผ่านมาหลายปีแล้วเสียดายเวลาที่จะไปเริ่มต้นใหม่ เลยเรียนจนจบ ตอนนี้เลือกทางเดินของตัวเองแล้ว แฮบปี้ดี ลองค้นหาทางเดินที่ทำให้เรามีความสุข มันอาจไม่ใช่ทางเดิมที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งก็ไม่แน่ว่าทางเดิมนั้นจะทำให้เรามีความสุขได้เสมอไป เพราะเราก็ยังไม่เคยไปอยู่ ณ ตรงนั้น แต่เราสามารถค้นหาทางใหม่ที่ทำให้เรามีความสุขได้ โชคดี..

Posted by : AA , Date : 2005-09-18 , Time : 09:12:06 , From IP : ppp-210.86.142.193.r

ความคิดเห็นที่ : 14


   ในช่วงชีวิตของแต่ละคนที่ผ่านมา identity มันมีการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง และแล้วพวกเราก็ได้สั่งสมประสบการณ์ชีวิต รู้ว่าการจะทำหรือไม่ทำอะไรนั้นมีผลกระทบต่อมาอย่างไรบ้าง ตรงนี้ก็มีคนคิดถึงมากบ้างน้อยบ้างเป็นธรรมดา

ผมเห็นด้วยว่าในอดีต การศึกษาต่อขั้นอุดมศึกษานั้น บางทีนักศึกษาก็ไม่ได้เลือกมาศึกษาต่อในอาชีพที่ตนเองอยากจะเป็น แต่เกิดจากปัจจัยอื่นซะเยอะ ครอบครัวมาแรงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราสนิทใกล้ชิด และรับฟังคำแนะนำ รับเงินมาใช้ (อันนี้สำคัญ) มาตลอด จากครอบครัวก็มีค่านิยมของสังคม (ซึ่งมากระทบครอบครัว และกรทบเราอีกที.... ผมไม่คิดว่าค่านิยมสังคมกระทบตัวเด็กโดยตรงมากนัก เพราะวัยรุ่นมันมีแนวโน้ม rebellion หรือกบถ มากกว่าคล้อยตาม) แล้วก็ไปเรื่อยสัมเพเหระอื่นๆ เช่น ตามเพื่อน ตามแฟน ใกล้บ้าน โยนหัวก้อย

ขนาดในต่างประเทศที่เด็กเขาค่อนข้าง mature (จะใช้คำว่า "กว่า" เดี๋ยวจะสะเทือนใจกันอีก) เพราะค่านิยมที่เด็กจะแยกบ้านออกมาเป็นส่วนตัวตั้งแต่ 15-16 ปี หาเงินใช้เองมันลงไปเป็น background ในการคิด ดังนั้นเขามีแนวโน้มจะเลือกเรียน (หรือไม่เรียน) แล้วไปทำอะไรที่เป็น "อาชีพจริง" ก็ตาม ก็พบว่ามีการลาออก เปลี่ยนที่เรียนใหม่ในปีสอง ปีสาม กันมากมายเป็นเรื่องปกติ เพราะเด็กวัยรุ่นนั้นยากที่จะมีข้อมูลครบทั้งเกี่ยวกับอาชีพที่จะทำ และเกี่ยวกับตัวเองว่าต้องการอะไรแน่ พอลองแล้วก็ไม่ชอบ ไม่คิดว่าดี แล้วก็เปลี่ยน

แต่พอลองแล้วไม่ชอบนี่เองที่แตกต่างกันระหว่างเด็กของเรากับของเขา ของเราก็ยังเรียนต่อไปเป็นส่วนใหญ่ การลาออกหรือการเปลี่ยนที่เรียนดูเป็นเรื่องเสื่อมเสียทั้งของตนเอง ครอบครัว บางทีว่าไปถึงระดับสังคมคือเงยหน้าไปดูคนอื่นไม่ได้อีกเลยทำนองนั้น ทั้งๆที่มันเป็นชีวิต "ของเรา" แท้ๆ

หัวใจของว education คือ "การเปลี่ยนแปลง" ครับ ถ้าเราเรียนแล้วชั่วมงนึงต่อมา เราไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย ยังมีความรูเท่าเดิม ยังมีความคิดเหมือนเดิม ยังมี/ไม่มีความมั่นใจในเรื่องต่างๆเหมือนเดิม ก็เท่ากับว่าชั่วโมงที่แล้ว (หรือเมื่อสิบปีที่ผ่านมา) เรา "ไม่ได้เรียนอะไรเลย" ทีนี้ถ้าเราตั้งหลักปักให้มั่นไว้ก่อนแล้วว่าเรียนแล้วเราจะ "ไม่เปลี่ยน" มันก็จะขัดแย้งกับความหมายของการเรียนรู้ไป ผลก็คือเราต้องทนทำงานที่เราไม่ชอบ ศักยภาพของเราที่แท้จริงไม่เคยที่จะถูกใช้ หรือจะใช้ก็ตอนที่เราแก่แล้ว มีฐานะมั่นคงจากอาชพที่เราไม่ชอบ เริ่มไปมีงานอดิเรกที่เป็นตัวตนเองเราเองตอนอายุ 60 ปี (ถ้าโชคดีมีงานทำและประสบความสำเร็จ) แต่บางบคนก็จะโชคร้ายกว่านั้น เพราะการที่จะผลักดันงานที่เราไม่ชอบ ไม่ถนัด ไม่มีความสุขในการทำให้ประสบความสำเร็จนั้นมันไม่ง่ายเลย




Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-18 , Time : 10:05:22 , From IP : 58.147.54.76

ความคิดเห็นที่ : 15


   ที่พี่ๆเขียนมาก็เข้าใจบ้างกล้วแต่คุณx จะนึกว่าชวนทะเลาะ ผมคิดว่าพี่เขาคงอยากให้คุณ x ลองเอาไปวิเคราะจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องของทางโลกและทาง ธรรม เพราะว่าในโลกนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ปะปนกัน

Posted by : น้องใหม่ net , Date : 2005-09-18 , Time : 20:04:27 , From IP : 61.47.96.5

ความคิดเห็นที่ : 16


   เมื่อตอนสอบสัมภาษณ์ กรรมการสอบสัมภาษณ์ถามว่า
"เคยเลือกคณะแพทย์มาก่อนไหม"
ตอบว่า...ไม่เคย
ถามอีก...ทำไม
ตอบว่า...ไม่เคยชอบหมอที่เคยเจอเลยสักคน ก็เลยไม่คิดอยากจะเป็นหมอ

เลยไปเรียนอย่างอื่น...เพราะหน้าที่?(ไม่แน่ใจว่าเป็นหน้าที่จริงๆ หรือเป็น excuse ของความ...ไม่ได้ความ...ของตัวเอง)ขณะที่เรียนอย่างอื่นก็คิดมาตลอดว่า
"ถ้าจบไปได้จะพยายามหาสิ่งที่อยากทำและก้าวออกไปจากทางสายนี้ โดยที่ครอบครัวไม่เดือดร้อนและยินดีในทางที่เราเลือก"

ก็ถามตัวเองมาตลอดว่า...ถ้าไม่ชอบอย่างนี้แล้วชอบอย่างไหน...ถ้าไม่อยากอยู่อย่างนี้แล้วอยากอยู่อย่างไร ก็โชคดีว่า...มีโอกาสได้ดูแล้วก็เห็น...ว่าอยากเป็น...หมอ...และมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะไม่เป็นอย่างที่...หมอ...ที่เราไม่ชอบเค้าเป็น

โชคดีก็คือ ครอบครัวไม่เดือดร้อนและยินดีในทางที่ "เราเลือกเอง" ครั้งนี้
เป็นผลจากการที่เราเรียนรู้ร่วมกันว่า
"ไม่มีใครเลยที่มีความสุขกับการทำเพราะหน้าที่-ของเรา"
เรา..ไม่เคยมีความสุข
ครอบครัวของเรา...ที่จริงแล้วก็คือ...คนที่รักเราที่สุด...ก็ไม่ได้มีความสุข...กับความเป็นทุกข์ของเรา และเราได้บทสรุปร่วมกันว่า

ในขณะที่พ่อแม่...คิดว่า...ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก..ด้วยรัก..ด้วยหวังดี..ด้วยอะไรก็ตามก็เพื่อให้ลูกได้..สิ่งที่พ่อกับแม่คิดว่าดีที่สุด...แต่ที่กว่านั้นคือก็..."มันไม่ใช่สิ่งที่ลูกคิด"
แล้ว...จะว่า...เป็นเพราะ..พ่อแม่คิดแทนเสียแต่อย่างเดียวก็ไม่ได้..
ในเวลาที่เรายังไม่สามารถแม้แต่จะรับผิดชอบการเลือกและการตัดสินใจของตัวเองได้ ไม่รู้จะไปยังไง ไม่รู้จะเดินทางไหน จะไปจบไปสิ้นสุดยังไง ก็เป็นความพอดีที่ความรักนั้นจำเป็นต้องยื่นมือมาโอบอุ้มประคับประคองต่อเมื่อถึงเวลาที่เราบอกได้ว่า "ลูกอยากจะอยู่อย่างไร" ...ก็ไม่มีความจำเป็นที่ใครจะต้องมาจูงมือเราเดินเพราะกลัวเราหลงทางอีก

ทีนี้ทุกคนก็ยินดี...ว่าไปแล้วจะมีใครที่เป็นสุขเพราะเห็นคนที่รักเป็นทุกข์ล่ะ....จริงมั้ย

กว่าจะเจอ..ก็อาจต้องใช้เวลา ต้องลองผิดลองถูก ก็ต้องลองค้นลองหากันไปตามแต่ทางของใคร

เป็นหมอเพื่ออะไร...
มันก็ยังคงเดิมเหมือนวัน...ที่สอบสัมภาษณ์
เป็นหมอเพื่อตัวเอง...และเป็นเพื่อคนไข้
เพื่อพ่อแม่ พี่น้องมากมาย เพื่อครอบครัว เพื่อมนุษย์ที่ทุกข์กายลำบากใจ
เป็นหมอไม่ใช่เพียงเพราะลือชื่อ...แต่หมอคือทางผ่านฝัน
เป็นหมอเพราะตัวฉัน...ไม่ได้มีแรงบีบคั้นจากสังคม
เป็นหมอเพราะมีงาน...ไม่ได้ต้องการบุญกุศล
เป็นหมอเพราะอยากเป็นคน...ไม่ตั้งใจจะสร้างตนเพื่อเด่นดัง



ก็ตอบตามจริง...ว่าอยากมีชีวิตอยู่...อย่างมีประโยชน์บ้าง
วันที่สิ้นลมหายใจจะได้ไม่รู้สึกติดค้างนักว่า.....
เกิดมาได้แต่แสวงหา...ขุดใช้...ล้าง...ผลาญ...ฆ่า...กิน...อยากได้....ทำลาย...แล้วก็ทิ้งไว้แต่ขยะ ...ปฏิกูล...




Posted by : Lucifer , Date : 2005-09-19 , Time : 00:49:53 , From IP : 172.29.4.68

ความคิดเห็นที่ : 17


   ตกลงคุณ Lucifer ทำงานอะไรหรือครับ มีความสุขดีหรือเปล่า


Posted by : คนขวางโลก , Date : 2005-09-19 , Time : 23:02:05 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 18


   เรียนหนังสืออยู่ค่ะ…ก็สุขบ้างไม่สุขบ้าง....ตามอรรตภาพ


Posted by : lucifer , Date : 2005-09-20 , Time : 17:37:12 , From IP : 172.29.4.139

ความคิดเห็นที่ : 19


   เหนื่อยเหมือนกันนะ

Posted by : เหนื่อยนะ , Date : 2005-09-24 , Time : 18:40:33 , From IP : 172.29.4.188

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.009 seconds. <<<<<