ความคิดเห็นทั้งหมด : 29

แหม่มยอมรับแล้วจ้า! “ท้อง 5 เดือน”


   อ่านดูน่ะค่ะ เอามาจาก www.kapook.com ค่ะ


หลังจากต้องทนกับมรสุมข่าวลือว่า "ตั้งท้อง" มานานแสนนาน ในที่สุด เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงไทย “แหม่ม” คัทรียา แมคอินทอช ก็ได้ฤกษ์ออกโรงมาแถลงข่าวยอมรับแล้วว่า “หนูท้องได้ 5 เดือนแล้วค่ะ” เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ณ บริษัท โพลีพลัส จำกัด

ทั้งนี้เจ้าตัวได้เผยว่าพึ่งทราบว่าตนเองตั้งครรภ์เมื่อวานนี้ หลังจากไปพบแพทย์มา ส่วนเรื่องงานแต่งงาน เจ้าตัวยังไม่ได้ตัดสินใจ ต้องรอปรึกษาฝ่ายสามี "บี๋บี" สงกรานต์ กระจ่างเนตร ก่อน

งานนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ที่น่ารักของเธอไม่ว่าจะเป็น แหม่ม สุริวิภา รวมถึงพี่ชายที่แสนดีอย่าง วิลลี่ แมคอินทอช ที่เคยออกมาปฏิเสธเสียงแข็งตลอดว่าหนูแหม่มไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่อ้วนเพราะยาสตรีเบนโลนั้น …จะออกมาพูดว่าอย่างไรหว่า.....



Posted by : สกุล , E-mail : (sakol@hotmail.com) ,
Date : 2005-09-02 , Time : 16:57:30 , From IP : 203.113.71.108


ความคิดเห็นที่ : 1


    น่าจะยอมรับไปตั้งนานแล้ว บอกได้ไงพึ่งรู้ว่าท้อง โย้ขนาดนี้

Posted by : อดีตแฟนแหม่ม , Date : 2005-09-02 , Time : 21:30:32 , From IP : 172.29.7.111

ความคิดเห็นที่ : 2


   เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม ดาราเป็นคนของประชาชน แต่โกหกสังคมอย่างหน้าชื่นตาบาน กลัวว่าสิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีใครออกมาประนาม หรือติติง จะเป็นการสร้างให้เด็กหรือเยาวชนเลียนแบบหรือกลายเป็นวัฒนธรรมที่ถูกต้อง ซึ่งการโกหก ถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่ควรได้รับการยอมรับในสังคม

Posted by : เบื่อ , Date : 2005-09-03 , Time : 09:43:01 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 3


   เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม ดาราเป็นคนของประชาชน แต่โกหกสังคมอย่างหน้าชื่นตาบาน กลัวว่าสิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีใครออกมาประนาม หรือติติง จะเป็นการสร้างให้เด็กหรือเยาวชนเลียนแบบหรือกลายเป็นวัฒนธรรมที่ถูกต้อง ซึ่งการโกหก ถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่ควรได้รับการยอมรับในสังคม

Posted by : เบื่อ , Date : 2005-09-03 , Time : 09:43:01 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 4


   คือแบบว่ากินยาสตรีเบนโล - - คือรู้ว่าท้อง แล้วกินเพื่อทำแท้งหรือป่าวเนี่ย

Posted by : p , Date : 2005-09-03 , Time : 10:19:05 , From IP : 203.157.217.5

ความคิดเห็นที่ : 5


   คนเราจะบอกว่าไม่รู้เลยว่าตัวเองท้องเป็นไปไม่ได้แน่นอนปล่อยให้มันผ่านมาตั้ง5เดือนแล้วไม่รู้เลยว่ามันมีอะไรผิดปกติในร่างกายของตัวเองนะเป็นไปไม่ได้หรอกโกหกกันชัดๆนะ............

Posted by : z , Date : 2005-09-03 , Time : 12:13:02 , From IP : 172.29.7.195

ความคิดเห็นที่ : 6


   น่าสนใจในประเด็นที่ว่าในสังคมนั้นมี "ใคร" เป็นของ "ใคร" จริงหรือ และเพราะอะไร อีกประเด็นหนึ่งก็คือ role model นั้นเป็นหน้าที่ของอาชีพแบบไหน ประเด็นสุดท้ายคือเรามีความเข้าใจ autonomy มากน้อยแค่ไหนในสังคมนี้?

ยกตัวอย่างอาชีพนักแสดง โดยเนื้อผ้าคือผู้ที่ชำนาญเชี่ยวชาญเป็นเอกในการแสดงเข้ากับบทบาทที่เขียนมาโดยผู้กำกับ นักประพันธ์ คนจำนวนมากชมดูก็ติดใจ ชมชอบ ถามว่าเขาติดใจในอะไร? ชมชอบในอะไร? รูปร่างหน้าตา การแสดงที่เข้าถึงบท บุคลิดท่าทาง? ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ "เขียนขึ้น" จริงๆแล้วนักแสดงแต่ละคนจะมีชีวิตส่วนตัว อุปนิสัยส่วนตัว ค่านิยมส่วนตัวแตกต่างไปจากบทจอทีวีได้หรือไม่?

ถ้าเด็กวัยรุ่นจะเอา role model มาจาก "ชีวิตส่วนตัว" ของนักแสดง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นักแสดงหรือเด้กวัยรุ่น เด็กวันร่นต้องการการยอมรับจากคนอื่น นักแสดงมีคนนิยมชมชอบ แต่ของเดิมๆ วัฒนาธรรมเดิมๆนั้น เด็กวัยรุ่นเอา role model มาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งหน้าที่ที่ "ชัดเจนกว่า" ในการการชี้นำ การมีคุณธรรม จริยธรรม ถ้าวัฒนธรรมเลียนแบบดาราเป็น role model ยังมีอยู่ปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่แหม่มคนเดียวหรอกครับ มีดาราอีกเป็นล้านๆคนเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็น Eminem Diddy etc ที่สามารถเป็น role model ชนิดซาตานยังหน้าแดงได้

แต่การที่ "so-called สังคม" พร้อมที่จะโจมตี individual ทางสาธารณะนี่รึเปล่าที่แสดงถึง "รากของปัญหาสังคม" การที่เด้กวัยยรุ่นเราหา role model ยากเย็น มีคนทำสัมภาษณ์เด้กรู้จักไหมว่าพันท้ายนรสิงห์คือใคร สำคัญอย่างไร ส่วนใหญ่ตอบว่าเป็นตราน้ำพริกยี่ห้อหนึ่ง ก็ไม่น่าแปลกใจว่า value ทำไมมันถึงตกไปอยู่กับอาชีพดารานักแสดงที่คนรอบข้างเขาแสดงให้เห็นว่าชื่นชมเหลือเกิน ประสบความสำเร็จเหลือเกิน อีกไม่ช้าไม่นานสังคมก็จะใช้ความ popularity เป็นหลัก ใครได้ลงหนังสือพิมพ์ ออกทีวี คนเหล่านี้แหละคือ role model

แล้วเราเอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ไปไว้ที่ไหนไม่ทราบได้?

สำหรับในเรื่อง autonomy ถ้าเราคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในสังคมกับใครได้บ้าง กับกี่คน แล้วมีคนออกมาโวยวายกี่คน? อะไรทำให้แตกต่าง "ความคาดหวัง" รึเปล่า ถ้าเกิดจากความคาดหวัง ก็คงต้องกลับมาตรวจสอบล่ะครับว่าอะไรเป็นมูลเหตุให้เราทุ่มเทความหวังกับดารานักแสดงให้เป็น role model ของลูกหลานเรา ที่อาจจะน่าสนใจก็คือลอง "สมมติ" เป็นเรื่องที่น่าละอายที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเรา เราจะรู้สึกอย่างไรที่กลายเป็นเรื่องสาธารณะ? มีคนร้อยพ่อพันแม่ที่จริยธรรมส่วนตัวเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบมาด่าว่าว่าเราดีไม่ดี ดารานักสแดงนั้นเป็นอาชีพที่เขาสัญญาว่าจะเป็นคนดี มีคุณธรรม และสัญญาว่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ด่างพร้อยหรือไม่?

ประเดี๋ยวคนหลายๆคนในสังคม เช่น ท่านนายกฯ ท่านรัฐมนตรี จะน้อยใจนะครับว่าทำไม ท่านก็ทำตัวออกจะดี๊ดี ไม่มีใครฮือฮา crazy อย่างนี้เลย



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-03 , Time : 12:22:07 , From IP : 203.156.150.209

ความคิดเห็นที่ : 7


   เรื่องส่วนตัวเขาวิจารณ์กันใหญ่เชียวนะ สนุกปากกันล่ะสิ
เข้ามาดูหวังว่าคนที่นี่จะบอกว่า "ยินดีด้วยขอให้ลูกสุขภาพแข็งแรง"
ให้อ่านแล้วชื่นใจว่ายังมีหัวคิด ที่ไหนได้พูดจาสาดเสียเทเสีย

ถ้าคนไข้มาหาเราแล้วตรวจพบว่าท้องแต่ยังไม่ได้แต่ง หน้าที่ของเราคือ
Psychological Support + ANC ไม่ใช่เหรอ

เป็นหน้าที่ของเราไม่ใช่เหรอที่จะทำให้ทุกสถานการณ์มี outcome ออกมาดีที่สุด
ถึงแม้ว่าสาเหตุของเรื่องราวคืออะไรก็ตาม

แย่ แย่ แย่ แย่ น่าผิดหวังจริง ๆ


Posted by : อะไรเนี่ย , Date : 2005-09-03 , Time : 13:27:39 , From IP : ppp-210.86.185.76.re

ความคิดเห็นที่ : 8


   ใช่ ใช่ เมื่อเกินเหตุการณ์มาแล้ว ก็ควรให้กำลังใจไม่ใช่หรือ มัวแต่คอยทับถมเหยียบยำคนอื่นแล้วสังคมไทยจะน่าอยู่ได้ยังงัย ไอ้เรื่องที่เค้าเคยโกหก อันนั้นก็ต้องว่าว่าเขาผิดจริง แต่หลังจากนั้นก็ต้องเห็นใจเขา
คนที่ว่าเขาว่าจะทำแท้ง คิดได้งัยเนี่ย
ไม่น่าเชื่อ!! ว่านี่เป็น board ของคนที่อยู่คณะแพทย์ศาสตร์


Posted by : คนคณะแพทยศาสตร์ , Date : 2005-09-03 , Time : 13:54:10 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 9


   ใช่ ใช่ เมื่อเกินเหตุการณ์มาแล้ว ก็ควรให้กำลังใจไม่ใช่หรือ มัวแต่คอยทับถมเหยียบยำคนอื่นแล้วสังคมไทยจะน่าอยู่ได้ยังงัย ไอ้เรื่องที่เค้าเคยโกหก อันนั้นก็ต้องว่าว่าเขาผิดจริง แต่หลังจากนั้นก็ต้องเห็นใจเขา
คนที่ว่าเขาว่าจะทำแท้ง คิดได้งัยเนี่ย
ไม่น่าเชื่อ!! ว่านี่เป็น board ของคนที่อยู่คณะแพทย์ศาสตร์


Posted by : คนคณะแพทยศาสตร์ , Date : 2005-09-03 , Time : 13:54:54 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 10


   แหม่มจะท้องไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่ควรประนามคือการ "โกหก" ซึ่งทำมาโดยตลอดและยังคงทำอยู่จนถึงการแถลงข่าว ด้วยประโยคที่ว่า "เพิ่งรู้ว่าท้อง" จุดนี้ต่างหากที่ทำให้ผู้ติดตามข่าวรู้สึกไม่ดีกับแหม่ม ทำเหมือนว่าคนอื่นโง่ หลอกยังไงก็ได้งั้นแหละ

Posted by : จ้างให้ก็ไม่ชื่อ"แหม่ม" , Date : 2005-09-03 , Time : 14:08:17 , From IP : 172.29.7.101

ความคิดเห็นที่ : 11


    ขอย้ำว่า เราไม่ได้มาซ้ำเติมคุณแหม่มหรอกครับ และก็ไม่ได้เห็นใจอะไรด้วย
ก็แค่ดาราคนหนึ่ง ไม่ได้หวังให้เขาเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนไทยด้วย

ประเด็นอยู่ที่ว่า ท้อง 5 เดือน แล้วทำไมพึ่งออกมายอมรับ ก่อนหน้านี้สื่อก็รู้ระแคะระคายแล้ว แต่ยืนกรานว่าไม่ได้ท้อง แสดงว่าโกหกใช่หรือไม่

สิ่งที่อยากย้ำก็คือ คนเรามันผิดพลาดกันได้ หากยอมรับออกมาแต่แรก เรื่องก็คงไม่บานปลายอย่างนี้


Posted by : เบื่อ , Date : 2005-09-03 , Time : 22:57:23 , From IP : 172.29.7.71

ความคิดเห็นที่ : 12


   เรียน คุณอะไรเนี่ย และคุณคนคระแพทย์

อยากให้ช่วยเข้าใจว่า เขา(ในนี้) ตำหนิเรื่อง "การโกหกคำโตๆ" ไม่ได้มาทับถมหรือสมน้ำหน้าเรื่องเขาท้องโดยไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย ถ้าคุณคิดว่า การโกหกจนกระทั่งนาทีสุดท้ายอย่างหน้าระรื่นเนี่ย เป็นความน่ายกย่อง น่าเห็นใจ ก็อยากให้พิจารณาว่า ใครกันแน่ที่ "ยังมีหัวคิด" และ "ไม่น่าเชื่อ!! ว่านี่เป็น board ของคนที่อยู่คณะแพทย์ศาสตร์"


Posted by : ... , Date : 2005-09-04 , Time : 02:06:27 , From IP : 172.29.7.153

ความคิดเห็นที่ : 13


   อตฺตานํ อุปมํ กเร เอาใจเขามาใส่ใจเรา

ผมคิดว่ามันมีเหตุผลที่มหาวิทยาลัยยกเอาพุทธภาษิตนี้เป็นคำขวัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะแพทย์

มีสามหลักการของหลักจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพแพทย์ (medical professionalism) ได้แก่ การเห็นแก่ประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญอันดับหนึ่ง (primacy of welfare of patient or altruism) การเคารพในสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้ป่วย โดยที่เราไม่ตัดสินคุณค่าของใครๆ (principle of autonomy) และหลักแห่งความยุติธรรม (principle of justice) ทั้งหมดนี้เพื่อที่เราจะได้รับ ความไว้วางใจ จากผู้ป่วย เพราะความไว้วางใจเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการที่เราจะสามารถรักษาใคร ให้คำแนะนำใครได้อย่างที่เราต้องการ

คนเราทุกคนมีเหตุผล อารมณ์ ความเชื่อ ที่มีผลต่อการกระทำของตนเอง โอกาสที่เราจะเข้าใจถ่องแท้ในบริบท ในความคิด ในที่มาของพฤติกรรมของคนอื่นๆนั้นยากนัก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่เราอาจจะตรวจสอบตัวเราเองได้ครับว่าในชั่วชีวิตที่ผ่านมา เราเคยทำอะไรที่ "คนอื่น" อาจจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ผิดจริยธรรม แต่เป็นเพราะความจำเป็นส่วนตัวของเราหรือไม่? โกหกคำโต คำเล็ก คำปานกลางทั้งหลายแหล่นี่ก็เหมือนกัน

ผมคิดว่าในสังคมเรายุคปัจจุบันนี้ ไม่ต้องเอาถึงขนาดไปยกยอใครหรอกครับ (ซึ่งดูจะยากเย็นแทบจะเป็นไปไม่ได้) เอาแค่เราพยายามระงับการ "ตัดสินค่า" ของคนๆอื่นเร็วเกินไป ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะเป็นแพทย์ควรจะต้องฝึกหัดไว้ให้เป็นอุปนิสัย แต่ทางที่ดีถ้าเราฝึกมองกรณ๊ต่างๆอย่างพยายามเห็นใจ บางครั้งเราก็อาจจะเข้าใจได้ว่าทำไมบางครั้งคนเราประจำเดือนขาดจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ควรจะรายงานอย่างซื่อสัตย์ต่อสาธารณะ ทำไมบางคร้งเราใช้คำไม่จริงที่ดู silly เช่น ปากแข็งทำหน้าตายไม่ยอมสารภาพว่าผายลมในลิฟท์ ทั้งๆที่เสียงมันก็ดังออกมาท่นโท่ ของบางอย่างการที่เราทราบว่ามันเป็นเรื่องน่าละอาย ถ้าเป็นเช่นนั้นมันน่าแปลกใจตรงไหนที่โดยธรรมชาติคนเราจะพยายามผ่อนหนักเป็นเบา พยายามทำให้เรื่องมันดีเท่าที่ดีได้

แต่สำหรับเรื่องนี้ ประเด็นหลักผมคิดว่าไม่ได้อยู่ที่คนๆหนึ่งทำอะไรผิดแค่ไหนสำหรับทางเดินชีวิตของตนเอง ไม่ได้อยู่ที่ว่าสุดท้ายทำไมเธอเลือกมาบอกความจริงในลักษณะที่ว่านี้ (หรือแทนที่จะบินแอบไปมีครอบครัวหลักฐานต่างประเทศเลยซะก็ได้) แต่อยู่ที่ "ปฏิกิริยาตอบรับ" ของแต่ละคนนี่แหละครับว่าทำไมเราจึงทำอย่างนี้? เราจะเป็นอบย่างนี้ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวนี้ไหม? หรือเป็นเฉพาะแหม่ม? ถ้าเฉพาะบางคนจึงรู้สึกแบบนี้ มันเป็นเพราะอะไร? หรือถ้าเป็นอย่างนี้กับทุกคน คือทันทีที่ได้ข่าวแบบนี้เราจะต้องออกมาประณามในที่สาธารณะ นั่นก็น่าสนใจว่าเรา "ได้อะไร" จากการทำอย่างนี้ เราสบายใจขึ้น? เรารู้สึกว่าเราเป็นคนดี? เราต้องการจะสะท้อนให้ลูกหลานฟัง? (ซึ่งมันก็ทำได้ส่วนตัว)

อะไรที่เราคิดว่า "ดี" เกิดขึ้นได้จากการประณามผู้อื่นที่ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตเราเลย ในที่ที่สาธารณะ? และก็ไม่เชิงเท่าไหร่นะครับ เพราะเห็นๆก็ทำกันแบบ anonymous กันทั้งนั้น ผมว่าน่าสนใจทีเดียวถ้ามีคนใช้ชื่อ นามสกุลจริง ออกมาประณามด่าดาราในกรณ๊แบบนี้ แสดงว่าเธอโกรธแหม่มจริงๆ และมั่นใจในความเข้าใจว่าที่เขาเลือกใช้วิธีนี้มันช่างเลวทรามพอที่จะออกมาประณามได้

อตฺตานํ อุปมํ กเร เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเราปฏิบัติตามพุทธภาษิตนี้แล้ว เราจะมีพฤติกรรมต่อเรื่องนี้อย่างไร?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-04 , Time : 04:38:42 , From IP : 203.156.150.209

ความคิดเห็นที่ : 14


   

คิดว่า...คุณคัทลียา....เธออาจจะเป็นทุกข์....จากการอภิปรายของใครต่อใคร

เช่น เธอน่าจะยังงั้น เธออาจจะอย่างนี้ ... เธอคงมีเหตุผล หรือ ความจำเป็น เธออาจจะโกหก หรือเธอไม่รู้จริงๆ
จากการคาดอย่างนี้....ก็เลยไม่คิดจะอภิปรายเอาเรื่องเธอมาทำประโยชน์อะไร

แม้กระทั่งการเรียนรู้ ว่า เราจะ "คิด" อะไรได้ จากเรื่องราวของเธอ
ก็เห็นควรปฏิเสธว่า "ไม่เรียน" ค่ะ

เพราะไม่อยากทำให้เธอเป็นทุกข์มากขึ้นไปอีก โดยการสนับสนุนให้ใช้เรื่องราวของเธอเป็นเครื่องมือ




Posted by : Lucifer , Date : 2005-09-04 , Time : 12:43:50 , From IP : 172.29.4.39

ความคิดเห็นที่ : 15


   ++++++++++++++++++++++++++
ในมุมที่เธอเป็นดารา และทำมาหากินอยู่ได้ด้วยความชื่นชมที่ประชาชนมีให้
คุณทั้งหลายเคยคิดบ้างมั้ยว่าถ้าคุณออกมายืนเคี้ยวมันฝรั่งสองสามคำแล้วบอกว่ามันอร่อยมากๆ บริษัทมันฝรั่งนั่นจะจ่ายคุณเป็นล้านอย่างที่แหม่มได้รึเปล่า
นี้คือตัวอย่างของสิ่งที่ แหม่ม ได้จากสังคม ได้จากความชื่นชอบของประชาชน
ทุกสิ่งในโลกก็ไม่มีของฟรี
เขาก็ควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชน และอาจต้องสูญเสียชีวิตส่วนตัวบางส่วนไป
เราไม่ได้คาดหวังว่าเขาต้องไม่ท้องก่อนแต่ง เพราะนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆๆๆ ของเขา
แต่เราเสียความรู้สึกว่าทำไมเธอต้องโกหก
โกหกอย่างหน้าชื่นตาบาน
และโกหกกระทั่งนาทีสุดท้าย ที่บอกว่าเพิ่งรู้จริงๆว่าท้อง
สังเกตปฏิกิริยานักข่าวสิ
ตอนนั้นแทบไม่ได้ยินเสียงฮือฮาออกมาจากนักข่าวเลย
สะท้อนให้เธอเห็นชัดๆว่าคนอื่นรู้สึกยังงัยกับเธอ
+++++++++++++++++++++++++++++++
แต่ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
มีลูกอยู่ในท้องโดยยังไม่ได้แต่งงาน
และมีแววว่าอนาคตจะพังเพราะการนี้
ผู้ชายที่เป็นพ่อเด็กก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรีบแต่งงานปกปิดขนาดท้องแบบที่ดาราคนอื่นทำกัน
เป็นคุณจะหาทางออกที่สวยงามได้อย่างไร
อย่างน้อยที่สุด เรายังชื่นชมเธอที่ไม่เอาเด็กออกสังเวยความมักง่ายของตัวเอง
ยังแสดงความรับผิดชอบด้วยการออกมาประกาศเรื่องนี้ด้วยตนเอง แม้จะช้าไปมาก
ทั้งๆที่จะหนีไปคลอดลูกที่อเมริกาแล้วค่อยกลับมาก็ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องราวทุกเรื่องมีสองมุมมองเสมอ
แต่ถ้าเรามีสิทธิ์ตัดสิน
หมายความว่า "ถ้า" นะ
เราก็ยังเสียความรู้สึก ตรงที่เธอโกหกนี่แหละ


Posted by : natalie , Date : 2005-09-04 , Time : 15:08:48 , From IP : proxy3.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 16


   มีอาชีพไหนหรือครับที่ไม่ควรทำตัวถูกต้องตามจริยธรรม ศีลธรรม?

มีอาชีพอื่นๆอีกไหมที่ "พูดให้เราเชื่อ" แล้วผลแห่งคำพูดนั้นๆกระทบต่อชีวิตของเราอย่างเป็นรูปธรรม? OK ถูกดาราไม่พูดความจริง (ฟังดู ironic นะครับ เพราะที่เราชอบก็ชอบ "บทบาท" ที่เขาแสดง!!) ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ เอ.. เรามีปฏิกิริยาแบบไหนกับเรื่องอื่นๆ?

เช่น การคอรัปชัน ฉ้อราษฎรบังหลวง พวกเอารัดเอาเปรียบสังคมจากตำแหน่งหน้าที่ในทางที่มิชอบ ฯลฯ มีอะไรบ้างที่ก่อให้เกิด public response แบบคลั่งไคล้แบบนี้?

มื่อพิจารณาปฏิกิรยาของประชาชนต่อข่าวนี้ สามกลุ่มใหญ่ๆคือ เฉยๆ ลบ แล้วก็บวก (หมายถึงพูดในทางบวก) น่าสนใจว่าอะไรเป็ "พื้นฐาน" ที่นำมาสู่ปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน บางคนก็บอกว่าเพราะเธอยิ้มขณะที่มาสารภาพ บ้างก็ว่าเหตุผลที่อ้างมันตื้นไป ทำให้เหมือนถูกดูถูก (ยังกับว่าถ้าเหตุผลมันลึกลับซับซ้อนกว่านี้ ยังเป็นการโกหกที่สมศักดิ์ศรีคนฟังหน่อยนึง) บ้างก็ว่าเด็กวัยรุ่นได้ยินอย่างนี้ ก็จะวิ่งออกไปมีท้อง มีลูก ตามดาราในฝันกันใหญ่ (ซึ่งน่าเป็นห่วงในการขาด role model ของเด็กบ้านนี้อย่างมากเลยทีเดียว ที่ฝากฝังคุณค่าพรหมจรรย์เอาไว้กับดารานักแสดง) เหตุผลเหล่านี้เป็นตรรกะที่ตามมาทีหลังอารมณ์บ้าง หรือก่อนบ้าง

คนที่โกรธเพราะเธอยิ้ม จะไม่โกรธจริงหรือถ้าเธอทำหน้าตาเครียด หรือร้องห่มร้องไห้ว่าเธอสำนึกผิดไปแล้วที่ไม่ได้กราบเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบถึงสาเหตุที่ประจำเดือนเธอขาดไปสี่ห้าเดือนแต่เนิ่นๆ

มันเป็นความเคยชินที่เรา "ตัดสิน" คุณค่าของคนรึเปล่า?

แต่เชื่อหรือไม่ บางเรื่องคนเราสามารถ denial ได้อย่างมากกว่านี้ เรื่องของแหม่มดูมันง่ายที่จะ "เฮตาม" เพราะมี backup เยอะ แต่ถ้าเป็น evidence อื่นของสิ่งที่ตนเอง "นับถือ เชื่อถือ" เช่น นักการเมือง ลัทธิ ฯลฯ ขนาดเห็นตำตา ได้ยินอยู่เต็มหู ก็ยังยิ้มปฏิเสธได้อย่างมั่นคงหนักแน่น เพราะมันหมิ่นเหม่ต่อ self respect ที่ตนเองทุ่มเทแรงกายใจเชื่อไปแล้ว

ไม่งั้นที่สาธารณูปโภคถูกขายให้เอกชนไปบริหารก็คงไม่เงียบฉี่ มีเสียงคัดค้านตามหน้าสอง หน้าสี่ห้า ของ นสพ. คนไทยที่ขออพยพข้ามแดนไปกว่าร้อยคน ถูกสรุปอย่างทันทีว่าเป็นเพราะคนร้ายมันทำ ไม่เกี่ยวกับการที่ local authority มีสิทธิพืเศษทำอะไรก็ได้โดยจะไม่ถูกมีคดี สาธารณะสามาถรับเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดี

เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้ แบะคนคงจะนำไปไตร่ตรอง เอาไปสอนลูกหลานของตนเองตามเห็นชอบครับ แต่ถ้าจะ "ตัดสิน" ลองคิดสักนิดว่ามันยุติธรรมแล้วหรือที่เราจะทำ เรามีข้อมูลมากน้อยแค่ไหน เราเห็นเขายิ้มนั่นข้างในเขาประหวั่นกลัวมาก่อนแค่ไหนว่า public response จะเป็นอย่างไร ฉลาดๆอย่างแหม่มจะนึกออกไหมว่าจะมีสักกี่ครอบครัวในประเทศนี้ ที่คนตั้งครรภ์กำลังมีเด็ก คนเป็นล้านๆคนกำลังร่วมมือร่วมใจกันสาบแช่ง ตัดสินเธอ จากข้อมูลอันน้อยนิด ก่อนที่ตัดสินคนอื่น ลองถามตัวเองว่าถ้าเป็นตนเองกำลังจะเจอเรื่องแบบนี้จะทำอย่างไร จะคิดอย่างไร และจะรู้สึกอย่างไร

และจริงหรือที่ชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งนั้น เป็น "ของเรา" เพราะเราอุตส่าห์ติดตามดูละครของคนๆนั้นมาตั้งหลายปี ผมว่าถ้าเราพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแบบนี้ มาให้ลูกหลานของเราที่เรามีหน้าที่เลี้ยงดู สอนให้เขารู้ว่า role model ที่แท้จริงนั้นคือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไม่ใช่คลั่งดาราอย่างที่มีคนทำ ก็น่าจะดีไม่น้อย

แก้ปัญหาไปได้เยอะเหมือนกันนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-04 , Time : 15:38:09 , From IP : 203.156.150.209

ความคิดเห็นที่ : 17


   คุณ phoenix ยังคงคุณภาพการโพสเช่นเคยครับ

แต่ก้อยังไม่เคยอ่านครับ

จะแหม่มจะเหมียว จะใครก้อช่างเขา ทำตัวเราให้ดีก้อพอ

อย่าไปซ้ำรอยซะล่ะ


Posted by : เหอะ , Date : 2005-09-05 , Time : 09:01:33 , From IP : 172.29.4.91

ความคิดเห็นที่ : 18


   เป็นห่วง และกังวลมากอยู่อย่างเดียว คือการมีท้องก่อนแต่งงานของหญิงไทย ต่อไปถ้าเราเห็นสิ่งหล่านี้ เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา สังคมไทยจะเป็นอย่างไร เราจะเอาแบบอย่างของฝรั่งเขาหรือ?? อนาคตจะเป็นอย่างไร ตัวเองก็มีลูกสาวด้วย คิดแล้วห่วงจริง ๆ ....


Posted by : แพงพวย , Date : 2005-09-05 , Time : 09:54:57 , From IP : 172.29.3.171

ความคิดเห็นที่ : 19


   สังคมไทยเรามันเปลี่ยนไปแล้ว การท้องก่อนแต่งในวัยที่เราสามารถเลี้ยงดูเด็กที่จะออกมามองตาดูโลกไม่ต้องเป็นภาระของใคร ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ไม่เห็นแปลกเลย

Posted by : zaza , Date : 2005-09-05 , Time : 11:09:27 , From IP : 172.29.7.44

ความคิดเห็นที่ : 20


    คำว่า "ท้องก่อนแต่ง" จำกัดความอย่างไร หมายถึงตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือไม่มีงานพิธีแต่งงาน หรือรวมหมด ถ้าจะมองย้อนกลับไป วัฒนธรรมดั้งเดิมรุ่นยาย รุ่นทวดนั้น เค้าก็อยู่กินมีลูกหลานกันโดยที่ไม่มีสองอย่างนี้ก็ถมไป ก็ไม่มีใครไปตราหน้า หากว่าผู้ใหญ่ได้รับรู้ว่าฝ่ายชายและหญิงได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยา
ถ้ามองในแง่ดีว่าเค้าไม่รู้จริงๆว่าตั้งครรภ์ก็อาจเป็นไปได้ ในช่วงแรกๆมันก็สามารถมี implantation bleeding ทำให้เรื่อง LMP ไม่แม่น หรือคิดว่าประจำเดือนไม่มาเพราะเครียดได้ บางคนปีหนึ่งๆประจำเดือนมีแค่สองสามครั้งก็ยังมี
ส่วนตัวแล้ว คิดว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ถึงแม้ว่าเค้าจะตั้งท้องโดยที่รู้แต่ไม่ได้ออกมาป่าวประกาศ ดาราหญิงที่แต่งงานไปไม่นานก็คลอดมีถมไป ซึ่งนั่นอาจจะไม่ครึกโครมเท่านี้เนื่องจากเธอเหล่านั้นไม่ได้ออกมาปฏิเสธได้แต่เงียบ ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียงที่อาจจะยังไม่มีความพร้อมเรื่องการแต่งงาน แต่แค่เค้าพร้อมที่จะเลี้ยงดูให้ความรักกับเด็กที่กำลังจะเกิดมา นั่นยังไม่พออีกหรือ?
ปัจจัยหลักคือคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิงคนนึงที่ยังไม่ได้แต่งงานแล้วตั้งครรภ์ คุณจะกล้าบอกกับใครๆ หรือถ้าเป็นญาติเรา เพื่อนเรา เราจะสนับสนุนให้เค้าไปบอกกับคนทั่วประเทศหรือว่า "ชั้นท้อง" สังคมบ้านเราไม่ใจกว้างพอที่จะยอมรับการเป็น single mom ว่าเป็นคนที่เข้มแข็งเหมือนอย่างเมืองนอก แต่กลับมองว่าเป็นความผิดพลาดและเหยียบซ้ำ ซึ่งไม่ยุติธรรม ถ้าเค้าปิดเรื่องไว้แล้วไปเอาเด็กออก คนก็ไม่รู้ก็ไม่เป็นข่าว เพื่อจะได้รักษาภาพ ให้ถูกใจคนไทยต่อไป อย่างนี้จะไม่เลวร้ายกว่างั้นหรือ เชือว่ากว่าจะมาถึงวันนี้เค้าคงลำบากมาพอสมควรแล้ว การที่เค้าออกมาแถลงข่าวนั่นก็ต้องอาศัยความกล้ามากแน่นอน แล้วการที่เค้ายิ้ม นั่นก็ผิดอีกหรือ ต่อให้เค้าออกมาร้องไห้ไปพูดไป ก็คิดหรือว่าความเห็นใจจะมากขึ้น ในเมื่อคนได้ตัดสินเค้าไปแล้ว? (ว่าแต่ว่า คนที่ไปตัดสินว่าคนอื่นผิดหรือถูกนั่นมีสิทธิ์อะไรที่ไปทำแบบนั้น)
เห็นด้วยที่ว่าการโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ดีกรีมันก็มีหลายระดับ จริงๆแล้วเค้าก็แค่ปกป้องประโยชน์ของตัวเอง แต่ผลร้ายต่อผู้อื่นจากการโกหกนี้ก็ไม่ได้มีมากมายเกินกว่าทำให้เสียความรู้สึก ส่วนที่บอกว่าจะทำให้เด็กไทยยึดเอาเป็นเยี่ยงอย่างนั่นก็เกินไป ถ้าเด็กได้รับการอบรมมาจากครอบครัว โรงเรียน และมีสามัญสำนึกของตัวเองเค้าก็แยกแยะได้อยู่แล้วว่าเรื่องไหนที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ถ้าลูกหลานคุณเห็นว่าคุณสมบัติในตัวคุณไม่ดีพอที่จะเป็น role model ของเค้า ก็อย่าไปโทษคนอื่นที่เด็กไปยึดแบบตาม แต่เค้าเป็นไม่ได้ตาม ideal ของคุณ


Posted by : ฮิมาวาริจัง , Date : 2005-09-05 , Time : 11:35:05 , From IP : 172.29.3.174

ความคิดเห็นที่ : 21


    อย่าไปยุ่งกะเค้าเลย ปล่อยเค้าไปเถอะ
"ทุกขัง อนัตตา"_____ ความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน____


Posted by : สันโดษ , Date : 2005-09-05 , Time : 14:11:11 , From IP : 192.168.26.53

ความคิดเห็นที่ : 22


   ใครทำให้แหม่มท้อง 5 เดือนใครทำให้แหม่มปฏิเสธ สะใจแล้วหลุมที่สื่อต้องการประโคมข่าว แถมนำปัญหานี้ไปเปรียบเทียบตั๊ก บงบช แสดงว่าวัฒนธรรมไทยชอบนำเรื่องคำพูดที่ไม่เปิดเผยส่วนตัว หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาใช้ แต่ถ้าเปรียบเทียบการโกหกที่เป็นเรื่องส่วนตัวคนสาธารณะ ไม่ร้ายแรงเท่ากับการโกหกการให้ทรัพย์สินคนขับรถ คนใช้ครอบครอง เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเป็นรายได้ของรัฐ

Posted by : สื่อสะใจแล้วใช่ไหม , Date : 2005-09-05 , Time : 17:13:41 , From IP : 172.29.2.193

ความคิดเห็นที่ : 23


   "คุณ phoenix ยังคงคุณภาพการโพสเช่นเคยครับ

แต่ก้อยังไม่เคยอ่านครับ ...................


Posted by เหอะ() 2005-09-05 , 09:01:33 , 172.29.4.91



สงสัยว่าถ้ายังไม่เคยอ่าน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าโพสคุณภาพ


Posted by : แฮ่ะๆๆ , Date : 2005-09-06 , Time : 15:32:53 , From IP : 172.29.7.140

ความคิดเห็นที่ : 24


   คนที่โกรธเพราะเธอยิ้ม จะไม่โกรธจริงหรือถ้าเธอทำหน้าตาเครียด หรือร้องห่มร้องไห้ว่าเธอสำนึกผิดไปแล้วที่ไม่ได้กราบเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบถึงสาเหตุที่ประจำเดือนเธอขาดไปสี่ห้าเดือนแต่เนิ่นๆ
Posted by Phoenix()

ถูกต้อง
อวจนภาษา บางครั้งไมสำคัญและกระทบความรู้สึกคนฟังเท่า อวจนภาษา แม้ว่าผู้สื่อ จะมีเจตนาดีก็ตาม
ลองว่าถ้าเรา CPR คนไข้คนนึง นานเกือบชั่วโมง เหนื่อยแทบขาดใจ เราออกมาบอกญาติเขาว่าคนไข้จากไปแล้ว
ถ้าเราออกมาด้วยสายตาหม่นหมอง ซึ่งเข้ากับสถานการณ์และความคาดหวังของผู้ฟัง ญาติย่อมทำใจ และเห็นใจคุณหมอที่อุตส่าห์ช่วยญาติเขาสุดความสามารถ
กับเราออกมาหน้าเศร้า แต่ญาติคนไข้หน้าเหมือนกบเคโระ คุณเลยเล่าไปอมยิ้มไป
ความดีงามทั้งหมดที่คุณทำมาจะสลายไปจากความรู้สึกของญาติเขามั้ย

เช่นกัน เราบอกไม่ได้ว่าแหม่มรู้สึกอย่างไรตอนออกมาแถลงข่าวหน้าตายิ้มแย้ม
เราเชื่อว่า ภายใต้รอยยิ้มนั้น หัวใจเธอก็แทบสลาย และเราเห็นใจเธอจริงๆ
แต่เรายังเชื่อว่า เธอน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้
วิธีที่คนฟังจะไม่รู้สึกเหมือนว่าเป็นคนโง่

ถ้าคนไข้เอดส์มาหาเรา อาการเต็มขั้นชนิดคนธรรมดาก็ดูออก
คนไข้นอนได้สองวันแล้วจากไป เขาฝากบอกว่า อย่าบอกพ่อแม่เขานะว่าเขาเป็นเอดส์
คุณเลือกจะบอกพ่อแม่ว่าเขาเป็นภูมิคุ้มกันบกพร่อง ให้เขาค่อยๆคิดเองว่าลูกเป็นเอดส์ และชื่นชมเราที่ไม่พูดถึงลูกเขาด้วยคำพูดที่เจ็บปวด

กับบอกว่าลูกเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ตาย
พูดให้คนฟังชี้หน้าว่าโกหกและขาดความเชื่อถือเรา
อย่างที่แหม่มทำเหรอ

แต่ยังยืนยัน ว่าเราเห็นใจแหม่มกับความผิดพลาดที่ท้องก่อนแต่ง
ชื่นชมเธอที่ไม่เอาเด็กออก
และเสียความรู้สึกที่เธอโกหก


Posted by : natalie , Date : 2005-09-06 , Time : 19:31:50 , From IP : proxy1.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 25


   อวจนภาษา บางครั้งไมสำคัญและกระทบความรู้สึกคนฟังเท่า อวจนภาษา แม้ว่าผู้สื่อ จะมีเจตนาดีก็ตาม

ขอโทษนะ พิมพ์ผิด เอาใหม่
"วจนภาษา" บางครั้งไมสำคัญและกระทบความรู้สึกคนฟังเท่า "อวจนภาษา" แม้ว่าผู้สื่อ จะมีเจตนาดีก็ตาม


Posted by : natalie , Date : 2005-09-06 , Time : 21:41:32 , From IP : proxy1.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 26


   ล่าสุดวันนี้ข่าวออก 7 เดือนครึ่งเเล้วเธอบอกว่าอย่าหอมเเก้มนะยางบ่เเต่งหุ หุ

Posted by : 001 , E-mail : (001) ,
Date : 2005-09-08 , Time : 16:12:49 , From IP : 172.29.3.250


ความคิดเห็นที่ : 27


   เธอว่า "หอมแก้มไม่ได้ ค่ะ ยังไม่แต่งงาน" แล้วตอนอื่นไม่ต้องหอมหรือไง

Posted by : Montrion , E-mail : (Montrion@hotmail.com) ,
Date : 2005-09-09 , Time : 12:29:35 , From IP : sqcache5.kku.ac.th


ความคิดเห็นที่ : 28


   ขอ respond กระบวนการ "telling the truth" สำหรับตัวอย่างที่คุณ Natalie ยกมานิดนึง จริงๆแล้วมี options อื่นๆมากกว่าที่ยกมาครับ

ลำดับแรก เมื่อผู้ป่วย (หรือญาติ) ขอร้องให้หมอบอกหรือไม่บอกคำวินิจฉัยนั้น เป็นประเด็นสำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับกระบวนการรักษา ลำพังแค่ "บอก" หรือ "ไม่บอก" ไม่ใช่ข้อสรุป และไม่น่าจะมี universal rule ว่า "ต้อง" ทำอย่างไร

ลำดับต่อมา ถึงกระนั้นก็ตามมันมี principle of autonomy เป็นพื้นฐานอยู่ครับ และโดยทั่วไป autonomy ของผู้ป่วยจะสำคัญที่สุด หากไม่ได้มี "ผลกระทบ" ในระดับความเชื่อ ความศรัทธา หรือระบบครอบครัวมาเกี่ยวข้อง ซึ่งนั่นเป็นที่มาของ "กฏ" แห่งการ "รักษาความลับของผู้ป่วย" ในอาชีพของเราครับ ในกรณี AIDS นั้นมีสาเหตุจำเพาะที่ว่ามันเป็น infectious disease และอาจจะมีผลถึงชีวิตถ้าไม่ได้รับการควบคุมให้ดี

ตัวอย่างที่คุณ Natalie ยกมา ผมเห็นด้วยครับว่าหมอต้อง "ไม่โกหก" ญาติผป.ว่าลูกเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันหมอก็น่าจะเข้าใจและเห็นใจผป.ถ้า "ผู้ป่วย" เองจะบอกใครๆว่าเขาเป็นหวัด เป็นวัณโรค เป็น ฯลฯ โดยที่หมอไม่ตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมของผู้ป่วยคนนั้น หมอจะไม่ตีโพยตีพายหรือหยามประณามว่าที่ผป.พูดออกมาอย่างนั้นเป็นการโกหกหน้าด้านๆ ดูถูกคนฟัง ใครๆรู้ว่าเป็นเอดส์ ยังจะมาปากแข็งว่าเป็นหวัด เป็น TB อีก กลับมาประเด็นหลักของเรา คุณแหม่ม "ไม่ได้ขอ" ให้หมอโกหกแทนเธอ ฉะนั้นผมไม่เห็นประเด็นว่าใครจะถูกขาเดความเชื่อถือในเรื่องนี้ ยกเว้นตัวคุณแหม่มเองกับบรรดาแฟนๆของเธอ

ในกรณีนี้ผมว่าคุณแหม่มก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายๆคนไข้ aids นั่นแหละครับ

ส่วนใครจะฟังอะไร แล้วรู้สึกว่าตนเองโง่ฉลาดแค่ไหนนั้น ส่วนหนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนพูดเท่าไหร่นัก แต่ขึ้นอยู่ว่าเราฟังอย่างไรมากกว่ารึเปล่าครับ? ถ้าเรามีความมั่นใจในสติปัญญาของเราขนาดหนึ่ง มันอาจจะช่วยถ้าเราไม่พยายามที่จะคิดว่าที่การที่คนอื่นเขาพูดมาทำให้เราเปลี่ยนแปลงระดับสติปัญญาของเราไป

"การฟัง" เป็นศิลปที่คนในวิชาชีพเราต้องฝึกครับ ฟังโดยมีสติ ไม่ judgemental ไม่ทำให้ตนเองเสียความรู้สึก แต่หาทางฟังแบบ compassion เห็นอกเห็นใจ ไม่จับผิด ไม่เอา moral ของเราไปครอบให้ใคร สำคัญที่สุดคือฟังอย่างอุเบกขา เราจึงจะสามารถทำงานรักษาคนไข้เราได้ เราจึงสามารถ "ช่วย" คนอื่นได้อย่างเต็มใจ ไม่กังขาว่า เอ... เรากำลังช่วยไอ้โกหกอยู่รึเปล่าหนอ เรากำลังช่วยคนที่เป็นตัวอย่างเลวๆอยู่รึเปล่าหนอ ถ้าเรา "หลวมตัว" คิดแบบนั้น มันจะกลายเป็นอุปสรรคในการทำงาน มันจะเบี่ยงเบนเราจากปรัชญาวิชาชีพ และเราจะไม่เห็นประโยชน์เพื่อนมนุษย์เป็นอันดับหนึง เราจะ "มองข้าม" ความทุกข์ของคนที่อยู่เบื้องหน้าเราไปได้



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-09 , Time : 21:16:30 , From IP : 58.147.34.196

ความคิดเห็นที่ : 29


   สำหรับหน้าตาของแพทย์ขณะบอกข่าวร้ายนั้น ผมคิดว่าบทบาทหน้าที่ของเราในขณะนั้นคือ เข้าใจ เห็นใจ และสงบครับ บางครั้งการ "มีอารมณ์ร่วม" อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป ขณะที่ญาติกำลังสับสน เสียใจ ตกใจ ถ้ามีคนที่เข้าอกเข้าใจและสามารถเป็นที่พึ่ง ทำให้อารมณ์สงบลงได้น่าจะดี empathy แต่ไม่ sympathy

ส่วนหัวก้อยความดีงามของเราจะอยู่หรือจะไป "ในความรู้สึกของญาตินั้น" เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ และก็ "ไม่ใช่" ตัวตัดสินความดีงามของสิ่งที่เราทำไปด้วย โดยปรัชญาแล้วความดีนั้นอยู่ที่ตัวการกระทำและจิตสำนึกคนทำ ส่วนผลเป็นอย่างไร มีคนชมกี่คน ไม่มีคนตำหนิเลยนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ "ปรุงแต่ง" เท่านั้น ถ้าจากนักปรัชญาเยอรมัน Immanuel Kant ก็คงจะว่า "ทำความดี เพราะความดี เพราะความดีเป็นสิ่งที่พึงกระทำ เป็นหน้าที่" ไม่ได้นับตรงมีใครรู้สึกอย่างไร



Posted by : Phoenix , Date : 2005-09-09 , Time : 23:26:22 , From IP : 58.147.34.196

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.048 seconds. <<<<<